คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ 17: เจรจาสงบศึก
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
เดลวาลินและคณะได้เดินทางออกจากหมู่บ้าน แคลิด ดรากูน เพื่อมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งหมู่บ้านเผ่ามังกรขาว โดยให้แรนแวคทำหน้าที่เป็นคนนำทาง เพื่อที่เขาจะทำหน้าที่ไปติดต่อเจรจาทางการทูตกับเผ่ามังกรขาวให้ทั้งสองทำสนธิญาสงบศึกและหาข้อตกลงในการหาผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ในระหว่างทางแรนแซคที่สงสัยในตัวเดลวาลินเขาก็ได้ถามอีกฝ่ายขึ้นมาว่า
“นี่….ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยจะได้รึเปล่า”
แรนแซคหันมามองเดลวาลินและสเตลร่าที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“อยากถามอะไรงั้นหรอ”
“ข้าอยากจะถามเจ้าว่า เจ้าไปทำอิท่าไหนถึงสามารถข่มเจ้าไอกัสมังกรดำที่เก่งกาจได้ถึงเพียงนั้น ถึงขั้นยอมให้เจ้าลูบเขาบนหัวจรดหางได้”
“แล้วมันทำไมหรอ”
“ก็….ตามธรรมเนียมพวกเผ่ามังกรดำจะไม่ยอมให้ใครลูบเขาบนหัวตัวเองได้ง่ายๆหรือให้ใครลูบพร่ำพรือ การที่มังกรดำยอมให้ทำแบบนั้นด้วยความสมัครใจจะถือว่าคนคนนั้นพิเศษมากจริงๆ และข้าอยากรู้ว่า…เจ้าเป็นใครกันแน่"
เดลวาลินหันไปมองหน้าสเตลร่าเพื่อขอความเห็น แต่อีกฝ่ายก็หยักไหล่กลับมาเสมือนว่าปัดการรับผิดชอบตรงส่วนนี้ให้เขาจัดการเอง
“ฉันก็แค่นักเดินทางคนนึงก็เท่านั้นเองแหละ”
แรนแซครู้สึกได้ตามสัญชาตญานของเขาว่าสิ่งที่เดลวาลินพูดมานั้นเขาอาจจะกำลังโกหกเพื่อปกปิดตัวตนอยู่
“คำพูดของเจ้ามันมีน้ำหนักไม่มากพอที่จะให้ข้าเชื่อได้ลงว่าเจ้านั้นเป็นเพียงนักเดินทางธรรมดา เพราะข้าที่ได้เห็นพลังเวทย์ของเจ้าในศึกนั้น ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้านั้นย่อมไม่ใช่มนุษย์หรือพวกดราก้อนสเลเยอร์ที่ใช้พลังมังกรทั่วๆไปอย่างแน่นอน”
“แล้วนายคิดว่าฉันสองคนเป็นใคร”
“ให้ข้าเดา เจ้าทั้งสองคงจะเป็นมังกรระดับสูงที่มีระดับพลังเวทย์กลางสูงส่งอย่างแน่นอน ขนาดข้าที่เป็นมังกรระดับสูงด้วยกันยังจับพิรุธคลื่นพลังเวทย์ของเจ้าทั้งสองไม่ได้เลย”
สเตลร่ายิ้มพร้อมกับพยักหน้าเหมือนรู้ว่าแรนแซคจะจับไต๋อะไรพวกตนได้
“ข้าคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่มนุษย์ธรรมดาๆหรือพวกดราก้อนสเลเยอร์จะเข้ามาแทรกแซกเรื่องพวกนี้ และข้าอยากจะรู้จริงๆว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าทั้งสองเป็นใครกันแน่”
เดลวาลินหันมามองหน้าสเตลร่าอีกครั้งและคราวนี้เขาขอความเห็นจากเธอจริงๆจังๆเนื่องจากตอนนี้ความสงสัยของแรนแซคดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเข้าไปทุกที
“ถ้านายอยากจะทำอะไรก็ทำเลย”
เมื่อสเตลร่าบอกมาแบบนั้นเดลวาลินก็ตัดสินใจที่จะเปิดเผยฐานะตัวตนที่แท้จริงของแรนแซคฟัง ว่าแท้จริงแล้วตัวตนของเขานนั้นก็คือมังกรเพลิงในตำนานโซเบล
เมื่อแรนแซคได้รู้ว่าเดลวาลินคือมังกรเพลิงในตำนานโซเบลแฝงตัวมาในฐานะนักผจญภัย อีกฝ่ายถึงกับตกใจกลางอากาศแต่ก็ไม่เสียอาการให้รูปขบวนเพี้ยนแต่อย่างใด แต่ในใจของเขานั้นก็ยังคงช็อคอยู่ “(ถึงว่า….แค่พลังเวทย์ไม่กี่บทถึงกับสามารถเอาชนะข้าแรนแซคผู้นี้ลงได้ง่ายๆเพียงปลายก้อย…นี่คงจะเป็นสาเหตุเดียวกันกับที่ไกอัส…ถึงแสดงความยำเกรงในตัวท่านผู้นี้ถึงเพียงนี้สินะ)” แรนแซคนึกในใจและเริ่มประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างได้ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า
“น…นะ…นี่เจ้าคือ….มังกรเพลิงในตำนาน..จริงๆ…อย่างงั้นหรอ… 0 0 ? ”
“ใช่ ฉันนี่แหละมังกรเพลิงในตำนานโซเบล”
เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับยืนยันหนักแน่นกลับมาแบบนี้ มันก็ทำให้แรนแซคถึงกับมีท่าทีตัวเกรงและลนลานเล็กน้อย เพราะความยำเกรงจากตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับมังกรเพลิงจอมทำลายล้างอารยธรรมที่ได้ยินมาตั้งแต่จำความได้ จนกิริยาท่าทางที่เขาแสดงต่อเดลวาลินเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันทีทันใด
“เอิ่ม….เออ…..คือว่า….ถ้าหากข้าจะขอให้ท่าน…ไว้ชีวิตพวกข้าจะได้มั้ย…ขอรับ”
“อะไรกัน ฉันไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตพวกนายสักหน่อย อีกอย่างไม่ต้องเกรงขนาดนี้ก็ได้”
แรนแซคถึงกับเหงื่อตกและวางตัวไม่ถูก เพราะในเวลานี้มังกรเพลิงในตำนานกำลังนั่งอยู่บนหลังของเขา และเขาก็เดาว่าผู้หญิงที่มาด้วยก็น่าจะเป็นผู้คุมกฏมังกรไม่ผิดแน่ในความคิดของเขา เพราะมังกรธาตุในตำนานมักจะมีผู้คุมกฏคอยติดตามเฝ้าดูอยู่บางครั้งบางเวลา
ไกอัสที่บินตามรั้งท้ายสุดของขบวนเพื่อดูแลความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้มังกรขาวแตกกลุ่ม เขาก็มีอาการเหม่อลอยย้ำคิดย้ำทำจนเกือบจะบินไปชนกับมังกรขาวตัวหนึ่งที่บินอยู่ด้านหน้า จึงทำให้ลอร่าต้องช่วยเรียกเตือนสติ “คุณไกอัสคะ! ระวังข้างหน้าค่ะ!!!”
ฟิ้ววว!!!
ไกอัสที่ได้ยินเสียงตะโกนจากลอร่าทำให้เขาหลุดจากอาการเหม่อไปชั่วขณะก่อนที่สายตาของเขาจะกลบัมาโฟกัสที่โกลความเป็นจริงและเห็นว่าตัวเขานั้นกำลังจะบินพุ่งชนท้ายมังกรขาวตัวนั้นเข้าอย่างเต็มแรงซึ่งนั่นอาจจะทำให้กลุ่มของลอร่าที่นั่งอยู่ข้างหลังได้รับอันตรายได้ เขาจึงกางปีกออกจนสุดทั้งสองข้างและโน้มตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อไม่ให้กลุ้มของลอร่าตกจากหลังเสียก่อน จนในที่สุดไกอัสก็สามารถชะลอความเร็วได้ทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน
“นี่นายไหวรึเปล่าเนี่ย โฟกัสเส้นทางที่ข้างหน้าหน่อยสิ!”
อลันบีบ่นขึ้นมา แต่ไกอัสก็ไม่ได้ตอบอะไรเพราะกำลังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คุณไกอัสคะ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ”
เสียงปลอบโยนของลอร่าที่อ่อนโยนทำให้จิตใจของไกอัสกลับมาสงบอีกครั้ง และช่วยทำให้เขาบรรเทาความกังวลลงได้บ้าง
“อืม ข้าไม่เป็นไร…ขอโทดด้วยที่เมื่อครู่ข้าเกือบทำให้พวกเจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย”
“เมื่อกี้เหมือนนายจะชนกลางลำใส่มังกรขาวที่อยู่ข้างหน้าจังๆเลยนะ ดีที่ลอร่าช่วยเรียกสตินายเอาไว้ได้ทัน”
เซอร์ริวพูดพร้อมกับถอนหายใจที่เขาเพิ่งผ่านวินาทีความเป็นความตายมาหมาดๆ
กลุ่มมังกรขาวคณะทูตของเดลวาลินค่อยๆบินห่างออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไกอัสกำลังบินหยุดอยู่กับที่เพื่อคุยกับกลุ่มของลอร่า เนื่องจากตอนนี้เขาสภาพจิตใจยังไม่คงที่เท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะได้รับโอกาสจากเดลวาลิน แต่เขาก็ไม่มั่นใจในตัวเองว่าเขาจะรักษาโอกาสที่เดลวาลินมอบให้ตนได้อีกครั้งหรือไม่ แต่ลอร่า เซอร์ริว และอลันบีก็ช่วยกันปลอบไม่ให้ไกอัสคิดมาก ทำให้ไกอัสพยายามทำใจให้ว่างและเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้ใจมันฟุ้งซ่านจนเสียงานเสียการ
“พวกคุณเดลวาลินนำหน้าพวกเราไปไกลแล้ว พวกเราก็รีบตามไปเถอะค่ะ”
“เข้าใจล่ะ”
หลังจากนั้นไกอัสก็บินตามกลุ่มขบวนมังกรขาวไปติดๆ โดยมีซิฟน็อคพร้อมกับมังกรดำอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้เกิดการเจรจาสันติภาพคอยสะกดรอยตามมาติดๆ เพื่อที่พวกเขานั้นจะหาที่อยู่ของหัวหน้าเผ่ามังกรขาวแล้วสังหารทิ้งไปพร้อมกับกลุ่มของเดลวาลินไปด้วยในตัว เพื่อไม่ให้เกิดข้อสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างทั้งสองเผ่าขึ้น
.
.
.
.
ณ หมู่บ้านมังกรขาวแห่งหนึ่งนามว่า ่สโนว์บรอน ดรากูน' ที่ตั้งอยู่บนภูเขาหิมะที่สูงตระหง่านในอาณาจักรเซซิลล่าร์ เหล่ามังกรขาวนับร้อยชีวิตอาศัยกันอยู่ที่นี่เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากศัตรูที่จะเข้ามารุกราน โดยหมู่บ้านแห่งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆได้แก่ ส่วนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเขตเทือกเขาหิมะที่มีพายุหิมะหมุนรอบเทือกเขาตลอดเวลา มีอุณหภูมิติดลบที่สามารถแช่แข็งสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่จะเดินทางขึ้นไปบนยอดเทือกเขาภายในไม่กี่วินาที กับส่วนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเทือกเขาที่อากาศค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปีและมีแต่ต้นไม้เปลือกแข็งสูง 30 เมตร ขึ้นเป็นป่ายักษ์ขนาดใหญ่เต็มไปหมด
มังกรขาวส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่พื้นที่ส่วนล่างบริเวณเนินเขาเนื่องจากพื้นที่ส่วนบนยอดเทือกเขาพายุหิมะจะเป็นที่อยู่ของบรรดามังกรขาวอาวุโสรวมถึงมังกรขาวที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารดูแลอาณานิคมเผ่าทั้งหมด ซึ่งเผ่ามังกรขาวมีการแบ่งกลุ่มออกไปตั้งรกรากเป็นอาณานิคมต่างๆเป็นจำนวนมาก ไม่เหมือนกับเผ่ามังกรดำที่เน้นการกระจุกอยู่เป็นหมู่บ้านแห่งเดียว อีกทั้งเผ่ามังกรขาวยังมีการติดต่อค้าขายกับเผ่ามนุษย์และเผ่าอื่นๆโดยอาศัยการแฝงตัวเป็นพ่อค้า นักเดินทาง รวมไปถึงนักเวทย์ผู้เรืองฤทธิ์ในการเดินทางออกไปช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นๆที่กำลังประสบปัญหาโดยแลกกับองค์ความรู้ของเผ่านั้นๆมาประยุกต์ใช้ในเผ่าของตน
แต่เผ่ามังกรขาวก็ยังตกเป็นเป้าของอาณาจักรเซซิลล่าร์และกลุ่มนักล่ามังกรเหมือนกับมังกรเผ่าอื่นๆ เพราะในมุมมองของผู้คนส่วนใหญ่มักมองว่ามังกรเป็นสัตว์ที่อันตรายและน่าเกรงขามเกินกว่าจะติดต่อสมาคมระยะยาวด้วย
กลุ่มคณะทูตเดินทางของเดลวาลินได้เดินทางมาถึงนอกชายแดนเขตหมู่บ้านมังกรขาว สโนว์บรอน ดรากูน แล้ว แต่กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ปาไปหลายชั่วโมงจนเวลาตกดึกของอีกวัน แต่ก็ต้องขอบคุณที่แรนแซคนั้นอาสาเป็นคนนำทางเดลวาลินและผองเพื่อนมาจนถึงหมู่บ้านเผ่ามังกรขาวจนสำเร็จโดยไม่มีอุปสรรคใดๆมาขัดขวางระหว่างทาง
“ดูเหมือนการเดินทางจะราบรื่นกว่าที่คิดมากเลยนะ นายคิดเหมือนที่ฉันคิดมั้ย”
สเตลร่านั่งตากลมอยู่บนหลังแรนแซคอย่างสบายใจเชิบก่อนจะหันมาถามเดลวาลินที่กำลังนั่งงีบอย่างสงบ
“นั่นสินะ…ราบรื่นกว่าที่คิดไว้เยอะเลย”
“ถ้าเผ่ามังกรขาวยอมรับข้อตกลง สงครามก็จะจบและนายก็จะได้ครอบครองที่ดินที่กว้างใหญ่ไพศาลเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่ต้องการขอพักพิงจากนาย”
“ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะทำหน้าที่บทบาทผู้ปกครองได้ดีไปกว่าคนอื่นหรอก คนเก่งๆมีความสามารถกว่าแันก็มีอีกตั้งเยอะแยะ”
“แต่อย่างน้อยพลังที่นายมี นายก็ใช้มันได้อย่างรับผิดชอบไม่ใช่หรอ บางคนครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่ กลับใช้มันอย่างไร้ความรับผิดชอบจนโลกเปลี่ยนไปตลอดกาล”
เดลวาลินหันมามองหน้าสเตลร่าด้วยความสงสัยและเหมือนว่าเธอจะกำลังหมายถึงตัวเขาในอดีต แต่ไม่นานสเตลร่าก็เข้ามานั่งตบหลังเขาเบาๆเป็นเชิงหยอกขำเล่นๆ
“ฉันล้อเล่นน่า นายน่ะเป็นมังกรเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและใจดีที่สุดในโลกเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยน๊าา~~ ^ ^ ”
“(ช่างเป็นคำพูดที่ฟังดูจริงใจสุดๆ = = )”
ทั้งสองคนนั่งคุยหยอกล้อกันอยู่บนหลังแรนแซคกันอยู่สักพักก่อนที่ทั้งคู่จะเตรียมตัวเพื่อเข้าพบกับหัวหน้าเผ่ามังกรขาว เพื่อทำการติดต่อทางการทูตตามแผนการเดิมที่ตั้งใจไว้
ไกอัสที่เป็นมังกรดำศัตรูของเผ่ามังกรขาวต่างก็ถูกจ้องมองจากพวกมังกรขาวมากมายด้วยสายตาที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตร ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับกลุ่มของเซอร์ริวในอดีตที่ถูกมังกรดำจ้องมองพวกเขา แต่ตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้นอกจากคอยยืนทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้กับเดลวาลินและคนอื่นๆในกลุ่มนักผจญภัย
การกลับมาของแรนแซครวมถึงบรรดามังกรขาวนักรบตัวอื่นๆในครั้งนี้ ทำให้พวกมังกรขาวญาติพี่น้อง คนในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างก็เข้าไปสวมกอดมังกรขาวนักรบเหล่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาด้วยความดีใจ ส่วนทางฝั่งของแรนแซคก็อาสาจะเป็นคนกลางนำข่าวการขอเจรจาไปบอกหัวหน้าเผ่ามังกรขาวให้ และให้กลุ่มของเดลวาลินรออยู่ที่ตำพำนักชั่วคราวไปก่อน
ณ ตึกพำหนักมังกรขาว
เดลวาลิน สเตลร่า พร้อมทั้งคนอื่นๆได้มาพักกันที่ตึกพำนักมังกรขาวที่ถูกสร้างขึ้นจากหินสีขาวโพลนเหมือนหิมะ มีโครงสร้างเป็นกระท่อมขนาดใหญ่กว้างๆ และประดับประดาไปด้วยเพชรพลอยของมีค่ามากมาย ส่วนไกอัสทำหน้าที่ยืนเฝ้าเป็นบอดี้การ์ดอยู่หน้าประตูทางเข้าคอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยให้กับกลุ่มของเดลวาลิน
การนั่งรออยู่เฉยๆนั้นเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับเซอร์ริว เขาจึงชักชวนทุกคนลองเสนอกิจกรรมเล่นแก้เบื่อเพราะอากาศของที่นี่มันก็ค่อนข้างเย็นหากอยู่เฉยๆอาจหนาวตายก่อนจะทำภารกิจสำเร็จเป็นแน่ และด้วยความที่เดลวาลินนั้นเป็นมังกรเพลิงในตำนาน เขาย่อมมีพลังเวทย์ที่สามารถทำให้ทุกคนในกลุ่มหายจากอากาศหนาวได้
แต่ยังไม่ทันที่เดลวาลินจะได้ทำอะไร ไกอัสที่เห็นโอกาสเหมาะในการทำคุณประโยชน์ให้กับทุกคนในกลุ่มเชาก็นีลพุ่งเข้ามาเสนอตัวในการช่วยทำให้ทุกคนคลายความหนาวด้วยตนเอง เพื่อให้เดลวาลินเห็นคุณงามความดีในตัวเขาบ้าง
“ถ้าไม่รังเกียจให้ข้าเป็นคนช่วยทำให้พวกเขาคลายหนาวเถอะท่านเดลวาลิน”
ไกอัสคุกเข่าอยู่ข้างๆเดลวาลิน ก่อนที่เดลวาลินจะตอบกลับมาเชิงไม่มั่นใจในความสามารถของเขา
“นายทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ ? ”
ไกอัสพยักหน้าอย่างมั่นใจ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วร่ายเวทย์บางอย่างด้วยมือเปล่า จนปรากฏเป็นตราสัญลักษณ์มังกรดำที่มีเปลวเพลิงลุกโชดช่วงกลางอากาศ
ตราประทับเหล่านั้นพุ่งเข้าไปประทับที่หลังมือของสมาชิกทุกคนในกลุ่มนักผจญภัย ทำให้ เซอร์ริว อลันบี ลอร่า และโมนา หายจากอาการหนาวในทันที
“โห ไม่นึกเลยว่ามังกรดำจะทำแบบนี้ได้ด้วย นึกว่าจะมีแต่เวทย์ทำลายล้างที่มีพลังโจมตีสูงๆอย่างเดียวสะอีก”
“พลังเวทย์ที่ข้าใช้คือ ตราประทับมังกรดำ เป็นเวทย์พื้นฐานที่ใช้กันในยามกิจวัตรปกติ สามารถให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เป็นเครื่องหมายติดตาม หรือเป็นสิ่งระบุตัวตนทั้งสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุที่มังกรดำตนนั้นสลักเอาไว้ได้ หรือเสริมพลังโจมตีให้กับมังกรดำที่อยู่ในร่างมนุษย์ เป็นต้น”
“แสดงว่าเป็นเวทย์ที่ใช้งานได้หลากหลายสินะคะ”
ลอร่าถามก่อนที่ไกอัสจะพยักหน้าตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะที่สเตลร่ากับเดลวาลินก็นั่งมองพร้อมกับยิ้มมุมปาก เพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ของไกอัสกับกลุ่มนักผจญภัยเซอร์ริวค่อยๆขยับขึ้นมาในทางที่ดีบ้างแล้ว หลังจากที่ดูถูกดูแคลนกันมาตลอดตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
“ดูเหมือนพวกนายจะสนิทกันเร็วกว่าที่ฉันคิดนะ ว่าแต่ไปญาติดีกันตั้งแต่ตอนไหนงั้นหรอ”
“ถ้าให้เล่าล่ะก็ น่าจะเป็นตอนที่พวกเราต่อสู้ในศึกมังกรขาวกับมังกรดำในตอนนั้นล่ะมั้ง”
อลันบีตอบพร้อมกับทำท่านึกอยู่ในหัว
“ตอนที่ไกอัสและพวกเราต้องไปช่วยกองทัพมังกรดำยันศึกกับกองทัพมังกรขาวนั่นไง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนายกำลังต่อสู้กับมังกรขาวที่ชื่อแรนแซคอยู่เลย”
เดลวาลินทำหน้าเหมือนจะนึกขึ้นได้ ก่อนที่ไกอัสจะเป็นคนเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้เดลวาลินฟังคร่าวๆ
ในตอนนั้นกลุ่มของเซอร์ริวแยกย้ายกันไปช่วยเหลือมังกรดำที่กำลังได้รับบาดเจ็บและกำลังจะเสียท่าให้กับพวกมังกรขาว เซอร์ริวและอลันบีได้เข้าไปช่วยชีวิตมังกรดำกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะถูกพวกมังกรขาวสังหาร ด้วยการโจมตีด้วยพลังเวทย์มนต์จากอาวุธของทั้งสองคน แต่อลันบีได้ส่งสัตว์อสูรหมียักษ์ดาราจันทร์ทราโจมตีไปยังกลุ่มมังกรขาวด้วยพลังเวทย์คลื่นระเบิดดวงดาวที่รุนแรง ทำให้พวกมังกรขาวเสียหลักจนชะงักไป ก่อนที่เธอจึงวิ่งกระโดดลอยขึ้นฟ้ากระหน่ำรัวลูกเตะเพลิงไปที่ปลายคางของมังกรขาวตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
อลันบีกระหน่ำถีบไปที่ปลายคางพร้อมกับเท้าเพลิงที่ลุกโชดช่วงอย่างรุนแรงก่อนจะส่งท้ายด้วย ลูกถีบเพลิงสะท้านฟ้า เตะเสยปลายคางขึ้นฟ้าทำเอามังกรขาวตัวนั้นหน้าหงายไปเล็กน้อย แต่การโจมตีของมนุษย์ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับมังกรระดับสูงมากนักเท่าไหร่ เมื่ออลันบีเห็นว่าการโจมตีของเธอนั้นใช้ไม่ได้ผลและมังกรขาวกลุ่มนั้นก็กำลังจะโจมตีสวนกลับมา เธอจึงรีบถอยกลับไปหาหมียักษ์ดาราจันทร์ทราก่อนจะให้มันสร้างกำแพงอวกาศขึ้นมาป้องกันลมหายใจมังกรขาวที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมกัน 3 ลูก
ตู้มมมม!!!!!
อลันบีและหมียักษ์ดาราจันทร์ทราพยายามต้านทานการโจมตีของพวกมังกรขาว ทำเอากลุ่มมังกรดำที่เห็นเหตุการณ์รวมถึงไกอัสรู้สึกตะลึงที่มนุษย์อย่างอลันบียอมสละตัวเองปกป้องพวกมังกรดำ แต่ในเวลาต่อมาเซอร์ริวก็ควบกริฟฟอนเข้ามาก่อนจะให้กริฟฟอนพ่นลูกบอลเพลิงขนาดใหญ่โจมตีไปที่ส่วนหัวของพวกมังกรขาวกลุ่มนั้นเพื่อเบนความสนใจ
ตู้มมม!!!
เหล่ามังกรขาวที่ถูกขัดจังหวะก็หันไปโจมตีเซอร์ริวที่ควบกริฟฟอนเพลิงบินอยู่บนฟ้าด้วยการพ่นคลื่นไอเย็นเยือกแข็งดุจพายุหิมะโจมตีใส่เขา เพื่อหวังจะสอยเขาให้ร่วงไปพร้อมกับสัตว์อสูร แต่ด้วยความบ้าบิ่นของเซอร์ริว มันก็ทำให้เขาสามารถควบกริฟฟอนเพลิงหลบหลีกคลื่นพายุไอเย็นของพวกมังกรขาวไปได้อย่างหวาดเสียว เพราะถ้าหากเขาพลาดเมื่อไหร่นั่นหมายถึงจุดจบของเขาในทันที จนสุดท้ายเซอร์ริวก็ร่ายเวทย์บินกระโดดลงจากหลังกริิฟฟอน พร้อมกับร่ายเวทย์เคลือบพลังเวทย์ดาบสายฟ้าให้กับดาบของเขา ก่อนจะพุ่งดิ่งตรงไปยังมังกรขาวตัวหนึ่งจนเข้าได้ระยะเขาก็ใช้ดาบเคลือบเวทย์สายฟ้าฟันไปที่เบ้าตาของมังกรขาวตัวนั้นจนเกิดระเบิดสายฟ้าขึ้นอย่างรุนแรง
เปรี้ยงงง!!!!
โฮร่กกกก!!!!!
มังกรขาวผู้โชคร้ายตัวนั้นแผดเสียงคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับอาการแสบตา แม้การโจมตีของเซอร์ริวจะสร้างความเสียหายให้มังกรขาวอยู่ได้บ้าง แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้มันบาดเจ็บสาหัส ไกอัสที่เห็นว่าลำพังทั้งสองคนคงรับมือพวกมังกรขาวที่เป็นมังกรระดับสูงพวกนี้ไม่ไหว เขาจึงรีบเข้าไปช่วยสมทบอีกแรงด้วยการบินลงมาพุ่งชนใส่พวกมังกรขาวที่ยืนเกาะกลุ่มกันและมัวแต่สนใจเซอร์ริวกับอลันบี จนพวกมันล้มครืนไม่เป็นท่าจากนั้นไกอัสก็ขึ้นค่อมมังกรขาวตัวหนึ่ง ใช้มือข้างหนึ่งกดมังกรขาวตัวที่สองเอาไว้และใช้หางฟาดมังกรขาวอีกตัวที่นอนอยู่ด้านหลังจนมันล้มไปกองกับพื้นไม่เป็นท่า
มังกรขาวทั้งสองพยายามใช้กรงเล็บข่วนไกอัสเป็นการตอบโต้และพยายามจะถีบตัวเขาออกไป แต่ทว่าไกอัสก็ใช้ปากของเขากัดไปที่คอหอยของมังกรขาวตัวแรกจนจมเขี้ยว จนทำให้เลือดสีแดงสดทะลักออกมาสาดเต็มพื้นก่อนที่มังกรขาวตัวนั้นจะนิ่งไป ต่อมามังกรขาวตัวที่สองก็พยายามพ่นไฟสีขาวโจมตีใส่ไกอัสซึ่งมันก็สร้างความเจ็บปวดให้เขากับในระดับหนึ่ง แต่ไกอัสก็ใช้ปากกัดไปที่ต้นคอของมังกรขาวตัวนั้นก่อนจะสบัดมันให้ไปอยู่อีกทางอย่างแรง
โคร้มมม!!!
ร่างของมังกรขาวตัวที่สองลอยละลิ่วผ่านหัวเซอร์ริวและอลันบีไปอย่างหวาดเสียว ทั้งสองมองเห็นภาพนี้ผ่านไปอย่างช้าๆก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นความเร็วปกติ หัวใจของทั้งสองเต้นแรงหลังจากผ่านวินาทีความเป็นความตายมาได้ครั้งหนึ่ง ซึ่งไกอัสเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขานั้นเกือบจะทำให้เซอร์ริวกับอลันบีได้รับอันตราย แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะเขานั้นอยู่ในสนามรบและต่อสู้เพื่อตัวเองมาตลอด จึงไม่แปลกที่เขานั้นจะเผลอพลั้งมือไม่ระวังคนรอบข้าง
“ระวังหน่อยสิเจ้าบ้าเอ้ย!!”
เซอร์ริวตะโกนบ่นให้กับไกอัส ก่อนที่ไกอัสจะตอบกลับมาว่า
“ช่วยไม่ได้ นี่มันคือสนามรบของเหล่ามังกรยังไงการต่อสู้มันต้องก็รุนแรงและหนักหน่วงเกินกว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะเข้ามาร่วมได้”
"หลังจากพูดจบไกอัสก็ถูกมังกรขาวตัวที่สามโผล่เข้ามาตะครุบที่ด้านหลังทำให้ทั้งสองเกิดการกอดรัดฟัดกันอย่างรุนแรงจนฝุ่นควันตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ทำให้เซอร์ริวกับอลันบีต้องรีบถอยออกมาให้อยู่ในระยะปลอดภัย และในระหวา่งนั้นเองลอร่าและโมนาที่ควบม้ายูนิคอร์นคอยสังเกตุการณ์อยู่รอบนอกในเขตปลอดภัย เห็นว่าไกอัสกำลังต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากในเวลานี้เขากำลังรับศึกสองด้านทั้งต้องปกป้องพวกเดียวกันและต้องรับมือกับพวกมังกรขาวที่กำลังทยอยบุกเข้ามาหวังจะจัดการเขาในศึกนี้ เนื่องจากพวกมังกรขาวหาโอกาสในการตัดกำลังฝ่ายเผ่ามังกรดำมานานแล้ว และไกอัสคือหัวหอกสำคัญที่ต้องจัดการให้ได้
“ไกอัสมันอยู่นั่นไง ไปฆ่ามัน!!”
“แย่ล่ะสิ! พวกมังกรขาวกลุ่มนั้นกำลังมุ่งหน้าไปหาคุณไกอัส พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว 0 0 ! ”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
พูดไม่ทันขาดคำ โมนาก็ร่าย ‘มหาเวทย์ซัมม่อนสายฟ้าอัญเชิญ’ เรียกคลื่นห่าฝนสายฟ้าสีเหลืองลงมาจากฟากฟ้าให้ผ่าลงมาใส่ฝูงมังกรขาวที่กำลังบินตรงเข้าไปหวังจะทำร้ายไกอัส จนพวกมันถูกคลื่นสายฟ้านับหมื่นกระหน่ำโจมตีใส่จนพวกมันถูกสอยร่วงเหมือนใบไม้ร่วง และดูเหมือนการโจมตีของโมนาจะสามารถเจาะเกล็ดแข็งสีขาวของพวกมังกรขาวจนเกิดเป็นแผลฉกรรจ์สาหัส
พลังเวทย์ของโมนานั้นสามารถสร้างความเสียหายให้กับมังกรระดับสูงได้ และเธอสามารถต่อสู้กับมังกรระดับสูงที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งได้สบายๆ แต่การที่เธอนั้นต้องคอยรับมือกับมังกรระดับสูงหลายๆตัวพร้อมกัน มันก็ยิ่งสร้างภาระอย่างหนักให้กับสภาพร่างกายและจิตใจของเธอในการควบคุมพลังเวทย์เพื่อไม่ให้สติของเธอถูกคลื่นพลังเวทย์กลืนกินจนสูญเสียตัวตนไป ทำให้ในตอนนี้โมนาต้องพักช่วงในการร่ายเวทย์เพื่อทำให้ร่างกายและสภาพจิตใจของเธอกลับมามั่นคงอีกครั้ง สังเกตุได้จากสีหน้า ท่าทางที่เหมือนคนเหนื่อยหอบ มีเหงื่อออกที่โมนากำลังแสดงให้ลอร่าเห็นในเวลานี้
“คุณโมนาไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“พลังเวทย์….มีมากเกินไป…ฉันต้องพักสักหน่อย…”
“ถ้างั้นคุณโมนารออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ จากนี้ไปฉันจะเป็นคนรับหน้าที่ต่อจากนี้เองค่ะ”
หลังจากนั้นลอร่าก็ให้โมนานั่งพักและดูการต่อสู้ของพวกตนอยู่ในจุดปลอดภัย ก่อนที่ลอร่าจะควบม้ายูนิคอร์นเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อช่วยเหลือทุกคน
แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งไมอาร์เอ๋ย โปรดรับฟังเสียงเพรียกคำวิงวอนของข้าพเจ้า สาวกผู้เชื่อมั่นและเดินตามรอยบัญญัติแห่งทองของพระแม่ไมอาร์ โปรดมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถปกป้องผู้คนและมอบพลังให้แด่พวกเขาเพื่อเผชิญหน้ากับภัยอันตรายทั้งปวงด้วยพละกำลังของพระองค์ด้วยเถิด
ลอร่าสวดมนต์จนเกิดแสงสว่างสีทองขึ้นที่ไม้คฑานักบุญของเธอ ก่อนที่แสงสว่างศักดิ์สิทธิ์จะแผ่ขยายไปครอบคลุมร่างของ เซอร์ริว และอลันบี ทำให้ร่างกายของพวกเขาเกิดพลังงานธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยทั้งฟื้นฟูพละกำลัง ร่างกาย และเสริมการโจมตีธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง
เมื่ออลันบีกับเซอร์ริวได้รับพรจากลอร่ามาช่วยเสริมพลังให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งสองคนก็ไม่รอช้ารีบบุกไปช่วยไกอัสจัดการมังกรขาวในทันที ซึ่งในเวลานี้ไกอัสกำลังล้มลุกคลุกคลานกับพวกมังกรขาวที่พยายามเข้ามารุมล้อมตัวเขาเอาไว้
ย๊ากกกก!!!!!
อลันบีกระโดดพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับใช้ท่าไม้ตาย ‘ลูกเตะวายุเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทะยานฟ้า’ ซึ่งมันก็คือท่าลูกเตะวายุเพลิงทะยานฟ้าที่มีการเสริมพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาช่วย ทำให้ลูกพายุที่เกิดจากการหมุนตัวของอลันบีมีความรุนแรงและมีขนาดใหญ่มากขึ้น 5 เท่าจากเดิม เธอซัดพายุลูกเตะเพลิงสีทองซัดใส่เหล่ามังกรขาวที่ล้อมรอบตัวไกอัสจนพวกมันถูกจัดการไปได้ส่วนหนึ่ง พร้อมกับมีหมียักษ์ดาราจันทร์ทราปล่อยคลื่นพลังเวทย์อวกาศขนาดใหญ่โจมตีใส่เหล่ามังกรขาวรอบนอกเรียงตัวอีกแรง
ส่วนเซอร์ริวนั้นเขาควบกริฟฟอนที่อัดแน่นไปด้วยพลังเวทย์ไฟเคลือบทั้งร่างบินทะยานพาดผ่านพร้อมฟาดฟันใส่เหล่ามังกรขาวด้วยดาบเพลิงคู่ที่สามารถปลดปล่อยคลื่นพลังเวทย์ใบมีดเพลิงสีทองขนาดใหญ่ได้ ทำให้พวกมังกรขาวอีกส่วนหนึ่งถูกเซอร์ริวใช้ดาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ฟาดจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง เปิดโอกาสให้ไกอัสใช้เวทย์ลมหายใจมังกรทมิฬจัดการพวกมังกรขาวที่ไม่ทันตั้งตัวจนหมดในรวดเดียว
ลอร่ามองดูภาพความโหดร้ายของสงครามรวมถึงเหล่ามังกรขาวที่ต้องตายไปในการต่อสู้ในครั้งนี้ เธอทำได้แต่สวดภาวนาส่งดวงวิญญาณของมังกรขาวเหล่านั้นให้ไปสู่สุคติ เพราะสงครามและความรุนแรงไม่เคยให้อะไรเลยในความคิดของเธอ แต่ต่อมาลอร่าก็ได้ให้ม้ายูนิคอร์นบรรดาลฝนทิพย์เสกห่าฝนมหัศจรรย์ทำการฟื้นฟูและรักษาพวกมังกรดำที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้รวมถึงช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับไกอัสอีกด้วย ก่อนที่ทุกคนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“ยะฮู้วว!! เห็นรึเปล่าว่าพวกเราสามารถจัดการมังกรระดับสูงได้ด้วย!! \^w^/ ”
“ใช่ ถึงจะเอาชนะแบบเด็ดขาดไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ได้ซัดหน้าพวกมังกรระดับสูงล่ะนะ ฮ่ะๆ ”
อลันบีพูดพร้อมกับหัวเราะให้กับตัวเองที่เธอนั้นได้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างมังกรระดับสูงได้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่นักสู้อย่างเธอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอมาก่อน
“งานนี้พวกเราต้องขอบใจเธอสองคนจริงๆนะ ถ้าไม่มีเธอสองคนพวกเราแย่แน่”
เซอร์ริวและอลันบีหันไปขอบคุณลอร่ากับโมนา ที่พวกเขายังทำงานเป็นทีมเวิร์คอยู่เหมือนเดิม แต่ไกอัสที่เพิ่งได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มของเซอร์ริวเขาก็ได้เข้ามากล่าวขอบคุณพร้อมกับมังกรดำตัวอื่นๆ
“ข้าต้องขอบใจพวกเจ้าแทนพรรคพวกของข้าจริงๆ ไม่คิดเลยว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะสามารถเล่นงานพวกมังกรขาวที่เป็นมังกรระดับสูงได้ถึงขนาดนี้”
“ทีนี้นายเห็นพลังของพวกฉันรึยังล่ะ พวกฉันน่ะไม่ได้มีดีอย่างที่พวกนายคิดหรอกนะ”
เซอร์ริวถือโอกาสนี้กระโดดเข้าไปยืนเบ่งใส่ไกอัสในทันที
“ข้าอาจจะดูแคลนพวกเจ้าไปมาก แต่หลังจากนี้ข้าอาจจะต้องมองพวกเจ้าใหม่อีกครั้ง”
.
.
.
.
ตัดกลับมาที่เวลาปัจจุบัน
เมื่อเดลวาลินได้ยินเรื่องราวจากปากของไกอัสบวกกับคำบอกเล่าของคนอื่นๆในกลุ่มของเซอร์ริว มันก็ทำให้เขาเห็นลู่ทางขึ้นมาได้ ว่าบางทีเผ่ามังกรดำที่รักในการทำลายล้างอาจจะสามารถผูกสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆได้ หากพวกเขามีเวลามากพอในการปรับตัวและทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเหมือนว่าตอนนี้ไกอัสเองก็จะยอมรับในกลุ่มของเซอร์ริวแล้วและมองว่าพวกเขาคือ เพื่อน
“ดูเหมือนนายจะยอมรับพวกเขามากขึ้นแล้วนะไกอัส”
ไกอัสที่ถูกเดลวาลินชมมาแบบนั้น มันก็ทำให้ไกอัสนั่งคุกเข่าพร้อมกับมีอาการเขินเล็กน้อยที่ถูกเจ้านายให้คำชมและหางของเขาก็ส่ายไม่หยุดบ่งบอกว่าเขานั้นกำลังพยายามเก็บอาการแต่ก็ยังรักษาหมาดเข้มเอาไว้ เพราะอยู่ในอาณาเขตของเผ่ามังกรขาว
“ท่านเดลวาลินขอรับ…ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้องท่านสักหน่อยขอรับ”
“อะไรงั้นหรอ”
“ถ้าหากท่านเดลวาลินจะได้ครอบครองแผ่นดินแล้วสร้างอาณาจักรเป็นของตนเองในวันข้างหน้าล่ะก็…ข้ามังกรดำไกอัสผู้นี้…ขอฝากตัวเป็นมังกรข้ารับใช้ผู้พิทักษ์ ผู้ซื่อสัตย์คอยอยู่ปฏิบัติรับใช้เคียงข้างท่านจะได้หรือไม่ขอรับ”
“ห๊ะ ? ”
เดลวาลินทำหน้าสงสัยเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองสเตลร่า เผื่อว่าอีกฝ่ายจะให้คำแนะนำอะไรดีๆกับเขาได้บ้าง ซึ่งดูเหมือนสเตลร่าจะเริ่มเหนื่อยที่เห็นเดลวาลินหันมาขอคำแนะนำจากเธอตลอด
“(*เฮ้อออ* ให้ตายสิ เป็นพี่เลี้ยงนี่ทำไมมันลำบากกว่าที่คิดล่ะเนี่ย = = ) ไกอัสในตอนนี้ก็เสมือนเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนายอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากจะให้รับเป็นข้ารับใช้มือขวาอย่างเป็นทางการล่ะก็ นายก็ตอบตกลงเขาไปเถอะเพราะบางทีการรับไกอัสมาเป็นลูกน้องคนสนิทก็อาจจะทำให้งานของนายมันงานขึ้นนะ”
“อย่างงั้นเองหรอ”
เดลวาลินพยักหน้ารับคำแนะนำจากสเตลร่า ก่อนจะหันกลับมาตอบไกอัส
“ถ้านายต้องการจะมาเป็นมือขวาของฉันจริงๆล่ะก็ ฉันก็ยินดีที่จะรับนายมาเป็นลูกน้องภายใต้การดูแลของฉัน แต่ตอนนี้ฉันจะยังไม่ขอตอบตกลง เพราะตอนนี้สถานะของนายกับฉันยังถือว่าเป็นผู้ผูกพันธสัญญาอยู่”
เมื่อไกอัสได้ยินเดลวาลินตอบกลับมาแบบนั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้เดลวาลินนั้นตกลงที่จะให้เขาเป็นลูกน้องแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังรักษาท่าทีอยู่แต่สำหรับเขาแล้ว เขาถือว่าเดลวาลินได้ตอบตกลงอย่างเต็มใจไปแล้วเขาจึงก้มหัวคำนับแสดงความขอบคุณเดลวาลินอย่างสุดซึ้ง
“ขอบคุณท่านเดลวาลินมากๆขอรับ ข้าไกอัสผู้นี้จะขอติดตามปรนนิบัติรับใช้ท่านเดลวาลินจนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่ขอรับ v v ”
“(เอ้า…ไหงเป็นงี้ไปได้ล่ะเนี่ย ยังไม่บอกสักหน่อยว่าจะรับมาเป็นลูกน้องนี่นา = = ? )”
หลังจากนั้นไกอัสก็ขานชื่อของเดลวาลินหลายต่อหลายครั้งเพื่อสรรเสริญเทิดทูนเขาในฐานะราชาผู้ปกครอง จ้าวชีวิตของเขาอย่างพอใจ ส่วนเดลวาลินก็ต้องยอมรับสภาพแต่อย่างน้อยเขาก็มีลูกน้องเป็นมังกรดำที่เป็นมังกรระดับสูงมาเป็นพวกในกลุ่มของเขาแล้ว
.
.
.
.
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆแรนแซคก็กลับมาพร้อมกับพาบรรดามังกรขาวอาวุโสซึ่งบรรดามังกรขาวที่แรนแซคพามาด้วยในตอนนี้นั้นคือตัวแทนจากหัวหน้าเผ่ามังกรขาวที่ส่งมาเป็นตัวแทนในการลงนามทำข้อตกลงทำสัญญาสงบศึก
“พวกเจ้าเองรึ…ทูตจากเผ่ามังกรดำที่จะมาขอเจรจาสงบศึกน่ะ ? ”
“หัวหน้าเผ่าไม่ได้มาร่วมพูดคุยในโต๊ะเจรจาด้วยตัวเองงั้นหรอ ? ”
เดลวาลินถามก่อนที่แรนแซคจะตอบกลับมาว่า
“เพื่อความปลอดภัยของท่านผู้อาวุโส พวกเราจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี”
กลุ่มของเดลวาลินไม่เข้าใจว่าแรนแซคนั้นกำลังหมายถึงอะไร แต่การเจรจาลงนามสงบศึกก็กำลังจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้
ไกอัสอาสาเป็นสื่อกลางในการประสานงานในการให้ข้อมูลและรายละเอียดข้อตกลงในการสงบศึกให้กับฝ่ายตัวแทนเผ่ามังกรขาวฟัง ซึ่งรายละเอียดก็บอกเล่าตามที่เคยประชุมเผ่าก่อนหน้านี้ และเมื่อฝ่ายตัวแทนเผ่ามังกรขาวได้ทราบรายละเอียดรวมถึงข้อตกลงจากเผ่ามังกรดำ พวกเขาทั้งหมดต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าพวกตนยินดีที่จะลงนามสงบศึกกับเผ่ามังกรดำ เพื่อจบสงครามระหว่างสองเผ่าที่กินระยะเวลามาหลายร้อยปี
แต่ในระหว่างที่ตัวแทนเผ่ามังกรขาวกำลังจะประทับตราเลือดลงบน เหรียญประทับเลือดมังกร ที่เดลวาลินได้รับมาจากเกรย์ออล ซึ่งเหรียญประทับเลือดมังกรนี้มีรอยประทับเลือดของเกรย์ออลประทับเอาไว้ และมีช่องให้ฝั่งเผ่ามังกรขาวประทับเลือกอีกช่อง และข้อตกลงจะสิ้นสุดหากเหรียญมีเลือดของมังกรทั้งสองเผ่าถูกประทับลงไปแล้ว
ตู้มมมม!!!!!!!
จู่ๆ เกิดมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากด้านนอกอย่างรุนแรง ทำให้การเจรจาหยุดชะงักกลางคัน แรนแซคที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งออกไปจากตำหนักกระท่อมเจรจา ก่อนที่คนอื่นๆจะรีบวิ่งตามออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้านนอก และเมื่อทุกคนออกมาด้านนอกพวกเขาก็พบเข้ากับฝูงมังกรดำของซิฟน็อคกำลังบุกโจมตีหมู่บ้านเผ่ามังกรขาวบริเวณเนินเขาอย่างบ้าคลั่ง
“นั่นมัน 0 0 ”
“เจ้าซิฟน็อคกับพวกมังกรดำใต้การปกครองของเขานี่นา”
เดลวาลินและไกอัสยืนมองภาพการทำลายล้างจากกลุ่มมังกรดำซิฟน็อค ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่าการกระทำของซิฟน็อคจะสร้างความไม่พอใจให้กับแรนแซครวมถึงบรรดาตัวแทนผู้อาวุโสด้วย และมีแววว่าการเจรจาด้วยสันติวิธีอาจจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
ความคิดเห็น