ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 13: หมัดนี้ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 66


    วันต่อมา… 

    ไกอัสที่เฝ้ารอการมาถึงของโซเบลไม่ไหว เขาจึงได้เดินทางมาสอบถามเหล่ามัชรูมี่ที่หมู่บ้าน ก่อนจะทราบเรื่องว่าพวกมัชรูมี่ไม่ได้ข่าวคราวใดๆจากโซเบลมานานพอสมควรแล้ว และพอลองไปถามหมู่บ้านที่ถูกหมูป่าไฟโจมตีเหล่าชาวบ้านก็ให้คำตอบมาเหมือนๆกัน ทำให้ไกอัสไม่รู้จะออกตามหาโซเบลได้ที่ไหน เพราะเวลานี้สถานการณ์สงครามเผ่าของเขาเริ่มย่ำแย่จนใกล้ถึงวิกฤตแล้ว 

    ไกอัส: (แย่ชะมัด…ป่านนี้ท่านโซเบลเขาหายไปไหนของเขากันนะ เมื่อไหร่ท่านโซเบลจะไปที่เผ่าตามคำสัญญาที่ให้ไว้สักที)

    ไกอัสบินออกตามหาโซเบลไปเรื่อยๆ พร้อมกับใช้สัมผัสมังกรพยายามติดต่อสื่อสารกับโซเบลตลอดเวลา ก่อนที่เขาจะจับสัญญานตอบกลับจากโซเบลซึ่งอยู่ห่างจากตัวเขาไปประมาณ 300 กิโลเมตร “(สัญญานแบบนี้มัน!…ต้องไม่ผิดแน่ ท่านโซเบลต้องอยู่ที่นั่นเป็นแน่ 0 0 ! )” ไม่รอช้าไกอัสก็ร่ายเวทย์ ‘มังกรทะยานฟ้า’ เร่งสปีดเพิ่มความเร็วสูงสุดให้กับตนเองในการบิน ทำให้เขาสามารถบินด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นเวลา 5 นาที เพื่อไปหาโซเบล

     

    หลายชั่วโมงต่อมา เวลาบ่ายแก่ๆ…

    โช้งงง!!! ฉัวะ!!

    ณ ทุ่งหญ้าแคลิดทางตอนใต้ของอาณาจักรเซซิลล่าร์ กลุ่มของเดลวาลินกำลังตกอยู่ภายในวงล้อมของฝูงสไลม์มากมายที่บุกเข้ามาโจมตี และในขณะนี้อลันบีกับเซอรริวก็กำลังต่อสู้กับพวกสไลม์ที่ดาหน้ากันเข้ามา ส่วนลอร่าและโมนาก็ค่อยร่ายเวทย์กับพลังศักดิ์ิสิทธิ์ซัพพอร์ตทั้งสองคน ทำให้ทั้งสองได้บัฟโจมตีรุนแรงขึ้น ทนทานต่อการโจมตีมากขึ้น และมีสัตว์อสูรภูติวิหคเพลิงขนาดเล็กจากโมนาคอยช่วยเหลืออีกแรง 

    จนกระทั่งพวกสไลม์ที่เหลือที่เห็นว่าเพื่อนๆของพวกมันถูกจัดการและกลุ่มของเซอร์ริวนั้นแข็งแกร่งมากแม้จะเป็นนักผจญภัยหน้าใหม่ พวกมันจึงรวมตัวเข้าด้วยกันพร้อมกับรวบรวมเอาเศษชิ้นส่วนพวกสไลม์ที่ตายจนเกิดเป็น ‘ไจแอนด์ สไลม์’ ที่มีความขนาดใหญ่และสูงได้ถึง 7 เมตร

    เซอร์ริว: *เหว๋อออ!!!* พวกสไลม์มันรวมร่างเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว 0 0 ?!

    อลันบี: ตัวใหญ่แบบนี้ พวกเรารับมือลำบากแล้วล่ะ

    ลอร่า อลันบี และเซอร์ริว หันไปมองโมนาที่เป็นเหมือนความหวังของพวกเขาในตอนนี้ ก่อนจะพบว่าโมนาในตอนนี้ทำท่าเหมือนกับบอกทั้งสามคนอ้อมๆว่า พลังเวทย์กลางของเธอหมดแล้วและต้องรอเวลาฟื้นฟูกลับมาสักพักถึงจะจัดการสไลม์ยักษ์ตัวนี้แบบรวดเดียวจบได้ 

    โมนา: ขอโทดด้วยนะทุกคน… 

    ลอร่า: แล้วกัน (สงสัยเป็นเพราะคุณโมนาใช้เวทย์อัญเชิญวิหคเพลิงออกมาช่วยพวกเราต่อสู้เมื่อครู่แน่ๆ เลยทำให้พลังเวทย์กลางของคุณโมนาหมด)

    บุ๋มมมมมม!!!!! ตู้มมม!!!!

    ไม่ทันไร ไจแอนด์ สไลม์ ก็เปิดฉากกระโดดทับใส่กลุ่มของเซอร์ริวในทันที ทำให้ทั้ง 3 คนต้องรีบกระโดดหลบไปคนละทาง แรงกระแทกจากการร่วงหล่นของร่างสไลม์ขนาดใหญ่ทำให้เกิดคลื่นน้ำที่รุนแรงซัดกระจายออกไปรอบข้าง ทำให้อลันบี โมนา และเซอร์ริวถูกแรงกระแทกจากคลื่นน้ำพัดไปคนละทาง ส่วนลอร่านั้นก็กำลังจะโดนคลื่นน้ำซัดไปอีกคนแต่ทว่า…

    ฟรู้มมมม!!!

    ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง ก็บังเกิดคลื่นใบมีดเปลวเพลิงความร้อนสูงพุ่งผ่านศีษระของลอร่าไป ก่อนที่คลื่นใบมีดเพลิงนั้นจะเข้าไปปะทะกับคลื่นน้ำดังกล่าวจนมันระเบิดออกเป็นสะเก็ตน้ำจึงทำให้ลอร่าปลอดภัย โดยคลื่นพลังเวทย์นั้นก็มาจากเดลวาลินที่ใช้ดาบมังกรเพลิงสร้างคลื่นใบมีดเพลิงสกัดคลื่นน้ำนั้นเอาไว้เพื่อปกป้องลอร่า

    เดลวาลิน: ไม่เป็นไรใช่มั้ย 

    เดลวาลินกระโดดมาอยู่ตรงหน้าลอร่า ก่อนจะหันหลังมาส่งมือให้เธอราวกับอัศวินม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิง

    ลอร่า: ค่ะ ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้นะคะ ^ ^  

     เดลวาลินยิ้มพยักหน้าให้ลอร่า ก่อนจะบอกให้เธอถอยออกไปก่อน เพราะหลังจากนี้เขาจะเป็นคนจัดการสไลม์ตัวนั้นเอง 

    เจ้าสไลม์ยักษ์เห็นเดลวาลิน มันก็ไม่รอช้ารีบกระโดดทุ่มตัวใส่เขาในทันที หวังจะใช้ร่างกายที่ประกอบไปด้วยน้ำขังเขาเอาไว้ภายในร่างกายเพื่อให้เดลวาลินขาดอากาศหายใจจนจมน้ำตาย ซึ่งเดลวาลินที่รู้ดีว่าตัวเขานั้นเสียเปรียบเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูที่เป็นธาตุน้ำหรือใช้พลังที่เกี่ยวกับน้ำและจะไม่ยอมพลาดเหมือนที่ผ่านมาอีก 

    ในจังหวะที่เจ้าสไลม์ยักษ์กำลังจะตกมาถึงตัวเขา เดลวาลินก็ได้กลิ้งหลบไปหาทางและพยายามวิ่งล่อเจ้าสไลม์ยักษ์ไปให้ไกลจากกลุ่มของเซอร์ริวให้มากที่สุด ซึ่งในระหว่างที่เขากำลังวิ่งหนีอยู่นั้นเจ้าสไลม์ยักษ์ก็ได้ยิงคลื่นน้ำแรงสูงไล่กวดเขาเป็นช่วงๆ ทำให้เขาต้องวิ่งหลบที สไลด์ทีเพื่อไม่ให้ตัวเองสัมผัสกับคลื่นน้ำพวกนั้นเพราะอาจจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บและอ่อนแอลงได้ 

    จนเมื่อเขาวิ่งมาได้สักพักและเห็นว่าระยะห่างพอสมควรแล้ว เขาก็หันกลับไปตอบโต้ด้วยการกระโดดกลิ้งหันหลังกลับไปฟันดาบเพื่อปล่อยคลื่นพลังเวทย์ใบมีดเพลิงความร้อนสูงใส่สไลม์ยักษ์ คลื่นใบมีดเพลิงนั้นพุ่งผ่านร่างของเจ้าสไลม์ก่อนจะเกิดการระเบิดระเหยอย่างรุนแรงเมื่อไฟกับน้ำเข้าปะทะกันอย่างฉับพลัน 

    ตู้มมมม!! ซ่าาาาส์!!

    เจ้าสไลม์ยักษ์ที่โดนคลื่นพลังเวทย์จากดาบมังกรเพลิงของเดลวาลินเข้าไป ถึงกับเสียอาการเปิดจังหวะให้เดลวาลินใช้โอกาสนี้ร่ายเวทย์ ‘พลังจิตมังกรเพลิง’ (ไซคิก เฟลม ดราก้อน) ทำการควบคุมดาบมังกรเพลิงของเขาให้สามารถลอยเข้าไปโจมตีเป้าหมายได้อย่างอิสระ และเขาก็ชาร์จพลังเวทย์เข้าไปในดาบทำให้ดาบเกิดประกายไฟความร้อนสูงเท่าดวงอาทิตย์ ก่อนจะส่งดาบพุ่งเข้าไปในตัวของสไลม์ยักษ์ 

    จุ๊บบบ….

    บุ๋มๆๆๆ!!!!

    ทันทีที่ดาบพุ่งทะลุเข้าไปในตัวของสไลม์ยักษ์ ร่างกายของเจ้าสไลม์ก็เริ่มมีปฏิกิริยากับพลังงานความร้อนที่อยู่ในร่างกายของมัน ตัวของมันเริ่มเดือดและมีฟองเดือดปุดๆทั่วร่างกายก่อนที่ร่างกายของมันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง จนเมื่อเจ้าสไลม์ยักษ์เริ่มถึงจุดที่มันทนไม่ไหวมันจึงทำการแยกร่างพวกสไลม์ทั้งหมดออกมาเพื่อหนีความร้อนก่อนที่ร่างกายของพวกมันทั้งหมดจะระเหย

    และเมื่อพวกสไลม์กลับมาแตกตัวเป็นสไลม์ตัวเล็กตัวน้อย เดลวาลินก็เรียกดาบมังกรเพลิงของเขากลับมาก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนฟ้าในระดับความสูง 5 เมตร เพื่อใช้เวทย์ไม้ตาย ‘คมดาบมังกรเพลิง’ (ฺBlade of Dragon Flame) ฟาดดาบเพลิงขนาดใหญ่โจมตีใส่พวกสไลม์ตัวเล็กๆที่กองอยู่บนพื้นหญ้าจนราบในคราวเดียว

    ฟรู้มมมมม!!!

    หลังจากที่เดลวาลินจัดการพวกสไลม์น้ำเจ้าปัญหาไปได้ ทุกคนก็เข้ามาแสดงคำชื่นชมไม่ว่าจะเป็นเซอร์ริวหรือแม้แต่ลอร่าเองก็ตาม แต่ดูเหมือนอลันบีจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่เดลวาลินนั้นเข้ามาช่วยพวกเขาช้า ทั้งๆที่ได้ตำแหน่งเป็นสมาชิกแนวหน้าของกลุ่มเหมือนเธอแท้ๆ 

    อลันบี: นายน่าจะมาให้เร็วกว่านี้สิ ทำไมถึงปล่อยให้พวกเรารอตั้งนาน

    เดลวาลิน: โทดด้วยนะ แต่ไว้คราวหน้าฉันจะมาให้เร็วกว่านี้

    อลันบี: หน้าที่ของทีมและการดูแลช่วยเหลือคนอื่นๆในทีม คือสิ่งสำคัญของการทำการเป็นทีมนะ นายอย่าลืมข้อนี้สิ

    ดูเหมือนอลันบีจะยังไม่หายโกรธ จนลอร่าต้องเข้ามาหย่าศึกเอาไว้

    ลอร่า: เอาน่าๆ คุณอลันบีก็ใจเย็นๆก่อนนะคะ ถึงคุณเดลวาลินจะมาช้าแต่อย่างน้อยเขาก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้และจัดการสไลม์ยักษ์ได้นะคะ ^ ^" 

    จากการที่ลอร่าเข้ามาช่วยคุยแก้ต่างให้มันก็ทำให้อลันบียอมใจอ่อน แต่เธอก็หวังว่าครั้งต่อไปเดลวาลินจะปรับตัวให้ดีขึ้นกว่านี้ เพราะตอนนี้เขาจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของทีมให้มากขึ้นแล้ว 

    อลันบี: หวังว่านายจะปรับปรุงตัวในครั้งต่อๆไปนะ 

    แล้วอลันบีก็เดินนำหน้าไปด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด ทำเอาราศีความเป็นผู้นำกลุ่มของอลันบีกลบราศีของเซอร์ริวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มไปเลย 

    เซอร์ริว: ฉันไม่เคยเห็นอลันบีโกรธเท่านี้มาก่อนเลยนะ 0 0 

    โมนา: อลันบีเขาจริงจังแทบตลอดเวลานั่นแหละ…โดยเฉพาะ…การให้ความสำคัญของกลุ่ม….

    ลอร่า: อย่าถือสาคุณอลันบีเลยนะคะ ทุกอย่างที่คุณอลันบีบอกเขาก็ทำเพื่อพวกเราทุกคนรวมถึงตัวคุณด้วย

    เดลวาลินพยักหน้าพร้อมกับความรู้สึกผิดนิดๆในใจและเขาคิดว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อทำให้อลันบีหายโกรธ เขาจึงตัดสินใจเดินตามอลันบีเพื่อไปง้อ 

    ลอร่า: คุณเดลวาลิน จะไปไหนน่ะ 0 0 ?

    .

    .

    .

    .

    อลันบีเดินเข้าไปในป่าพร้อมกับเตะหินตามรายทางเพราะความหงุดหงิด อีกทั้งเธอก็พร่ำบ่นเรื่องต่างๆนาๆโดยเฉพาะเวลาที่เธออยู่ตามลำพังแบบนี้ 

    อลันบี: ให้ตายสิ ทำไมเราต้องมาหงุดหงิดอะไรกับผู้ชายแบบนั้นด้วยนะ เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องใส่ใจเลยนี่นา 

    อลันบีพร่ำบ่นไปเรื่อยแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่น ก่อนที่เธอจะใช้หมัดของเธอต่อยไปที่ต้นไม้จนเกิดรอยบุบเพื่อระบายอารมณ์ จนกระทั่งเดลวาลินตามมาทันและเห็นเธอกำลังชกต้นไม้อยู่

    เดลวาลิน: อลันบี! 

    อลันบีหันไปมองเดลวาลินที่วิ่งตามหลังเธอมาติดๆก่อนจะเหนื่อยหอบอยู่พักหนึ่ง

    อลันบี: ตามฉันมาทำไม 

    เดลวาลิน: เออ…คือว่า…ฉันอยากจะมาขอโทดเธอที่ทำให้เธอโกรธน่ะ 

    อลันบี: มาขอโทดฉันเรื่องอะไร

    เดลวาลิน: ก็เรื่องที่ฉันทำตัวเป็นตัวถ่วงของทีมน่ะสิ เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมแท้ๆแต่ก็ปล่อยให้คนอื่นในทีมต้องตกอยู่ในอันตราย ฉันนี่มันแย่จริงๆ

    อลันบี: หึ ถ้ารู้ตัวแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ ถ้าเป็นคนแข็งแกร่งแต่ไม่สามารถปกป้องใครได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เห็นแก่ตัวเอาตัวรอดอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ  

    เดลวาลิน: ฉันรู้แล้วน่า แต่ตอนนี้เธอหายโกรธฉันรึยัง

    อลันบียืนกอดอกทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย จนกระทั่งเธอคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

    อลันบี: ถ้านายอยากจะให้ฉันหายโกรธ นายต้องทำตามคำขอบางอย่างจากฉันก่อน 

    เดลวาลิน: อะไรคำขอที่ว่า ? 

    อลันบียิ้มมุมปากเหมือนคิดเรื่องสนุกๆในหัวพร้อมกับจ้องมองมาที่เดลวาลิน ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับทำหน้างงและสงสัยว่าอลันบีคิดจะทำอะไร 

     

    2 ชั่วโมงต่อมา 

    แฮ่ก….แฮ่ก….แฮ่ก….

    เดลวาลินและอลันบีนอนหอบกันสองต่อสองตามลำพังในป่าใหญ่ พร้อมกับเหงื่อโทรมกายเนื่องจากทั้งสองทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันโดยที่ไม่มีใครรู้ โดยทั้งสองคนนั้นได้ชวนกันประลองยุทธมือเปล่า โดยที่ฝั่งของอลันบีเป็นฝ่ายรุก ส่วนเดลวาลินต้องคอยทำหน้ารับการโจมตีของอลันบีและปล่อยให้เธอส่งอารมณ์กับความรู้สึกที่ไม่ดีระบายมันออกมาจากหมัดของเธอ

    อลันบีใช้ท่าเตะกวาดเพื่อทำให้เดลวาลินสะดุดล้ม แต่ทว่าเดลวาลินที่มีพลังประสาทสัมผัสมังกรทำให้เขารู้ว่าอลันบีคิดจะทำอะไรต่อจากนี้ เขาจึงกระโดดหลบก่อนจะชกหมัดไปที่หน้าของอลันบีตรงๆแต่ก็ยังออมแรงเอาไว้ เพราะนี่มันเป็นแค่การฝึก 

    ปั๊กก!!!

    อลันบีรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมารับหมัดของเดลวาลินเอาไว้ แม้ว่าจะไม่ถูกโจมตีโดยตรงแต่แรงต่อยของเขาก็ทำให้อลันบีถไลถอยหลังไปหลายเมตรจนหลังชนกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง 

    อลันบี: นายนี่สุดยอดจริงๆ ไม่คิดว่านายจะมีฝีมือเรื่องพวกนี้ด้วย *แฮ่ก…แฮ่ก…*

    เดลวาลิน: ฉันก็ไม่เก่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอก ที่ทำได้เมื่อกี้มันฟลุ๊คน่ะ ^ ^" 

    อลันบี: งั้นหรอ ถ้าฉันจะขอเอาจริงขึ้นมาอีกสักหน่อยก็แล้วกัน 

    เดลวาลิน: นักสู้เขาคุยกันแบบนี้สินะ ถ้างั้นก็เข้ามาเลย!

    อลันบีดึงถุงมือเวทย์ของเธอให้สุดเพื่อความกระชับมือ พร้อมกับถกรองเท้าขึ้นเพื่อเตรียมเอาจริง เดลวาลินที่เห็นว่าอลันบีเริ่มเอาจริงขึ้นมาบ้าง เขาก็ตั้งตารอดูว่าอลันบีจะมีเทคนิคอะไรมาผลิกแผลงบ้างก่อนที่…

    ฟรู้วววว!!!

    อลันบีกระโดดตีลังกาขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะร่ายเวทย์ 'ลูกเตะเพลิงพิฆาต' พุ่งลงมาส่งลูกเตะดิ่งพสุธาใส่เดลวาลินด้วยความเร็วสูง จนเดลวาลินต้องยกแขนขึ้นมาป้องกันลูกถีบของอลันบี และเมื่อลูกถีบของอลันบีโจมตีใส่เดลวาลินที่ยืนป้องกัน เดลวาลินก็พบว่าพลังเวทย์ของอลันบีนั้นเพิ่มขึ้นจากเมื่อครู่ไปอย่างริบลับ อีกทั้งแรงปะทะที่อัดเข้ามานี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ 

    โพร้มมม!!!

    เดลวาลินถูกแรงระเบิดผลักตัวเขาให้กระเด็นถอยหลังไป ในขณะที่อลันบีนั้นตีลังกาม้วนตัวหลายตลบกลับหลัง หลังจากที่เกิดการระเบิดก่อนจะแลนด์ดิ้งลงมาที่พื้นอย่างปลอดภัยพร้อมกับรองเท้าเวทย์ที่มีควันพวยพุ่งออกมาจากความร้อน 

    อลันบี: ไม่เลวๆ ตอนนี้เครื่องของฉันชักจะติดแล้ว

    เดลวาลิน: เห็นเธอยิ้มมีความสุขแบบนั้น ฉันก็ดีใจนะ 

    อลันบี: ยังหรอก ฉันยังไม่หายโกรธนายหรอกนะ!

    อลันบียิ้มมุมปาก ซึ่งเดลวาลินนั้นก็รู้ดีว่าเธอนั้นปากไม่ตรงกับใจ แต่เขาก็พร้อมทุกเมื่อหากอลันบีต้องการแบบนี้

    ทั้งสองเปลี่ยนจากการสู้กันเล่นๆกลายเป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความจริงจังและการทุ่มเทด้วยใจ ในฐานะนักสู้แล้วอลันบีต้องการหาใครสักคนที่สามารถเอาชนะเธอได้ด้วยกำปั้น ซึ่งเดลวาลินที่ผ่านการต่อสู้และการฝึกจากสเตลร่ามาบ้าง ก็พอจะมองการเคลื่อนไหวของอลันบีได้บ้างว่าอีกฝ่ายนั้นจะออกท่าโจมตีแบบไหน 

    ตุบ!! ตุบ!! โป๊ก!! โป๊ก!!

    ย๊ากกก!!!

    อลันบีและเดลวาลินเริ่มรัวหมัดใส่กันพร้อมกับเกิดประกายเพลิงขึ้นอย่างฉับพลันจากหมัดของทั้งสอง จนเซอร์ริวกับลอร่าสองคนที่มาตามทั้งสองกลับไปรวมกลุ่มต้องหยุดมองด้วยความตกตะลึง

    เซอร์ริว: นั่นมันอะไรน่ะ 0 0 ?!

    ลอร่า: ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่งั้นหรอ 0 0 ?

    ย๊าาาาา!!!!!!

    หลังจากที่อลันบีและเดลวาลินรัวหมัดใส่กันจนหน่ำใจแล้ว ทั้งสองก็พุ่งถอยกลับไปตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้ามารัวเท้าใส่กันอีกครั้งเป็นรอบที่สองอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่ง และทรงพลัง จนเซอร์ริวกับลอร่าถึงกับยืนขาแข็งเพราะภาพที่ทั้งสองเห็นตรงหน้าคือการต่อสู้ของนักสู้ที่แท้จริง ซึ่งในโลกเอเซอร์เชี่ยนที่เต็มไปด้วยคมดาบ ลูกธนู เวทย์มนต์ หรือ สัตว์วิเศษ แบบนี้หาดูได้ยากมากที่จะเห็นคู่ต่อสู้ที่ไหนสักแห่งต่อสู้กันด้วยพลังความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ โดยไม่มีสิ่งใดมาช่วยเสริม

    จนเมื่อการต่อสู้สุดท้ายมาถึง อลันบี และเดลวาลิน ทั้งสองก็ถอยกันไปยืนอยู่คนละฝากก่อนที่อลันบีจะร่ายเวทย์บินเพื่อใช้ท่าไม้ตาย 'ลูกเตะวายุเพลิงทะยานฟ้า' กระโดดหมุนตัวขึ้นไปบนฟ้าจนเกิดลมพายุพร้อมกับเปลวเพลิงลุกโชดช่วงอย่างรุนแรง ส่วนทางฝั่งของเดลวาลินนั้นเขาก็ร่ายเวทย์ หมัดมังกรเพลิง จนเกิดตราสัญลักษณ์มังกรเพลิงขึ้นที่หมัดขวาของเขา ก่อนที่เขาจะบินขึ้นไปบนฟ้า แล้วพุ่งง้างหมัดต่อยไปที่พายุเพลิงของอลันบีเข้าเต็มแรง จนพลังเวทย์ของทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง 

    แต่ทว่าพลังเวทย์ของอลันบีนั้นถูกเดลวาลินดูดเอาไปเป็นของตนเอง ทำให้สุดท้ายพลังเวทย์ของเธอทั้งหมดก็อ่อนกำลังลงจนในที่สุดก็เกิดการระเบิดขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วผืนป่า

    ย๊าาากกกก!!!!

    ตู้มมมมม!!!!!!!!!!!!

    จากการต่อสู้ในครั้งนี้เดลวาลินเป็นฝ่ายชนะ ส่วนอลันบีนั้นกระเด็นตกลงพื้นพร้อมกับแพ้หมดรูปแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ แถมเธอยังรู้สึกดีที่เดลวาลินนั้นสามารถเอาชนะเธอได้ด้วยความสามารถของตัวเขาเอง อีกทั้งยังต่อสู้กับเธออย่างตรงไปตรงมาไร้มารยาแอบแฝง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้อลันบีรู้สึกปลาบปลื้มในตัวเขาอย่างมาก 

    เดลวาลิน: บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า

    เดลวาลินเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งมือมาให้เธอ ก่อนที่อลันบีจะจับมือของเขาเพื่อลุกขึ้น

    อลันบี: อื้ม ฉันไม่เป็นไร 

    เดลวาลิน: ดูเหมือนเธอจะยิ้มแล้วนะ คงหายโกรธฉันแล้วสิ ^ ^ 

    อลันบีไม่ตอบอะไรนอกจากหันมองไปทางอื่นพร้อมกับยิ้มมุมปาก ซึ่งในระหว่างนี้เองลอร่ากับเซอร์ริวก็เข้ามา

    ลอร่า: คุณอลันบี 

    อลันบี: อ้าว ทั้งสองคนเองหรอ 

    อลันบีกับเดลวาลินหันไปยังเซอร์ริวกับลอร่าที่วิ่งเยาะๆเข้ามาหา

    ลอร่า: คุณอลันบีต่อสู้ได้สมศักดิ์ศรีจริงๆเลยค่ะ ฉันนับถือหัวใจนักสู้ในตัวของคุณอลันบีจริงๆ 

    อลันบี: งั้นหรอ ^ ^ 

    เซอร์ริว: นายนี่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่ฉันโม้เอาไว้จริงๆนะเดลวาลิน สามารถใช้มือเปล่ารับการโจมตีที่แสนหนักหน่วงและทรงพลังของพายุเพลิงได้ แถมยังเอาชนะอลันบีได้อีก +w+ !!

    เดลวาลิน: ธรรมดาน่ะ ^ ^" 

    ลอร่า: เรากลับไปพักกันก่อนดีกว่าค่ะ ไหนๆก็เดินทางมาทั้งวันแล้ว ทั้งสองคนน่าจะเหนื่อยน่าดู 

    อลันบี: อืม เธอว่าไงฉันว่างั้น

    หลังจากนั้นทั้ง 4 คนก็เดินทางกลับไปที่ทุ่งโล่งเพื่อเตรียมตัวตั้งแคมป์พักผ่อนสำหรับวันนี้ 

     

    ตัดภาพมายังสเตลร่ากับโมนาที่อยู่ที่จุดตั้งแคมป์ 

    ในตอนนี้โมนากำลังใช้พลังเวทย์ของเธอร่วมกับ ‘มีมิคคิว’ ภูติมายาอัญเชิญที่สามารถคัดลอกความสามารถของเจ้าของได้ทุกระเบียบ กำลังช่วยกันสร้างแคมป์ที่พักและกางอาณาเขตป้องกันเพื่อระวังภัยเสริมความปลอดภัยของที่พัก ส่วนสเตลร่านั้นก็ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งอ่านลิสต์บัญชีรายการที่เธอต้องการให้เดลวาลินทำหลังจากนี้ซึ่งยาวเหยียดมากๆ

    แต่ในระหว่างนั้นเองโมนาที่มีข้อสงสัยและเก็บงำเอาไว้ในใจมาตั้งแต่ตอนที่สเตลร่าแสดงพลังต่อหน้าราชาเอ็กซ์โซส ลูซิเนียแล้ว ทว่าเธอก็ไม่กล้าเปิดคำถามขึ้นมาก่อนเนื่องจากเธอนั้นเป็นคนที่ชวนคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเป็น แต่โชคยังดีที่สเตลร่านั้นอ่านความคิดของโมนาออก เธอจึงอาสาเป็นคนชวนโมนาคุยถึงเรื่องที่โมนาสงสัยในตัวเธอ

    สเตลร่า: เหมือนเธอมีเรื่องบางอย่างค้างคาใจอยากจะถามฉันนะ 

    โมนาไม่ตอบอะไรนอกจากสะดุ้งเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สเตลร่านั้นรู้ได้ยังไงว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

    สเตลร่า: เธอสงสัยสินะว่าแท้จริงแล้วฉันเป็นใคร รวมถึงเดลวาลินด้วย

    โมนาตาลุกวาวด้วยความอยากรู้ แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ไม่แสดงมันออกมามากเกินไป ก่อนที่สเตลร่าจะลุกขึ้น เก็บลิสต์รายชื่อกิจวัตรที่ต้องทำเอาไว้แล้วเดินตรงเข้ามาหาโมนา

    สเตลร่า: เดี๋ยวฉันจะแสดงให้เธอได้เห็นเอง 

    หลังจากนั้นสเตลร่าก็ท่องมนต์อะไรบางอย่างเป็นภาษาแปลกๆ ก่อนจะปรากฏเป็นอาณาเขตวงเวทย์บางอย่างที่โมนาไม่เคยเห็นมาก่อน ในสายตาของเธอแล้ววงเวทย์ที่ปรากฏขึ้นมานี้เธอรับรู้ได้ในทันทีว่ามันคือวงเวทย์มหาคาถาโบราณที่หายสาบสูญไปนาน ก่อนที่ในเวลาต่อมาสเตลร่าจะรวมพลังเวทย์ไปที่นิ้วชี้แล้วจิ้มไปที่หน้าผากของโมนา 

    ทันทีที่นิ้วชี้ของสเตลร่าสัมผัสโดนที่หน้าผากของโมนา โมนาก็สัมผัสได้ถึงความทรงจำบางอย่างที่พรั่งพลูเข้ามาในหัวของเธอซึ่งมันก็คือ ภาพความทรงจำของโลกเอเซอร์เชี่ยนในยุคสงครามแห่งไฟ ภาพของมังกรเพลิงโซเบลที่กำลังเผาทำลายล้างอารยธรรม โดยมีสเตลร่าคอยจับตาดูอยู่ห่างๆโดยไม่ทำอะไร โดยไม่ว่าโซเบลจะไปที่ไหนสเตลร่าก็จะตามไปสังเกตุการณ์เสมอ ทำให้โมนาเริ่มรู้แล้วว่าสเตลร่านั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน 

    สเตลร่าเลือกที่จะไม่บอกกับโมนาตรงๆและปล่อยให้โมนารู้ในสิ่งที่ควรรู้เท่านั้น ซึ่งตอนนี้โมนาก็ได้รู้แล้วว่าตัวเธอนั้นคือ ผู้คุมกฏมังกร ผู้รับบัญญัติศักดิ์สิทธิ์จากเทพธิดาไมอาร์ให้เฝ้าสังเกตุการณ์เหล่ามังกร 4 ธาตุในตำนานบนโลกเอเซอร์เชี่ยน ส่วนความลับของเดลวาลินเธอยังคงปกปิดเอาไว้เหมือนเดิม

    โมนา: *แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก… 0 0 !! *

    โมนาถึงกับล้มทั้งยืนหลังจากที่ได้เห็นภาพความทรงจำย้อนอดีตของสเตลร่า ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหายใจรัวๆเนื่องจากรับข้อมูลความทรงจำเป็นจำนวนมากเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว 

    สเตลร่า: ทีนี้เธอก็รู้แล้วสินะว่าฉันเป็นใคร 

    โมนาหน้าถอดสีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองสเตลร่าราวกับเจอผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกเวทย์มนต์

    โมนา: คุณ…..ที่แท้คุณก็คือ….ผู้คุมกฏมังกรนี่เอง… 0 0

    สเตลร่าที่เห็นโมนากำลังหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เธอก็ยิ้มมุมปากก่อนจะหลับตาข้างหนึ่งแล้วใช้นิ้วชี้จุ๊ที่ปากตนเองเบาๆ

    สเตลร่า: อย่าไปบอกใครก็แล้วกันนะ >u0

    ในเวลาต่อมา ทุกคนในกลุ่มก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งก่อนจะนั่งรอบกองไฟร้องรำฮำเพลงตามประสา โดยคนที่สร้างบรรยายกาศในค่ำคืนนี้ก็คือ เซอร์ริว หัวหน้ากลุ่มนักผจญภัยที่ดูเหมือนจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ เขากลับสามารถร้องเพลงประานเสียงกับลอร่า โมนา และอลันบี ได้อย่างเข้าขา ผิดกับความสามารถในการต่อสู้อย่างลิบลับ ซึ่งเดิมทีเซอร์ริวอยากจะเป็นนักประพันธ์เพลง เที่ยวเดินทางไปทั่วโลกเพื่อขับเสียงร้องอันไพเพราะมอบความสุขให้กับใครก็ตามที่ได้ฟังเสียงเพลงของเขา เพื่อให้ผู้คนลืมเลือนความเจ็บปวดจากแผลในยุคสงครามแห่งไฟ

    เขาฝึกร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กจึงไม่แปลกที่เขานั้นจะร้องเพลงได้ไพเราะและมีเสนห์ดึงดูดสะกดใจคนฟังได้ แม้แต่เดลวาลินก็ยังคล้อยตาม โดยบทเพลงที่เซอร์ริวได้ร้องขึ้นมาในคืนนี้นั่นก็คือ บทเพลงสรรเสริญความรักไมอาร์ บทเพลงที่ศาสนจักรแต่งขึ้นไว้ใช้ขับร้องในโบสถ์หรือศาสนสถานเพื่อให้ผู้คนได้รำลึกถึงความเมตตาและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระแม่ไมอาร์ที่พระองค์รักทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างเท่าเทียมไร้ซึ่งความลำเอียงใดๆ จนสเตลร่าที่นั่งฟังมาถึงท่อนนี้ของเพลงต้องหันมามองที่เดลวาลิน

    เดลวาลินที่เห็นสเตลร่านั่งหันมามองตน เขาก็รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ผ่านแววตาและรอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้าของสเตลร่า ทำให้เขายิ้มแล้วพยักหน้าตอบกลับไปเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขานั้นรับรู้ความรู้สึกเหมือนอย่างที่สเตลร่ารู้สึกเหมือนกัน จนกระทั่งทั้งสามคนร้องจบบทสุดท้ายพอดี 

    ลอร่า: ขอให้พระแม่ไมอาร์คุ้มครองพวกเราทุกคนด้วยเถิด…ไมลีอาเมน v v 

    ลอร่ากล่าวนำสวดในฐานะที่เธอนั้นเป็นนักบุญที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จากพระแม่ไมอาร์ ทำให้ทุกคนกุมมือก้มหน้าลงหลับตาเพื่อระลึกจิตถึงพระแม่ไมอาร์ที่สถิตย์อยู่บนสรวงสรรค์ ไม่เว้นแม้แต่เดลวาลินที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมความเชื่อของผู้คนบนโลกนี้ก็ยังเลือกที่จะทำตาม เพราะเขาเองก็ได้รับชีวิตใหม่จากพระแม่ไมอาร์มาเหมือนกัน

    ลอร่า: ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นมารึยังคะ ^ ^ 

    อลันบี: อื้ม พอได้ร้องเพลงประสานเสียงกับพวกเธอแล้ว มันก็ทำให้จิตใจของฉันสงบลงได้มากเลยล่ะ 

    เซอร์ริว: เราต้องสวดมนต์ระลึกถึงพระแม่ไมอาร์ เพื่อให้พระองค์มอบความแข็งแกร่งและความปลอดภัยให้กับพวกเราทุกคน จริงมั้ย ^ ^ 

    ทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่ลอร่าจะหันไปมองเดลวาลินเพื่อถามความเห็นของเขา ว่าเขารู้สึกยังไงที่ได้ร่วมรับฟังบทเพลงประสานเสียงนี้

    ลอร่า: คุณเดลวาลินรู้สึกยังไงบ้างคะ ?

    เดลวาลิน: พวกนายร้องเพลงประสานเสียงได้ไพเราะจริงๆนะ พอได้ฟังแล้วมันทำให้ฉันได้รู้จักคุณค่าของชีวิตขึ้นมาเลยล่ะ

    ลอร่า: งั้นหรอคะ แล้วคุณสเตลร่าล่ะ

    สเตลร่า: พวกเราทุกคนล้วนเป็นลูกของพระแม่ไมอาร์ การระลึกและตอบแทนบุญคุณความรักที่พระองค์มีต่อพวกเราทุกคน ล้วนเป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้องแล้วล่ะ

    ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าด้วยความปลื้มปริติยินดี 

    แต่ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเข้านอน จู่ๆ เดลวาลินกับสเตลร่าก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์ที่คุ้นเคย ก่อนที่จะมีมังกรตนหนึ่งบินมาจากไกลๆที่เส้นขอบฟ้า แต่เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาตอนกลางคืนทำให้วิสัยทัศน์ของกลุ่มเซอร์ริวมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่สำหรับเดลวาลินและสเตลร่าทั้งสองคนรู้ดีว่ามังกรตัวนั้นที่กำลังบินมานั้นคืออะไร 

    ตู้มมมม!!

    ทันทีที่มังกรตนนั้นมาถึงมันก็ไม่รอช้าลงจอดตรงบริเวณใกล้ๆกับที่ตั้งแคมป์ไฟของกลุ่มเดลวาลิน โดยอยู่ห่างจากจุดแคมป์ไปเพียง 10 เมตร ซึ่งมังกรที่มาปรากฏตัวในตอนนี้นั่นก็คือ มังกรดำไกอัส นั่นเอง 

    เซอร์ริว: ฮะเห้ยย!! นั่นมันมังกรดำที่พวกเราเจอเมื่อครั้งก่อนนี่นา 0 0 ?!!

    อลันบี: ไม่ผิดแน่ มังกรที่ถล่มหมู่บ้านในตอนนั้น 0 0 ?! 

    อลันบีและเซอร์ริวแสดงอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เดลวาลินจะอาสารีบเข้าไปคุยกับไกอัสทันทีทันใด

    เดลวาลิน: ไกอัส ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ? 

    ไกอัส: ข้าก็มาออกตามหาท่านน่ะสิขอรับ บัดนี้สถานการณ์ที่เผ่าของข้าเริ่มเข้าตาจนขึ้นทุกที เขาทนรอต่อไปไม่ไหวจึงออกมาตามหาท่านด้วยตัวเอง

    สเตลร่า: อะไรกัน นี่ลงทุนออกมาตามหาพวกเราเองเลยหรอ แบบนี้แสดงว่าสถานการณ์ทางฝั่งของนายคงถึงจุดวิกฤติแล้วจริงๆสินะ 

    สเตลร่าเดินเข้ามาคุยต่อ โดยที่เซอร์ริว โมนา กับอลันบีก็ยืนทำหน้างงว่าทำไมสองคนนี้ถึงกล้าเข้าไปคุยกับมังกรระดับสูงตัวนี้ได้ แถมยังคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนคนรู้จักอีก จนลอร่าต้องเข้ามาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทั้งสามคนฟัง แต่ก็ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเดลวาลินเอาไว้ เหมือนที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้าอีกครั้ง

    ไกอัส: ท่านโซ-….

    เดลวาลินที่เห็นว่าไกอัสกำลังจะเรียกชื่อจริงของเขาออกมา เขาก็ได้รีบห้ามเอาไว้เพราะหากไกอัสเรียกชื่อจริงๆของเขาออกมา จะทำให้พวกเซอร์ริว อลันบี และโมนาตกใจ เขาจึงบินเข้าไปใกล้ๆหน้าของไกอัสเพื่อกระซิบบอกอีกฝ่ายให้รู้ตัว

    เดลวาลิน: *ชู่วว!!!* อย่าเรียกฉันว่าโซเบลสิ!…ตอนนี้ฉันกำลังแฝงตัวเป็นนักผจญภัยอยู่! 

    เดลวาลินกระซิบบอกไกอัส

    ไกอัสที่เห็นเดลวาลินกระซิบมาแบบนั้นก็ถึงกับมีอาการลนลานเล็กน้อยวางตัวไม่ถูก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันฉุกละหุกมากสำหรับเขา

    ไกอัส: และ…แล้วท่านจะให้ข้าเอ่ยนามท่านเป็นนามว่าอะไรล่ะขอรับ 0 0" ?

    เดลวาลิน: ให้เรียกฉันว่าเดลวาลิน และพยายามอย่าทำอะไรที่เป็นการเปิดเผยความลับของฉันให้ใครรู้เด็ดขาด

    ไกอัส: อะ…เออ….ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านโซ….เอ้ย!…..ไม่สิ…ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านเดลวาลิน ^ ^"

    .

    .

    .

    .

    เช้าวันต่อมาไกอัสก็ได้ให้กลุ่มของเดลวาลินขึ้นขี่บนหลัง เพื่อพาพวกเขาบินไปส่งที่หมู่บ้านมังกร แคลิด ดรากูน อันเป็นจุดหมายที่ตั้งในการทำภารกิจของเดลวาลิน ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าผลลัพธ์ที่จะออกมานั้นจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร เดลวาลินในตอนนี้เขาเริ่มลังเลแล้วว่าเขาจะทำยังไงต่อไป เพราะได้รับคำสั่งจากราชาให้ปราบมังกรทุกตัว แต่ตัวเขานั้นก็ให้คำมั่นสัญญากับไกอัสว่าจะช่วยเหลือและคลี่คลายสถานการณ์นี้ด้วยสันติวิธีตามความตั้งใจของเทพธิดาไมอาร์

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×