" อึก นะ นั่นมันอะไรน่ะ? ฮ่าๆๆๆ" โรสพยายามหยุดหัวเราะแล้วพูดออกมา แต่สุดท้ายเธอก็หัวเราะออกมาหลังจากพูดจบ
" ฮ่าๆๆๆ นะ นั่นน่ะสิ" อีกคนก็หยุดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
" อึก ตะ ตั้งสติก่อน อุ๊บส์!" โรสพยายามทำตามที่พูดแต่ก็ยังคงสะอึกอยู่ดี
" ระ รู้สึกว่ามันจะเป็นชุดของชนชั้นสูงสมัยก่อนนะ" ราฟก็พยายามพูดออกมาหลังจากตั้งสติได้แล้ว
" ฟู่~ อืม ฉันเริ่มจำได้แล้ว" โรสที่เริ่มตั้งสติได้มากขึ้นก็เริ่มทบทวนทุกอย่าง โลกนี้ก็มีโครงสร้างที่เป็นแบบยุโรปกลางถ้าเทียบกับโลกพวกเขาจากมา การแต่งกายของชนชั้นสูงสมัยนี้ก็เหมือนกับของยุโรปตอนกลางในโลกก่อนเช่นกัน และคิดว่าทุกคนคงจินตนาการถึงการแต่งกายของผู้หญิงสมัยนี้ได้นะ
สุ่มไก่น่ะ...อุ๊บส์! ฮ่าๆๆ
แถมคุณนางเอกที่น่าจะใส่ชุดนี้เป็นครั้งแรกและดูท่าว่าเธอจะอยากทำตัวให้ดูเหมือนชนชั้นสูงมากที่สุด ก็เลยแต่งตัวเสียจัดเต็มเลยน่ะสิ ขนาดแต่งแบบธรรมดายังว่าน่าสะพรึง แล้วตอนนี้มาแต่งแบบจัดเต็มอีก ส่วนหน้าก็ทาแบบขาวมากๆแล้วตรงคอก็ไม่ได้ทาอะไรแล้วพอรวมกับชุดที่คุณนางเอกแต่ง มันก็เลย...ฮ่าๆๆๆ
" ราฟ คนสมัยนี้เขาเอาอะไรกะเป็นเกณฑ์ความสวยเหรอ?" เธอถามทั้งๆที่ยังหอบอยู่เล็กน้อยเพราะเหนื่อยจากการหัวเราะ
" อืม เกณฑ์ของคนที่นี่ไม่น่าจะปกตินะ" เขาตอบออกไปเพราะดูจากปฏิกิริยาของคนในงานแล้ว ก็ไม่มีใครตกใจกับการแต่งตัวแบบนั้นเลยสักคน และถ้ามองดูดีๆก็จะมีผู้หญิงสองในสี่ส่วนที่มางานเลี้ยงจะใส่ชุดแบบสุ่มไก่เช่นกัน แต่แค่ชุดของผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้เด่นเท่าของเมลโลเท่านั้นเอง
หลังจากเหนื่อยหอบไปกับการหัวเราะจบ พวกเขาก็กลับเข้าไปในงานอีกครั้งเพราะองค์ราชาริโด้ประกาศเริ่มงานเลี้ยงแล้ว คนมีที่นั่งอย่างพวกเขาจึงต้องไปนั่งประจำตำแหน่งของตนเอง และแน่นอนว่าพวกเขาพยายามไม่หันไปมองเมลโลเพราะกลัวว่าจะหลุดขำออกมา
แต่คิดไม่ถึงว่าเมลโลจะตีความผิด คิดว่าราฟไม่กล้ามองตนเองเพราะเขินที่เธอสวยเกินไป และคิดว่าโรสคงจะไม่อยากมองเธอเพราะเธอสวยกว่า ทั้งๆที่ความจริงนั้นต่างกับสิ่งที่เธอคิดเอาไว้มากเหลือเกิน
งานเลี้ยงเริ่มด้วยการมอบของขวัญให้กับเจ้าของวันเกิดอย่างองค์ราชาริโด้ ส่วนของขวัญก็เป็นพวกของมีค่าและแน่นอนว่าโรสก็มีของขวัญเช่นกัน เธอจึงก้าวออกไปพร้อมๆกับดยุควาเรนเซียที่กำลังจะไปมอบของให้องค์ราชาด้วย
" สุขสันต์วันเกิดนะค่ะ ท่านลุง" เธอส่งกล่องสีเหลี่ยมขนาดเท่าสองฝ่ามือไปข้างหน้าก่อนที่จะมีพ่อบ้านคนหนึ่งรับไปแล้วส่งไปให้องค์ราชาทันทีเพราะเขาต้องการจะเปิดดูมันด้วยตัวเองต่างจากของขวัญก่อนหน้าที่จะให้พ่อบ้านเปิด ยกเว้นแค่ของขวัญจากดยุควาเรนเซีย
"!!!"
" ชอบมั้ยคะ?" เธอถามขึ้นและยกยิ้มในใจเมื่อได้เห็นใบหน้าตื่นตะลึงของท่านลุงและคนในงาน
" นะ หนูโรส มะ มันคงไม่ใช่" เป็นองค์ราชินีที่พูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงตะกุกตะกัก
" ค่ะ นํ้าตาฟินิกซ์" เธอตอบออกไปและนั่นก็ช่วยยืนยันความสงสัยของคนในงานได้เป็นอย่างดีและนั่นก็ทำให้ทุกคนตกใจกันมากยิ่งขึ้น แต่เจ้าตัวกลับทำเหมือนสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะมอบให้คนอื่นไปนั้นไม่มีค่าแต่อย่างใด
นํ้าตาฟินิกซ์ คงจะเคยได้ยินถึงสรรพคุณของมันมาบ้าง คือการช่วยรักษาบาดแผลทุกชนิดไม่ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นของหายากเพราะนกฟินิกซ์นั้นไม่ใช่จะเจอกันได้ง่ายๆ มันจึงกลายเป็นของหายากไปโดยปริยาย แต่สำหรับองค์จักรพรรดิทั้งสองอย่างราฟกับโรสแล้ว พวกเขากลับมีมันมากมายอยู่ในมิติ...มากเสียจนกลายเป็นของไร้ค่าสำหรับพวกเขา
" นะ หนูโรส นํ้าตาฟินิกซ์มันมีค่ามากเกินไปแถมในกล่องก็ยังมีตั้ง3ขวด ลุงรับไว้ไม่ได้" องค์ราชาริโด้ที่เพิ่งจะได้สติพูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงตะกุกตะกัก
" ไม่เป็นไรค่ะ โรสอยากจะให้ ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณที่ท่านลุงเคยช่วยโรสเอาไว้ แต่ถ้าท่านลุงไม่รับไว้ โรสก็เสียใจแย่เลยนะค่ะ" เธอแกล้งพูดเสียงเศร้า เธอรู้อยู่แล้วว่าท่านลุงจะต้องไม่รับแน่แต่เพราะเธอต้องการจะให้จากใจจริง จึงต้องทำให้อีกฝ่ายรับเอาให้ได้
" กะ ก็ได้ ลุงจะรับไว้ ขอบใจนะ ลุงชอบมากๆเลยล่ะ" องค์ราชาริโด้รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที เขาไท่อยากเห็นเด็กคนนี้ทำท่าเหมือนจะร้องไห้เลย มันดูน่าสงสารเกินไป
" ค่ะ" เธอตอบรับก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตัวเองพร้อมได้รับสายตาจากคนในงาน และแน่นอนว่าสายตาที่ถูกส่งมานั้นมีแต่ความโลภและความอยากได้ หึ! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอต้องการมอบของขวัญให้ท่านลุงก็อย่าหวังเลยว่าเธอจะเอาของดีแบบนี้ออกมาให้คนอื่นๆเห็นแล้วตกเป็นจุดเด่นน่ะ
" องค์ราชา" จู่ๆก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอกห้องโถง เรียกความสนใจจากทถกคนได้เป็นอย่างดี
" มีอะไร?" องค์ราชาถามออกไปด้วยความสงสัย ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริง ไม่มีทางที่ทหารจะมาขัดขวางงานเลี้ยงแน่ๆ
" ทะ ทูตจากอาณาจักรเวทมนต์มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"
"..."
เพียงเท่านั้น ทุกอย่างก็เงียบสงบลงราวกับถูกกดสวิตช์ปิด ก่อนที่วินาทีต่อมาทุกคนก็ต้องเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน ยกเว้นเพียงแค่คนที่รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่คนที่รู้เรื่องนี้ก็ต้องมีสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะกังวลกับการมาของทูตครั้งนี้ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังแตกตื่นนั้น กลับทีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่ดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
" ชะ เชิญพวกเขาเข้ามาเถอะเพคะ" องค์ราชินีหันไปพูดกับองค์ราชาด้วยเสียงสั่นๆ ส่วนองค์ราชาก็ห็นด้วย ทหารที่เข้ามาแจ้งข่าวจึงต้องวิ่งกลับไปที่นอกห้องโถงอีกครั้งเพื่อเชิญแขกบุคคลสำคัญ
" ริโด้ เจ้ารู้มาก่อนแล้วว่าทูตจากอาณาจักรเวทมนต์จะมาเหรอ?" องค์ราชาแห่งอาณาจักรวินเซนต์หรือพ่อของเกรเทลกล่าวขึ้นในระหว่างที่รอผู้มาเยือน
งานเลี้ยงในวันนี้มีองค์ราชาที่เป็นมนุษย์มาร่วมงานด้วยหลายคน เพราะองค์ราชาของหลายๆอาณาจักรส่วนมากมักจะเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อถึงงานวันเกิดใครก็มักจะไปร่วมงานเลี้ยงที่อาณาจักรของอีกฝ่าย และงานเลี้ยงนี้ก็เช่นกัน
" ก่อนหน้านี้เคยมีจดหมายส่งมาเรื่องทูตของอาณาจักรเวทมนต์จริง แต่ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า" องค์ราชาริโด้พูดนํ้าเสียงเต็มไปด้วยความไม่ค่อยสบายใจ และสิ่ลที่ราชาทั้งสองพูดคุยกันก็แน่นอนว่าทุกคนในงานเลี้ยงย่อมได้ยินและรับรู้ด้วย
" ไม่คิดเลยว่าอาณาจักรเวทมนต์จะส่งทูตมาที่นี่เป็นที่แรกหลังจากหายไปหลายปี" องค์ราชาแห่งอาณาจักรวินเซนต์พูดต่อ
ก่อนหน้านี้หรือก็คือตอนที่ศิลาเวทมนต์เริ่มส่องแสงหลังจากไม่มีปฏิกิริยาอะไรมานาน ตอนนั้นข่าวการกลับมาของอาณาจักรเวทมนต์ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้ง3เผ่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนรับรู้เรื่องนี้ แต่ข่าวที่อาณาจักรเวทมนต์จะมาที่อาณาจักรเฟอร์เดียเป็นที่แรกนั้นกลับไม่มีใครที่รู้เลยนอก
" ราชทูตจากอาณาจักรเวทมนต์มาถึงแล้ว!" เสียงประกาศดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของบุคคลในชุดทางการเกือบสิบคน เมื่อเข้ามาในห้องโถง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเดินตรงไปที่ด้านหน้าขององค์ราชาแห่งเฟอร์เดีย
" ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ องค์ราชา องค์ราชินีแห่งเฟอร์เดีย" พวกเขาทุกคนโค้งตัวและย่อตัวลงทำความเคารพ
" ตามสบายเถอะ พวกเจ้าคงจะเหนื่อยจากการเดินทางไม่น้อย" องค์ราชาริโด้พูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงเกรงใจ คำพูดที่ใช้ยังให้ความเคารพอีกฝ่ายไม่น้อย
" ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วยที่มาร่วมงานเลี้ยงสาย" หัวหน้าคณะทูตพูดขึ้น และไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครคือหัวหน้าคณะทูต
" ไม่เป็นไรหรอก งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่มได้ไม่นานเอง เขิญพวกท่านตามสบายเถิด" องค์ราชินีพูดต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
" ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนนี่คือของขวัญที่องค์จักรพรรดิทั้งสองให้พวกเรานำมามอบให้พระองค์" เป็นหัวหน้าคณะทูตคนเดิมที่พูดขึ้นพร้อมๆกับที่คนอื่นๆที่นำของขวัญมาวางไว้ด้านหน้า ทั้วหมดล้วนเป็นของลํ้าค่าแต่กลับไม่ใช่พวกทรัพย์สินแต่เป็นของวิเศษที่ล้วนหายากทั้งนั้น ถ้าใครได้ครอบครองก็แน่นอนว่าคนคนนั่นเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุด แต่สิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้ไม่ใช่สมบัติลํ้าค่าพวกนี้
" ท่านบอกว่าองค์จักรพรรดิทั้งสองกลับมาแล้วเหรอ?!" ราชาแห่งวินเซนต์พูดขึ้นด้วยความตกใจ
" พ่ะย่ะค่ะ พระองค์กลับมาแล้วหลังจากที่ทรงไปท่องเที่ยวในที่แห่งหนึ่ง และการมาครั้งนี้นอกจากจะเพื่อแสดงความยินดีกับพระองค์แล้ว
องค์จักรพรรดิยังให้พวกกระหม่อมมาส่งคำขอบคุณแด่พระองค์ด้วยที่ทางอาณาจักรเฟอร์เดียได้คอยช่วยเหลือเหล่าชาวเมืองอาณาจักรเวทมนต์ที่เปรียบเสมือนคนสำคัญขององค์จักรพรรดิให้พ้นจากอันตรายในช่วงที่พระองค์ทั้งสองไม่อยู่" หัวหน้าคณะทูตตอบพร้อมรอยยิ้ม
ปกป้องในตอนไหน? หรืออันตรายที่ว่าคืออะไร? คำถามเหล่านี้ที่เขาถามออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ดีว่าคำตอบคืออะไร
" ดี! ดีแล้ว! ที่พระองค์กลับมา! ถ้างั้นฝากท่านไปบอกพระองค์ทั้งสองด้วยว่าอาณาจักรเฟอร์เดียพร้อมที่จะปกป้องและให้ความช่วยเหลือชาวเมืองอาณาจักรเวทมนต์ตลอดไป และจะไม่มีทางทำร้ายชาวเมืองเหล่านั้นแน่ และพวกเราของแสดงความยินดีด้วยที่พระองค์กลับมาแล้ว" องค์ราชาริโด้เริ่มมีอาการดีขึ้นเมื่อรู้ถึวจุดประสงค์ในการมาของอีกฝ่าย
" กระหม่อมจะบอกต่อทุกคำพูดของพระองค์ให้องค์จักรพรรดิทั้งสองรับรู้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ" เขาพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม เขาไม่ต้องบอกหรอก เพราะองค์จักรพรรดิคงจะได้ยินทุกคำพูดแล้ว จะว่าไปแล้ว องค์ราชาแห่งเฟอร์เดียคนนี้เป็นคนดีอยู่คนหนึ่งเหมือนกันนะ
" ขอบคุณท่านมาก ขอเชิญพวกท่านร่วมงานเลี้ยงต่อเถอะ" องค์ราชินีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มาจ่กใจจริง ความกังวลที่เคยมีก็หายไปเช่นกัน
" ขอบพระทัย" พวกเขาตอบรับคำเชิญแต่โดยดี
จากนั้นงานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ บรรยากาศต่างๆก็กลับมารื่นเริงตามเดิน ไม่มีเค้าความน่าอึดอัดปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าทูตจากอาณาจักรเวทมนต์ก็พากันสอดส่ายสายตาหาองค์จักรพรรดิทั้งสองของพวกเขากันล่อกแล่ก น่าเสียดายที่คนในงานมีมากเกินไป พวกเขาจึงต้องค่อยๆมองหากันอย่างละเอียด
และดูเหมือนนี่จะเป็นข้อดีขององค์จักรพรรดิทั้งสองที่พวกเขามีเรือนผมสีขาวสะอาด และในโลกนนี้คนที่มีเรือนผมสีขาวนั้นก็แทบจะไม่มีเลยนอกจากองค์จักรพรรดิทั้งสองของพวกเขา สอดส่ายสายตาไม่นานนัก พวกเขาก็พบเจอกับเป้าหมาย ไม่รอช้าพวกเขารีบเดินไปทันที แต่ถ้าจะให้ทุกคนลุกกันไปหมดก็จะดูหน้าสงสัย งานนี้จึงมีเพียงแค่หัวหน้าคณะทูตเท่านั้นที่ลุกขึ้น
เขาเลือกที่จะเข้าไปหาองค์จักรพรรดิก่อน เพราะก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้สถานะขององค์จักรพรรดิทั้งสองในโลกภายนอก ถ้าผลีผลามเข้าไปหาอาจจะทำให้ฐานะของพระองค์ถูกเปิดเผยได้ และเขารู้ดีว่าองค์จักรพรรดิไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เขาจึงจำเป็นต้องรู้สถานะองค์จักรพรรดิทั้งสองก่อนจะเข้าไปหา แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้จักสถานะในโลกภายนอกขององค์จักรพรรดิทั้งสอง!!
ดังนั้นการที่เขาเข้าไปหาองค์จักรพรรดิก่อนจะเป็นเรื่องดีที่สุด เพราะองค์จักรพรรดิทรงอยู่ในชุดประจำตำแหน่งเจ้าชาย เขาจึงเข้าไปทักทายพระองค์ได้ง่ายมากขึ้นเมื่อรู้สถานะของพระองค์ แต่ผิดกับองค์จักรพรรดินีที่พระองค์อยู่ในชุดราตรีสีขาว ไม่ใช่ชุดประจำตำแหน่ง เขาจึงไม่รู้สถานะขององค์จักรพรรดินี
' เจ้าชายลำดับที่1แห่งแดนปีศาจ ราฟาเอล ทาทารอส' แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินเข้าไปถึงตัวขององค์จักรพรรดิ ประโยคหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัวและนํ้าเสียงที่ถูกใช้ก็เป็นของคนที่เขาคุ้นเคย
เห้อ...อย่างน้อยองค์จักรพรรดิก็ยังเมตตาเขาอยู่บ้างถึงได้ยอมบอกใบ้ให้เขาเล็กน้อย
"เจ้าชายราฟาเอล" เมื่อเข้าไปถึงตัวเจ้านายของตน เขาก็ไม่รอช้า โค้งตัวลงคำนับด้วยความเคารพมากกว่าตอนที่ใช้กับองค์ราชาแห่งเฟอร์เดียเสียอีก
" ตามสบาย คาล" เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม ทำเอาคนที่ลอบมองอยู่ได้แต่ตื่นตระหนก
ในสายตาของคนภายนอกนั้น แม้แต่องค์ราชายังไม่รู้ชื่อของหัวหน้าคณะทูตเลย แต่เจ้าชายราฟาเอลกลับรู้แถมยังได้รับความเคารพจากอีกฝ่ายมากกว่าองค์ราชาอีก แล้วแบบนี้จะบอกว่าพวกเขาไม่สนิทสนมกันได้ยังไง? แต่ประเด็นคือทั้งสองไปรู้จักกันตอนไหน? อาณาจักรเวทมนต์หายสาปสูญไปตั้วแต่ก่อนที่เจ้าชายราฟาเอลจะเกิดเสียอีก แล้วแบบนี้จะไปรู้จักกันตอนไหน?
แต่ถ้าจะบอกว่ารู้จักกันไม่นานก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขานั้นดูสนิทสนมกันมาก มากกว่าที่คนที่รู้จักกันเพียงไม่กี่เดือนจะทำได้
" สบายดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ?" คาลเวิร์ดถามออกไปด้วยความเป็นห่วง เขามองเห็นสายตาที่จับจ้องมายังองค์จักรพรรดิทั้งสองด้วยความโลภมากมาย แต่เขากลับไม่ได้เป็นห่วงองค์จักรพรรดิทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าคนเหล่านี้ก็เป็นได้แค่ของเล่นแก้เบื่อของพระองค์ทั้งนั้น เรื่องที่เขาห่วงน่ะ คือเรื่องที่พระองค์จะเล่นสนุกจนลืมวันลืมคืนต่างหาก
" แน่นอน ไปหาโรสกัน" เขาบอกก่อนจะพออีกฝ่ายเดินฝ่าผู้คนในงานไปอีกฝั่ง เพราะที่นั่งของเขากับโรสมันอยู่กันคนละฝั่งเลยน่ะสิ
' ลูกสาวคนเดียวของดยุควาเรนเซียแห่งเฟอร์เดีย โรซาเรีย วาเรนเซีย' ระหว่างที่เดินอยู่ ราฟก็ไม่บืมบอกข้อมูลของอีกคนผ่านทางจิตซึ่งเป็นความสามารถใหม่ที่เขาได้มันมาพร้อมกับความทรงจำตอนยังเป็นจักรพรรดิอยู่
" ท่านหญิง" เมื่อเดินมาถึงตัวโรส คาลเวิร์ดก็โค้งตัวลงอีกครั้งด้วยความเคารพ ส่วนโรสก็มีอาการไม่ต่างอะไรกับราฟมากนัก แต่คนด้านข้างอย่างดยุควาเรนเซียและพี่ชายทั้งสองขอเธอเนี่ยสิ อยู่ในอาการตกตะลึงไปเเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวก่อน...ไม่ใช่ๆ ต้องบอกว่าคนทั้งงานเลี้ยงต่างหาก ไม่ใช่แค่ดยุควาเรนเซียกับท่านชายทั้งสองเท่านั้น
" องค์- อึก ท่านหญิงสบายดีนะครับ" เขาเปลี่ยนสรรพนามแทบไม่ทัน สำหรับองค์จักรพรรดินั้น เขาเพียงแค่เปลี่ยนคำเรียกจากองค์จักรพรรดิเป็นเจ้าชายแต่ยังคงใช้คำราชาศัพท์เหมือนเดิม ปต่กับองค์จักรพรรดินี เขาต้องเปลี่ยนใหม่หมด ทั้งคำเรียกที่เป็นท่านหญิงแถมยังห้ามใช้คำราชาศัพท์อีก เห้อ
" ก็ตามที่เห็นนั่นแหละ" เธอตอบออกไป คาลมาหาเธอกับราฟไวกว่าที่คิด ตอนนี้งานเลี้ยงยังดำเนินไปไม่ถึงครึ่งงานเลย แต่เขากลับมาสะแล้ว
แต่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่า คำพูดที่เธอใช้กับหัวหน้าราชทูตนั้นทำให้คนทั้งงานที่ลอบมองอยู่ต้องใจหาย เพราะกลัวว่าคณะทูตจะโกรธที่ท่านหญิงโรซาเรียใช้คำพูดไม่เหมาะสม แต่เหมือนพวกเขาจะคิดไปเอง...
" เช่นนั้นผมก็ดีใจที่ท่านทั้งสองสบายดี" คาลตอบยิ้มๆ คาดว่าคงจะมีเรื่องสนุกมากมายที่ทำให้องค์จักรพรรดิทั้งสองของเขาสำราญ
" ท่านหัวหน้าคณะทูต ท่านรู้จักท่านหญิงโรซาเรียกับเจ้าชายราฟาเอลด้วยเหรอ?" เป็นราชาแห่งวินเซนต์ที่ทนความสงสัยไม่ไหวแล้วถามออกไป
" พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้จักกับเจ้าชายและท่านหญิง ทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญของอาณาจักรเวทมนต์ กระหม่อมตอบได้แค่เพียงเท่านี้" คาลตอบไปแค่นั้นแต่ก็ทำให้คนที่ได้ฟังตกตะลึงอีกครั้งก่อนที่วินาทีต่อมามันจะแปรเปลี่ยนเป็นความโลภและต้องการใช้ประโยชน์จากบุคคลที่ถูกกล่าวถึง
ส่วนที่คาลเวิร์ดเลือกจะตอบไปแค่นั้นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้ องค์จักรพรรดิทั้งสองได้เคยมาพูดเรื่องนี้กับเขาแล้ว(ตอนคำเตือนจากผอ.)
เมื่อวันนั้น
" นอกจากนี้การไปเฟอร์เดียของทูตก็ยังมีมีจุดประสงค์อื่นอีกมั้ย?"
" มีพ่ะย่ะค่ะ จุดประสงค์นั้นคือการประกาศการกลับมาของพระองค์ทั้งสอง แต่เรื่องนี้กระหม่อมก็กำลังจะถามพระองค์อยู่พอดี ถ้าพระองค์อนุญาต กระหม่อมจะประกาศแต่ถ้าไม่ กระหม่อมก็จะไม่ขัดพระองค์"
" ได้ พวกเราอนุญาต" พวกเขาเงียบและมองหน้ากันสักพักก่อนที่ราฟจะตอบออกมา
" ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
" แต่มีข้อแม้ว่า นายจะต้องบอกแค่เรื่องการกลับมาเท่านั้น ส่วนเรื่องที่พวกเราเป็นจักรพรรดิก็..." โรสพูดก่อนจะเว้นช่วงให้อีกคนพูดต่อ
" เงียบเอาไว้ก่อน ไม่ต้องบอกใครว่าพวกเราคือองค์จักรพรรดิ บอกไปแค่ว่าพวกเราเป็นบุคคลสำคัญของอาณาจักรเวทมนต์ก็พอ ฉันยังไม่อยากให้ฐานะถูกเปิดเผย"
" ใช่ พวกเรายังอยากสนุกอยู่ ถ้าเกิดว่ามีคนรู้ฐานะของพวกเรา เดี๋ยวคนพวกนั้นจะไม่กล้าทำอะไรเลย แบบนั้นคงย่าเบื่อแย่" โรสเสริมต่ออีกนิด
" ได้พ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดยิ้มรับหลังจากได้ฟังข้อเสนอจบ
และเพราะข้อเสนอในครั้งนั้น ทำให้เขาต้องพูดกับองค์ราขาแห่งเฟอร์เดียไปว่าเขาตอบคำถามได้แค่เท่านั้น เพื่อบอกอีกฝ่ายทางอ้อมว่าอย่าถามอะไรไปมากกว่านี้
" ถะ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร" องค์ราชาริโด้ตอบเสียงสะดุดเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเด็กสาวที่เขารักเหมือนลูกตะกลายไปเป็นคนสำคัญของอาณาจักรเวทมนต์เสียได้
" ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดตอบสั้นๆ
" เริ่มงานเลี้ยงต่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชา" ราฟพูดขึ้นเมื่อมองรอบๆตัวแล้วพบว่าทุกอย่างนั้นเงียบลงตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ซึ่งองค์ราชาริโด้ก็เห็นด้วย งานเลี้ยงจึงดำเนินต่อไปแต่คนที่เพิ่งจะถูกบอกว่าเป็นบุคคลสำคัญของอาณาจักรเวทมนต์กับหัวหน้าคณะทูตของอาณาจักรเวทมนต์กลับหายตัวไป แต่กลับไม่มีใครกบ้าสงสัยอะไรอีกว่าทั้งสามหายไปพร้อมกันเพราะอะไร
" ฝ่าบาท" เมื่อออกมานอกโถงที่จัดงานเลี้ยงและอยู่ในที่ที่ไม่มีใครอยู่ คาลเวิร์ดก็โค้งตัวคำนับเจ้านายทั้งสองอีกครั้งแต่คำเรียกขานกลับเปลี่ยนไป
" ไม่คิดว่านายจะใจร้อนรีบบอกคนอื่นๆถึงขนาดนี้" โรสหัวเราะน้อยๆพลางนั่งลงที่ม้านั่งตรงนั้น ไม่ต้องรออะไร อีกคนก็นั่งลงด้านข้างเธอทันที
" กระหม่อมอยากสร้างเกราะป้องกันและเรื่องสนุกให้กับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดตอบกลับทันที การบอกว่าทั้งสองคือคนสำคัญของอาณาจักรเวทมนต์ก็จะเป็นการปกป้องพวกเขาไปอีกทาง...แต่นั่นมันในที่แจ้ง ถ้าเป็นที่มืด สิ่งที่เพิ่งจะถูกประกาศออกไปก็มีแต่จะนำเรื่อลมาให้ และนั่นก็คือเรื่องสนุก
" หึ! รู้ใจพวกเราเหมือนเดิมเลยนะ" ราฟพูดออกมาอย่างพอใจ คาลเวิร์ดในตอนนี้กับในความทรงจำตอนที่พวกเขาสร้างอาณาจักรเวทมนต์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
" ถ้าฝ่าบาทชอบ กระหม่อมก็ดีใจ"
" เห้อ คงต้องกลับเข้างานแล้วล่ะ" โรสมองเข้าไปในงานเลี้ยงผ่านทางระเบียงงานเลี้ยงพชางพูดขึ้น ถึงจะออกมาได้แค่ไม่นานก็จริง แต่ถ้าออกมานานเกินไปก็คงจะไม่ดีแน่ๆ
" พ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดตอบรับอย่างไม่อิดออด
พวกเขากลับเข้ามาในงานเลี้ยงอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นช่วงเต้นรำที่ทุกคนจะออกมาเต้นรำกัน แน่นอนว่ามีหนุ่มน้อยใหญ่มากมายต่างส่งสายตามายังโรสเพื่อเป็นเชิงขอเต้นรำแต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาขอด้วยตัวเองสักคน ไม่มีน่าแปลก ก็เพราะแดนกับคริสเล่นส่งสายตาอาฆาตเสียขนาดนั้น ใครกล้าเข้าไปขอตรงๆก็คงเรียกว่าบ้าบิ่นแล้วล่ะ ส่วนราฟที่มีใบหน้าหล่อเหลาสามารถล่อลวงผู้คนได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มาตอนนี้กลับเป็นคนสำคัญของอาณาจักรที่สำคัญแล้วไหนจะตำแหน่งเจ้าชายอีก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีสาวๆอยากมาต่อแถวขอเขาเต้นรำกัน
เรียกได้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนโดยไม่สนว่าจะเหมาะสมหรือไม่ที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายไปขอผู้ชายเต้นรำ แต่ทุกรายก็ล้วนต้องคอตกกลับไปตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไปหาอีกฝ่าย เพราะดวงตาสีนํ้าทะเลนั้นถูกเคลือบไปด้วยความเย็นชา แถมหน้าตาเจ้าตัวก็บอกอยู่แล้วว่าขอปฏิเสธที่จะเต้นรำกับใคร แต่แล้ว...
" เจ้าชายราฟาเอล ได้โปรดให้เกียรติเต้นรำกับหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ" หญิงสาวใจกล้าในชุดหรูหราคนหนึ่งกลับเดินเข้าไปขอเขาเตินรำได้อย่างหน้าตาเฉยราวกับไม่เห็นสายตาของอีกฝ้าย
" ขอโทษที ฉันไม่มีอารมณ์จะเต้นรำ" เขาตอบไปอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะยกไวน์ที่หยิบมาจากเมดคนหนึ่งขึ้นจิบด้วยท่าทางอันสง่างาม ทำเอาคนที่ถูกปฏิเสธไปกลับมามีสีหน้ามุ่งมั่นอีกครั้ง
" ท่านมีคนที่จะเต้นรำด้วยแล้วเหรอเพคะ?" เธอถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและยังคงไใข้คำราชาศัพท์กับอีกฝ่ายถึงแม้เขาจะไม่ไช้มันกับเธอ
" อืม" เขาตอบรับไปส่งๆแล้วคาดว่าอีกฝ่ายคงจะเลิกราไปเอง แต่ผิดคาด
" ใครเหรอเพคะ? หม่อมฉันไม่เห็นว่าท่านจะสนใจใครสักคน" เธอยังคงพูดต่อด้งยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ตอบปัดๆไป จริงๆแล้วเขาไท่มีคนที่จะเต้นรำด้วยหรอกแต่ถ้าวันนี้เธอไม่ได้เต้นรำกับเขา ต่อจากนี้ก็อย่าเรียกเธอว่าเจ้าหญิงเลย!
คนถูกถามเริ่มตระหนัก ดูแล้วผู้หญิงตรงหน้าคงจะเป็นเจ้าหญิงจากเผ่าเทพเพราะเขาสัมผัสกลิ่นอายเทพได้จากตัวของอีกฝ่าย แถมเธอคนนี้ดูจะสนใจในตัวเขาเข้าเสียแล้วและดูท่าว่าคงจะไม่ยอมเลิกราไปง่ายๆด้วย ฉับพลัน สายตาของเขาก็ไปปะทะเข้ากับร่างของใครบางคนที่วันนี้อยู่ในชุดสีขาวสะอาดจากนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวสมองอย่างรวดเร็ว หึ! คงต้องขอให้เธอช่วยหน่อยล่ะนะ คุณอดีตเพื่อนรักกับคุณน้องสาว
" ต้องขอบคุณที่เธอเตือน ฉันก็เกือบลืมไปแล้วว่ากำลังจะไปขอคนคนหนึ่งเต้นรำ ถ้างั้นก็ขอตัวก่อน" เขาพูดก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเองแล้วเดินไปยังอีกฝั่งที่ตอนนี้มีเป้าหมายของเขานั่งคุยอยู่กับพี่ชายโดยไม่สนสิ่งรอบตัวเลยแม้แต่น้อย
" ท่านหญิงโรสซาเรีย ให้เกียรติเต้นรำกับฉันด้วย" เมื่อเดินไปถึงตัวของอีกฝ่ายที่มองมายังเขาด้วยสายตามึนงง เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าแขนของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงเล็กน้อยให้เธอลุกขึ้นมาแล้วมันก็เป็นไปได้อย่างง่ายดายเมื่อเธอยังคงมึนงงอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อเธอลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว มืออีกข้างก็ยื่นไปโอบเอวเธอเอาไว้ทันทีในขณะที่มืออีกข้างก็ยังคงจับแขนของเธอเอาไว้อยู่
หึ! นี่แหละวิธีขอเต้นรำแบบฉบับเขา ไม่ใช่การขอแต่เป็นการบังคับ! และเธอจะต้องเต้นรำกับเขาคนเดียวเท่านั้นด้วย!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
//เทอจะค้องเต้นรำกับผมได้แค่คนเดียว😳😳//เขินเเทน