" ฮึ่ม! เจ้าสองคนนั้นยังไม่กลับมาเลย" วิลล์ที่นั่งอยู่ตรงห้องนั่งเล่นของหอพักพูดขึ้นอย่างหัวเสีย
" ในจดหมายคุณโรสบอกว่าจะกลับมาภายใน2วันนี่ครับ แล้วตอนนี้ก็พึ่งจะผ่านไปครึ่งวันเองนะครับ" มาร์ตินพูดขึ้น
" ทำไมนายดูไม่ร้อนใจเลยสักนิด?"
" นั่นสิ เพื่อนหายไปทั้งคนเลยนะ" ซีน่อนกับซีเวลท้วง
" คุณโรสก็ไปกับคุณราฟนี่ครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก" มาร์ตินพูดพลางยิ้มออกมา ถึงคุณราฟจะดูเย็นชา แต่ก็คอยช่วยเหลือเขาเหมือนกับคุณโรส เขาจึงคิดว่าถ้าคุณโรสหายไปกับคุณราฟก็ไม่มีอะไรให้ลำบากอยู่ดี เพราะคุณราฟก็พึ่งพาได้มาก
" ก็เพราะหายไปกับราฟไง ถึงได้น่าห่วง" วิลล์สวนทันที เจ้าหมอนั่นดูเหมือนจะคิดอะไรกับน้องสาว(ไม่แท้)ของเขาอยู่ เขาถึงได้ห่วงที่โรสหายไปกับหมอนั่นแค่สองต่อสอง
เมื่อวิลล์พูดแบบนั้นออกมา มาร์ตินก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องที่วิลล์ห่วงโรสนั้น คือการห่วงว่าราฟจะทำอะไรโรส ไม่ได้ห่วงเรื่องที่เกี่ยวกับลำบากอย่างที่เขาเข้าใจ เพราะวิลล์รู้ดีว่าโรสโตแล้วและดูแลตัวเองได้ เขาจึงไม่ได้ห่วงว่าเธอจะลำบาก
" ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณราฟเขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น ยิ่งกับคุณโรสด้วยแล้ว...ยิ่งไม่มีทางหรอกครับ" มาร์ตินพูดออกมาอย่างมีเหตุผล
" ฉันเห็นด้วยกับมาร์ติน ฉันเคยทำงานกับราฟ หมอนั่นไม่มีทางทำอะไรแบบนั้น กลับกัน หมอนั่นจะดูแลโรสอย่างดีเพราะยังไงหมอนั่นก็เป็น พี่ชาย ของโรส" คราวนี้เป็นอลันที่เสนอความเห็น
" แล้วชื่อเสียงล่ะ?" วิลล์พูดขึ้นทันที ถึงตอนนี้โรสจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่คนส่วนมากก็ยังมองเธอในแง่ร้ายอยู่ แล้วมาตอนนี้ที่หายไปกับผู้ชายอีก ถึงชายคนนั้นจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่คนภายนอกมันไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น
" ก่อนที่สองคนนั้นจะทำอะไรก็ต้องคิดไว้อย่างดีแล้ว และการที่พวกนั้นทำแบบนี้ ก็เเสดงว่ามีวิธีรับมือกับเรื่องแบบนี้แน่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง" เป็นอลันที่ทำให้คนอื่นๆสงบลง...แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด
" แล้วเจ้าพวกนั้นไปที่ไหนกันเนี่ย? จะไปไหนก็ควรจะบอกกันซะบ้างสิ!! ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ? จะลำบากรึเปล่าเนี่ย?" คราวนี้คุณพี่(ไม่แท้)ก็หันมาห่วงเรื่องอื่นของคุณน้องสาวแทน
" เอาน่า นายก็รู้ว่าโรสกับราฟเอาตัวรอดเก่งขนาดไหน แล้วเจ้าสองคนนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองลำนากแน่ๆ เพราะฉะนั้น ใจเย็นๆ แล้วก็ดูฮานส์เป็นตัวอย่างซะ" เกรเทลที่เงียบมานานพูดขึ้น พร้อมบอกให้คนใจร้อนห่วงน้องสาว ห่วงเพื่อนใจเย็นๆแล้วยกตัวอย่างให้ดู เเละเมื่อมองไปยังตัวอย่างที่เกรเทลพูดขึ้น...
พวกเขาก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเทยาจากขวดหนึ่งลงสู่อีกขวดหนึ่งอย่างใจเย็น และนั่นทำให้คนที่มองใจเย็นตามไปด้วย แต่แล้ว...
เพล้ง!
ขวดยาในมือของฮานส์ก็ตกลงสู่พื้นและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ยาในขวดไหลเจิ่งนองบนพื้น ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอ?
" โรสจะเป็นยังไงบ้าง? จะลำบากรึเปล่า?" เขาพึมพำพร้อมกับยกมือขึ้นมาแล้วกัดเล็บอย่างเคร่งเครียด ไม่สนใจยาสุดที่รักบนพื้นเลยสักนิด
" เอ่อ..." เกรเทลถึงกับพูดไม่ออกก่อนจะค่อยๆหันหน้าไปมองคนที่ต้องการตัวอย่างเพื่อปฏิบัติตาม
" ม่ายยยย โรส! เธออยู่ที่ไหน!!"
" กลับมาเถอะนะ!!"
ต่างคนต่างสติหลุดพร้อมปลดปล่อยด้านที่ไม่เคยมีใครได้เห็นออกมา ทำให้เกรเทลกับอลันได้แต่มองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจแล้วก็คิดว่า...
โรส! กลับมาเร็วๆเถอะ!! พวกฉันจะบ้าตายแล้ว!!!
อีกด้านหนึ่ง
"ฝ่าบาท พระองค์กลับมาแล้ว" ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันคิดอะไรต่อ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาพวกเขาตกใจจนสะดุ้งและหันกลับไปมองด้านหลังทันที และพวกเขาก็พบกับชายคนหนึ่งที่อายุน่าจะราวๆ30ต้นๆในชุดพ่อบ้าน ด้านหลังมีผู้หญิงที่คล้ายเมดกับทหารอีกจำนวนหนึ่ง
" พวกนายเป็นใคร?" ราฟถามออกไปหลังจากควานหาเาียงตัวเองเจอ พวกเขารู้สึกบ้าใบ้และไม่รู้จะพูดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ทุกอย่างมันเริ่ม เขาก็ทำได้เพียงแค่มองมันอย่างสงบและพยายามไม่ตื่นตระหนก และดูเหมือนคนด้านข้างก็เป็นแบบเขา
" พวกกระหม่อมคือผู้รับใช้ของพระองค์ไงพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จำไม่ได้หรือ?" อีกฝ่ายตอบด้วยนํ้าเสียงแปลกใจ
" จำไม่ได้? พวกเราไม่เคยมาที่นี่ จะจำอะไรเกี่ยวกับที่นี่ได้ยังไง" โรสพูดออกไปและราฟก็พยักหน้าเห็นด้วย
" อา...การเกิดใหม่อาจทำให้พระองค์ทั้งสองสูญเสียความทรงจำ" ชายคนนั้นพูดขึ้นแต่คล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า
" แล้วพระองค์ทั้งสองรู้สึกคุ้นเคย หรือจำอะไรเกี่ยวกับที่นี่ได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ?" คราวนี้เขาถามออกมา
" คุ้นเคยนิดหน่อย"
" แต่จำอะไรไม่ได้" คนถูกถามทั้งสองตอบออกมาตามความรู้สึก
" ถ้างั้นเชิญพระองค์เสด็จมาทางนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ" เขาพูดพร้อมหลีกทางและผายมือไปทางประตู
คนถูกเชิญมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะเดินตามคนกลุ้มนั้นไป ยังไงซะ สำหรับพวกเขาก็คงจะไม่มีอะไรให้กลัวอยู่แล้ว เคยตายแล้วกลับมาเกิดใหม่แล้ว ยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีกรึไง? ถึงต้องตายอีกครั้งก็ไม่เป็นไรอยู่ดี
พวกเขาเดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นไปจนถึงห้องห้องหนึ่ง ภายในตกแต่งคล้ายเป็นห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มที่นำทางพวกเขาบอกให้ทั้งสองคนนั่งลงที่โซฟากลางห้อง และหันไปสั่งเมดด้านหลังเล็กน้อย แล้วก็มีคนยกนํ้าชากับของว่างมาให้พวกเขา ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดขึ้น
" กระหม่อมชื่อ คาลเวิร์ด กราเวียนโน่ แต่เมื่อก่อนพระองค์ชอบเรียกกระหม่อมว่า คาล และกระหม่อมก็เป็นหัวหน้าพ่อบ้านของปราสาทแห่งนี้" เฮลสันพูดขึ้น
" เมื่อก่อน? หมายความว่าไง?" ราฟพูดขึ้นด้วยความสงสัย
" อา...พวกท่านเคยได้ยินตำนานของอาณาจักรเเห่งเวทย์หรือไม่?" คาลเวิร์ดไม่ตอบ แต่กลับเป็นฝ่ายถามแทน
" เคยได้ยินมานิดหน่อย" โรสตอบและราฟก็พยักหน้า ตำนานอาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ เป็นตำนานที่เก่าแก่ที่สุดและมีข้อมูลน้อยที่สุด เท่าที่เธอรู้คือมันเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยเวทย์มนต์ และไม่มีใครรู้ทางไปอาณาจักรเวทย์มนต์นอกจากชาวเมืองของอาณาจักรนั้น
" ที่นี่คืออาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ในตำนาน คนส่วนมากก็เชื่อว่ามันมีจริง ผู้ปกครองที่นี่คือองค์จักรพรรดิ และจักรพรรดินี ทั้งสองพระองค์ช่วยกันปกครองอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งสองพระองค์ปกครองอาณาจักรได้ดียิ่ง และทั้งสองยังเป็นผู้สร้างอาณาจักรเวทย์มนต์แห่งนี้ด้วย
ผ่านไปเนิ่นนานหลายหมื่นปีหรืออาจจะเข้าแสนปี ทั้งสองพระองค์เกิดความเบื่อหน่าย จึงลงไปเกิดในโลกอื่นและเมื่อพระองค์จากไป เหล่ามนุษย์ เทพ ปีศาจ ก็เหิมเกริมและเริ่มที่จะรุกรานชาวอาณาจักรเวทย์มนต์ พวกเราจึงรวมตัวกันและกลับสู่บ้านเกิดคืออาณาจักรเวทย์มนต์ เพราะไม่ต้องการจะต่อสู้และไม่อยากจะให้เกิดสงครามขึ้น
และเมื่อชาวอาณาจักรเวทย์มนต์กลับมา พวกเราต่างเสียใจที่เหล่ามนุษย์ เทพ และปีศาจ ต้องการจะรุกรานพวกเรา บวกกับการที่องค์จักรพรรดิทั้งสองหายไป พวกเราจึงทำดวงจิตให้หลับใหลไปหลายหมื่นปี จนกระทั่งท่านทั้งสองปลุกพวกเราขึ้นมา หรือก็คือตอนนี้" คาลเวิร์ดเล่าเรื่องคร่าวๆ
" คาล ที่นายบอกว่าชาวเมืองกลับคืนสู่อาณาจักรก่อนจะหลับใหลเนี่ย หมายความว่าไง?" เธอสงสัยตั้งแต่ที่มนุษย์ ปีศาจ เเละเทพเริ่มรุกรานอาณาจักรเวทย์มนต์ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อไม่มีคนนอกรู้จักทางเข้าอาณาจักรนอกจากชาวเมืองของอาณาจักรนี้
" เดิมที มนุษย์ ปีศาจ เทพ ทั้ง3เผ่านี้ องค์จักรพรรดิเป็นผู้สร้างขึ้นมา ไม่สิ พระองค์ทั้งสองสร้างทุกอย่าง ตั้งแต่โลกไปจนถึงสิ่งมีชีวิต และอาณาจักรเวทย์มนต์กับอีก3เผ่าก็ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกัน แต่ถึงอย่างนั้น องค์จักรพรรดิก็เลือกจะอยู่ที่อาณาจักรเวทย์มนต์ ส่วนอีก3เผ่าก็ให้ปกครองกันเอง
และที่ไม่มีใครหาอาณาจักรเวทย์มนต์เจอก็เพราะที่แห่งนี้เป็นมิติ ไม่ได้อยู่ในโลกภายนอกแบบอีก3เผ่า และการจะเข้ามาในมิตินี้ได้ก็ต้องใช้พลังที่มีเฉพาะชาวเมืองอาณาจักรเวทย์มนต์เท่านั้น ซึ่งหมายถึงคนนอกไม่สามารถที่จะเข้ามาได้ แต่พวกเรานั้นสามารถออกไปนอกมิติได้ตลอดเวลา
ดังนั้นพวกเราบางส่วนจะเข้าไปปะปนอาศัยอยู่กับคนในโลกภายนอก และการทำแบบนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยที่องค์จักรพรรดิยังอยู่จนถึงตอนที่พระองค์ไม่อยู่ และไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎ จึงมีชาวเมืองส่วนมากที่ทำแบบนั้น
แต่เพราะพลังของชาวเวทย์มนต์นั้นแตกต่างจากอีก3เผ่าและหายาก อีก3เผ่าจึงตามล่าตัวพวกเรา จริงๆแล้วในสมัยที่องค์จักรพรรดิยังอยู่ก็ยังไม่มีการตามล่าพวกเรา แต่เมื่อองค์จักรพรรดิไม่อยู่ อีก3เผ่าก็เหิมเกริมจนตามล่าพวกเรา
และชาวเมืองอาณาจักรเวทย์มนต์กรักสงบและไม่ชอบสงคราม ก็ไม่ได้ต่อกรแต่เลือกที่จะกลับคืนสู่อาณาจักรนี้แทน"
" ถ้าจำไม่ผิด นายคิดว่าพวกเราคือองค์จักรพรรดิสินะ?" โรสถามออกไปแล้วคาลเวิร์ดก็พยักหน้า
" ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น?" คราวนี้เป็นราฟที่ถามขึ้น
" พวกท่านทั้งสองหยดเลือดลงไปในอ่างนํ้าใช่มั้ย?" คาลเวิร์ดไม่ตอบแต่เป็นฝ่ายถามแทน และพวกเขาก็พยักหน้าพร้อมกัน
" ถ้างั้นก็ถูกแล้ว การจะปลุกพวกเราให้ตื่นจากการหลับใหลได้ ก็มีแต่ต้องใช้เลือดขององค์จักรพรรดิทั้งสองพระองค์เท่านั้น และเลือดของท่านทั้งสองก็ปลุกพวกเราขึ้นมาได้" คาลเวิร์ดอธิบาย ส่วนคนฟังก็ได้แต่มองหน้ากันเล็กน้อย
เมื่อก่อนพวกเขาสองคนไม่เคยเชื่อเรื่องการเกิดใหม่หรือเรื่องของพระเจ้า แต่ก็ได้เจอกับพระเจ้าแถมได้พรพร้อมกับมาเกิดในโลกใหม่ มาตอนนี้ได้กลายเป็นองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรที่เกรียงไกร
พวกเขาควรเชื่อมั้ย?
" ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ตอนนี้ความทรงจำของทั้งสองพระองค์ยังไม่กลับมา ไว้พระองค์ค่อยคิดทีหลังก็ได้ ไหนๆก็กลับมาแล้ว อยู่พักที่นี่สักหน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดพูดขึ้นพร้อมยิ้มออกมา ได้เจอนายเหนือหัวอีกครั้ง ทำไมเขาจะไม่ดีใจล่ะ?
ราฟหันไปมองคนด้านข้างพร้อมส่งสายตาถามว่าจะเอายังไงต่อ "ก็ดีนะ" เธอตอบเขา ไหนๆก็ทิ้งจดหมายไว้แล้วว่าจะไม่อยู่สัก2วัน ตอนแรกเธอคิดว่าทางมาที่นี่มันจะลำบาก แต่ที่ไหนได้ ตอนแีกก็เข้ามาในเทือกเขามังกรโดยผ่านบาเรียมาได้ ต่อมาก็แค่อ่านอักษรโบราณจนมิติเปิดออก พอเข้ามาก็หยดเลือดลงไปในอ่างไม่กี่หยด ก็ดันกลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักร อืม...ง่ายจริงๆ
" ทำไมการเข้ามาที่นี่ถึงง่ายนักล่ะ?" ดูเหมือนจะมีใครบางคนคิดเหมือนกับเธอนะ
" ต่อให้คนที่จะเข้ามาในมิติได้ต้องเป็นชาวเมืองของอาณาจักร องค์จักรพรรดิก็ยังคงสร้างเกราะป้องกันเอาไว้อีกชั้น นั่นคือบาเรียที่คอยล้อมรอบเทือกเขามังกรของโลกภายนอก ที่เป็นทางเข้ามิติเพียงทางเดียว บาเรียนั้นสำหรับอีก3เผ่าจะเข้ามาได้เฉพาะคนที่มีพลังมากๆเท่านั้น แต่ถ้าเป็นชาวเมืองของอาณาจักรเวทย์มนตร์จะเข้าออกได้อย่างง่ายดาย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนของ3เผ่าที่เข้ามาในบาเรียได้ และจุดต่อมาคือแท่นหินที่อยู่บนจุดสูงสุดของเทือกเขามังกร ซึ่งถ้าผ่านเเท่นหินเข้ามาได้ ก็จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งนี้ องค์จักรพรรดิจึงได้ให้มังกรเป็นผู้ปกป้องแท่นหินเอาไว้ และมังกรก็เป็นหนึ่งในชาวเมืองของอาณาจักรเวทย์มนต์ด้วย" และเมื่อคาลเสิร์ดพูดอย่างนี้พวกเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
" ถ้างั้นหนึ่งในชาวเมืองที่กลับคืนสู่อาณาจักร ก็มีมังกรทุกตัวเลยด้วยน่ะสิ" โรสถามแล้วคาลเวิร์ดก็พยักหน้ายืนยัน
" มิหน้า ทำไมมังกรถึงหายไป" ราฟพูดต่อ
" แล้วนายรู้มั้ย ว่าทำไมหลังจากที่พวกนายหลับไป บาเรียถึงได้อ่อนแอลง" ราฟถามต่อ
" อาจเป็นเพราะต้นกำเนิดพลังบาเรียอ่อนกำลังลง พลังของบาเรียนั้นจะขึ้นอยู่กับชาวเมืองและองค์จักรพรรดิ หลังจากที่องค์จักรพรรดิไม่อยู่ ต้นกำเนิดพลังของมันก็มาตกอยู่ที่พวกเราที่เป็นชาวเมือง และหลังจากที่พวกเราหลับไป พวกเราก็คิดว่าบาเรียคงจะหายไป แต่ฟังจากที่พวกท่านบอกมา พลังบาเรียมัยก็คงจะแค่อ่อนกำลังลงใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ?"
" ใช่/อืม" พวกเขาตอบออกไป
" ถ้างั้นก็แสดงว่าพลังมันหายไปแค่ส่วนรอง แต่ส่วนหลักหรือก็คือส่วนโครงสร้างยังคงอยู่ เดิมทีบาเรียก็ถูกสร้างขึ้นโดยองค์จักรพรรดิ แสดงว่าพลังที่ใช้สร้างบาเรียตอนพวกเราหลับไป ก็คือพลังจากองค์จักรพรรดิทั้งสองที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ดังนั้นสำหรับพวกท่านและชาวเมืองของอาณาจักนี้แล้ว การจะเข้ามาในมิติแห่งนี้จะถือเป็นเรื่อง่ายดาย แต่สำหรับคนภายนอกอย่างอีก3เผ่า การจะเข้ามานั้นก็ยากลำบากมาก
อา...องค์จักรพรรดิทั้งสองยังคงเป็นห่วงพวกเราเสมอ ถึงตัวจะไม่อยู่แต่ก็ยังคงทำเพื่อพวกเรา พระองค์ทรงดีมากจริงๆ" ประโยคสุดท้ายคาลเวิร์ดพูดด้วยความภาคภูมิใจและซาบซึ้ง แถมยังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหางตาคล้ายร้องไห้ ทั้งๆที่มันไม่ได้มีนํ้าตาเลยสักหยด ทำเอาคนฟังได้แต่มองหน้ากันพร้อมส่ายหัวอย่างเอือมระอา
" อะแฮ่ม! กระหม่อมจะให้คนไปจัดห้องและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย พวกเราหลับใหลไปนาน มีเรื่องต้องให้จัดการอีกมาก เชิญทั้งสองพระองค์เดินดูรอบๆปราสาทหรือจะทรงไปเดินในเมืองก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้คนนำทาง" คาลเวิร์ดหยุด(แกล้ง)ร้องไห้แล้วหันมาพูดกับพวกเขา
" ขอบคุณ" โรสตอบออกไป
" เป็นสิ่งที่กระหม่อมสมควรทำพ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดตอบพร้อมยิ้มออกมา จะว่าไป คาลเวิร์ดกับเซบาสเตียนก็เหมือนๆกันอยู่ แต่เซบาสเตียนจะเย็นชามากกว่านิดหน่อย
" กระหม่อมขอตัว" คาลเวิร์ดพูดขึ้นพร้อมโค้งตัวคำนับแล้วเดินจากไปพร้อมเมดกับทหารบางส่วน ทิ้งอีกส่วนไว้ให้เธอกับราฟ
" เมื่อก่อนพวกเรามีที่ที่ชอบไปรึเปล่า" เธอหันไปถามเมด
" เมื่อก่อนฝ่าบาททั้งสองชอบไปเดินเล่นที่สวนเพคะ" เมดคนหนึ่งตอบออกมา
" ฉันไป นายล่ะ?" เธอหันไปพูดกับคนด้านข้าง
" ไป" เขาตอบเสียงเรียบ จะให้เขาไปไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่มีคนตรงหน้าก็พอ
" เชิญทางนี้เพคะ" เมดคนเดิมพูดก่อนจะนำทางพวกเขาไปที่สวน
อันที่จริง พวกเขาก็ไม่ค่อยจะชินสักเท่าไหร่หรอกนะ ที่จู่ๆก็มีคนมาเรียกว่าองค์จักรพรรดิ แถมยังใช้คำราชาศัพท์อีก สำหรับราฟคงไม่เท่าไหร่ เพราะเขาเข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าชายราฟาเอลได้หลายเดือนแล้ว พอมาเจอแบบนี้ก็แค่เปลี่ยนจากคำเรียกว่าเจ้าชายเป็นองค์จักรพรรดิก็เท่านั้น แต่โรสเนี่ยสิ
ชาติก่อนเธอก็เป็นนักธุรกิจ เป็นนักฆ่า เคยโดนเรียกก็แค่บอส อลิเซีย หรือถ้าเป็นเพื่อนก็เรียกว่าอลิส พอมาชาตินี้ก็เป็นท่านหญิง โดนเรียกว่าท่านหญิงโรซาเรีย โรส คนจะพูดด้วยก็มีหางเสียงว่าค่ะ/ครับ เคยโดนใช้คำราชาศัพท์ด้วยซะที่ไหน มันก็อดจะเกร็งๆนิดหน่อยไม่ได้ ยังดีที่เธอเป็นคนปรับตัวง่าย พอโดนเรียกไปสักพักก็เริ่มชิน
" ถึงแล้วเพคะ" ความคิดของเธอหยุดลงเมื่อมาถึงสวนที่อยู่ชั้น1ของปราสาท
" อา...ยังเหมือนเดิมเลยแฮะ" เธอเผลอพูดพึมพำออกมา ก็ไม่รู้หรอกว่ายังไง แต่รู้สึกเหมือนจะมีภาพบางอย่างซ้อนทับขึ้นมาในหัว
ภาพที่ปรากฏในหัวเธอ คือสวนสีเขียวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ดอกไม้หลากสีเต็มสวน มีบ่อนํ้าพุแกะสลักเป็นลายหงส์2ตัว มีตนไม้ต้นใหญ่อยู่ใจกลางสวน และใต้ต้นไม้นั่นก็มีชิงช้าอยุ่ตัวหนึ่ง เป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆ และภาพที่ผุดขึ้นในหัวของเธอก็เหมือนกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ราวกับมันเป็นที่เดียวกัน
" มันน่าคุ้นเคยเหมือนเคยมาที่นี่เลยนะ" เธอพูดขึ้นกับคนด้านข้างแต่ไม่ได้หันหน้าไปมองเขา
" ดูเหมือนเรื่องที่คาลบอกว่าเราเป็นจักรพรรดิจะเป็นจริง" เขาตอบอีกฝ่าย มันก็คล้ายกับมีภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวและคุ้นเคยกับที่นี่เหมือนอย่างที่เธอว่า
" เหมือนจะโทรมลงไปนิดหน่อยแฮะ" เธอค่อยๆเดินเข้าไปภายในสวน ภาพในหัวของเธอกับความเป็นจริงค่อนข้างจะต่างกันเล็กน้อย เพราะสวนในตอนนี้มันทรุดโทรมลงไปนิดหน่อย แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนดูแลหายไปตั้งหลายหมื่นปีนี่ ทรุดโทรมน้อยแค่นี้ก็ถือว่าน่าอัศจรรย์แล้วล่ะ
เมื่อเธอเดินเข้าไปในสวน บางอย่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ทุกก้าวที่เธอเดินจะมีแสงสว่างวาบออกมา และเเสงนั้นก็ค่อยๆกระจายไปทั่ว ซึ่งบริเวณที่แสงนั้นสว่างไปถึงจะค่อยๆกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม เเละไม่นานนัก จากสวนที่มีบางส่วนทรุดโทรม ก็กลับกลายมาเป็นสวนที่งดงามเหมือนตอนที่เจ้าของของที่นี่เคยอยู่อีกครั้ง
และมันก็สร้างความแปลกใจให้กับคนบางคนเล็กน้อย
' องค์จักรพรรดินีกลับมาแล้ว!' ฉับพลัน หูของเธอก็ได้ยินเสียงของบางอย่าง
' องค์จักรพรรดิก็กลับมาด้วยนี่!' หูของเธอยังคงได้ยินเสียงเหมือนเดิม แต่เมื่อหันกลับไปมองที่กลุ่มเมดซึ่งติดตามเธอมา ก็ไม่เห็นจะมีใครพูดอะไรเลยสักนิด
" มองอะไร เสียงมาจากตรงนั้นต่างหาก" ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวของเธอ เมื่อหันกลับไปเธอก็พบคนที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอ และเมื่อเธอหันหน้าไปมองตามทางที่เขาชี้ให้ดู เธอก็พบกับพุ่มดอกไม้
เขาจะบอกว่าต้นไม้คือคนที่พูดประโยคเมื่อกี๊?
" พวกเราคุยกับพืชแล้วก็สัตว์ได้ อย่าลืมสิ" เขาพูดต่อเมื่อเห็นเธอทำหน้าไม่เข้าใจ จะว่าไปแล้ว เธอไม่เคยใช้พรข้อนี้ตั้งแต่ได้มาเกิดในโลกใหม่
' องค์จักรพรรดินี พระองค์กลับมาแล้ว' ดอกกุหลาบส่งเสียงขึ้นเมื่อเธอเดินเข้าไปหาพุ่มไม้ที่ส่งเสียงตอนแรก
" อืม กลับมาแล้ว" เธอเผลอตอบออกไป
' พระองค์หายไปนานมาก พวกเราคิดถึงพระองค์' ดอกลิลลี่ใกล้ๆพูดบ้าง
' ฝ่าบาท พระองค์ดูแปลกๆนะ' ดอกทิวลิปอีกฝั่งส่งเสียง
' ใช่ๆ พระองค์ดูเหมือนเกร็งๆ' ต้นไม้ใกล้ๆพูดสนับสนุน
' อย่าลืมสิ ว่าฝ่าบาทไปเกิดในโลกใหม่ ข้าได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิทั้งสองสูญเสียความทรงจำไป ก็ไม่แปลกที่จะเกร็งๆไปบ้าง' นกตัวหนึ่งพูดขึ้น
' ฝ่าบาทพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง นอกจากสูญเสียความทรงจำก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรอีกนะ'
' พระองค์ต้องรีบกลับมาจำเรื่องต่างๆให้ได้เร็วๆนะ'
' ใช่ พวกเราอยากคุยกับท่านเหมือนเมื่อก่อนอีก' เมื่อได้ยินนกน้อยพูดแบบนั้น เหล่าสิ่งมีชีวิตสีเขียวก็พูดขึ้น
" อะ อืม" พอได้ยินแบบนั้นเธอก็ได้แต่ตอบรับไปย่างงงๆ
' พวกเจ้าก็อย่าไปเซ้าซี้ให้มากนัก ถ้าไปเร่งพระองค์ให้จำได้เข้ามากๆ เดี๋ยวพระองค์จะป่วยเอา' นกตัวเดิมพูดขึ้น
' จริงด้วย' เหล่าพืชพูดขึ่นเมื่อคิดได้
' ฝ่าบาท พวกเราคิดถึงท่านมากจริงๆ' นกน้อยที่บินมาจากต้นไม้อีกต้นพูดขึ้น
' พวกเราทนรอเจอท่านไม่ไหว จนต้องหลับใหลไปพร้อมกับชาวเมืองเชียวนะ' นกตัวแรกพูดขึ้น
" แล้วพวกนายไม่ใช่ชาวเมืองของอาณาจักรนี้เหรอ?" เป็นราฟที่พูดขึ้น
' พวกเราเป็นแค่สัตว์ธรรมดาจากโลกภายนอกเท่านั้น ตอนที่องค์จักรพรรดิสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมาใหม่ๆ ก็อนุญาตให้สัตว์ธรรมดาอย่างพวกเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ได้ ดังนั้นพวกเราจึงเป็นคล้ายกับชาวเมืองคนหนึ่งของอาณาจักร
ชาวเมืองของอาณาจักรแห่งนี้ จะมีหลายๆเผ่า ดังนั้นทุกคนจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคล้ายสัตว์หรือก็คือมีร่างกายแบบกึ่งสัตว์กึ่งคน และชาวเมืองของอาณาจักรนี้ยังมีอายุยืนยาวมากๆ ประมาณร้อยปีได้
ซึ่งต่างจากพวกเราที่เป็นสัตว์ธรรมดาที่มีอายุสั้น แต่องค์จักรพรรดิก็เมตตาพวกเรา พระองค์ได้ทำให้สัตว์ธรรมดาตัวใดก็ตามที่มาอยู่ในมิติแห่งนี้มีอายุไขนานพอๆกับชาวเมือง และเมื่อกลับไปอยู่ที่โลกภายนอกก็จะมีอายุไขสั่นๆเหมือนเดิม
และเมื่อถึงตอนที่ชาวเมืองจะหลับใหลไป พวกเราก็ได้หลับใหลไปด้วยเช่นกัน แล้วก็พึ่งจะตื่นพร้อมกับชาวเมืองเมื่อครู่นี้เอง' เป็นนกน้อยตัวเเรกที่เล่า
' แต่พวกเรานั้นมีวิธีการที่หลับใหลต่างจากชาวเมืองนิดหน่อย ชาวเมืองนั้นสามารถถอดจิตแล้วนำจิตของตนเข้าไปอยู่รวมกันในอ่างผลึกหินได้ แต่พวกเราที่เป็นเพียงสัตว์และพืชธรรมดาไม่มีพลังใดๆนั้นไม่สามารถทำได้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องหาที่เหมาะๆ แล้วให้พวกชาวเมืองช่วยกันเสกนํ้าแข็งล้อมรอบตัวพวกเราเอาไว้ ทำให้เหมือนกับการจำศีลนั่นแหละ
และที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะพวกเราอดทนรอที่จะเจอพวกท่านอีกครั้งไม่ได้ เมื่อได้ยินมาว่าพวกชาวเมืองจะให้ดวงจิตหลับใหล พวกเราทั้งสัตว์และพืชบางส่วนก็อยากจะทำด้วย แต่บางส่วนที่ไม่อยากหลับใหลไปก็พากันกลับสู่โลกภายนอก
เพราะสภาพของอาณาจักรแห่งนี้นั้นขึ้นอยู่กับชาวเมืองและองค์จักรพรรดิ ดังนั้นเมื่อทุกคนพากันหลับใหล สภาพของที่นี่จึงมีนํ้าแข็งปกคลุมไปทั่วทุกที่ สัตว์กับพืชธรรมดาจึงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ พวกที่ไม่ต้องการหลับใหลจึงพากันจากไป' ต้นไม้ต้นหนึ่งอธิบายต่อ
มิหน้า ทำไมตอนที่พวกเขาเห็นที่นี่ครั้งแรก ทุกอย่างถึงเต็มไปด้วยนํ้าแข็ง
' องค์จักรพรรดินียังคงงดงามเหมือนเดิม' แมลงปอที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาทั้งหมดหยุดบินอยู่กับที่แล้วพูดขึ้น
' องค์จักรพรรดิก็ยังคงงดงามเช่นเดียวกับองค์จักรพรรดินี' แมลงอีกตัวสนับสนุน
' ต้องเรียกว่าพระองค์ทั้งสองงดงามทุกร่างต่างหาก' ต้นไม้อีกต้นพูดในสิ่งที่ทำให้คนบางคนเกิดความสงสัย
" ทุกร่าง? หมายความว่าไง?" โรสถามออกไป วันนี้มีหลายเรื่องที่ทำให้เธอสงสัย
' สมัยก่อน องค์จักรพรรดิทั้งสองมักจะเผาร่างตัวเองเมื่ออายุครบ 1,000ปี และสร้างร่างกายใหม่ขึ้น และทุกๆร่างของพระองค์นั้นก็งดงามยิ่งกว่าสิ่งใด'
อา...เจ้าพวกนี้บรรยายซะจนพวกเขาอยากเห็นร่างของตัวเอง แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าพวกเขาได้รับความทรงจำกลับคืนมา เห้อ แต่พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองเป็นองค์จักรพรรดิของอาณาจักรนี้จริงๆ จบจากตรงนี้ก็คงต้องไปเค้นถามความจริงจากพระเจ้าแล้วล่ะมั้ง?
" ฝ่าบาท" เสียงคุ้นๆของใครบางคนดังขึ้นหลังจากที่พวกเขาอยู่ที่สวนมาสักพัก
" คาลเวิร์ด?" ผู้ถูกเรียกหันไปมองอย่างสงสัย
" กระหม่อมจะมาเชิญพระองค์สองไปรับประทานอาหารเย็นพ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดพูดจุดประสงค์ของการมา
" อืม" พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็พบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว นี่พวกเขาอยู่ตรงนี้นานจนลืมเวลาเลยเหรอ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามคาลเวิร์ดไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหาร แน่นอนว่าทุกอย่างอลังการสมกับการอยู่ในวัง และคาลเวิร์ดก็บอกเล่าสิ่งต่างๆของอาณาจักที่พวกเขายังไม่รู้ เเละในบรรดาเรื่องที่คาลเวิร์ดเล่ามา พวกเขารู้มาอีกว่า ก่อนที่ชาวเมืองจะหลับใหลไป ทุกคนก็เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมหมดแล้ว ทำให้ตอนตื่นมาก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายมากนัก
และพวกเขายังได้ฟังเรื่องต่างๆของตัวเองอีกต่างหาก มันก็แปลกๆอยู่นะ ที่ต้องมานั่งฟังเรื่องเล่าของตัวเอง แถมเท่าที่ฟังมาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวพวกเขาเองสมัยที่เป็นองค์จักรพรรดิของที่นี่นั้นช่างเห็นแก่ส่วนรวม ใจกว้าง ทำทุกอย่างเพื่อชาวเมือง มันช่างต่างกับพวกเขาในตอนนี้สิ้นดี
เห็นแก่ส่วนรวม? ไม่หรอก พวกเขาชอบเห็นแก่ตัวมากกว่า ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ไม่หรอก พวกเขาจะทำให้ก็เฉพาะคนที่รักเท่านั้น เห้อ เห็นแบบนี้แล้วพวกเขาก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าตัวเองเคยเป็นองค์จักรพรรดิเข้าไปใหญ่
" ฝ่าบาท ถึงเวลานอนของพระองค์แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ" คาลเวิร์ดพูดขึ้นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ตอนนี้ก็3ทุ่มแล้ว และเป็นเวลาเข้านอนตามปกติของพวกเขาจริงๆ ก่อนหน้านี้คาลเวิร์ดก็ดูจะรู้ดีว่าพวกเขาชอบอะไร พอพวกเขาถามว่ารู้ได้ยังไง เขาก็ตอบมาว่า จัดทุกอย่างตามที่องค์จักรพรรดิคนก่อนชอบ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้พวกเขาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิของที่นี่
" ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" พวกเขาคิดอะไรเพลินๆจนไม่ทันรู้ตัวว่ามาถึงห้องนอนแล้ว
" ห้องนี้เหรอ?" โรสถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะเธอกับราฟมีกันสองคน แต่บริเวณนี้มันมีแค่ห้องเดียว
" พ่ะย่ะค่ะ ห้องนี้ ห้องเดียว" คาลเวิร์ดพูดยํ้าๆพลางอมยิ้ม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าฝ่าบาทสงสัยว่าทำไมถึงมีแค่ห้องเดียว
" เมื่อก่อนฝ่าบาททั้งสองก็นอนด้วยกันอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ และพระองค์ยังไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวายในห้องทั้งตอนตื่นนอนและก่อนนอนด้วยพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะส่งเมดมาเฝ้าหน้าห้องเอาไว้ กระหม่อมทูลลา" กล่าวจบก็เดินจากไป ทิ้งให้คนอีกสองคนมองตามตาปริบๆ
" เข้าห้องเถอะ" ไม่พูดเปล่า เขาจับมือแล้วลากเธอเข้าไปในห้อง
" เห้อ อยากรู้นิสัยตังเองสมัยก่อนจนถึงแก่นจริงๆ" เธอบ่นอุบอิบ นิสัยเรื่องใจกว้างก็ไม่เหมือน แล้วไหนจะตอนนี้ที่ยอมนอนกับผู้ชายที่ไม่ได้แต่งงานกันอีก ถ้าเป็นเธอ เธอไม่ยอมนอนกับผู้ชายคนไหนทั้งนั้นแหละ
เจ้าคาลเวิร์ดก็เหมือนกัน เรื่องที่องค์จักรพรรดิทั้งสองอย่างตัวเธอกับราฟเมื่อก่อนที่ชอบนอนด้วยกัน แต่นั่นมันเมื่อก่อน! ไม่ใช่ตอนนี้! ถ้าความทรงจำของพวกเธอกลับมาแล้วก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันยังไม่กลับมา เพราะฉะนั้นนิสัยและการกระทำต่างๆก็ยังคงต้องเป็นของตัวเธอที่ติดมาจากโลกก่อน สมัยที่เธอยังเป็นอลิเซีย
ขนาดเพื่อนของเธออีก4คน เธอยังเคยนอนด้วยก็แค่ไม่เกิน8ครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับ...
...กับคนที่เธอไว้ใจ และดูเหมือนจะไว้ใจมากกว่าเพื่อนของตัวเองซะด้วย
มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?
เมื่อก่อนเธอไว้ใจคนยาก ขนาดเพื่อนทั้ง4คนเธอยังใช้เวลาสังเกตุตั้ง1ปี กว่าจะคบเจ้าพวกนั้นเป็นเพื่อน แต่นี่...ราฟ เธอพึ่งรู้จักเขาได้แค่ไม่กี่เดือน ไม่ถึงครึ่งปีได้ซํ้า เธอกลับรู้สึกว่าไว้ใจเขาได้มากกว่าคนอื่นๆ
เห้อ สงสัยว่าในโลกนี้คงจะไม่มีเรื่องให้เธอต้องระวังตัว ก็เลยไว้ใจคนอื่นได้ง่ายเป็นพิเศษ อืม...ใช่ ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าเธอเหมือนกับเขาคนนั้น
เจ้าบ้า! ขนาดเธอมาอยู่ต่างโลกยังทำให้เธอคิดถึงได้อีก มันน่าฆ่าให้ตายจริงๆ วันๆเอาแต่ทำหน้าเย็นชาจนน่าหมั่นไส้ แต่พออยู่กับเธอดันกลายเป็นคนที่สนุกกับทุกเรื่อง เหอะ! เจ้าคนสองหน้าเอ๊ย!
" โรส เธอไปอาบนํ้าก่อนเลย เดี๋ยวฉันค่อยอาบทีหลัง" เสียงของอีกบุคคลที่อยู่ในห้อง และถูกเธอนำไปเปรียบเทียบกับคนที่อยู่ในอีกโลกหนึ่งดังขึ้น
" เดี๋ยวฉันไปเอาเสื้อผ้าในมิติก่อน" เธอตั้งสติอยู่นิดหน่อยก่อนจะตอบออกไป ตอนจะมาที่นี่เธอก็ไม่ได้เอาอะไรมาเพราของทุกอย่างก็มีในมิติอยู่แล้ว
" ไม่ต้อง ในนั้นมี" เขาห้ามเธอเอาไว้ก่อนจะอธิบายพร้อมชี้นิ้วไปทางตู้เสื้อผ้าตู้เพียงตัวเดียวในห้อง ซึ่งเขาไปดูมาแล้วว่ามันมีเสื้อผ้าที่เขาและเธอน่าจะใส่ได้ คงเป็นของสมัยที่พวกเขาเป็นองค์จักรพรรดิล่ะมั้ง?
" อืม น่าจะได้อยู่" เธอพูดพึมพำ ในตู้มันแบ่งไว้2ฝั่งชัดเจน ฝั่งนึงน่าจะของผู้ชายส่วนอีกฝั่งเป็นของผู้หญิง จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องนํ้าพร้อมชุดนอนอีกชุด
20นาทีต่อมา
เธอออกมาจากห้องนํ้าพร้อมชุดนอนกางเกงสีขาวขายาว ดูเหมือนนี่จะเป็นอีกเรื่องที่ตัวเธอในตอนนี้กับเมื่อก่อนชอบสีขาวกับสีดำเหมือนกัน
" นายเข้าไปอาบได้แล้ว" เธอบอกคนที่กำลังยืนดูอ่านหนังสืออยู่ใกล้ชั้นวาง แล้วเขาก็เข้าไปอาบนํ้าต่อจากเธอ
ตอนเข้ามาในห้องเธอยังไม่ทันจะสังเกตุดีๆ ห้องนี้ส่วนมากก็เน้นตกแต่งด้วยสีดำกับขาว แต่จะมีสีทองเข้ามาเพิ่มด้วยนิดหน่อย ทำให้ดูเรียบหรูขึ้น แถมห้องยังใหญ่มากซะด้วย มีชั้นที่เต็มไปด้วยสมุดหนังสือมากมาย แถมยังมีระเบียงยื่นออกไปอีก แต่มีแค่อย่างเดียวที่เธอไม่เข้าใจ
ห้องออกจะใหญ่โตแต่ทำไมมีเตียงแค่เตียงเดียว? ถึงเตียงมันจะใหญ่ขนาดคิงไซส์ก็เถอะ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเธอต้องนอนร่วมเตียงกับคนอีกคนเหรอ? ตอนแรกเธอก็ยังพอทำใจได้ว่ามันคงจะมีเตียง2ตัว แต่มันกลับมีแค่ตัวเดียว เห้อ เอาเถอะ
แอ๊ด~
" จะนอนเลยมั้ย?" ราฟเดินออกมาจากห้องนํ้าพลางถามขึ้น
" อืม นอนเลย" นี่ก็3ทุ่มเกือบจะ4ทุมแล้ว เลยเวลานอนของเธอมามากแล้วด้วย
" เธอจะนอนฝั่งไหน?" ราฟพูด เพราะเขาเชื่อว่ายังไงคนตรงหน้าก็ไม่มีทางมาเขินอายกับเรื่องแบบนี้แน่
" ฝั่งนี้ล่ะกัน" แล้วมันก็จริงอย่างที่เขาคิด เธอไม่ได้มีปฏิกิริยาเจินอายใดๆทั้งสิ้น และล้มตัวลงนอนบนเตียง
ฟุบ
เตียงอีกฝั่งยุบลงเมื่อมีคนอีกคนขึ้นมานอนหลังจากที่ปิดไฟเรียบร้อยแล้ว ถึงมันจะมืดมาก แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยังมองเห็นว่าอีกคนยังไม่หลับ
" ไม่ง่วงเหรอ?" เป็นราฟที่พูดขึ้น ในโลกก่อนสมัยเรียน เขามักจะไปรบกวนอีกฝ่ายเวลาดึกบางครั้ง เลยรู้ว่าเธอมักจะนอนตอน3ทุ่มเสมอ และมาโลกนี้เธอก็ยังคงนอนเวลาเดิมเสมอ แต่ตอนนี้กลับมานอนจ้องเขาทั้งๆที่จะ4ทุ่มแล้ว
" แล้วนายล่ะ?" เธอไม่ตอบแต่ถามเขากลับ
" ง่วง แต่นอนไม่หลับ" ได้มานอนกับเธออีกครั้ง จะหลับลงได้ยังไง เขาอยากจะมองเธอต่ออีกสักนิด
" อืม" เธอตอบรับในลำคอก่อนจะหันหน้าไปอีกฝั่ง เธอเริ่มง่วงแล้วสิ...
" โซ..." หลังจากที่ใครบางคนหลับได้สักพัก ก็เผลอละเมอออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะได้ยินชัดเจน
"..." เธอฝันถึงเขาเหรอ? นี่ขนาดเธอหลับยังฝันถึงเขา แล้วเขาคิดคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อยได้มั้ย? ว่าเธอคิดถึงเขาน่ะ
เอาเถอะ เธอจะคิดถึงเขามั้ยก็แล้วเเต่ แต่ที่แน่ๆคือเขาคิดถึงเธอ ต่อให้รู้ว่าเธอข้ามมิติมาด้วยแล้ว เขาก็ยังคิดถึงเธออยู่ดี แล้วมันก็คงจะไม่ผิดนักที่เขาจะขออยู่กับความสุขของตัวเองสักครู่
เมื่อคิดได้ เขาก็เอื้อมมือไปดึงตัวอีกคนที่อยู่บนเตียงเข้ามาหาตัวแล้วกอดอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันตามอีกคนไป
อืม...ได้แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้วแล้ว
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
มากกว่านี้ได้ไหมไรท์5555