สงครามมหายุทธ์
นิยายแฟนตาซีที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องบู๊
ผู้เข้าชมรวม
480
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สงครามมหายุทธ์
ภาคที่หนึ่ง ราฮัดคืนชีพ
ตอนที่ ๑
อสูรแห่งทะเลทราย
ท่ามกลางเวลากลางดึกอันเงียบสงัดในเมืองซารูเฮ็น หญิงสาวนางหนึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว นางวิ่งไปพลางหอบไปพลางจนเกือบล้มหลายครั้งแต่นางก็ยังคงกัดฟันวิ่งต่อไปโดยมีกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งซึ่งมีสมาชิกราวห้าถึงหกคนวิ่งไล่ตามนางมาติดๆ กลุ่มโจรกวดฝีเท้าไล่นางกระชั้นเข้ามาทุกที ทันใดนั้นหญิงสาวก็เหลือบเห็นทางแยกทางด้านหน้าฝั่งซ้ายมือ นางจึงเลี้ยวเข้าไปในตรอกนั่นโดยหวังว่าจะหาที่ซ่อนในตรอกรอจนพวกโจรคลาดกับนางแล้วจึงหาทางกลับบ้าน ทว่าราวกับชะตาเล่นตลกเพราะตรอกนั่นเป็นซอยตัน ลมอันหนาวเหน็บที่พัดผ่านตัวนางในคืนนั้นส่งเสียงราวกับจะหัวเราะเยาะในโชคชะตาของนางก็ว่าได้
เฮ้ยนังหนู จะหนีให้เหนื่อยทำไม ต่อให้เจ้าวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังอืดกว่าพวกเราอยู่ดีน่ะแหละ โจรร่างผอมที่ยืนอยู่กลางกลุ่มหัวเราะพลางผิวปากล้อเลียน
ของก็ได้ไปหมดแล้วนี่ ยังจะเอาอะไรอีก หญิงสาวนางนั้นรวบรวมความกล้าตะโกนออกไป
ใครว่าเราได้ไปหมดล่ะ ของมีค่าชิ้นสุดท้ายนี่เรายังไม่ได้ไปเลยนะ ตัวเจ้าไงล่ะ ถ้าเอาไปขายทอดตลาดมืดคงได้หลายเชียวล่ะ เหอๆๆ โจรอีกคนหัวเราะแล้วทั้งกลุ่มก็เดินย่างสามขุมจากปากซอยเข้าไปหานางโดยที่ในมือของแต่ละคนมีทั้งอาวุธและเชือกเตรียมพร้อมไว้ทั้งหมด
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองข้าด้วยเถอะ หญิงนางนั้นพนมมืออ้อนวอนด้วยเสียงอันแผ่วเบา นางค่อยๆถอยกรูดไปด้านหลังอย่างช้าๆจนตัวติดกำแพง ท่ามกลางบรรยากาศสิ้นหวังนั้นพลันมีเสียงดังมาจากบนกำแพงด้านหลังนาง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์รึ เลิกหวังไปเถอะพี่สาว ขยะสังคมพวกเนี้ยไม่ต้องถึงมือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรอก ชายชุดดำคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังกำแพงลงมาขวางระหว่างหญิงสาวกับกลุ่มโจรพอดี เนื่องจากเขายืนแบบกึ่งหันข้าง หญิงสาวจึงมีโอกาสได้เห็นเขาภายใต้แสงจันทร์ เขามีความสูงปานกลาง และมีใบหน้าคมขำ แม้จะใส่ชุดดำซึ่งคลุมเกือบทั้งตัวแต่ก็พอเดาได้คร่าวๆว่าเขาน่าจะเป็นคนผิวเหลือง แววตาของเขานั้นดูจริงจังและเหี้ยมเกรียมยามจ้องหน้าโจรเหล่านั้น ถ้าพิจารณาจากรูปลักษณ์โดยรวมแล้วเขาไม่น่ามีอายุเกินยี่สิบ
เอาแค่ข้าก็พอแล้ว ชายชุดดำกล่าวพลางยื่นถุงสีดำใบหนึ่งให้หญิงสาว ถือให้หน่อยนะพี่สาว ข้างในมีแตกง่ายอยู่ หญิงสาวรับถุงนั้นมาอย่างงงๆก่อนที่จะถอยตัวไปชิดมุมกำแพงซอยทางด้านซ้าย
เฮ้ยไอ้หนุ่ม ธุระระหว่างคนสองกลุ่มนี้ไม่รับมือที่สามนะเว้ยเฮ้ย เกะกะเสียเวลา โจรร่างใหญ่คนหนี่งเดินอาดๆเข้ามาที่หน้าแถวของกลุ่มพร้อมกับชี้ดาบไปทางชายชุดดำซึ่งยืนอยู่ห่างจากเขาไม่เกินเจ็ดก้าว แล้วไอ้ที่ว่าขยะสังคมน่ะ แกมันดิบดีมาจากไหนนักหา
ก็ไม่ได้ดิบดีอะไรมากหรอก เพียงแต่รู้สึกรับไม่ได้กับพฤติกรรมหมู่ของพวกแกน่ะ มันอดไม่ได้ก็เลยต้องเข้ามายุ่ง ชายชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันและหยิ่งยโส เมื่อโจรร่างใหญ่หรือใครก็ตามได้ฟังเช่นนี้มีรึจะอดกลั้นกดอารมณ์ไหว เมื่อได้ยินเช่นนี้โจรผู้นั้นก็เงื้อดาบคำรามลั่นพร้อมกับวิ่งเข้าใส่ชายชุดดำอย่างรวดเร็ว ฝ่ายชายชุดดำก็เบนตัวหลบดาบของโจรพร้อมกับชักดาบเขี้ยวงูคู่ของเขาออกจากฝักที่เหน็บไว้ข้างเอว
ดาบถัดไปแกไม่รอดแน่ โจรร่างใหญ่คำรามก้องพร้อมกับหวดดาบครั้งที่สองไปที่ชายชุดดำอย่างรวดเร็ว ทว่าสุดท้ายแล้วดาบของเขากลับไปปักอยู่กับพื้นดินและกว่าเขาจะรู้ตัวร่างของเขาก็ถูกผ่าออกเป็นสามส่วนแล้ว แม้ว่าแทบจะไม่มีเลือดกระเซ็นออกจากรอยแผลที่แบ่งร่างเขา แต่เครื่องพิสูจน์ว่าผู้ชนะในการดวลครั้งนี้ก็คือชายชุดดำซึ่งถือดาบเขี้ยวงูของเขาที่มีเลือดสดๆของเหยื่อเขาไหลย้อยลงมาที่ปลายดาบก่อนจะหยดลงบนพื้นช้าๆทีละหยด เห็นหน้าพวกแกแล้วรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาตะหงิดๆแหะ ใครอยากเป็นรายต่อไปก็เข้ามาได้เลย ชายชุดดำกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงความเกลียดชังไว้ด้วย
เฮ้ยพวกเราลุยมันพร้อมๆกันนี่แหละ โจรร่างผอมกล่าวเชิงสั่งกลุ่มโจร ทันใดนั้นโจรสองคนวิ่งตรงมายังชายชุดดำ แต่คราวนี้ยังไม่ทันถึงตัวคู่ต่อสู้ ชายชุดดำก็ควงดาบคู่ของเขาพร้อมกับกระโดดม้วนตัวข้ามโจรทั้งสองคนไปก่อนจะหันกลับมาขว้างดาบปักเข้ากลางหลังโจรทั้งสองถึงแก่ชีวิตทันที
ฉันจะเจี๋ยนแกเป็นคนสุดท้ายไอ้แห้ง โทษฐานที่ทำข้าเสียค่าอาหารกลางวันไปฟรีๆสองร้อยเร็น กล่าวจบเขาก็หยิบคันธนูที่พาดไว้ด้านหลังออกพร้อมๆกับดึงลูกศรออกมาสามดอกจากซอง พอที่พวกโจรตั้งท่าจะหนี เขาก็เอาลูกธนูขึ้นพาดคันธนูพร้อมๆกันก่อนจะยิงออกไปยังเป้าหมาย ลูกธนูที่แหวกอากาศออกไปนั้นส่งเสียงหวีดวิวก้องก่อนจะปักเข้าที่กลางหลังโจรสามคนที่กำลังหนีสุดฤทธิ์ล้มลงไปกองกับพื้นทันที คราวนี้เป็นทีของชายชุดดำที่ย่างสามขุมตรงมายังโจรร่างผอม เขาดึงลูกธนูออกจากโจรนั่นอย่างไร้ปราณีพร้อมกับกระชากคอเสื้อขึ้นมา
แกตบของของแม่นางคนนั้นไปกี่อย่างเอามาให้หมด โจรร่างผอมคนนั้นไม่ตอบแต่ชี้ไปที่เอวของตนซึ่งมีถุงหนังใบเล็กๆห้อยอยู่ มีทั้งหมดเท่าไหร่ ชายชุดดำยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าของโจรร่างผอมจมูกเกือบชนกัน
สาม สามร้อยเร็นจ้า โจรผู้นั้นตอบอย่างกะท่อนกะแท่นก่อนที่จะหมดลมไป ชายชุดดำปลดถุงเงินออกจากเข็มขัดของโจรพร้อมกับเดินไปหาหญิงสาวผู้ซึ่งคดตัวอยู่มุมกำแพงพร้อมกับยื่นถุงเงินให้ เปิดนับดูก่อนนะพี่สาวว่าครบหรือเปล่า
ค่ะ คะคะครบถ้วนดี
ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก ชายชุดดำยื่นมาของเขาข้างหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้น งั้นข้าขอถุงผ้าของข้าคืนแล้วกัน เขารับถุงผ้ามาก่อนจะเปิดดูของข้างในแล้วยกขึ้นพาดบ่า
ขอบคุณท่านมากค่ะที่ช่วยเหลือ หญิงสาวนางนั้นค่อยๆยันกายลุกขึ้นก่อนจะโค้งขอบคุณชายชุดดำ
ไม่เป็นไร
ท่านมีนามว่าอะไรคะ เผื่อว่าเราพบกันวันหลังข้าจะได้ตอบแทนท่านบ้าง
ข้าชื่อเฟรย์ แต่คนทั่วไปเรียกข้าว่า ค้างคาวทมิฬ ท่านอยากจะเรียกข้าแบบไหนก็แล้วแต่ท่านละกัน อ่อแล้วก็กลับบ้านดีๆด้วยล่ะ เฟรย์กระโดดขึ้นบนกำแพงด้านหลังก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อสิบกว่าปีก่อน อาณาจักรคาโอราฮัดซึ่งในสมัยนั้นราชาไทรันนัสยังคงครองราชย์อยู่ได้ประกาศสงครามกับกลุ่มพันธมิตรแห่งซาร์คาดูมอันประกอบไปด้วยผู้คนแห่งอาณาจักรสีขาวโซไลออน คนเถื่อนแห่งหุบเขาตะวันตกวาราดู และชนเผ่าเอลฟ์ผู้รักสงบแห่งเอลวิรอน ทว่าในสงครามครั้งนั้นราชาไทรันนัสพ่ายแพ้และได้ทิ้งหนี้สินทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่แก่น้องชายคือราชาซาฮามาในปัจจุบัน ราชาซาฮามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างหนักโดยการเปิดคลังทรัพย์สินของกษัตริย์แล้วนำทรัพย์สินในคลังไปค้าขายให้แก่พ่อค้าต่างแดน จากนั้นจึงนำเงินที่ได้มาซื้ออาหารและเมล็ดพันธุ์สำหรับชาวไร่ชาวนา ส่วนกำแพงปราสาทก็สั่งให้ทุบกำแพงชั้นนอกซึ่งทำจากหินทรายแล้วนำมาใช้ผลิตกระจกเพื่อแสงสว่างแก่คนงานที่ต้องทำเหมืองแร่ทางการใช้คบไฟเพื่อประหยัดการนำเข้าน้ำมันจากต่างแดน หลังจากบ้านเมืองเริ่มฟื้นฟูแล้ว ราชาซาฮามาก็เริ่มส่งกองกำลังออกไปปราบปรามชุมนุมต่างๆที่แข็งข้อและหาทางบุกตีอาณาจักร นอกจากนี้ยังฝึกหน่วยรบพิเศษใหม่ๆเพิ่มขึ้นพร้อมกับการฝึกสัตว์สงครามชนิดใหม่ๆเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพ กระนั้นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของอาณาจักรราฮัดฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็นก็คือการสูญเสียหมู่เกาะทางเศรษฐกิจทั้งสามทางตอนเหนือของอาณาจักรให้กับโซไลออน ดังนั้นแม้ว่าบ้านเมืองโดยทั่วไปดูจะกลับเข้าสู่สภาวะสงบแล้ว แต่ก็ยังมีชาวบ้านซึ่งอดอยากปากแห้งอยู่มากจนทำให้เกิดโจรกบฏบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีบางส่วนลี้ภัยไปเข้ากับชนเผ่าทะเลทรายทางตอนใต้ของอาณาจักรด้วย
หน่วยทหารที่เฟรย์สังกัดอยู่นั้นคือหน่วยเชฟรูซึ่งหน้าที่หลักๆแล้วก็คือการปราบโจรกบฏและบรรเทาสาธารณะภัย แต่ทว่าจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของหน่วยนี้คือการลอบสังหารและสอดแนมผู้ที่คิดจะรุกรานหรือสร้างความปั่นป่วนในอาณาจักร
ในสัปดาห์ที่สองนับจากการเดินทางออกจากมหานครเมย์เฮ็ม เฟรย์ได้เดินทางมาถึงค่ายชายแดนที่อยู่ติดกับช่องเขา เซฟาร์หรือช่องเขาวิญญาณรำพึงซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองเนฟรูรา ที่นั่นเฟรย์ได้พบกับแม่ทัพแพบาผู้ซึ่งกำลังวางแผนรับมือกับเหล่านักรบทะเลทรายที่มักจะเข้ามารุกรานพวกเขาบ่อยๆ
ปัญหาของเราตอนนี้คือหากเราวางกำลังซุ่มไว้ตามภูเขาที่พวกนักรบทะเลทรายต้องใช้ผ่านเข้ามานั้น ทหารของเราอาจถูกพวกอสูรบนภูเขาสังหารได้ แม่ทัพแพบาคุยกับเฟรย์พลางชี้ไปทางจุดสัญลักษณ์บนภูเขา เราส่งคนไปสำรวจบนนั้นสองพลัด แต่มีนายทหารเพียงสองคนเท่านั้นที่กลับมาจากการสำรวจรอบสอง ตัวเขาชุ่มไปด้วยเลือดขณะที่เขารายงานข้าว่าเพื่อนๆในชุดสำรวจโดนปีศาจภูเขาทำร้าย ขณะเดียวกันหากเราจะเข้าปะทะกับพกนักรบทะเลทรายโดยตรงเพื่อสลายกำลังก็จะเสี่ยงต่อการโดนปิดล้อม ทั้งนี้หากเรารุกเข้าไปในเขตทะเลทรายลึกเกินไป ทหารของเราก็อาจไปกว่าครึ่งก่อนการรบเสียด้วยซ้ำ
ท่านก็เลยอยากให้ข้าเข้าไปในค่ายของพวกมันแล้วป่วนค่ายแทนงั้นซิ เฟรย์ถาม
ไม่ใช่ก่อกวนอย่างเดียว แต่เจ้าต้องรายงานรายละเอียดต่างๆในค่ายมาให้ข้าได้รู้ด้วยเพื่อพวกเราจะได้วางแผนการจู่โจมได้อย่างถูกต้อง
รับทราบ เฟรย์ตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะผละออกจากค่ายไปในคืนนั้น
ณ ช่องเขาเซฟาร์หรือช่องเขาวิญญาณรำพึงมีนักรบทะเลทรายสองคนเดินเข้ามาสำรวจพื้นที่ ช่องเขาดังกล่าวมักจะมีลมพัดผ่านในช่วงพลบค่ำจนถึงกลางดึก นอกจากนี้สถานที่นี้ยังเคยเป็นจุดที่ทหารคาโอราฮัดและนักรบทะเลทรายเคยปะทะกันเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนจึงทำให้มีความเชื่อว่าเสียงลมที่พัดผ่านช่องเขานี้คือเสียงวิญญาณผู้ตายที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดและรอการล้างแค้นอยู่นั่นเอง
บนเขานี่ช่างเหมาะแก่การดักซุ่มจริงๆ นักรบทะเลทรายคนหนึ่งพูดขึ้นพลางกวาดตามองดูยอดเขาที่สูงเสียดฟ้า
นั่นซิ เพียงแค่เรายึดพื้นที่ด้านบนได้ชัยชนะก็จะตกเป็นของเราทันที แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าจะขึ้นไปยังไงเนี่ยซิ นักรบอีกคนหนึ่งสำทับ
เออ ถูกของแกแหะ ทางขึ้นผานี่ไม่ว่าทางไหนก็ชันเกินไป แถมข้างบนก็มีแนวโน้มเป็นพื้นที่แห้งแล้งด้วย คงจะใช้ตั้งค่ายหรือซุ่มโจมตีนานๆไม่ได้หรอก ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น นักรบทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงแว่วมาตามสายลม ในตอนแรกเสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบแต่ต่อมามันก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งทั้งนักรบทั้งสองคนได้ยินอย่างชัดเจน
มาได้เวลาเหมาะเจาะจริงๆ ว่าแต่ว่าจะเอาคนไหนก่อนดีน้า อืมม์ เสียงเร้นลับนั้นดังขึ้น
ใครน่ะ นักรบคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับชักดาบจากฝักพร้อมๆกับเพื่อนของเขา ทั้งคู่หันหลังชนกันแล้วเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของเสียงแต่ก็ไม่เจอใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะไอ้ขี้ขลาด
ได้ งั้นเดี๋ยวจัดให้ ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างดำทะมึนพุ่งลงมาจากชะง่อนผาอย่างรวดเร็วราวลูกธนู ก่อนที่นักรบทะเลทรายทั้งสองจะรู้ตัว พวกเขาก็รู้สึกราวกับมีวัตถุขนาดใหญ่ฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างรุนแรงจนสลบไป ต่อมาเมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงมายังช่องเขา นักรบทะเลทรายทั้งสองก็เริ่มฟื้นจากการสลบและเมื่อตาของพวกเขาเริ่มปรับสภาพเข้ากับความมืดได้อีกครั้งพวกเขาก็เห็นร่างที่แท้จริงของเงาดำที่จู่โจมพวกเขาซึ่งก็คือ เฟรย์นั่นเอง
แก แกต้องการอะไรจากพวกเราฟะ หา
ก็แค่ชุดสำหรับสวมใส่เพื่อกันความหนาวเหน็บบวกกับยันตร์กันภัยน่ะซิ แม้ว่าร่างของเฟรย์จะดูเด่นเป็นสง่าใต้แสงจันทร์ แต่ใบหน้าของเขากลับมองเห็นได้ยากยิ่งเนื่องจากหมวกผ้าสีดำที่เขาสวมอยู่บดบังแสงจันทร์ที่ส่องลงมาไม่ให้ถูกหน้าของเขา ขอแค่นี้คิดว่ามากเกินไปหรือเปล่าล่ะ
อย่าดีแต่พูดเลย พวกเรานักรบทะเลทรายไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น เก่งจริงแก้มัดพวกเราแล้วมาสู้กันดีกว่า
ไอ้สู้น่ะได้สู้กันแน่ แต่คงไม่ใช่กับแสองคน เอาเถอะถ้าคืนนี้โชคดีอาจมีใครมาแก้มัดให้ก็ได้นะ แต่ถ้าไม่มีก็ถือว่าดวงตกแล้วกันนะ ไปล่ะ เฟรย์กล่าวพร้อมกับกระโจนหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่นานนัก เฟรย์ก็เดินทางมาถึงที่หมายซึ่งก็คือค่ายพักของหน่วยนักรบทะเลทรายกลุ่มแมงป่อง (นักรบทะเลทรายมีทั้งหมดสี่กลุ่มซึ่งล้วนแต่เป็นพันธมิตรกันอันได้แก่ กลุ่มแมงป่อง กลุ่มงู กลุ่มเหยี่ยว และกลุ่มหมาป่า) ที่หน้าค่ายมีทหารเฝ้ายามอยู่สองคนใกล้กับโป๊ะไฟหน้าค่าย
ถ้าเข้าไปเดี่ยวๆมีหวังโดนสงสัยแน่ เห็นทีต้องเข้าจากด้านข้างค่ายซะแล้ว ทว่าในช่วงเวลานั้นเองเขาก็สังเกตุเห็นได้ว่าทหารทั้งสองคนเริ่มหาวและบิดขี้เกียจไปมา
อ้าว ที่แท้ก็แอบเก๊กมั่นนี่นา อืมม์ แบบนี้ลองใช้ไอ้นั่นดูดีกว่า เฟรย์ล้วงกระเป๋าเครื่องมือที่เหน็บไว้ข้างเอวพร้อมกับหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมา เขาย่องเข้าไปที่หน้าค่ายอย่างช้าๆจนเข้าระยะที่เข้าจะสามารถปาขวดยาไปยังทหารยามได้
เฮ้ย ใครน่ะ ยามคนหนึ่งทักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆย่องตรงมาทางพวกเขาพร้อมกับกระชับหอกในมือแล้วตั้งท่าเตรียมต่อสู้
เฮ้ย ข้าเอง ข้าเพิ่งเสร็จจากไปดูลาดเลาที่ช่องเขามาน่ะ
แล้วเพื่อนแกอีกคนหายไปไหนหา ตอนที่พวกแกออกไปเห็นไปด้วยกันนี่นา ทหารยามยังไม่ลดหอกขณะที่ถามเฟรย์
เพื่อนข้าถูกหมาป่ารุมกัดจนตาย ข้าพยายามช่วยเขาแล้วแต่ไม่สำเร็จจึงกลับมาเพียงคน ให้ข้าเข้าไปเถอะ ข้ามีข่าวสำคัญต้องรายงานท่านแม่ทัพ เฟรย์พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยแต่ก็บ่งบอกถึงความเร่งรีบของเขาอยู่ด้วยเช่นกัน
อืม ข้าเสียใจกับเพื่อนเจ้าด้วยนะแต่ว่าข้ารู้สึกสงสัยในคำพูดของเจ้าที่ว่าเพื่อนเจ้าโดนหมาป่ากัดตาย
ทำไมล่ะ
เพราะบริเวณหุบเขานี่น่ะไม่เคยมีหมาป่าอาศัยอยู่น่ะซิ ทหารยามขึ้นเสียง เจ้านี่แต่งตัวเหมือนพวกเราก็จริง แต่ข้าก็รู้สึกสงสัยเจ้าตั้งแต่ต้นแล้ว ทั้งสำเนียงก็แปลกๆ ทั้งท่าทางการพูดก็ด้วย เจ้าเป็นใครกันแน่
อ้าว ก็ข้าก็เป็นทหารของค่ายนี้น่ะซิ พวกเดียวกันเองยังไม่รู้อีก
จะพิสูจน์ได้ เจ้าก็ต้องบอกรหัสลับมาก่อน
ก็ได้ เดี๋ยวขอนึกก่อน อ่อ เนื้อย่างหมูทอดกับไก่ปิ้ง ใช่มะ
รหัสลับบ้านแกซิยาวได้ซะขนาดนี้ ทหารทั้งสองนายกระชับหอกในมือเตรียมสังหารเฟรย์ แต่แล้วทั้งสองก็ลดมือลงเมื่อเฟรย์ยกมือขึ้นห้ามก่อนจะหยิบขวดยาสีเขียวขุ่นขวดหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า
เฮ้ยเมื่อกี้ข้าแค่ล้อเล่น ต่อไปนี้เป็นรหัสลับจริงแล้ว ดมให้ดีๆนะ ว่าแล้วเฟรย์ก็ขว้างขวดยาลงพื้นทันที เมื่อขวดแตก ควันสีเขียวอ่อนระเหยก็ออกจากขวดพร้อมกับเสียงดังฟู่
แค่กๆ โอ๊ก ศัตรูบุกค่าย เจ้าข้าเอ๊ยศัตรูบุกค้ายยยยยย ศัตรูบุกคร่อกกกก ทหารยามสองคนเมื่อสูดไอระเหยจากยาในขวดเข้าไปก็เริ่มตะโกนดังลั่นก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับกรนเสียงดัง ในเวลาเดียวกันเฟรย์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ครู่ใหญ่ต่อมา ทหารยามทั้งสองนายก็ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังคล้ายเสียงฟ้าผ่าของนายกองสุดเฮี๊ยบเฮ้ย ตื่นๆ ให้เฝ้ายามนะเว้ยเฮ้ยไม่ใช่ให้เปลี่ยนที่นอน ตื่นโว้ย นายกองถีบทหารทั้งสองนายป้าบใหญ่
ศัตรูบุกคะ อ้ะ อ้าวหัวหน้า มาที่นี่ทำไมครับเนี่ย ทหารยามทั้งสองนายรีบลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพนายกองทันที
ถามได้ ใครดันทะลึ่งตะโกนแหกปากซะลั่นค่ายว่าศัตรูบุก ข้าเองก็ร้อนใจรีบมาดู หนอย ที่ไหนได้ดันเจอพวกแกนอนละเมอกันอยู่สองคน อย่าให้มีครั้งที่สองอีกนะไม่งั้นโดนจับแช่ทรายแน่
แต่หัวหน้ากองครับ พวกเราเห็นจริงๆนะครับว่า.
ยังจะพูดดีอีก ได้ งั้นคืนนี้ข้าจะให้พวกเจ้าเฝ้าทั้งคืนเลย
ตะ แต่หัวหน้า
เถียงเหรอ เดี๋ยวจับแช่ทรายตั้งแต่คืนนี้เลยเอาไหม นายกองขึ้นเสียงสูงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทหารยามทั้งสองจนจมูกอ้วนๆกลมๆเหมือนลูกพลับของเขาเกือบชนเข้ากับของนายทหาร
เอ่อ ไม่ดีกว่าครับท่าน
งั้นก็เฝ้าไปอย่าบ่น ข้าจะไปงีบต่อละ พับผ่าคนกำลังฝันดีอยู่แท้ๆเชียว ว่าแล้วหัวหน้ากองก็หันหลังเดินอาดๆไปอย่างไม่สบอารมณ์
ในขณะเดียวกันเฟรย์ก็กำลังค้นหาค่ายพักของแม่ทัพใหญ่เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการจู่โจมของเขา เขาวิ่งลัดเลาะกระโจมต่างๆไปเรื่อยจนกระทั่งเข้าไปถึงกลางค่าย ที่นั่นมีกระโจมขนาดกลางตั้งอยู่ บนยอดของกระโจมประดับด้วยปลายหอกทองคำซึ่งสะท้อนแสงจากเปลวไฟและผ้าใบที่คลุมกระโจมก็มีภาพสัตว์ต่างๆในอริยาบถที่แตกต่างกัน แต่ละตัวล้วนดูราวกับมีชีวิตชีวาซึ่งก็เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าช่างที่วาดภาพต้องมีฝีมือเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าคนที่จะจ้างช่างภาพเหล่านี้ได้ย่อมต้องเป็นคนที่มีฐานะดีมากด้วยซึ่งก็ไม่พ้นแม่ทัพที่ประจำค่ายนี้แน่นอน เฟรย์ย่องเข้าไปข้างๆกระโจมอย่างเงียบกริบ เสียงฝีเท้าของเขาเงียบมากจนดูราวกับเขากำลังเดินอยู่บนอากาศเสียด้วยซ้ำ เฟรย์ค่อยๆแนบหูลงบนผ้าใบของกระโจมอย่างระมัดระวังโดยพยายามหามุมบอดซึ่งเป็นมุมที่แสงจากในและนอกกระโจมส่องไม่ถึง เวลาผ่านไปราวห้านาทีแล้วแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมาจากกระโจม เฟรย์เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นด้วยใจหนึ่งต้องคอยระแวดระวังผู้คนที่อาจเดินผ่านกระโจมแม่ทัพมาในตอนกลางคืนและอีกใจหนึ่งเขาก็ต้องพยายามฟังการเคลื่อนไหวและเสียงสนทนาจากในกระโจมเพื่อล้วงข้อมูลที่เขาต้องการ ในขณะที่เขาเริ่มจะหมดความอดทน เฟรย์ก็ได้ยินเสียงแม่ทัพค่ายบ่นพึมพำ เมื่อเฟรย์ตั้งใจฟังมากขึ้นเขาก็เริ่มแยกแยะคำและจับข้อความได้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพแห่งสงครามและเทพารักษ์แห่งทะเลทรายโปรดดลใจให้ทหารของเราเกิดจิตใจฮึกเหิมและขจัดความกลัวในใจของพวกเขาออกไปด้วย ขอให้พวกเขาทุกคนสามารถอยู่รอดตลอดจนจบการรบครั้งนี้ ขอให้พวกเขาได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย พบคนที่พวกเขารักและห่วงใยโดยสวัสดิภาพ.
ฟังดูยังกับจะสวดมนต์มากกว่าวางแผนแหะ แล้วเรื่องมันยังไงกันละเนี่ย เฟรย์คิด
ไม่ว่าผลการรบจะออกมาเป็นเช่นไรก็สุดแล้วแต่ลิขิตของสวรรค์ ข้าจักน้อมรับทุกประการแต่ขอให้ทหารและผู้ติดตามรวมถึงสหายร่วมรบของข้าทุกคนเดินทางกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าท้ายสุดแล้วข้าอาจต้องเขาชีวิตของข้าเข้าแลกแทนพวกเขาข้าก็ยินยอม ขอเหล่าทวยเทพจงฟังคำวิงวอนของข้าด้วย
ในระหว่างที่สวดภาวนา แม่ทัพของนักรบทะเลทรายได้สังเกตุเห็นว่าผ้าใบของกระโจมเขาขยับนิดหน่อย เขารีบชักดาบประจำตัวออกจากฝักก่อนจะเดินไปยังจุดที่ผ้าใบขยับแล้วตวัดดาบลงไปที่ผ้าใบอย่างรวดเร็ว
ขวาก! เสียงผ้าใบขาดดังลั่นทว่าสิ่งที่แม่ทัพพบคือความว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเขาตรวจดูรอบๆกระโจมจนมั่นใจว่าไม่มีสายลับหรือศัตรูอยู่ เขาก็เก็บดาบเข้าฝักก่อนจะดับเทียนบนโต๊ะแล้วเข้านอนทันที
.
โว้ย เช้าแล้วตื่นเร็วๆ ไอ้พวกสันหลังยาว อีกห้านาทีรวมจับคนช้าทุกนายนะเฟ้ย เร็วๆเข้าเจ้าพวกสันหลังยาว เสียงนาย กองของแต่ละกองร้อยปลุกทหารดังลั่นไปทั่วทั้งค่ายพร้อมกับเสียงฆ้อง ทหารแต่ละนายรีบลุกพรวดจากที่นอนราวกับโดนหนามทิ่มก่อนจะหยิบเครื่องแบบมาใส่และรีบออกไปรวมพลกันที่ลานกว้างในค่าย หลังจากนั้นไม่นานกิจกรรมกายบริหารยามเช้าก็เริ่มขึ้นหลังจากที่นายกองแต่ละกองรับลูกน้องของตนจนครบ
แน่นอนว่าการฝึกกายบริหารยามเช้าไม่ใช่กิจกรรมที่โปรดปรานของเหล่าทหารนัก โดยเฉพาะเมื่อฝึกกลางทะเลทรายที่ทั้งแห้งและหนาวในตอนเช้าด้วยแล้วยิ่งทำให้บรรยากาศการฝึกน่าเบื่อมากยิ่งขึ้น ทหารบางนายถึงกับแอบหลับระหว่างพักเปลี่ยนท่าฝึกก็มี หลังจากบริหารร่างกายกันจนดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าแล้วก็ได้เวลาอาหารเช้า (ยอดแย่) โดยมีกับเพียงสองอย่างคือเนื้อตากแห้งกับผักดองพร้อมกับข้าวร่วนๆแข็งๆที่เพิ่งหุงเสร็จ
อ้าวเฮ้ย ทำไมแกไม่กินข้าววะ เดี๋ยวก็ไม่มีแรงซ้อมรบตอนสายหรอก นักรบทะเลทรายร่างท้วมคนหนึ่งกล่าวกับเฟรย์ซึ่งอยู่ในเครื่องแบบของนักรบทะเลทราย
เอ่อ คือข้าไม่ค่อยหิวน่ะ แกกินส่วนข้าไปเลยละกัน
เอาจริงง่ะ เออ ขอบใจมาก นักรบทะเลทรายร่างท้วมคนนั้นรีบรับชามไม้จากมือเฟรย์พร้อมกับใช้มือเปิบข้าวกำใหญ่แล้วยัดเข้าปากอย่างรวดเร็ว อันที่จริงแล้วเขากินเหมือนหมูมากกว่าคนด้วยซ้ำ
นี่ๆ กินอาหารน่ะหัดเกรงใจชาวบ้านที่เขาร่วมวงอยู่ด้วยซิ คนเขาคลื่นไส้นะเฟ้ย นักรบทะเลทรายรูปร่างผอมนายหนึ่งที่นั่งตรงข้ามกันทักขึ้นในขณะที่เขากำลังเปิบข้าวพร้อมกับเนื้อเค็มใส่ปาก
เออน่า ทนๆหน่อยเหอะ เราคงอยู่ร่วมกันอีกไม่นานหรอกว่ามะ พอเสร็จศึกเดี๋ยวก็แยกย้ายกันแล้ว คงไม่ได้เจอหน้ากันอีก
เหอะ ข้าว่าเผลอๆไม่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านละ ระหว่างสู้ศึกก็คงมีใครในกลุ่มตายไปก่อนกลับแล้วละ
เฮ้ยแกพูดอะไรอัปมงคลงั้นฟะ หัดมองโลกในแง่ดีซะมั่งซิ นักรบทะเลทรายร่างท้วมขัดขึ้นในขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก
โลกเนี่ยไม่มีอะไรดีหรอก เกิดมาก็มีทุกข์มาโบกมือรออยู่ตรงหน้าแล้ว เหอะ จะว่าไปคนเรายิ่งอยู่ด้วยกันนานก็ยิ่งมากเรื่อง มากเรื่องแล้วก็มากความ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันแล้วก็กลายเป็นสงครามตามระเบียบ โลกเรามันก็เป็นอย่างเนี้ยแล้วจะบอกว่าข้ามองในแง่ร้ายได้ไง ที่ข้ากำลังมองน่ะคือสัจธรรมของโลกเฟ้ย
ถ้าแกคิดว่าโลกนี้มันร้ายกันได้ซะขนาดนั้น แล้วแกเคยคิดหรือเปล่าว่าหลายครั้งหลายคราวที่ผ่านการทะเลาะมาน่ะ แกรอดมาได้ยังไง เฟรย์พูดขึ้นกลางวงโดยสบตากับนายทหารคนนั้นด้วยหางตา
ก็รอดมาได้เพราะความแข็งแกร่งไงล่ะ นักรบทะเลทรายร่างผอมตอบพร้อมกับยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
งั้นลองคิดถึงในอดีตซิว่า ตอนที่แกยังเป็นเด็กแล้วไปทะเลาะกับเด็กคนอื่นน่ะ ใครคอยปกป้องและปลอบแกเวลาแกแพ้กลับมา เฟรย์หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าไอ้สิ่งที่แกพูดมาทั้งหมดเนี่ยมันเป็นคำพูดของคนขาดความรัก รู้ตัวหรือเปล่าว่าคำพูดของแกน่ะมันสะท้อนออกถึงการไม่รู้จักบุญคุณ ด้วยคำพูดประโยคนั้นของเฟรย์ นายทหารคนนั้นก็หน้าแดงขึ้นมา เขาขว้างชามไม้ตรงไปยังเฟรย์ทันที
บื้ก เฟรย์ใช้มือปัดชามออกก่อนที่จะหันมาสบตากับทหารนายนั้นโดยตรง บรรยากาศในวงสนทนาตีงเครียดขึ้นทันทีเมื่อนายทหารที่เริ่มมีปากเสียงกับเฟรย์ลุกขึ้นยืนและเริ่มสบถใส่เฟรย์อย่างรุนแรง
คนมีพ่อมีแม่อย่างแกจะมาเข้าใจอะไรของข้า ตอนอายุได้สามขวบ แม่ข้าก็ตาย พ่อข้าซึ่งทำงานเป็นเพียงแค่คนหมักเหล้าก็ไม่ยอมเลี้ยงดูข้าต่อ เอาข้าไปโยนไว้ข้างถนน เหอะเนี่ยเหรอความรักจากพ่อแม่ ใช่แกพูดถูก ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครรักหรือห่วงใยข้าหรอก ลงเป็นอย่างนี้แล้วข้ายังต้องสำนึกบุญคุณอะไรอีก
ถ้าเกิดไม่มีใครรักหรือห่วงใยแกจริง แล้วแกคิดหรือเปล่าว่าสามปีนับจากวันที่แกเกิดน่ะแกรอดมาได้เพราะใคร เฟรย์ท้วงด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ทหารนายนั้นเมื่อได้ฟังเฟรย์พูดก็บันดาลโทสะ เข้ากระชับด้ามดาบก่อนจะชักออกจากฝักแล้วเงื้อดาบขึ้น ทันใดนั้นนายกองก็เดินมาเห็นเหตุการณ์พอดี เขาออกคำสั่งให้นายหมู่ที่ติดตามเขาสองคนเข้ารวบตัวเฟรย์กับนายทหารที่กำลังโกรธจัดไปมัดไว้กับเสาที่ท้ายค่าย
เป็นนักรบทะเลทรายทั้งทียังขาดความสามัคคีได้ขนาดนี้ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองกันซะบ้าง นี่ถ้าเกิดไปออกรบมีหวังได้ฆ่ากันเองตายก่อนเจอศัตรูแน่ นายกองคว้าแส้มาจากมือนายหมู่ยืนอยู่ข้างพร้อมกับเงื้อมือเตรียมหวดหลังของเฟรย์และทหารร่วมชะตากรรม บางทีการลงแส้อาจจะสอนพวกแกได้มากกว่าคำพูดนะ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นจากทิศใต้ ทุกคนในค่ายพักดูราวกับลืมหายใจเมื่อพวกเขาเงี่ยหูฟังเสียงที่กำลังใกล้เข้ามา เสียงที่ดังมานั้นในตอนแรกเป็นดูราวกับเสียงของจากหางงูหางกระดิ่งซึ่งเบามากราวกับเสียงกระซิบ จากนั้นมันก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้กลับกลายเป็นเสียงคล้ายเสียงน้ำบ่าที่ไหลลงมาจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นเองทุกคนก็สังเกตุเห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาจากทางใต้ของค่ายพักเป็นกลุ่มใหญ่และพวกมันก็กำลังตรงมายังค่ายด้วยความเร็วสูงด้วย
รัคคาชา! รัคคาชาบุก! พวกเราเตรียมป้องกันเร็วเข้า นายกองรีบโยนแส้ทิ้งก่อนจะชักดาบออกจากฝักแล้วตะโกนลั่นค่าย ทหารทุกคนต่างโยนชามอาหารทิ้งแล้วรีบหยิบอาวุธของไปรวมกันที่ท้ายค่ายแล้วเตรียมตั้งรับกับศัตรูที่ใกล้เข้ามา แม่ทัพและนายกองคนอื่นๆก็พากันมารวมตัวที่ท้ายค่ายอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยอาวุธครบมือ
ผลงานอื่นๆ ของ ตะวันส่องหมา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ตะวันส่องหมา
ความคิดเห็น