ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : คุยกับพระอาจารย์4
มีพิธีศพไหมคะ
มีพิธีเผาศพอย่างเงียบ ๆ ในวันรุ่งขึ้น อาตมาได้ไปพบไตรยา พี่สาวของเจ ที่นั่นด้วย เขาเอาศพใส่ในกล่องกระดาษ
ก่อนหน้านั้นไตรยาขอดูศพ แต่ไม่ได้รับอนุญาต อาตมาไม่ทราบเรื่องนี้ เลยไปขอให้ผู้อำนวยการเผาศพเปิดฝากล่อง เธอลังเลอยู่นิดหน่อยแต่แล้วก็ยอมทำตาม ปรากฏว่าศพอยู่ในถุงพลาสติก "น่าจะมีซิปเปิดนะ" อาตมาบอก เธอมองหาและบอกว่าซิปอยู่ทางปลายเท้า แต่ก็ลังเลก่อนที่จะบอกว่าเจอาจไม่ได้ใส่เสื้อผ้า อาตมาบอกว่าน่าจะใช้กรรไกรตัดได้ เพราะเป็นเพียงถุงพลาสติก เธอก็เลยเปิดถุงตรงช่วงไหล่และศีรษะ ........
ศพของเจ เปรียบได้กับครูกรรมฐานซึ่งให้พลังบันดาลใจอย่างมาก ใบหน้าของเขาดูสงบผ่องใส และคล้ายมีรอยยิ้มจาง ๆ
น่าเชื่อว่า เจได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ หลังจากประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูแล้ว อาตมามั่นใจว่า เจไปดี
ท่านอาจารย์รู้สึกอย่างไรบ้างครับ หลังการประหาร
อาตมารู้สึกเป็นบุญที่ได้อยู่กับเจ มันเป็นประสบการณ์ที่ช่วยลดอัตตาของเราลงได้มากทีเดียว อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นพวกเรา เจอสภาพอย่างเดียวกันนี้บ้าง เราจะเป็นอย่างไร กับการที่จะได้สัมผัสความตายที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ โดยที่รู้เวลาแน่นอนด้วย ไม่ใช่แค่ว่าจะตายในวันใดวันหนึ่งในอนาคต แต่รู่แน่ว่า ๒๔.๐๑ นาฬิกาของวันนั้น เราจะต้องตาย (๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒) ก่อนหน้านี้เจไม่ได้กังวลหรือหวังผลจากขบวนการยุติธรรม เขาไม่ได้ตั้งความหวังว่าการอุทธรณ์จะได้ผล และเมื่อผลปรากฏออกมาว่าไม่สำเร็จจริง ๆ เขาก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เจบอกอาตมาว่า "ผมยอมรับความจริงว่าผมจะต้องถูกประหาร"
หลังจากวันประหาร อาตมาก็ต้องพบทนายอีกสองคน และโยมผู้หญิงซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาคนนั้น เขาอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ เพราะกฎหมายระบุว่าเฉพาะผู้นำทางศาสนาเท่านั้นที่จะเข้าไปกับนักโทษได้ แต่ตลอดเวลา ๖ ๗ ปี ที่ผ่านมา เรื่องมันยังอยู่ระหว่างการต่อรองทางกฎหมายที่จะให้นักโทษเลือกที่พึ่งทางใจได้เอง แต่ถึงตอนนั้นก็ยังไม่เป็นสิทธิตามกฎหมายที่แท้จริง เมื่ออาตมาเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เขาฟัง เขาก็แปลกใจ ว่าราบรื่นจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะดีอย่างนั้น เขาก็อนุโมทนา หลังจากการประหารผ่านมาสองสามเดือน อาตมาก็ได้ข่าวจากคนที่มาวัด ซึ่งมีเพื่อนเป็นนักจิตวิทยาผู้ทำหน้าที่ช่วยเจ้าหน้าที่อยู่ในเรือนจำ ว่าหลังจากประหารเจแล้ว เจ้าหน้าที่หลายคนรู้สึกสะเทือนใจ ลำบากและอึดอัดใจในการกลับไปปฏิบัติหน้าที่อีก ก็ดีที่ทำให้เขาสำนึกได้
ตอนอาตมาเข้าไปก็ไม่ได้ถามเจเกี่ยวกับคดี ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมุ่งแต่ให้เขาทำหน้าที่ของเขา คือ ทำจิตใจให้มั่นคง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว อาตมากลับมาศึกษาคดี ศึกษากรณีต่าง ๆ แล้ว ก็รู้สึกว่า เจไม่ได้เป็นคนผิด แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เขาไม่บอกว่าที่จริงคนฆ่าคือใคร นอกจากยอมรับเคราะห์แทน เมื่อเจขึ้นศาลตอนแรกนั้น เงินทุนที่จะต่อสู้คดีก็ไม่มี ภาษาอังกฤษก็ยังไม่ดี ทนายที่ศาลแต่งตั้งให้เจก็กำลังหาเสียงเลือกตั้ง เลยไม่สนใจคดี ไม่หาพยานให้เจด้วย ศาลก็ตัดสินอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นคนไทย เมื่อถูกจับเข้าคุก ตามกฎหมายระหว่างประเทศ สถานทูตไทยควรมีส่วนช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่ได้แจ้งเรื่องให้สถานทูตทราบเลย จนกระทั่งหลังตัดสินประหารไปแล้ว ถึงแม้มีการอุทธรณ์ แต่ตามกฎหมาย ศาลก็จะพิจารณาเฉพาะข้อมูลที่มีในตอนตัดสินครั้งแรกเท่านั้น จะเอาข้อมูลใหม่เข้าไปไม่ได้ เจก็เลยเสร็จ ไม่มีประตูสู้ ฟังแล้วบางทีก็หดหู่นะ สลดใจ แต่เจเองเขาก็พูดอยู่เสมอว่า ไม่สมควรหดหู่ ไม่สมควรเศร้าใจ เราต้องเชื่อในหลักกรรม ถ้าไม่เป็นกรรมในชาตินี้ ก็ต้องเป็นกรรมในชาติก่อนตามมา ทางที่ดีคือยอมรับด้วยจิตใจผ่องใส ถ้าเราไปมีทุกข์ ทำใจไม่ดี เราก็ต้องเกิดมาพัวพันกับกรรมเก่านี้อีก ตอนนี้มีโอกาสที่จะทำให้มันหมดสิ้นไป เขาพูดได้อย่างนี้นะ ...
มีพิธีเผาศพอย่างเงียบ ๆ ในวันรุ่งขึ้น อาตมาได้ไปพบไตรยา พี่สาวของเจ ที่นั่นด้วย เขาเอาศพใส่ในกล่องกระดาษ
ก่อนหน้านั้นไตรยาขอดูศพ แต่ไม่ได้รับอนุญาต อาตมาไม่ทราบเรื่องนี้ เลยไปขอให้ผู้อำนวยการเผาศพเปิดฝากล่อง เธอลังเลอยู่นิดหน่อยแต่แล้วก็ยอมทำตาม ปรากฏว่าศพอยู่ในถุงพลาสติก "น่าจะมีซิปเปิดนะ" อาตมาบอก เธอมองหาและบอกว่าซิปอยู่ทางปลายเท้า แต่ก็ลังเลก่อนที่จะบอกว่าเจอาจไม่ได้ใส่เสื้อผ้า อาตมาบอกว่าน่าจะใช้กรรไกรตัดได้ เพราะเป็นเพียงถุงพลาสติก เธอก็เลยเปิดถุงตรงช่วงไหล่และศีรษะ ........
ศพของเจ เปรียบได้กับครูกรรมฐานซึ่งให้พลังบันดาลใจอย่างมาก ใบหน้าของเขาดูสงบผ่องใส และคล้ายมีรอยยิ้มจาง ๆ
น่าเชื่อว่า เจได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ หลังจากประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูแล้ว อาตมามั่นใจว่า เจไปดี
ท่านอาจารย์รู้สึกอย่างไรบ้างครับ หลังการประหาร
อาตมารู้สึกเป็นบุญที่ได้อยู่กับเจ มันเป็นประสบการณ์ที่ช่วยลดอัตตาของเราลงได้มากทีเดียว อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นพวกเรา เจอสภาพอย่างเดียวกันนี้บ้าง เราจะเป็นอย่างไร กับการที่จะได้สัมผัสความตายที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ โดยที่รู้เวลาแน่นอนด้วย ไม่ใช่แค่ว่าจะตายในวันใดวันหนึ่งในอนาคต แต่รู่แน่ว่า ๒๔.๐๑ นาฬิกาของวันนั้น เราจะต้องตาย (๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒) ก่อนหน้านี้เจไม่ได้กังวลหรือหวังผลจากขบวนการยุติธรรม เขาไม่ได้ตั้งความหวังว่าการอุทธรณ์จะได้ผล และเมื่อผลปรากฏออกมาว่าไม่สำเร็จจริง ๆ เขาก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เจบอกอาตมาว่า "ผมยอมรับความจริงว่าผมจะต้องถูกประหาร"
หลังจากวันประหาร อาตมาก็ต้องพบทนายอีกสองคน และโยมผู้หญิงซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาคนนั้น เขาอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ เพราะกฎหมายระบุว่าเฉพาะผู้นำทางศาสนาเท่านั้นที่จะเข้าไปกับนักโทษได้ แต่ตลอดเวลา ๖ ๗ ปี ที่ผ่านมา เรื่องมันยังอยู่ระหว่างการต่อรองทางกฎหมายที่จะให้นักโทษเลือกที่พึ่งทางใจได้เอง แต่ถึงตอนนั้นก็ยังไม่เป็นสิทธิตามกฎหมายที่แท้จริง เมื่ออาตมาเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เขาฟัง เขาก็แปลกใจ ว่าราบรื่นจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะดีอย่างนั้น เขาก็อนุโมทนา หลังจากการประหารผ่านมาสองสามเดือน อาตมาก็ได้ข่าวจากคนที่มาวัด ซึ่งมีเพื่อนเป็นนักจิตวิทยาผู้ทำหน้าที่ช่วยเจ้าหน้าที่อยู่ในเรือนจำ ว่าหลังจากประหารเจแล้ว เจ้าหน้าที่หลายคนรู้สึกสะเทือนใจ ลำบากและอึดอัดใจในการกลับไปปฏิบัติหน้าที่อีก ก็ดีที่ทำให้เขาสำนึกได้
ตอนอาตมาเข้าไปก็ไม่ได้ถามเจเกี่ยวกับคดี ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมุ่งแต่ให้เขาทำหน้าที่ของเขา คือ ทำจิตใจให้มั่นคง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว อาตมากลับมาศึกษาคดี ศึกษากรณีต่าง ๆ แล้ว ก็รู้สึกว่า เจไม่ได้เป็นคนผิด แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เขาไม่บอกว่าที่จริงคนฆ่าคือใคร นอกจากยอมรับเคราะห์แทน เมื่อเจขึ้นศาลตอนแรกนั้น เงินทุนที่จะต่อสู้คดีก็ไม่มี ภาษาอังกฤษก็ยังไม่ดี ทนายที่ศาลแต่งตั้งให้เจก็กำลังหาเสียงเลือกตั้ง เลยไม่สนใจคดี ไม่หาพยานให้เจด้วย ศาลก็ตัดสินอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นคนไทย เมื่อถูกจับเข้าคุก ตามกฎหมายระหว่างประเทศ สถานทูตไทยควรมีส่วนช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่ได้แจ้งเรื่องให้สถานทูตทราบเลย จนกระทั่งหลังตัดสินประหารไปแล้ว ถึงแม้มีการอุทธรณ์ แต่ตามกฎหมาย ศาลก็จะพิจารณาเฉพาะข้อมูลที่มีในตอนตัดสินครั้งแรกเท่านั้น จะเอาข้อมูลใหม่เข้าไปไม่ได้ เจก็เลยเสร็จ ไม่มีประตูสู้ ฟังแล้วบางทีก็หดหู่นะ สลดใจ แต่เจเองเขาก็พูดอยู่เสมอว่า ไม่สมควรหดหู่ ไม่สมควรเศร้าใจ เราต้องเชื่อในหลักกรรม ถ้าไม่เป็นกรรมในชาตินี้ ก็ต้องเป็นกรรมในชาติก่อนตามมา ทางที่ดีคือยอมรับด้วยจิตใจผ่องใส ถ้าเราไปมีทุกข์ ทำใจไม่ดี เราก็ต้องเกิดมาพัวพันกับกรรมเก่านี้อีก ตอนนี้มีโอกาสที่จะทำให้มันหมดสิ้นไป เขาพูดได้อย่างนี้นะ ...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น