ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One more time

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 58


     

    One more time

    บทนำ

     

     

     

     

     

              

                เสียงครวญครางของหญิงสาวดังไปพร้อมๆกับเสียงของหัวเตียงที่กระแทกกับผนัง และเสียงของไม้ที่โอนเอนไปมารับแรงกระแทกจากสองร่างเปลือยเปล่าที่อยู่ด้านบน เรือนร่างของชายหนุ่มที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามคร่อมอยู่เหนือร่างของหญิงสาว

    หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มคนเดียวกันก็นั่งเอนหลังพิงกับหัวเตียง ปลายนิ้วเรียวคีบแทงสีขาวขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากหยัด เมื่อควันสีขาวถูกปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สาม หญิงสาวที่นอนยู่ข้างๆชายหนุ่มก็รู้สึกตัวลืมตาขึ้น ขยับร่างอวบอัดสมบูรณ์แบบขึ้นไปทับบนร่างของชายหนุ่ม

    “นี่คุณไม่ได้หลับเลยเหรอคะเนี่ย”นิ้วเรียวเคลือบสีไล้ไปมาบนแผงอกกว้างสีน้ำผึ้งเพียงพอที่น่าหลงใหลเพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงจำนวนมากน้ำลายหก “งั้นเรามาสนุกกันต่อไหมคะ รีน่ายังพอมีเวลาก่อนถึงคิวถ่ายแบบ”

    ปลายเล็บที่ตั้งท่าจะกรีดลงบนแผงอกถูกรวบไว้ด้วยมือหนา “ผมไม่ชอบให้คุณทำแบบนั้น ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ”คิ้วเข้มเลิกขึ้น

    รีน่ากัดปากมองแผงอกงดงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อหกมัดที่เรียงตัวอย่างสวยงาม ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีที่ไปทำลายความงดงามของมันแต่เธอกอยากตีตราจองไว้บ้างนี่ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยครอบครองมัน ใบหน้าสวยหน้าซีดเมื่อชายหนุ่มขยับลุกจากเตียง

    “ด..เดียวสิคะรีย่าผิดเอง รีน่าขอโทษ”

    ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่พึ่งส่งเสียงเตือนข้อความเข้าเมื่อครู่จากกระเป๋ากางเกงยีนส์ขึ้นมา เปิดดูข้อความที่หน้าจอ พลางกมลงหยิบเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนพื้น หันมาพูดกับผู้หญิงบนเตียงที่ยังไม่หยุดขอโทษซักที

    “เรื่องงานน่ะ ผมต้องไปแล้ว”เขาสวมกางเกงยีนส์

    “ล..แล้วเราจะเจอกันอีกทีเมื่อไหร่ดีคะ”

    ระหว่างที่เธอพูดเขาก็สวมเสื้อคว้ากุญแจ เสื้อแจ็คเก๊ตหนังเดินไปถึงที่ประตูแล้ว พอเธอพูดจบเขาก็เปิดประตูพอดี ชายหนุ่มหันหน้ากลับมา “อ้อ แล้วก็หวังว่าเราคงจะไม่เจอกันอีกนะ รีน่า”เขาพูดด้วยรอยยิ้มงดงามดุจเทพบุตรที่เธอพึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

    บานประตูปิดลงหลังจากนั้น

     

    เรย์คิล แมกซ์ วิสตัน บังคับรถมอเตอร์ไซค์ให้เลี้ยวไปทางซ้ายออกจากถนนเข้าสู่ใจกลางเมืองไปทางโกดังท่าเรือฟรีพอร์ต เขาขับอ้อมไปทางด้านหลังของโกดังที่อยู่มุมสุดของท่า จอดรถใกล้ๆกับลีมูซีนสีดำยาวคันหนึ่ง ขายาวตวัดข้ามแฮนด์บังคับมาเหยียบกับพื้น

    “นายมาช้ากว่าเวลานัดนะคิล”ชายที่อยู่ตรงกลาง กลุ่มคนเจ็ดถึงแปดคนพุดขึ้น

    เรย์คิล เป็นชื่อจริงของเขา แต่คนส่วนใหญ่จะเรียกเขาว่าเรย์ แต่เวลาทำงานแบบนี้เขาชอบที่จะใช้แค่ชื่อคิลมากกว่า

    เรย์เลิกคิ้วที่อยู่ใต้กรอบแว่นตากันแดด “เงิน 3,000 เหรียญมันไม่ได้หาง่ายๆนะ แล้วของล่ะ?”

    ชายคนหนึ่งนำกระเป่าสีดำออกมา ปลดล็อกแล้วเปิดออกให้เห็นถุงพลาสติกที่บรรจุผงขาวอยู่ด้านในก่อนปิดลงอย่างรวดเร็ว “ส่งเงินมาสิ”

    “ส่งของมาก่อนสิ”

    รอยยิ้มบนใบหน้าของคู่สนทนาหายไป “ไม่จนกว่านายจะส่งเงินมา”

    “อะไร นายกลัวฉันจะโกงนายหรือไง ไม่เอาน่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันซื้อของนายนี่”

    “..งั้นเราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วล่ะคิล”ทันทีที่พูดจบคนที่ถือกระเป๋าก็ส่งให้ลูกน้องอีกคนนำกระเป๋าไปเก็บข้างในรถ ส่วนตัวดึงกระบอกปืนสีดำออกมา

    “เฮ้ๆเดียวสิทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ”

    “ถ้านายรีบๆส่งเงินมาก็คงไม่เป้นอย่างนี้หรอก”เขาเบิกตาโพลงพูดตอ่อไม่ได้เมื่อมีวัตถุบางอย่างยัดเข้ามาในปาก และเพราะมันคือปากกระบอกปืนลำกล้องอยู่ห่างจากจมูกเขาไม่ถึงคืบ ดวงตาเหลือกทะลนมองเจ้าของปืน มันหมดมาดวางท่าเหมือนเมื่อครู่ เมื่อมีปืนจ่อเข้ามาในปาก

    “เฮ๊ย แกทำอะไรน่ะ”พรรคพวกของมันเล็งกระบอกปืนมาที่เรย์

    ชายหนุ่มขยับยิ้มเรื่อยๆอย่างสบายๆเหมือนไม่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางปืนที่จ่อมาที่ศีรษะตัวเอง “ที่พูดเมื่อกี้น่ะฉันยังพูดไม่จบ ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะสำหรับพวกนาย”มือเรียวเหนี่ยวไกปืนในมือ เสียงลูกปืนกังขึ้นหลังจากนั้น

     

    คอนโดห้องสูทชั้น 74 กลางเมืองออแลนโด รัฐฟลอริดา

    ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้องหลังจากที่เคาะประตูอยู่ซักพักหนึ่งแล้วไม่มีเสียงตอบ เขาก็ถอนหายใจล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบคีย์การ์ดออกมารูดแล้วกดรหัสผ่านแปดหลัก ประตูสีเงินปลดล็อกตัวเองอัตโนมัติ ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน ระหว่างที่กำลังจะกดล็อก

    “นายมาทำอะไรจูเลียน”

    จูเลียน ทราวิส แน่ใจว่าตัวเองล็อกประตูดีแล้วจึงคอยหันหลังกลับไป ไม่แปลกใจที่เห็นร่างสูงเกือบเจ็ดฟุตของเรย์คิลยืนอยู่ด้านหลังว่าก่อนหน้านี้จะไม่มี บนร่างเพรียวมีแต่ผ้าขนหนูและบนผิวเนื้อสีทองที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่มผ้าก็มีหยดน้ำเกาะพราว หยดน้ำบางส่วนบนอกเขามาจากเส้นผมสีดำที่เปียกเลียบลูบติดใบหน้าคมคาย มือข้างหนึ่งถึงกระบอกปืนแต่สิ่งที่สายตาของจูเลียนจดจ้องคือบาดแผลบริเวณบ่ากว้าง รอยถากจากกระสุนปืนที่ยังเปิดกว้างเพราะไม่ได้ทำแผล

    “ก็มาทำแผลให้คนบ้าอย่างนายไง”จูเลียนชูของในถุงที่ถือประกอบด้วยอุปกรณ์ทำแผลเช่น ผ้าพันแผล ยาฆ่าเชื้อ เข็มแลด้ายสำหรับเย็บแผล ยาสลบยาชาและยาแก้ปวด จากนั้นจูเลียนก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้กลางห้อง เริ่มเอาของในถุงออกมาวาง

    เรย์ไหวไหล่รู้ดีว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถไล่จูเลียนไปได้ เวลาสองสามปีที่ผ่านมาทำให้เขารู้ดีถึงความดื้อที่ขนาดลายังยอมแพ้ของจูเลียน สิ่งที่เขาทำได้คงมีแค่นั่งลงให้หมอนั่นทำแผลแต่โดยดี ไม่งั้นหมอนี่คงไม่ยอมออกจากห้องของเขา เข้าเดินเข้าไปในห้องสวมกางเกงยีนส์แล้วเดินออกมา

    “นายน่าจะเช็ดตัวก่อน ฉันจะได้เริ่มทำแผล..”เขาตอบคำพูดของจูเลียนด้วยการเดินไปนั่งบนโซฟา

    เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของจูเลียน “ทำไมนายถึงไม่รอกำลังเสริม บุกเดี่ยวเข้าไปแบบนั้น มันบ้าบิ่นเกินไปไม่รู้หรือไง เผชิญหน้ากับปืนสิบกว่ากระบอกแบบนั้น”

    “แล้วฉันก็มานั่งอยู่ตรงนี้ไง”

    “นั่งให้ฉันทำแผลต่างหาก”

    เรย์รู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่มันแสดงออกมาที่สีหน้าของเขา บางทีเขาก็รำคาญนิสัยของหมอนี่จริงๆ ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดกำจัดหมดนี่ออกไปจากชีวิตเขา แต่ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนกุญแจ รหัสผ่านหรือแม้แต่ย้ายที่อยู่ วันถัดมาเขาก็จะเห็นจูเลียนเข้ามานั่งไขว่ห้างดูโทรทัศน์ในที่พักของเขา พอเห็นหน้าเขาหมอนั่นก็ยื่นข้าวโพดคั่วให้เขาถามว่ากินไหม ยังดีที่หมอนั่นไม่ถึงขนาดเอากุญแจห้องนอนเขาไปด้วยไม่งั้นเขาคงจัดการไปแล้ว

    นายเอาเครื่องติดตามกับเครื่องดักฟังออกทำไม นายผิดข้อตกลงของพวกเรากับตำรวจ”

    “ฉันไม่อยากเสี่ยงให้พวกนั้นจับได้”เขาทำงานให้กับองค์กรลับองค์กรหนึ่งที่ฉากหน้าเป็นบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ขนาดกลางของเมริกาแต่แท้จริงแล้วองค์กรนี้เป็นองค์กรรับจ้างที่ทำงานทุกประเภทที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ชอบธรรม ส่วนใหญ่แล้วพวกเขารับงานที่องค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่สามารถทำได้รวมถึงรัฐบาล พวกเขาจะเป็นคนรับงานนั้นมาทำแทน จูเลียนเองก็เป็นสมาชิกขององค์กรนี้ด้วย

    “แต่เสียงชีวิตกับตัวเองแทน”

    เขารู้สึกได้ว่าจูเลียนดึงผ้าพันแหลที่กำลังพันให้เขาอยู่แน่นขึ้นอย่างจงใจแต่เขาไม่สะดุ้งสะเทือนเลยซักนิดและเขาไม่มีความจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นว่าเจ็บเขาลืมไปได้ยังไงกันนะ ส่วนหนึ่งที่เขาไม่ชอบในตัวหมอนี่เลยก็คือ หมอนี่รู้ว่าจะล้ำเส้นขีดความอดทนของเขายังไง เขาดึงผ้าพันแผลจากจูเลียนมาทำเอง “ทำแผลเสร็จ นายก็ควรไปได้แล้ว”เขาก็เหมือนคนทั่วไป ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับชีวิตตัวเอง บอกว่าเขาควรทำหรือไม่ควรทำอะไร อาจจะมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย สรุปคือจูเลียนเป็นคนแบบที่เขาเกลียดเข้าไส้

    จูเลียนทำเพียงแค่มองเขานิ่งตอบปฏิกิริยากึ่งไล่ของเขา “นายไม่ควรเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแบบจงใจอย่างนั้น”

    เขาแค่นยิ้ม “นายมีสิทธิมาตัดสินใจชีวิตฉันแทนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”เขาจะจับจูเลียนโยนออกไปข้างนอกก็ไดแต่เขไม่ทำ เขามีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ เรย์เปิดประตูหยิบเสื้อมาใส่ เขาทำเป็นมองไม่เห็นจูเลียนที่ยังยืนอยู่เดินตรงไปที่ประตู มือคว้าเสื้อคลุมมาจากราว

    “นายควรกินข้าวและนอนพัก”

    เขาสวมรองเท้าบู๊ท ใช้การกระทำแทนคำพูดกับจูเลียนเพราะขืนพูดเขาอาจจะต่อยหน้าหมอนั่นแทนก็ได้

    “นายจะไปอีกแล้วเหรอ”

    เขาไม่แปลกใจที่จูเลียนจะรู้ว่าเขาจะทำอะไร ไม่รู้สิแปลก เขาทำแบบนี้มาจะเป็นปี ไม่สิปีกว่าเกือบสองปีแล้วและคิดว่าคงทำต่อไปเรื่อยๆ

    “อย่างน้อยนายควรกินข้าวก่อน”

    เรย์กระแทกประตูปิดใส่หน้าจูเลียน นึกถึงคำพูดที่จูเลียนพึ่งพูดไป เสียงกับชีวิตตัวเองแทน ใช่ ทำไมล่ะ เขาจงใจ แล้วมันทำไมล่ะ เขาเต็มใจที่จะทำเอง เสี่ยงเอง เดิมทีชีวิตนี้ของเขามันก็ไม่ควรจะมีอยู่มาจนถึงตอนนี้ตั้งนานแล้ว ถ้ามันไม่ถูกช่วยไว้โดยเธอในวันนั้นเมื่อสี่ปีก่อน มันเป็นความผิดของเขา ความผิดที่เขาไม่คิดจะให้อภัยแม้คนที่ผิดคือเขาเอง และด้วยเหตุผลเดียวกันเขายิ่งไม่มีวันยกโทษให้คนที่ทำความผิดนี้ได้ เขาไม่กลัวความตาย

    ไม่ต้องหลับตาเขาก็นึกภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้ชัดเจนเหมือนมันมาปรากฏตรงหน้าเขา สิ่งที่แจ่มชัดคือสีแดง สีแดงที่แพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ราวกับมันจะแผ่ขึ้นไปถึงบนท้องฟ้าด้วย เธอยืนอยู่ตรงกลางมัน ผิวขาวของเธอทำให้เธอโดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ ใบหน้าของเธอไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยราวกับเปลวไฟที่กำลังเผาทำลายทุกอย่างไม่ทำให้เธอกลัว มีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งให้เขาเท่านั้นที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าเธอ เขารู้สึกถึงอาการมือสั่นของตัวเองที่แฮนด์บังคับจึงเปลี่ยนมาเป็นบิดเร่งเครื่องก่อนที่เขาจะทำให้มันและเขาคว่ำลงกับพื้น

    เรย์จอดรถมอเตอร์ไซค์ในซากตึกแห่งหนึ่ง ขนาดของมันบอกได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับตอนนี้ที่เป็นแค่ซากปูนขาวๆที่มีรอยไหม้สีดำกระจัดกระจายกับเศษซากความเสียหายของสิ่งต่างๆที่เคยเป็นโต๊ะเก้าอี้ เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นรุนแรงมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจลงความเห็นว่าผู้ที่อยู่ในตึกไม่น่าจะมีใครรอดชีวิตมาได้ ไม่มีการพบศพของเธอในซากศพนับร้อยที่ต้องอาศัยการตรวจประวัติทำฟันถึงจะพิสูจน์ตัวตนได้ เขาขึ้นบันไดไปชั้นบนขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงลานโล่งกว้าง ที่ๆเขาเห็นเธอเป็นครั้งสุดท้าย เขามาที่นี่บางคืน บางคืนที่เขาไม่ได้ใช้มันไปกับการค้นหาเบาะแสของเธอ การไม่พบศพของเธอจุดความหวังเล็กๆในใจเขา ความหวังที่มีเพียงหนึ่งเดียวมาตลอกสามปีที่ผ่านมาของเขา

    เขาจุดบุหรี่มองควันสีเทาที่หมุนเป็นเกลียวตัดกับท้องฟ้าสีดำ

    เรย์กลับมาที่คอนโดตอนเกือบตีสี่ เขารู้สึกพอใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพบห้องที่ปิดไฟมืดสนิทและไม่มีวี่แววคน เขาไม่เปิดไฟ ถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปที่ห้องนอนเลย แม้จะอยู่ในความมืดแต่เขาก็ยังเห็นแซนวิชสี่ห้าชิ้นที่ห่ออยู่ในแร็บอาหารบนจานที่เคาน์ทเตอร์ ห้องครัวของเขาเป็นห้องครัวแบบเปิด มันเชื่อมกับห้องรับแขกและห้องทานอาหาร โดยมีเคาน์ทเตอร์เป็นที่กั้นอาณาเขตห้องครัวออกจากส่วนอื่น ห้องครัวของเขามีอุปกรณ์เครื่องมือทำอาหารครบครันถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยใช้มันซักครั้งยกเว้น เครื่องต้มกาแฟ แก้วและชามที่ใช้มันในบางครั้ง มีครบไว้ดีกว่าอีกอย่างมันก็มีประโยชน์เวลาที่เขาพาผู้หญิงมาค้างด้วย บางคนทำอาหารเช้าให้เขา คนที่ใช้มันนอกจากนี้ก็มีแค่จูเลียน เขาเองก็เคยสงสัยบ้างเหมือนกันว่าหมดนั่นเป็นพวกชอบเพศเดียวกันหรือเปล่า แต่ลืมไปได้เลย หมอนั่นมีแฟนแล้วสวยด้วย แมรี่เป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยคนหนึ่ง นอกจากนี้หุ่นเธอยังสู้พวกนางแบบมืออาชีพได้สบาย น่าเสียดายที่เธอพอใจแค่การเป็นเลขานุการของหัวหน้าแผนกในองค์กรมากกว่า

    เขามองเลยแซนวิชนั่นไป เขากินข้าวมาแล้วเพราะงั้นมันไม่จำเป็น

    เขาสอดร่างเข้าไปในผ้าห่มปล่อยให้ตัวเองหลับตาลง

     

    พอชายหนุ่มเข้าห้องนอนไปได้ซักพัก ประตูคอนโดก็ถูกเปิดออกช้าๆอย่างระมัดระวังไม่ให้เจ้าของห้องรู้สึกตัว ร่างนั้นอาศัยความมืดพรางตัวเปิดประตูห้องนอนเป็นลำดับถัดไป

    ดวงตาที่กวาดมองไปในห้องฉายความโล่งใจออกมาอย่างไม่ปิดบังเมื่อเห็นร่างกำยำที่นอนอยู่บนเตียง เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกถึงอาการหลับสนิท คงเพราะการพลิกตัวไปมาบนเตียงทำให้เส้นผมสีเข้มของเขายุ่งไปหมด ท่าทางทางกระสับกระส่ายของเขาดูเหมือนว่าเขาจะฝันไม่ค่อยดีเส้นผมที่ปรกหน้าเปียกชุ่มเหงื่อที่ไหลออกมา จนเธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือลงไปเช็ดเหงื่อให้เขาและเผลออ้อยอิ่งอยู่กับสัมผัสของแก้มสากระคายด้วยไรเคราเขียวครึ้ม แม้จะอยู่ในความมืดแต่รอยคล้ำใต้ตาของเขาก็ยังเห็นได้ชัดเจนรวมถึงร่องรอยความอิดโรยแต่ก็ไม่อาจบั่นทอนความหล่อเหลาของเขาลงได้

    “คนบ้าเมื่อไหร่คุณจะเลิกทำแบบนี้ซักทีนะ”

    เวลาผ่านไปไม่นานเจ้าตัวก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองชักจะอยู่นานเกินไปแล้ว ชักมือกลับมา เตือนตัวเองให้รีบออกไปแต่ก็ไม่ลืมที่จะกระชับผ้าห่มให้ชายหนุ่ม

    เธอปิดประตูและล็อกห้องของเขาจากด้านนอกขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 75 ซึ่งเป็นที่พักของเธอพอเข้ามาในบ้านเธอจึงยอมให้ตัวเองผ่อนลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา ยกมือแกะกระดุมเสื้อเชิ๊ตที่สวมออกก่อนแตะนิ้วไปที่ต้นแขนที่มีสีตัดกับบริเวณท่อนแขนส่วนล่างอย่างเห็นชัด เธอค่อยๆแกะดึงผิวส่วนนั้นออกมา ตามด้วนผิวสีต่างที่รอบลำคอ ผิวหนังปลอมถูกถอดออกวางลงบนเตียง ถอดเสื้อกล้ามออก ดึงผ้าที่ใช้พันรอบตัวสิบชั้นออกเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ผู้หญิงควรมี เธอดึงหน้ากากปลอมออกเป็นอย่างสุดท้าย หน้ากากที่ทำให้เธอเป็น จูเลียน ทราวิส

    เส้นผมสีดำนุ่มสยายลงบนแผ่นหลังเมื่อเธอถอดวิก

    ชื่อจริงของเธอคือณลินา แองเจลิน่า เคอร์ติส หลานสาวของประธานบริษัทซอฟแวร์ NIC ของอเมริกา เอียน เคอร์ติส ซึ่งเบื้องหลังคือองค์กรลับ CIN ที่เรย์ทำงานอยู่ เธอเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรลับที่ปู่เป็นคนสร้างแต่โดยส่วนมากเธอจะอยู่เบื้องหลังของภารกิจมากกว่า ถ้าจะต้องออกมาด้านหน้าเธอจะปลอมตัวเป็นจูเลียน เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเองและเหตุผลสำคัญคือ เพราะเบื้องหน้าเธอคือคนที่ตายไปแล้ว

     

     

    [Talk]

    กำลังหัดแต่งคอมเม้นติชมได้นะคะ

    เรื่องนี้เป็นแนวสายลับหน่อยๆค่ะ

    FROM Aunqio

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×