ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Through the Undefeated: Rise of Flame Satan

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 การล่มสลายขององค์กรเลือดทมิฬ

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 52


    ปี ค.ศ. 3000  บางกะปิทาวเวอร์ เวลา 15:24 น.

                ย่านบางกะปิ บ่ายสามวันนี้ คนค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะมีการจัดงานคอนเสิร์ตขึ้น ตอนห้าโมงเย็น ทำให้คนที่อยู่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวแทบทั้งนั้น พลอยทำให้ร้านอาหารข้างทางต่างๆขายดีไปด้วย เช่นเดียวกับที่ร้านน้ำชาร้านหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันเริ่มหายากเต็มทีแล้ว กลับมีวัยรุ่นหนุ่มสาวมาใช้บริการร้านนี้ จนเจ้าของร้านแทบรับลูกค้าไม่ทัน

                “อ้าว อาตี๋ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ แหม ลมอะไรหอบมาละนี่ นั่งก่อนๆ” เถ้าแก่ร้านน้ำชา หันไปทักชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในร้าน ดวงตาคมกล้า จมูกโด่งเป็นสัน ประกอบกับท่าทางเคร่งครึม ทำให้สาวๆที่อยู่ในร้าน จ้องเขาจนแทบไม่วางตา

                “ก็ ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนะครับ พอดีที่โน่นปิดเทอมนะครับ เถ้าแก่ละเป็นไงบ้าง วันนี้  ดูท่าทางจะขายดีซินะครับ”ชายหนุ่มนั่งลง ก่อนที่จะเอ่ยปากสั่งติ่มซำ3-4อย่าง และก็น้ำเย็นอีกขวด เถ้าแก่จดรายการก่อนที่จะส่งให้ลูกน้องในร้าน แล้วหันมาสนทนากับชายหนุ่มต่อ

                “ขายดีเหรอ ก็แน่ละสิ วันนี้มีคอนเสิร์ตนี่นา วงอะไรก็ไม่รู้ ลุงก็จำไม่ได้ ว่าแต่เอ็งรู้ข่าวบ้างหรือเปล่าละ”เถ้าแก่หันไปต้อนรับลูกค้าอีกกลุ่มหลังจากพูดเสร็จแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนที่จะเอ่ยว่า

                  “ข่าวอะไรหรือครับเถ้าแก่”เถ้าแก่ได้ยินก็ทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะบอกว่า

                “ก็ข่าวที่ว่า องค์กรเลือดทมิฬล่มสลายไง”ชายหนุ่มเบิกตากว้าง แต่เถ้าแก่ไม่สังเกตเห็น เขาพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้ปกติ ก่อนจะถามไปว่า “ลุงยังเก็บข่าวไว้อยู่ใช่มั้ยครับ”

              “ก็เออนะสิ วันที่17 เมษานะ ไปดูเอาที่คอมหลังร้านเลย ลุงขอตัวไปต้อนรับลูกค้าก่อน เดี๋ยวอาหารเสร็จแล้วลุงขึ้นไปเรียกละกัน” ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะเดินไปหลังร้าน หลังจากที่ลับสายตา อารมณ์ของชายหนุ่มก็พลุ่งพล่าน จนเขาแทบจะชกไปที่ผนัง แต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป เขาเดินไปที่ห้องๆหนึ่งซึ่งมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ก่อนที่จะเปิดเครื่อง เขารอเครื่องบูทซักพัก ก็มีเมนูปรากฏออกมาตรงหน้า เขาใช้นิ้วกดลงไปที่เมนูต่างๆ เพื่อเปิดดูข่าวที่ทำให้เขาแทบจะระเบิดออกมา

                    ตะลึง ซาตานอัคคีประกาศศักดา ถล่มองค์กรเลือดทมิฬยับเยิน ตำรวจสงสัย ทำไมอาวุธเหนือกว่ากองทัพสหรัฐ

              ณ เวลา 16.35น. สน.บางกะปิ ที่ได้รับข้อมูลว่ามีการปะทะกันเขตบางกะปิ ได้รุดหน้าไปที่บางกะปิทาวเวอร์ เพื่อที่จะไปควบคุมความสงบเรียบร้อย แต่เมื่อไปถึงบริเวณนั้นกลับพบว่ามีกลุ่มคนติดอาวุธครบมือ กลุ่มใหญ่สกัดเอาไว้อยู่ ฝ่ายตำรวจที่ยกไปเพียงจำนวนน้อย อีกทั้งไม่มีอาวุธหนักจึงได้แต่เฝ้ารออยู่รอบนอกพร้อมกับขอกำลังสนับสนุน

              เวลา 17.15น. กำลังเสริมจากหน่วยต่างๆได้มาถึงตรงจุดที่ตำรวจของสน.บางกะปิประจำอยู่ และเตรียมการที่จะบุก แต่ยังไม่ทันที่ตำรวจจะได้ทำอะไรก็ได้ยินกลุ่มคนติดอาวุธ ตะโกนเสียงดัง ได้ใจความว่าให้ถอนกำลังออกไป ซึ่งพวกนั้นก็ได้ถอนกำลังออกไปจริงๆ ฝ่ายตำรวจจึงได้แสดงตัวเพื่อทำการจับกุม แต่อีกฝ่ายได้ยิงระเบิดควัน ระเบิดแสง และสาดกระสุนจำนวนหนึ่งเพื่อหยุดตำรวจเอาไว้ ฝ่ายตำรวจที่เตรียมพร้อมมาอย่างดีก็พยายามไล่ตาม แต่ก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยอะไรเลย นอกจากซากศพจำนวนมากในบางกะปิทาวเวอร์ ซึ่งเมื่อตรวจศพแล้ว พบว่าเป็นสมาชิกขององค์กรเลือดทมิฬแทบทั้งสิ้น ทางตำรวจจึงคาดการณ์ว่า เป็นการกระทำของแก๊งคู่อริเพื่อหวังจะถล่มองค์กรเลือดทมิฬให้ราบ แต่ที่ตำรวจไม่เข้าใจก็คือ หลังจากที่กองพิสูจน์หลักฐานได้มาถึงและตรวจสอบบริเวณรอบๆ พบว่า กระสุนที่อยู่ในตัวของศพนั้น เป็นกระสุนของอาวุธปืนที่ทันสมัยเสียยิ่งกว่าอาวุธสงครามในกองทัพไทย บางชิ้นที่ผู้เชี่ยวชาญอาวุธจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตรวจสอบนั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า บางชิ้นเป็นอาวุธที่ยังอยู่ในขั้นทดลองด้วยซ้ำ ทำให้ตำรวจสงสัยว่า พวกคนร้ายนั้นไปหาอาวุธมาจากไหน

              เวลา 17.32น.สน.บางกะปิได้รับไฟล์บันทึกภาพจากผู้ส่งลึกลับรายหนึ่ง ซึ่งเมื่อตรวจสอบไวรัสเรียบร้อยก็ได้เปิดดูก็พบว่าเป็นวีดิโอที่บันทึกภาพไว้โดยสมาชิกของแก๊งที่เรียกตัวเองว่าแก๊งซาตานอัคคี ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ วิดีโอความยาวเกือบชั่วโมงได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้อย่างละเอียดซึ่งสรุปคร่าวๆได้ดังนี้

              เวลา 16.20 องค์กรเลือดทมิฬได้ทำการกวาดต้อนประชาชนในเขตให้ออกไปทั้งหมด เพราะได้รับสาสน์ประกาศสงครามจากแก๊งซาตานอัคคี องค์กรเลือดทมิฬได้ระดมสมาชิกทั้งหมดในแก๊งให้มารวมกันที่บางกะปิทาวเวอร์ เพื่อเตรียมตัวต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม 10นาทีต่อมา ก็ได้มีพาหนะจำนวน8คัน ที่คนในวีดีโออ้างว่าเป็นรถHumvee รุ่นล่าสุดของสหรัฐ มาจอดตรงหน้าบางกะปิทาวเวอร์ 2ใน8 คันได้ทำการดัดแปลงติดตั้งเครื่องยิงจรวด แบบ9ช่อง คันละสองเครื่อง คันที่เหลือติดตั้งเป็นปืนกลหนัก และเครื่องยิงจรวดแบบธรรมดา ทั้ง8คันได้ทำการระดมยิงอาวุธทั้งหมด ทำให้บริเวณด้านหน้าพังทลาย รวมไปถึงกลุ่มสมาชิกขององค์กรเลือดทมิฬที่โชคร้ายมาอยู่บริเวณด้านหน้าพอดี 5นาทีต่อมา ก็ได้มีเฮลิคอปเตอร์ขนส่งไอพ่นจำนวน15ลำ และรถลำเลียงพลอีกจำนวนหนึ่ง นำสมาชิกของแก๊งซาตานอัคคีมาที่บางกะปิทาวเวอร์ ซึ่งทั้งหมดได้เข้าไปประจัญบานระยะประชิดกับฝ่ายตรงข้ามที่กำลังตื่นตกใจ จนคนขององค์กรเลือดทมิฬต้องถอยร่น

              16.40 น.เสียงตะโกนบอกเป็นใจความว่า หัวหน้าใหญ่ซึ่งพวกตนเรียกว่า “ลูกพี่” ได้มาถึงแล้ว ซึ่งพวกนั้นก็มาพร้อมกับกำลังคนอีกชุดใหญ่และได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนสมาชิกข้างในตึกนั่น ภาพได้ตัดกลับไปที่ข้างใน ซึ่งคนของแก๊งซาตานอัคคีกำลังต่อสู้อยุ่กับสมาชิกขององค์กรเลือดทมิฬอยู่นั้น พบว่า สมาชิกของแก๊งซาตานอัคคีทุกคนนั้นล้วนแต่มีวรยุทธ์ทั้งหมด ต่างจากองค์กรเลือดทมิฬซึ่งถึงมีจำนวนมากกว่าแต่ก็ไม่ได้รับการฝึกมากนัก ทำให้สมาชิกของแก๊งซาตานอัคคีที่มีจำนวนน้อยกว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ หลังจากนั้นภาพได้ตัดไปยังบริเวณด้านหน้าที่ซึ่งสมาชิกระดับสูงของแก๊งซาตานอัคคีได้เดินเข้ามา ทันใดนั้นก็มีสมาชิกขององค์กรเลือดทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง พุ่งเข้ามาประจัญบานหวังจะสังหารผู้เป็นหัวหน้า แต่ก็โดนพวกสมาชิกของแก๊งซาตานอัคคีสังหารทิ้งจนหมด คนในกลุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าแก๊งได้ตะโกนสั่งการให้แยกย้ายกันไปจัดการพวกองค์กรเลือดทมิฬ ซึ่งทั้งหมดก็กระจายออกไปทำตามคำสั่งทันที

              16.50 น. ภาพได้ตัดมายังที่ชั้นบนสุดของบางกะปิทาวเวอร์ ซึ่งเป็นห้องของหัวหน้าองค์กรเลือดทมิฬคนปัจจุบันซึ่งมีพลังLevel 8 นับว่าหายากยิ่งในโลกเบื้องหลัง ซึ่งเขาก็ได้ท้าประลองหัวหน้าแก๊งซาตานอัคคี เพื่อหวังจะพลิกสถานการณ์ แต่เขาก็ต้องตายภายในกระบวนท่าเดียว เมื่อหัวหน้าแก๊งซาตานอัคคีออกหมัด ที่มีพลังLevel 70 เข้าใส่ ภาพตัดไปยังดาดฟ้าของตึก ที่ซึ่งสมาชิกขององค์กรเลือดทมิฬหนีขึ้นมา แสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างมาก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรพวกเขาก็ถูกยิงจากระยะไกลด้วยกระสุนซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นขนาดกระสุนที่ใช้ในปืนไรเฟิลต่อต้านรถถัง จากนั้นวีดีโอก็ได้จบลงเพียงเท่านั้น

              18.24 น. พ.ต.ต. พิทยา จันทจินตการ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์สังหารหมู่องค์กรเลือดทมิฬว่า แก๊งซาตานอัคคีมีการเตรียมตัวมาอย่างดี ทั้งเรื่องอพยพผู้คน ทั้งทางหนีที่ไล่ และทั้งยุทโธปกรณ์ ซึ่งจากการประเมินจากวีดีโอที่ได้รับจากผู้ส่งลึกลับที่คาดว่าเป็นคนของแก๊งซาตานอัคคีแล้ว แก๊งซาตานอัคคีมีอำนาจการรบที่เหนือกว่ากองพลทหารราบของไทย ถึง2กองพล รวมกันเสียอีก ทำให้สื่อมวลชนที่อยู่ในบริเวณนั้นส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที ก่อนที่พ.ต.ต.พิทยาจะกล่าวต่อไปว่า ตนได้ทราบเรื่องราวของแก๊งซาตานอัคคีมานานมากแล้ว จากเพื่อนตำรวจที่ประจำการอยู่สน.ชิดลม แต่คิดว่าเป็นเพียงแก๊งกวนเมืองธรรมดา เพราะมีการเคลื่อนไหวน้อยมาก อีกทั้งยังระวังตัว การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งก็มักจะเป็นการช่วยตำรวจเสียมากกว่า ทำให้ตนลืมเรื่องนี้ไป ไม่นึกเลยว่า พวกเขาจะมีกองกำลังและอาวุธที่เพียบพร้อมพอที่จะสั่นคลอนทั้งประเทศถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม พ.ต.ต. พิทยากล่าวว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวล เพราะตนคิดว่า ถ้าหากพวกเขาคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ คงจะทำไปนานแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ทำ ซึ่งบ่งบอกได้ว่า พวกเขามีสามัญสำนึกอยู่บ้าง  

              ชายหนุ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งซาตานอัคคีในอินเตอร์เน็ต แต่ที่พบก็มีแต่เพียงข่าวลือ ที่เชื่อถือไม่ได้ แถมยังมีน้อยเสียอีก จนชายหนุ่มได้แต่ถอดใจ ก่อนที่จะมีเสียงดังเข้ามา

                “อาตี๋ ติ่มซำเสร็จแล้วนา รีบๆลงมากินเถอะเดี๋ยวเย็นหมด”ชายหนุ่มขานรับ ก่อนที่จะปิดคอมแล้วเดินลงบันไดไป เขาลงมานั่งที่โต๊ะก่อนที่จะเริ่มจัดการกับอาหารตรงหน้า เขาสั่งอาหารเพิ่ม เถ้าแก่หันไปบอกลูกน้องก่อนที่จะนั่งลง ตอนนี้ลูกค้าเริ่มออกไปบ้างแล้วทำให้เถ้าแก่ได้พัก

                “เถ้าแก่รู้หรือเปล่าครับว่าพวกแกงซาตานอัคคีเป็นใครมาจากไหน” เถ้าแก่มีสีหน้าตกใจ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆว่า

                “อาตี๋อย่าเอ็ดไปนา ลุงได้ยินว่าพวกนั้นจะมาแถวนี้ นา พูดไม่เข้าหูเดี๋ยวมันเอาตายนา เดี๋ยวหาว่าลุงไม่เตือน”

                “ใจเย็นลุง พวกนั้นมันคงไม่ทำไรลุงหรอก”ชายหนุ่มพยายามสงบสติอารมณ์ชายแก่ “แล้วตกลงพวกนั้นเป็นใครเหรอครับลุง” เถ้าแก่ถอนหายใจก่อนจะเริ่มเล่า

                “ลุงรู้จักตำรวจแถวสยามคนหนึ่ง เขาสืบประวัติของพวกนั้นมานานแล้ว” จู่ๆชายหนุ่มก็ขัดขึ้น

                “สยามเหรอ แล้วพวกนั้นจะยกพวกมาทำไมถึงบางกะปิ”

                “ลุงจะไปรู้ได้ยังไงเล่า อาตี๋ อย่าขัดสิวะ”เถ้าแก่ โวยวายก่อนจะเล่าต่อ “เห็นว่า ตอนแรกมีกันอยุ่สามแก๊ง แต่จู่ๆก็มีคนรวมสามแก๊งนี้เป็นแก๊งเดียว นอกจากนั้นยังขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกตำรวจคาดการณ์ว่า อาณาเขตของพวกมันมีตั้งแต่สยามยันแถวชิดลมเลยนา”

                “นั่นใหญ่มากเลยนะครับนะ แถมยังเป็นเขตที่เงินไหลสะพัดเป็นว่าเล่น”ชายหนุ่มพูดขึ้น

                “เออนะสิ ตอนแรกพวกตำรวจก็นึกว่าเป็นแก๊งธรรมดาๆที่หาสมาชิกได้เร็วมากๆ แต่พอพวกตำรวจส่งคนไปแฝง กลับโดนแก๊งซาตานอัคคีจับได้ แต่ว่าพวกนั้นก็ไม่ได้โต้ตอบกลับมา แถมยังเปิดเผยข้อมูลบางส่วนให้อีก พอได้อ่านเท่านั้นแหละ ตำรวจถึงกับอึ้งเลยนา”

                “ทำไมละครับเถ้าแก่”

                “ถึงพวกนั้นจะเรียกตัวเองว่าเป็นแก๊ง แต่พวกนั้นทำอย่างกับองค์กรใต้ดิน พวกนั้นมีทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า ร้อยล้านบาทเสียอีกนา”

                “ร้อยล้าน! ตกลงพวกนั้นเป็นแก๊งหรือสมาคมพ่อค้ากันเนี่ย”

                “ลุงก็สงสัยอยู่แหละวะ พวกนั้นเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ๆอยู่ตั้งสิบกว่าบริษัท ตอนตำรวจคนนั้นบอกลุงก็ไม่เชื่อหรอกนา แต่พอได้ดูเอกสารของมันลุงก็มึนตึบไปเหมือนกัน”เถ้าแก่เว้นวรรค ก่อนจะเล่าต่อ “พวกนั้นมีสมาชิกเกือบ800 กว่าคน แต่สมาชิกระดับบนสุด มี 5คน คนหนึ่งเป็นหัวหน้า 4คนที่เหลือเป็นผู้คุ้มกฎ พวกหัวหน้าและผู้คุ้มกฎมีพลังที่จะเป็นรองก็เพียงสามพรรคใหญ่ในไทยเท่านั้นแหละ”

                “โห พวกนั้นเก่งน่าดูเลยนะครับ”

                “เออสิวะ ไม่งั้นจะดังได้ขนาดนี้เชียวหรือ”เถ้าแก่เอ็ดเข้าให้ ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำหน้าแหยๆ ก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า “เถ้าแก่เก็บตังเลย เดี๋ยวผมจะไปแล้ว ขืนนั่งต่อผมได้กินของเถ้าแก่หมดร้านแน่ อร่อยมากเลย“ เถ้าแก่ได้ยินก็สวนกลับไป

                “โห อาตี๋ เอ็งหัดพูดจาหวานๆแบบนี้มาจากไหนวะ “ เถ้าแก่ว่าพลางเดินไปที่เคาท์เตอร์  ชายหนุ่มเดินตามไป ก่อนที่จะเอานิ้วกดที่หลังมือ แล้วก็มีเหมือนกับนาฬิกาโปร่งแสงปรากฏขึ้นมา ชายหนุ่มกดที่เมนูบางอย่าง ก่อนที่จะมีแผ่นซีดีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ถึง2เท่า ปรากฏมาอยู่บนมืออย่างฉับพลัน ชายหนุ่มยื่นให้เถ้าแก่ ก่อนที่เถ้าแก่จะง่วนอยู่กับการกดอะไรบางอบ่าง แล้วเอ่ยว่า

                “ทั้งหมด 120 บาทนะ อาตี๋”ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนที่จะรับมันกลับมา แล้วเดินออกไป ชายแก่ สั่งให้ลูกน้องทำความสะอาดร้าน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบน กดที่หลังมือ แล้วเลือกเมนู ส่งข้อความ ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งลงไปว่า

                “แมงป่องโลหิตตัวสุดท้ายได้มาถึงแล้ว”

                ชายหนุ่มเดินออกไปจากร้าน เขาหันซ้ายหันขวาแล้วเดินไปยังตรอกข้างๆร้านน้ำชา ก่อนที่เปิดเมนูสื่อสารขึ้นมาจากหลังมือแล้วลองติดต่อคนรู้จัก แต่ก็ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อใครได้เลย

                “บ้าเอ๊ย ไอ้พวกแก๊งซาตานอัคคี มันเล่นงานแม้กระทั่งเครือข่ายนอกกรุงเทพของพวกเราอย่างนั้นหรือนี่”เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะเดินออกมา แต่แล้วเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาที่เขา พร้อมกับชักอาวุธออกมาจากที่เก็บของบนข้อมือ ก่อนจะส่งเสียงแล้วเข้ารุมชายหนุ่มทันที

                “จับมัน!!!” ชายหนุ่มเห็นก็แค่นเสียงเฮอะออกมา ก่อนจะตะโกนไปว่า

                “พวกมึงคงเป็นลิ่วล้อของแก๊งซาตานอัคคีสินะ กูก็ไม่รู้ว่า พวกมึงสะกดรอยตามกูตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็อย่าหวังมีชีวิตรอดกลับไปหาลูกพี่ของพวกมึงเลย” ชายหนุ่มตั้งท่าเตรียมสู้ มือทั้งสองข้างอยู่ในสภาพกำมือ ยกเว้นก็แต่นิ้วชี้ที่หงิกงอเหมือนหางแมงป่อง ที่นิ้วยังมีไอสีแดงออกมาจากปลายเล็บอีกด้วย นี่ก็คือวิชาที่สร้างชื่อให้กับแก๊งแมงป่องโลหิตในอดีต

                Level 9 ดรรชนีแมงป่องเลือด พิฆาตจุดตาย” นิ้วที่งอของชายหนุ่มตรงขึ้นมาทันที ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามแล้วจี้เข้าที่จุดตายที่อยู่บริเวณใกล้หัวใจทันที ทำให้คนทั้งหมดถึงกับล้มลงทันที แต่ก็ยังไม่ตาย ซึ่งบ่งบอกได้ว่า คนกลุ่มนี้ได้รับการฝึกมาบ้าง

                “เก่งกว่าที่คิดอีกนะ คุณชายแมงป่อง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ชายหนุ่มพยายามมองหาต้นเสียง ก่อนที่จะพบว่าเจ้าของเสียงนั้นอยู่ที่ระเบียงของตึกนั้น

                ผู้ที่พูดขึ้นมาเป็นชายหนุ่มวัย 17ปี ร่างกายสูงใหญ่กว่าวัยรุ่นทั่วไป แต่ก็ไม่เกินไปกว่ามาตรฐาน ใบหน้าหล่อเหลา แต่แววตาในขณะนั้นแฝงไปด้วยความอำมหิตและชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด ส่วนองครักษ์ทั้งสองนั้นก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน คนข้างซ้ายใบหน้าลูกครึ่งญี่ปุ่น หน้าตาคมเข้ม ดูค่อนข้างเงียบขรึม  ส่วนอีกคนเป็นชายที่มีใบหน้าดุดัน ท่าทางอวดเบ่ง ร่างกายสูงใหญ่กว่าผู้เป็นลูกพี่ของตนเล็กน้อย

                “พวกมึงเป็นใคร แก๊งซาตานอัคคีอย่างนั้นเหรอ”

                “รู้แล้วยังจะถามอีกเหรอ เอาละ ยอมให้จับซะดีๆดีกว่าน่า พวกกูรอมึงมาตั้งเดือนกว่าเลยนะเว้ย”

                “อ้อเหรอ มีปัญญาก็ลองดูสิวะ” ชายหนุ่มตั้งท่า เตรียมพร้อมจะสู้ตาย แต่แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังจากทางด้านหลัง แต่ก็ไม่ทันได้ทำอะไร ก็ต้องโดนคนอีกคนจากข้างหลังใช้เพลงเตะที่มีพลังระดับ Level 50 ถีบเข้าให้กลางหลัง จนล้มหน้าคว่ำ ชายหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ก็มีฝ่าเท้ากระทืบลงมากดหัวของเขาเอาไว้

                “มึงทนทายาดดีเหมือนกันนี้ โดนพลังเข้าไปตั้ง Level 50 แต่วิญญาณของมึงก็ยังไม่หลุดออกจากร่าง ไม่เหมือนพ่อของมึง โดนหมัดกูเข้าไปทีเดียวถึงกับชีพจรขาดสะบั้น ใช้ได้ๆ” คนเป็นลูกพี่พูด ชายหนุ่มพยายามดิ้นรน แต่ด้วยพลังปราณที่กดลงมา ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

                “ฆ่ากูสิวะ จะรออะไรอีกละ”

                “ยังไม่ต้องรีบตายไปหรอกน่า เดี๋ยวมึงจะได้ตายสมใจเองนั่นแหละ แต่กูจะต้องรีดเค้นข้อมูลจากมึงซะก่อน”เขาเว้นวรรค ก่อนจะหันไปทางกลุ่มลูกน้องของตนที่ตอนนี้มีคนมาปฐมพยาบาลแล้ว ก่อนจะตะโกนซะเสียงดัง “เฮ้ย KT รักษาพวกนั้นเสร็จหรือยัง”

                “เรียบร้อยครับลูกพี่” คนถูกถามเอ่ยเสียงเรียบ ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนหันไปมองตามต้นเสียงแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง

                “ถะ...เถ้าแก่ร้านน้ำชานี่”ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างยากลำบากและไม่เชื่อสายตา ก่อนที่จะต้องร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อคนที่ใช้เท้ากดศีรษะของเขาอยู่นั้น กระทืบซ้ำที่กลางหลังก่อนที่จะใช้เท้างัดให้ลอยขึ้นมากลางอากาศแล้วออกแรงถีบอีกครั้ง ด้วยพลัง Level 50 จนชายหนุ่มกระเด็นติดผนัง ก่อนจะโดนผู้ใช้เพลงเตะเอาเท้ายันไว้กับผนังทำให้ร่างของชายหนุ่มไม่ทรุดลงไป คราวนี้ถึงกับกระอักเลือดออกมาคำโต

                “หนวกหูน่า จะตายแล้วยังพูดมากอีก”ผู้ใช้เพลงเตะพูดเสียงกร้าว ผู้เป็นลูกพี่เห็นดังนั้นก็ได้แต่เอ่ยปรามไปว่า

    “เฮ้ย BC อย่ารุนแรงนักสิวะ มีมนุษยธรรมหน่อยเว้ย”หนุ่มลูกครึ่งไทย-ลาตินผู้เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนก็สวนกลับไปทันที

                “โห่ลูกพี่ สั่งให้พวกเรารุมสกรัมไอ้หมอนี่ แล้วยังจะมีหน้ามาพูดอีก” ชายหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในสภาพจนตรอกถึงที่สุดแล้ว ก็ได้แต่เอ่ยออกไป

                “นี่มัน หมายความว่ายังไง”

                “ก็หมายความว่าอย่างนี้นะสิครับ ถามได้”เถ้าแก่เจ้าของร้าน พูดด้วยเสียงของชายหนุ่ม ก่อนจะถอดหน้ากากออกมา เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มีผิวขาวเนียนชนิดผู้หญิงยังอาย แถมใบหน้าก็สวย แต่ก็แฝงเค้าความเป็นผู้ชายไว้อยู่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาแฝงไปด้วยความอำมหิตและชั่วร้ายไม่แพ้ผู้เป็นลูกพี่เลยแม้แต่น้อย

                “อะ... อะไรกัน นี่มัน...มันเกิดอะไรขึ้น”ความตกตะลึงเกิดขึ้นในใจของคุณชายแมงป่อง ตอนนี้เขาเริ่มเรียบเรียงความคิดไม่ถูกแล้ว

                “ไหนๆมึงก็จะตายแล้วกูจะไขข้อข้องใจให้มึงก็แล้วกันนะ”ลูกพี่ใหญ่ของแก๊งซาตานอัคคี เริ่มเล่าเรื่องอย่างไม่สะทกสะท้าน

                “พอกูถล่มทั้งองค์กรจนราบคาบแล้ว ลูกน้องของกูก็มารายงานว่า ยังเหลือแมงป่องตัวสุดท้าย ใช่แล้ว มึงนั่นเอง แต่กูก็ไม่คิดจะตามมึงไปจับถึงลอนดอนหรอกนะ แต่ก็ต้องอดทนรอตั้งหนึ่งเดือนแนะ” เขาเว้นวรรคก่อนจะเล่าต่อไปอย่างสบายอารมณ์ “แล้วบังเอิญว่า พวกกูไปค้นพบร้านน้ำชาที่มึงชอบเข้ามาประจำพอดี กูก็เลยขอซื้อร้านนั้นทั้งร้าน ก่อนจะทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอมึงกลับมาที่ประเทศไทยกูก็เลยให้ไอ้ KT ปลอมตัวเป็นเถ้าแก่ ก่อนที่จะดักจับมึงนี่แหละ”

                “นะ..หนอย แกไอ้บัดซบ” คุณชายแมงป่องร่ำร้องอย่างคลั่งแค้นยิ่ง พยายามดิ้นรน แต่ก็โดนชายหนุ่มที่ใช้เท้ายันไว้อยู่เร่งพลังไปถึงLevel 90 จนเขาปล่อยพลังไม่ออก และต้องกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

                BC จับมันกลับรังพวกเรา รีดเค้นข้อมูลออกมาให้หมด ถ้ามันหมดประโยชน์แล้ว ก็ให้ไอ้ KT สูบวิญญาณได้ตามสบาย” คุณชายแมงป่อง ที่ไม่กลัวอะไรยังต้องขนลุกกับคำว่า สูบวิญญาณของคนเป็นลูกพี่ก่อนที่จะโดนBCเตะซ้ำอีกจนสลบ ในขณะที่คนที่จะสูบวิญญาณคนอื่นได้เถียงกลับไป

                “ลูกพี่ ผมคนนะครับ ไม่ใช่ปีศาจ จะสูบวิญญาณคนเป็นว่าเล่น”

                “เอองั้นกูพนัน 3ล้านว่า มึงจะต้องกินไอ้แมงป่องปวกเปียกนี่”

                “งั้นเตรียมเสียพนันได้เลยลูกพี่”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×