คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4...100%
ตอนที่ 4
อรอุมางงเวลาอยู่เหมือนกันเมื่อเดินออกมาจากท่าอากาศยานก็พบว่าที่มัสกัตเพิ่ง 4 ทุ่ม ซึ่งถ้าเป็นประเทศไทยคงเกือบ 8 โมงเช้าแล้ว ถ้าเข้าพักในโรงแรมเธอก็ได้นอนหลับอีกต่อ เยี่ยมไปเลย แต่จะไม่เยี่ยมก็ตรงผู้ชายที่เดินออกมาจากส่วนตรวจคนเข้าเมืองด้วยกันนี่แหละ รังสิมันต์เอาแต่เงียบ ใบหน้าดูไม่รับแขกเท่าไหร่ สงสัยนอนไม่พอ
แล้วพอขึ้นมานั่งในรถที่อรอุมาคิดว่ารังสิมันต์ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้างถึงกับไม่ไล่ให้หารถตะกายไปโรงแรมเอง อย่างน้อยเราก็ยังไม่ทะเลาะกันล่ะน่า หญิงสาวฮัมเพลงอยู่ในใจเมื่อเห็นเมืองมัสกัตผ่านกระจกหน้าต่าง มีดวงไฟเปิดอยู่เพียงประปรายไม่เหมือนเวลาอยู่กรุงเทพฯ ที่คงเปิดไฟกันสว่างทั้งเมือง สนามบินนานาชาติมัสกัต (Muscat International Airport) ห่างออกไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับชุมชนที่เริ่มบางตา ซึ่งโรงแรมที่ภาษิตให้คนจองให้ไม่น่าจะอยู่ห่างไกลเมืองขนาดนี้นี่นา หรือว่าเขาจะเดินทางไปที่อื่น แล้วทำไมไม่บอกกัน
“อ้าวคู๊ณ นี่เราจะไม่ไปเก็บของที่โรงแรมที่ฉันจองไว้ก่อนหรือ”
“ไม่จำเป็น” รังสิมันต์หันมาตอบเสียงเรียบ สายตาคมวาวมองนักข่าวสาวเหมือนมดที่อยากบดขยี้ให้ตายคามือก็ไม่ปาน
แต่นั่นไม่ใช่ความรู้สึกใหม่ แรกๆ รังสิมันต์ก็มองเธออย่างนี้แหละ แต่คราวนี้เธอยังไม่ทันได้ทำอะไร ทำไมถึงมองมาแบบนั้น หรือว่ารำคาญที่เธอติดรถมาด้วย
“จะไม่จำเป็นได้ยังไงล่ะ ก็คุณบอกฉันเองนี่ว่าจะว่างตอนช่วงบ่ายๆ แล้วจะให้ฉันขนกระเป๋าหนักๆ ไว้กับตัวทั้งวันทำไมล่ะ”
เขาหันมามองซ้ำด้วยสายตาแวววาวแปลกๆ แต่อรอุมาไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการเดินทางอันยาวนาน แล้วคำสั่งที่จู่ๆ ก็ออกมาจากปากเขาอีก
“ที่ผมบอกว่าไม่จำเป็นก็เพราะ เราจะเดินทางไปวาฮิบาทันทีน่ะสิ”
“อะไรนะ แล้วคุณจะให้ฉันรีบไปที่นั่นทำไมในเมื่อฉันไม่ได้เร่งรัดอะไรคุณสักหน่อย” อรอุมาโวยลั่น ถึงการไปทะเลทรายวาฮิบาจะเป็นอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ แต่มันเร็วไป เธอต้องการสัมภาษณ์รังสิมันต์ก่อน ไม่ใช่รีบไปตั้งแต่ตอนนี้ อ้อ เกือบเที่ยงคืนแล้วด้วย
“ดูเหมือนจรรยาบรรณของคุณจะมาช้ากว่าที่ผมคิด”
เอาแล้วไง อรอุมาหันมามองรังสิมันต์ นี่เธอคงไม่ได้ละเมอเข้ามานั่งในรถแล้วฝันเป็นตุเป็นตะหรอกนะ แล้วจรรยาบรรณของเธอมันมาเร็วมาช้าอะไรของเขา เธอเริ่มงงจริงๆ นะเนี่ย
“คุณพูดอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย”
รังสิมันต์คิดว่าเขาคงหวังมากไปที่จะเห็นดวงตาตกใจกลัวหรือแม้กระทั่งสำนึกผิดจากอรอุมา นอกจากไม่ตกใจ ไม่สำนักผิดแล้วยังทำเหมือนไม่รู้เรื่องได้อย่างแนบเนียนจนน่านับถือ
“เจต!”
“ครับ คุณรังสิมันต์” เจตขานรับพร้อมกับส่งไอแพดให้เจ้านายที่ส่งต่อ หรือจะเรียกว่ายัดเยียดก็ได้ให้อรอุมาได้ดู
“ดูซะ แล้วผมบอกทีว่ารูปในคืนนั้นมันลงอยู่ในหนังสือพิมพ์ได้ยังไง”
หัวข้อข่าวมากมายเด่นหรา แต่ว่าทุกอย่างชี้ชัดมายังชายหนุ่มและหญิงสาวในรูปกลางคลับหรู
“เอ๊ะ! นี่มัน” อรอุมาแทบเต้งผาง ใช่ นี่มันรูปที่เธอถ่ายไว้จริงๆ แต่มันไปอยู่ในหนังสือพิมพ์ของคนอื่นได้ยังไง
ดูสีหน้าซีดเผือดของผู้หญิงหลอกลวงคนนั้นแล้ว รังสิมันต์คิดว่าเธอไม่ได้แกล้งทำหรอก คงคิดไม่ถึงล่ะสิท่า
“ไม่ต้องตกใจหรอก คิดล่ะสิว่าผมจะไม่รู้เรื่องเลยปล่อยภาพให้นักข่าวสำนักอื่น บอกไว้ก่อนเลยนะว่า ผมไม่เคยเสียรู้ให้ใครมาก่อน เพิ่งจะมีคุณเป็นคนแรก แต่ผมไม่ยอมโง่เป็นครั้งที่สองแน่”
งานงอกล่ะสิงานนี้ อรอุมาอยากจะบ้าตาย ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ แถมมาเกิดได้เหมาะเหม็งเหลือเกิน เธอกลายเป็นนักข่าวจอมฉกฉวย แถมปลิ้นปล้อนหลอกลวงอีกต่างหาก แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกันมาเดือนกว่าๆ แบบนินจา หลบๆ ตามๆ จะมารู้ไหมว่าเธอไม่ได้ทำ...จริงๆ นะ
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรูปที่ถ่ายไว้ถึงมาลงหราอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ได้”
“ยอมรับมาแล้วนี่ว่ารูปพวกนั้นเป็นรูปที่คุณถ่าย ผมไม่น่าดูคนผิดไปเลยจริงๆ” รังสิมันต์สรุปเองเสร็จสรรพ
อ้าว! ซวยสิ จำเลยอ้าปากค้าง ทำไมยิ่งแก้ตัวให้เหตุผล ไหงกลายเป็นยิ่งทำให้ตัวเองดูน่าสงสัยเข้าไปอีกได้ไง(วะ)
“ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ” ถ้าเขาเชื่อเธอคงจะดี แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อเจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยต่อไปอย่างราบเรียบ แต่ชวนให้ขนที่คอตั้งชันว่า
“คนเราเมื่อโกหกครั้งแรกได้ ครั้งต่อๆ ไปก็จะตามมา ต่อไปนี้ผมจะไม่เชื่ออะไรคุณอีก”
พอกันที เธอมันคนความอดทนต่ำในบางเรื่อง แล้วบางเรื่องที่ว่าก็ดันมีเรื่องของความเชื่อใจกันด้วย ถ้าเขาจะเชื่อมั่นต่อไปว่าเธอทำ เธอก็จนใจจะอธิบาย
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจฉัน แล้วจะพาฉันไปด้วยทำไม”
“ลงโทษคนโกหกน่ะสิ อยู่ที่นี่และใช้ชีวิตยากลำบากในทะเลทรายสักเดือน แล้วค่อยกลับ”
ไม่เห็นยากสักนิด หากอรอุมายังไม่กลับประเทศไทยตามกำหนด นั่นก็เพราะหลังจากสัมภาษณ์เขาแล้ว เธอไปท่องเที่ยวต่อเพียงลำพังและหายไปเป็นเดือน ก่อนจะกลับไปและแน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธีปิดปากถึงการลงโทษในครั้งนี้ได้
เขาบอกเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ เธอไม่ได้โตมากจากกระบอกไม้ไผ่ถึงจะไม่มีใครติดตามห่วงหา ที่เขาพูดมาน่ะเข้าคุกได้เลยนะนั่น ถ้าที่นี่เป็นประเทศไทยเธอคงไปแจ้งความได้ แต่ที่นี่คือโอมาน เธอจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรท่ามกลางทะเลทราย ฉะนั้นโอกาสเดียวที่ยังพอจะทำได้...หนี
“จะบ้าเหรอ ใครจะไปกับคุณกัน จอดรถ ฉันจะกลับ” หญิงสาวตะเบงเสียงบอกห้วนๆ ถ้าการสัมภาษณ์ต้องเสี่ยงขนาดนี้ เธอไม่จำเป็นต้องทนต่อไป
“แน่จริงก็ลงไปเองสิ”
“บอกให้จอดรถ” อรอุมาสั่งซ้ำดวงตาคู่นั้นเอาจริง ทว่านอกจากความเร็วของรถจะไม่ชะลอลงแล้ว มันกลับแล่นทะยานไปข้างหน้าเร็วขึ้น ในวินาทีที่ต้องเลือกนักข่าวสาวรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังสั่งให้ตัวเองทำอะไรและมันสำคัญพอที่จะพ้นไปจากรถคันนี้ แต่ในสภาพไหนเท่านั้นเอง
“ก็ได้ คุณบังคับฉันเองนะ” พร้อมกับที่เอ่ย มือบางจัดการปลดล็อคประตูเองแล้วพุ่งตัวลงไปจากรถ ความเร็วและแรงของรถทำให้ร่างของเธอผลุบร่วงลงกับพื้นทรายแล้วกลิ้งหลุนๆ สมองหมุนติ้วจนมึนงง แต่ก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงเรียกเหมือนตะโกนของรังสิมันต์ที่กำลังวิ่งมาหาจากรถที่จอดนิ่ง
“อรอุมา!”
เรียวปากบางเบะออกอย่างไม่ชอบใจ ทำไมเขาไม่ปล่อยเธอไว้ตรงนี้ เดี๋ยวมีแรงเมื่อไหร่เธอจะรีบตะกายหาทางกลับไปที่สนามบินเอง เปลือกตาของเธออ่อนล้า ไม่แน่ใจว่าเพราะยังนอนไม่เต็มอิ่มหรือว่าแรงกระแทกทำให้ควบคุมไม่ให้เปลือกตาปิดไม่ได้กันแน่ แต่มันก็ปิดลงในที่สุด
“ฟื้นขึ้นมา อย่าคิดทำอะไรให้ผมรู้สึกผิดเด็ดขาด” รังสิมันต์ออกคำสั่งพลางอุ้มร่างเพรียวที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากเท่าที่เห็นเพราะร่างลงมากระแทกกับทราย ไม่ใช่พื้นถนน แต่เธอจะทำแบบนี้ต่อเขาไม่ได้
“จะเปลี่ยนแผนหรือเปล่าครับ” เจตช่วยเปิดประตูให้พลางถามนายหนุ่มอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไป
“ไม่ ทุกอย่างยังคงแผนเดิม”
ยังไงคืนนี้เขาต้องไปถึงวาฮิบา ไม่ใช่เพื่ออรอุมา แต่ว่าเขายังไม่เชื่อหรอกว่าหญิงสาวไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ การที่เธอเสี่ยงลงมาจากรถแบบนั้นอาจเพราะความกลัวจนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของเขาก็ได้ ความเชื่อใจเมื่อเสียไปแล้ว การกอบกู้ให้เหมือนเดิมย่อมต้องใช้เวลาและข้อแลกเปลี่ยนเสมอ
เปลือกตาของหญิงสาวเปิดออกจากการหลับไหล อรอุมาฝันว่าเธอกำลังเดินทางอยู่ในความฝันอันยาวนานและแสนเหนื่อยล้า ทว่ายามที่มองไปรอบกายทุกอย่างกลับแปลกไป ที่นี่ที่ไหน ทำไมถึงมีแต่ความร้อนอบอ้าว ไม่มีชั้นหนังสือ ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือ จะมีก็เพียงห้องที่ทันสมัยภายใต้ผ้าใบขึงตึงทรงแปดเหลี่ยมแปลกตา แล้วยังที่นอนที่เธอนอนนี่อีก นี่มันไม่ใช่เตียงหลังเล็กขนาดกำลังดิ้นได้เสียหน่อย มันกว้างจนเหมือนจะนอนได้สามคนสบายๆ
ร่างเพรียวโผเผลุกขึ้น ไม่ต้องหยิกตัวเอง อรอุมาก็รู้ว่าไม่ได้ฝันไป รังสิมันต์ทำได้อย่างที่พูดไว้จริงๆ เขาพาเธอมาที่นี่ทั้งที่เธออธิบายไปตั้งมากมายว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข่าวนั้นไม่ได้มีต้นตอมาจากเธอ แต่ผู้ชายคนนั้นฟังเธอเสียที่ไหน หญิงสาวเดินไปเปิดประตูแล้วเลิกชายผ้าใบออกไปก็จะเห็นทะเลทรายรายล้อม แล้วเมื่อมองฝ่าแสงสว่างจ้าออกไปก็เห็นกระโจมหลังใหญ่ที่ปลูกเรียงสลับกับกระโจมหลังเล็กอีกหลายสิบหลัง
“ที่นี่มันคือที่ส่วนไหนของโลกกันเนี่ย”
สิ่งเดียวที่คิดได้ในเวลานี้คือหนี แม้ไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนก็ตาม สองขาที่ยืนได้อย่างมั่นคงก้าวออกไปจากกระโจมอย่างระมัดระวัง ดวงตามองไปไม่วางใจนัก อรอุมาไม่รู้ว่ารังสิมันต์จะทำอะไรต่อไป นั่นแหละปัญหาใหญ่ เขาอาจจะพาเธอมาฆ่าหมกทะเลทรายแล้วกลับไปประเทศไทยบอกทุกคนว่าไม่รู้ไม่เห็นต่อการหายไปของเธอก็ได้
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่ยอมมาตายกลางทะเลทรายเพราะนายหรอก” หญิงสาวบ่นพึมกับตัวเอง
แต่ก็แปลกไม่น้อยที่ไม่มีใครออกมาจากกระโจมนั่นก็หมายความว่าไม่มีคนอยู่หรือไม่ก็ออกไปอยู่นอกกระโจมกันหมดแล้ว ช่างเถอะ นี่แหละโอกาสของเธอแล้ว
วิ่ง!
อรอุมาวิ่งไปข้างหน้าที่ไร้สิ่งปลูกสร้าง เป็นเพียงทะเลทรายว่างเปล่า แต่มันไม่สำคัญ ขอให้ได้ออกไปจากที่นี่ก่อน ถึงจะต้องไปตายเอาดาบหน้าก็เสี่ยงที่จะลอง ดีกว่าต้องมารอวันตายจากผู้ชายที่เธอแค่ต้องการสัมภาษณ์เขาเท่านั้น แย่ที่สุด
ร่างเพรียววิ่งกระหืดกระหอบด้วยความร้อนใจ หอบเหนื่อยแทบขาดใจ เหงื่อออกเต็มฝ่ามือแล้วเมื่อหันกลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินแว่วผ่านหู ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อรังสิมันต์ควบม้าตามมาทางนี้ เธอมั่นใจว่าเขาคงไม่ได้ออกมาขี่ม้าเล่นแน่ๆ
ให้ตายเถอะ! เธออยากมีม้าแบบเขาสักตัวจริงๆ
อรอุมาหยุดวิ่งเมื่อเห็นๆ อยู่แล้วว่าไม่มีประโยชน์ ยังไงแรงม้าก็มากกว่าแรงวิ่งของคนอยู่แล้ว สู้ยืนอย่างสง่าผ่าเผยไว้รอต่อรองกับรังสิมันต์ดีกว่า โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าเขาจะยอมฟังเธอ
รังสิมันต์มองเจ้าของร่างเพรียวที่กอดอกหน้าบึ้งยืนรอเขา ทั้งที่เมื่อครู่ยังวิ่งหนีแทบเป็นแทบตาย ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้คิดว่าจะจัดการอะไรกับผู้หญิงร้ายๆ ที่แสนโกหกหลอกลวงคนนี้ เสียทีที่นิยมชมชอบในความทรนงตัวเอง แต่แล้วก็ไม่ต่างจากนักข่าวคนอื่นๆ
“สนุกพอหรือยัง?”
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำแบบนั้น” หญิงสาวเชิดหน้าตอบ อย่าคิดว่าเธอจะยอมก้มหน้าให้เพราะเรื่องที่ถูกกล่าวหา
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ารังสิมันต์จะทำแบบนี้ทำไม ถ้าสืบว่าเรื่องข่าวนั้นเธอเป็นคนทำก็ฟ้องกันให้สิ้นเรื่องไปสิ แต่คงยากล่ะ ในเมื่อเธอไม่ได้ทำเสียหน่อย แต่ทำไมเขาคิดว่าเธอทำ
“เร็วไปที่จะพูดอย่างนั้น” พร้อมกับที่บอกร่างสูงบนอาชาตัวใหญ่ก็ตวัดแขนลงเกี่ยวเอวของหญิงสาวขึ้นไปนั่งไพล่บนหลังม้าในชั่วพริบตา
อรอุมาเบิกตากว้างไม่นึกว่ารังสิมันต์จะแข็งแรงจนน่ากลัวขนาดนี้ รู้หละว่าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบออกกำลังกลายสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่คิดว่าร่างเธอจะเบาจนเกี่ยวติดมือมาง่ายๆ แบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าที่เขาบ่ายหน้ากลับไปยังกระโจมซึ่งเรียงเป็นตับอีกครั้ง ตอนนี้เธอควรตกใจได้แล้วหรือยัง?
“แล้วคุณจะเสียใจที่ทำแบบนี้”
ใบหน้าเรียบกระด้าง สายตาคมวาวก้มลงมองใบหน้าที่ถือดีไม่มีความตื่นตระหนก ทว่าดวงตาคู่นั้นกลัวไหวระริกปิดเร้นความกลัว ตอนนี้คงรู้แล้วล่ะสิว่าเริ่มกลัวได้แล้ว แต่เขาจะทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ตลอดการสัมภาษณ์ที่คงใช้เวลานานกว่ากำหนดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดความจริงยังไม่ปรากฏ เขาก็จะกักขังเพื่อไม่ให้อรอุมาได้กลับไปทำร้ายใครได้อีก
กระโจมสไตล์โมเดิร์นซึ่งมีระบบไฟฟ้าและห้องน้ำในตัว โครงสร้างเป็นเหล็กซึ่งภายในซอยเป็นห้องนอน ห้องนั่นเล่นที่มีครัวเล็กๆ และห้องน้ำดูมั่นคง แล้วปูทับด้วยผ้าใบให้เหมือนกระโจมที่อรอุมาเคยเห็นในหนังสารคดี เนี่ยแหละกระโจมสุดล้ำที่เธอเพิ่งวิ่งหนีจากไป แต่แล้วก็ถูกพาตัวกลับมาในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
สิ่งเดียวที่ดูแปลกแยกที่สุดในกระโจมสไตล์โมเดิร์นนับสิบๆ หลังคือเธอนี่แหละ แล้วพอมองดูรังสิมันต์ชัดๆ เธอก็ได้เห็นผู้ชายอาหรับในชุดโต๊ปสีเทากลมกลืนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ ยกเว้นคำพูดเชือดเฉือนที่เขามอบให้เธอในทุกครั้งที่ขยับปากพูดนั่นล่ะ
“อยู่ที่นี่ หรือถ้าอยากวิ่งออกกำลังกายอีกก็ตามสบาย” ชายหนุ่มบอกแกมท้า
ถ้าอรอุมาได้หาข้อมูลของวาฮิบามาบ้างคงรู้ว่าอย่าทำเรื่องโง่ๆ ด้วยการเดินฝ่าทะเลทรายเพราะคงได้ตายฟรีแบบไม่มีใครรู้แน่นอน
อรอุมาไม่หลงกลผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้เด็ดขาด เมื่อครู่เธอแค่ตกใจทำให้รีบวิ่งหนีออกไปจนลืมนึกถึงข้อมูลของทะเลทรายวาฮิบาไป ถึงไม่อยากกลับมาที่นี่เท่าไหร่ แต่คงต้องขอบใจในความโหดร้ายของเขา เธอถึงได้กลับมาก่อนที่จะไปแห้งตายกลางทะเลทรายอีก 2 วันต่อมาแน่ๆ
“ขี้เกียจแล้ว ฉันดันลืมไปว่าทะเลทรายวาฮิบามีพื้นที่ตั้ง 12,500 ตารางกิโลเมตร ถึงฉันหนีคุณได้ ก็คงไปตายกลางทะเลทรายอยู่ดี”
“ก็ดีที่รู้ ไม่ใช่หนีไปแบบนั้น”
ชักตามไม่ค่อยทันแฮะ สรุปแล้วเขาอยากให้เธอหนีหรือว่าไม่อยากให้หนีกันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงๆ ก็ยังหนีไม่ได้อยู่แล้ว แถมยุคนี้มันหมดสมัยผู้หญิงต้องหงอกลัวแล้วด้วย ร่างเพรียวเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วนั่งลงเพราะเมื่อยอยู่เหมือนกัน
“เชิญคุณตามสบายเถอะ ฉันจะอยู่ให้คุณทำโทษสักเดือน หางานหนักๆ มาให้ฉันทำก็แล้วกัน”
พอครบสัปดาห์แล้วเธอยังไม่ได้ติดต่อคุณนายมารตี หรือภาษิต เดี๋ยวก็มีคนออกโรงตามหาเธอเองแหละ
“งานหนักๆ คงน้อยไปสำหรับการที่คุณทำให้ผมเสียชื่อเสียงในครั้งนี้” รังสิมันต์ไม่นิยมการกดขี่ทางเพศ ผู้ชายแสดงความเหนือว่าผู้หญิงด้วยพละกำลัง มีวิธีอีกมากมายในการลงโทษที่ไม่ผิดต่อศีลธรรม
“ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ได้ทำ” อรอุมาปฏิเสธซ้ำ รังสิมันต์จะฟังหรือปล่อยให้ทะลุผ่านหูไปเฉยๆ ก็เรื่องของเขาเถอะ
ร่างสูงใหญ่กอดอกมองยัยกระป๋องน้ำอัดลม ยัยแม่มดตัวร้าย ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้เขาเกือบจะไว้ใจเธออยู่แล้ว
“คนโกหก ไม่เคยบอกว่าตัวเองโกหก จนกว่าผมจะได้หลักฐานว่าใครปล่อยข่าว ในระหว่างนั้นคุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของผม”
“โอเค ฉันจะรอวันนั้นก็แล้วกัน” นักข่าวสวนกลับเสียงตวัดขึ้นจมูก
วันนั้นของเธอกับเขาคงไม่เหมือนกัน เตรียมนับวันรอได้เลย รังสิมันต์เหม็นหน้าผู้ร้ายปากแข็งเต็มทน อยากจับเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนนัก เผื่อว่าหน้าตากวนๆ ไม่ได้กลัวสักนิดจะเผือดซีดลงบ้าง คงต้องโทษรอยถลอกตามแขนเรียวนั่นล่ะที่เขาจะยอมให้หญิงสาววันเดียวเท่านั้น
รังสิมันเดินกลับมาที่กระโจมที่ใช้เป็นทั้งห้องทำงานและห้องนอนในยามที่มาวาฮิบา โดยกระโจมหลายสิบหลังคือส่วนหนึ่งของฟีนิกซ์กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่เขากับแม่...คารีมาฮ์ ราฮ์มาน...พ่อเลี้ยงของเขา และอับดุลลา...พ่อของนาเดียช่วยกันก่อตั้งขึ้น ทำให้ฟีนิกซ์และอะโรมาติกเหมือนบริษัทพี่น้อง เมื่อใดที่พ่อของเขาเดินทางมาที่นี่ยังทักทายราฮ์มานเสมือนเพื่อนคนหนึ่ง ไม่มีความบาดหมางระหว่างผู้ชายสองคน ด้วยรู้ดีว่ากว่าแม่จะแต่งงานใหม่ก็หลังจากที่เลิกกับพ่อไปเกือบ 5 ปีแล้ว
แล้วในทันทีที่เขาเปิดผืนผ้าใบเข้าไปยังห้องทำงานคล้ายครึ่งวงกลมที่ใหญ่พอสมควร คารีมาฮ์กับราฮ์มานซึ่งมานั่งรอได้สักพักแล้วก็มองมาที่เจ้าของห้องเขม็ง ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเอ่ยถาม
“บอกแม่ได้หรือยังไนบราส?”
“เรื่องอะไรล่ะครับที่แม่อยากรู้” รังสิมันต์หรือไนบราสในชื่ออาหรับแกล้งไขสือ
คารีมาฮ์นิ่วหน้าใส่ลูกชายเพียงคนเดียวพลางหันไปมองสามีอย่างขัดใจเจ้าลูกชายคนนี้
“ดูสิคะราฮ์มาน ฉันล่ะเบื่อลูกชายจริงๆ เลย”
ราฮ์มานเป็นชายวัย 50 ปีต้นๆ ที่ใจเย็นและนิ่งพอสำหรับคารีมาฮ์ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีความคิดแหวกแนวต่างจากผู้หญิงอาหรับทั่วไป เธอกล้าแต่งงานกับชายต่างชาติ กล้าหย่าเมื่อครอบครัวมาถึงจุดที่ยากกลับไปเหมือนเดิม แต่ยังคงความเป็นเพื่อนที่ดีกับสามีคนแรกไว้ได้
แล้วเมื่อพบคนที่จะช่วยให้หัวใจที่แห้งผากชุ่มชื่นได้ คารีมาฮ์ก็ไม่หวั่นที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงที่มีสามีเป็นคนที่สอง แม่เคยบอกเขาว่าทำแบบนี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนใคร ไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัว
“บอกแม่เขาไปเถอะไนบราสว่าผู้หญิงที่พามาด้วยน่ะเป็นใคร มาจากไหน อ้อ ตอบดีๆ ล่ะตอนนี้แม่เราน่ะกำหนดวันแต่งงานเอาไว้แล้วนะ” ราฮ์มานเตือนยิ้มๆ เพราะนี่เป็นความคิดของภรรยาที่ติดว่าถ้าลูกชายมีภรรยาอยู่ที่นี่เสีย ไนบราสคงไม่ลืมว่าอีกส่วนหนึ่งของวิญญาณอยู่ที่นี่
ไนบราสอยากจะบ้าตาย ไม่นึกว่าแม่จะหาวันแต่งงานให้เขาแล้ว ทั้งที่ก่อนเดินทางมาเขาเพิ่งรู้ตัวเท่านั้นว่ากำลังจะถูกคลุมถุงชนกับเพื่อนเล่นในวัยเด็ก
“อะไรนะครับแม่ ผมบอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ว่าไม่ได้ชอบนาเดียอย่างคนรัก”
“ลูกกับนาเดียเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กความผูกพันก็ต้องมีมากกว่า ลูกอาจไม่รู้ตัวว่ารักนาเดียก็ได้” คารีมาฮ์ให้เหตุผล อย่างน้อยรู้จักกันดีทั้งหน้าตา นิสัยใจคอก็น่าจะพอไปด้วยกันได้ล่ะน่า
“แม่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะครับ ยังไงผมก็ไม่มีวันลืมว่ารากอีกครึ่งหนึ่งของผมอยู่ที่นี่” ลูกชายเอ่ยอย่างรู้ทัน เหตุผลเดียวที่แม่อยากให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่นี่ก็เพราะกลัวว่าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงไทยแล้วไม่กลับมาที่นี่อีก ด้วยคิดเสมอว่าลูกชายมักต้องการอยู่กับพ่อมากกว่าอยู่กับแม่
ตอนนี้เขายังไม่อยากแต่งงาน บางทีเขาน่าจะทำอะไรสักอย่างไหนๆ ก็เข้าตาจนแล้ว
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ผู้หญิงที่ลูกพามาด้วยเป็นใคร?” คารีมาฮ์ยังไม่ยอมแพ้ตะล่อมถามลูกชายต่อ
“เป็นว่าที่เจ้าสาวของผมครับ”
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอให้รอดครั้งนี้ไปได้ พอกลับมาคราวหน้า เขาคงหาเจ้าสาวตัวจริงได้แล้วกระมัง แล้วอีกอย่าง อรอุมาดูเฮี้ยวสูสีกับแม่เสียด้วย คงไม่ถูกไล่ตะเพิดง่ายๆ ส่วนนาเดียคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาหรอก เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานไม่เคยเห็นมีท่าที
“อะไรนะ!?!” คารีมาฮ์อุทานลั่นมองลูกชายสลับกับสามีที่เกิดมาอารมณ์ดีหัวเราะชอบใจอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้
“ไม่อย่างนั้นผมจะพาอรอุมามาด้วยทำไมล่ะครับ ผมอยากให้เธอรู้จักตัวตนของผมมากขึ้น” เขาให้เหตุผลใบหน้าจริงจังทั้งที่อยากหลุดขำอยู่รอมร่อ
อรอุมาเนี่ยนะ!
แค่มาตรฐานผู้หญิงที่เขาเคยควง ยัยกระป๋องน้ำอัดลมก็ไม่ผ่านแล้ว คราวนี้ยัยนั่นต้องสนใจเงื่อนไขที่จะทำให้ได้กลับประเทศไทยเร็วขึ้นของเขาแน่ๆ
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าลูกมีคนรักจริงๆ อ้อ แม่นัดดานั่นไม่นับ แม่ก็ต้องรู้สิ”
“มีอีกหลายเรื่องครับที่เจตไม่รู้” ไนบราสบอกเสียงจริงจัง ใบหน้าไร้พิรุธ
ผู้เป็นแม่ชักไม่แน่ใจเลยหันไปถามความเห็นของสามี
“คุณเชื่อลูกไหมคะราฮ์มาน”
“เชื่อสิคารีมาฮ์ เรื่องแบบนี้คนอย่างไนบราสไม่เอามาล้อเล่นหรอก” ราฮ์มานเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ไนบราสบังคับไม่ให้หลุบตาลง การโกหกในครั้งนี้เป็นเรื่องแย่ก็จริง แต่ถ้ายอมให้เกิดการแต่งงานขึ้นมาจริงๆ เขาคงแย่ยิ่งกว่านี้ อย่างไรเสียในวันหนึ่งข้างหน้าเขาย่อมแต่งงานกับผู้หญิงสักคน เพียงแต่เจ้าสาวไม่มีวันใช่อรอุมากับนาเดียเท่านั้นเอง
“จริงๆ หรือลูก ไม่ได้หลอกแม่นะ” ผู้เป็นแม่ถามย้ำจ้องมองลูกชายเขม็ง
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนี่ครับ”
“แล้วนาเดียล่ะ ลูกจะตัดสินใจยังไง”
“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอทำงานนะครับ”เขาบอกแม่กับพ่อเลี้ยงยิ้มให้เหมือนรู้ใจกันว่างานนี้คารีมาฮ์หมายมาดแล้ว อย่างได้หวังว่าจะรอดเชียว
คารีมาฮ์ชักหนักใจเพราะเธอเริ่มไปเกริ่นเรื่องนี้กับนาเดียซึ่งเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว นางจึงดูแลนาเดียอย่างดีเสมือนลูกสาว แล้วก็หวังอยากให้ลูกชายกับนาเดียได้แต่งงานกัน แล้วถ้าไนบราสมีคนรักกันอยู่แล้ว นางคงต้องหาทางออก ย้ำนะว่าต้องเป็นคนรักจริงๆ ไม่ใช่เป็นผู้หญิงของเจ้าลูกชายที่จะหนีการแต่งงาน
“ตื่นแล้วหรือคะ”
อรอุมาลืมตากะพริบอย่างงงๆ ว่าเสียงใครหว่า จำได้ว่าหลังจากรังสิมันต์ออกไปแล้วเธอก็ว่างๆ ยังไม่อยากออกไปเยี่ยมหน้าให้ใครต่อใครมากวดตามลากกลับมากระโจมอีก แถมอาการเจ็ตแล็ก (Jet Lag) ยังมากวนใจ ไปนอนเอาแรงไว้สู้รบปรบมือกับคนเจ้าเล่ห์ตอนที่อาการดีๆ มีสติดีกว่า ว่าแต่เสียงใครที่ทักมาแถมยังพูดภาษาของเธอได้อีก
หญิงสาวคนหนึ่งใบหน้าใจดี เครื่องหน้าเป็นชาวอาหรับจ๋ามาก ทั้งดวงตา คิ้ว จมูก คาง รวมๆ แล้วดูสวยชวนมองดีเหลือเกิน แถมเรียวปากที่ยิ้มให้ช่วยให้คนไกลบ้านใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
“คุณพูดภาษาไทยได้”
ริดายิ้มรับพลางช่วยเลิกชายของผ้าม่านเตียงออกให้พร้อมกับเปิดผ้าใบผืนเล็กที่คล้ายหน้าต่างออกไปให้อากาศแห้งๆ เข้ามา แล้วเปิดเครื่องทำความเย็นแบบไอน้ำแทนจะได้สดชื่นพลางหันมาตอบแขกของไนบราสที่ใครๆ พากันสงสัยว่าเธอผู้นี้เป็นใคร
“ก็แม่ของคุณไนบราสไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยตั้งหลายสิบปีนี่คะ พอกลับมาที่นี่ก็เลยเปิดคอร์สสอนภาษาไทยเผื่อไว้เสียเลย เพราะเราต้องมีการติดต่อค้าขายกับลูกค้าหลายชาติ”
“ค้าขายเหรอ ขายอะไร เหมือนชาวเบดูอินหรือเปล่า” อรอุมาถามไปแล้วก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ถ้าที่นี่เป็นโรงแรมกลางทะเลทรายที่ทำให้เหมือนชาวทะเลทรายที่พักอาศัยในกระโจมก็คงได้
“ทำโรงแรมพร้อมกับบริการทัวร์ทะเลทรายค่ะ แล้วก็ขายของพื้นเมือง หลายๆ คนที่นี่มีบ้านอยู่ที่มัสกัต ไม่ก็เมืองอื่นๆ เราไม่ใช่กองคาราวานเบดูอินหรอกค่ะ”
อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าบรรยากาศมันดูเหมือนอยู่ในโรงแรมมากกว่าอยู่ในกระโจมของชาวทะเลทรายที่เคยเห็น นับว่ารังสิมันต์มีภูมิหลังที่น่าสนใจไม่น้อยเลย ไม่แน่ว่าที่นี่อาจเป็นธุรกิจของแม่เขาก็ได้
“ถ้าไม่มาเห็นด้วยตัวเองฉันคงคิดว่าชาวตะวันออกกลางมาอยู่ในทะเลทรายเพื่อเป็นที่อยู่จริงๆ ที่แท้เป็นโรงแรมกึ่งออฟฟิศนี่เอง ทันสมัยจังเนอะ”
ถ้าไม่ติดว่าถูกขู่บังคับให้มาที่นี่ อรอุมาคงคว้ากล้องวิ่งออกไปเก็บภาพบรรยากาศ แต่นี่กระเป๋าเดินทางของเธอน่ะเห็นอยู่ แต่กระเป๋ากล้องกับโทรศัพท์นี่สิไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
“ถ้าคุณสบายดีแล้ว เดี๋ยวฉันไปบอกคุณไนบราสก่อนนะคะ เขาคงห่วงคุณมากแล้วล่ะ” ริดาบอกตามที่เข้าใจเอาเองเมื่อไนบราสเป็นคนโทรสั่งให้เธอมาดูแลผู้หญิงที่พามา ก่อนจะไปทำงานในกระโจมส่วนตัว
อรอุมากำลังจะอ้าปากถาม แต่ก็ไม่ทันหญิงสาวคนนั้นเดินออกไปจากกระโจมเสียแล้วพร้อมกับทิ้งคำถามให้เธอขบคิดว่า
“ใครหว่า...ไนบราส ? ไม่รู้จักเสียหน่อย ว่าแต่อีตาบ้ารังสิมันต์อยู่ไหนเนี่ย”
ตอนนี้สติมาแล้ว มาพร้อมๆ กับอาการเคล็ดขัดยอกเสียด้วยซิ เมื่อคืนอรอุมาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้บ้าเลือดขนาดนั้น ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่แข้งขาหัก เฮ้อ แต่เธอจะนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในกระโจมก็ใช่ที่ ขอออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันบ้างน่าจะดี
“จะไปไหน?!”
อรอุมายกมือทาบอกสะดุ้งโหยง เธอไม่ใช่คนขวัญอ่อนอะไรหรอก แต่เสียงมาก่อนตัวแบบนี้ใครบ้างจะไม่ตกใจ นี่เธอยังเดินออกมาจากกระโจมไม่ถึง 3 ก้าวด้วยซ้ำ หูไวตาไวจริงเชียว
“ทำไมมาเงียบๆ” หญิงสาวบ่นพึมตีหน้ายุ่งใส่
คนเอ่ยทักตีหน้ายุ่งใส่บ้าง นี่อรอุมาไม่ได้รู้สึกว่าต้องเกรงกลัวเขาในฐานะเชลยบ้างหรือไง
“ถ้าไม่มาเงียบๆ แล้วผมจะรู้หรือว่าคุณกำลังจะหนี”
นักข่าวสาวยกแขนมากอดอกมองคนจ้องจับผิด ถ้ารู้ความจริงเมื่อไหร่ ทุกอย่างที่เขาว่าเธอเอาไว้จะเอาคืนให้หมดเลย แถมดอกเบี้ยให้ด้วย ไม่ได้อาฆาตหรอก แค่ตอบแทนสิ่งที่เขายัดเยียดให้เท่านั้นเอง
“แผ่นเสียงตกร่องหรือไงคุณ บอกไปแล้วไงว่าไม่หนีแล้ว เหนื่อย ตายเปล่า ฉันอยากจะออกไปเดินสูดอากาศก่อน เดี๋ยวพอคุณนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สั่งให้ฉันทำอะไร ฉันคงไม่ว่างแล้วล่ะ”
อรอุมานึกไม่ออกเหมือนกันว่าผู้ชายที่ดูนิ่งขรึม แต่เจ้าชู้พอประมาณ เวลาร้ายกาจนั้นจะร้ายกาจได้ขนาดไหน แล้วการลงโทษของเขาจะเป็นเช่นใด คงไม่ใช่ให้หาบน้ำ ผ่าฟืนกระมัง
รังสิมันต์มองยัยกระป๋องน้ำอัดลมตาวาวพลางกดโทรศัพท์ภายในซึ่งล็อคไว้ไม่ให้โทรไปที่อื่นนอกจากในฟีนิกซ์ เขารู้แล้วล่ะว่าบทลงโทษแบบเบาๆ ของอรอุมาคืออะไร
“ริดา มาหาผมที่กระโจมด้วย”
ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีหญิงสาวที่อรอุมาจำได้ว่าเป็นคนมาดูแลเมื่อตอนบ่ายก็มาถึง ที่แท้ก็ชื่อริดานี่เอง อย่างน้อยลูกน้องก็ดูเป็นมิตรกว่าเจ้านายล่ะ
“พาคุณอรอุมาไปทำอาหาร เย็นนี้ผมต้องได้ทานอาหารฝีมือของอรอุมาอย่างน้อย 3 อย่าง” เขาสั่งด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ายิ้มของรังสิมันต์คืออะไรคือคนที่ถูกสั่งนั่นแหละ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าเธอทำงานหนัก เรื่องทำกับข้าวกับปลานั้นเป็นเรื่องห่างไกลและเป็นไปไม่ได้เลยที่อาหารที่เธอทำจะออกมาดูดีรสชาติใช้ได้ แต่ก็ดีเหมือนกัน อยากลงโทษเธอวิธีนี้ก็เหมือนเขาลงโทษตัวเองนั่นแหละ
“แน่ใจนะว่าจะลงโทษฉันด้วยวิธีนี้ ขอบอกเลยนะว่าฉันน่ะทำอาหารไม่ได้เรื่อง”
แต่รังสิมันต์มีหรือจะไม่รู้ทัน ตามประวัติของอรอุมาที่เขาให้เจตเตรียมไว้ให้นั้นบอกไว้ด้วยว่าหญิงสาวทำอาหารไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่หรือจะเรียกว่าทำอาหารไม่ได้เรื่องก็ได้ นั่นไม่ใช่ปัญหาของเขาสักหน่อย
“ห้ามคนอื่นทำแทน ต้องอรอุมาคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่อร่อยถูกใจผมก็ต้องทำใหม่จนกว่าผมจะบอกว่าอร่อย”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าอย่างไหนถึงจะถูกปากคุณนะ อย่ามาทำอะไรแบบนี้เลย เชื่อเสียทีสิว่าฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น” นักข่าวสาวอยากจะบ้าตาย อย่างนี้เธอไม่ต้องทำอาหารให้เขาชิมทั้งคืนหรือไง ว่าแล้วเชียวว่าเงื่อนไขมันฟังดูง่ายจนไม่น่าเชื่อ
ไนบราสหัวเราะชอบใจเสียงไม่เบาเลยเมื่อเห็นคนท่าทางมั่นใจหน้าเริ่มซีด บอกแล้วเขาไม่ทำรุนแรง แต่เหนื่อยแน่นอนล่ะ
“พาคุณอรอุมาไปได้แล้วริดา”
“ค่ะ คุณไนบราส”
อรอุมาแยกเขี้ยวใส่คนรู้ทันจนน่าเกลียด แถมยังหัวเราะเยาะใส่เธออีกต่างหาก ถ้ากลับประเทศ อ้อ ไม่สิ แค่กลับเข้าไปในมัสกัตได้สิ่งแรกที่เธอต้องทำให้ได้นั่นคือ แจ้งความนายนี่ด้วยข้อหาบังคับหน่วงเหนี่ยว ลักพาตัว หมิ่นประมาท อะไรก็ได้ มีกี่ข้อหาเธอเหมาให้เขาหมด อย่าให้เธอถึงวันนั้นก็แล้วกัน ฮึ่ย
ความคิดเห็น