ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หวานรักพยัคฆ์ร้าย..Re-Up

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.62K
      17
      2 มี.ค. 62

     

              รถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ช้าๆ บนถนนกลางใจเมืองได้สร้างความเบื่อหน่ายให้พอๆ กับความร้อนใจว่าจะไปงานสำคัญไม่ทัน เจ้าของนิ้วเรียวใหญ่เคาะพวงมาลัยไปตามจังหวะเพลง เขาใกล้ผิดนัดอยู่รอมร่อจนอยากบีบแตรเร่งให้รถเคลื่อนไปสักที แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันไร้มารยาทและทำให้อารมณ์เสียกันเปล่าๆ เจ้าของใบหน้าคร้ามแบบที่เรียกว่าหน้าไทยเข้มๆ ขมวดคิ้วดูเวลาและถอนใจอีกรอบ ธีรดาใจเย็นกว่าคู่แฝดเลยแกะถุงขนมส่งให้พี่ชายที่อายุห่างจากเธอแค่นาทีเดียวแทนที่จะถอนใจเซ็งๆ ตาม

              “จะไปทันไหมวะ ไม่รู้รถมันจะติดอะไรนักหนา เดินไปน่าจะเร็วกว่าละมั้งยัยกวาง” ธีมาเอ่ยเสียงทุ้มๆ ยังไม่ได้หงุดหงิด แค่บ่นแก้เบื่อเท่านั้นเอง

              ธีรดามองใบหน้าแบบชายไทยที่ดูคมเข้มระคนน่ากลัวเพราะดวงตาที่บอกความรู้สึก ยามโกรธ ยามพอใจ ดวงตาสื่อความหมายได้ ยกเว้นว่าเจ้าตัวจะจงใจไม่แสดงออกมา พ่อเคยบอกเธอบ่อยๆ ว่าถ้าไม่ขอให้ธีมาเรียนด้านกฎหมายควบคู่ไปกับการเกษตร สงสัยครอบครัวของเราคงมีนักบินประจำบ้าน ความฝันของธีมาคือการเป็นนักบิน แต่ทุกวันนี้กลับได้เป็นนักพัฒนาที่ดินในฐานะพ่อเลี้ยงของ ปางไม้ธารธีราแทน โดยมีเธอทำหน้าที่หาลูกค้าดูแลสำนักงานในเมือง

              “ใจเย็นๆ น่ะเสือ วันนี้มีคอนเสิร์ตของลูกเลี้ยงพี่ปาย” ธีรดาส่ายหน้าถอนใจ “คิดๆ แล้วก็น่าหนักใจแทน พ่อแต่งงานใหม่ แต่ลูกสาวไม่ไปงานแต่งของพ่อ อะไรจะใจแข็งปานนั้น”

              “สงสารพี่ปาย ไม่รู้จะมาแต่งงานกับพ่อหม้ายทำไม ได้ข่าวว่าลูกติดก็แสบใช่เล่นไม่ใช่หรือ”

              ธีรดายิ้มรับเพราะจำได้ทุกคำพูดที่ไปรยาหรือพี่ปายของพวกเธอมาปรับทุกข์ให้ฟังตั้งแต่คบหากับคุณพลิศซึ่งเป็นพ่อหม้ายตั้งแต่ยังหนุ่ม ซึ่งจริงๆ แล้วอายุ 46 ก็ยังไม่ถือว่าแก่อะไร ถ้าไม่รู้อายุเธอยังคิดว่าเพิ่ง 30 ปลายๆ ด้วยซ้ำ เรื่องมันเกิดจากอดีตภรรยาของคุณพลิศตายไปตั้งแต่ลูกสาวเพิ่ง 10 ขวบ ทีนี้แม่ลูกสาวก็เลยหวงพ่อจนกีดกันผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดพ่อ จนกระทั่งคุณพลิศมาพบกับไปรยา ความที่เป็นคนใจเย็น มีเหตุผลและอดทนของไปรยาทำให้คุณพลิศยอมรับในน้ำใจและความดีหลายๆ อย่างจนกระทั่งยอมให้ลูกสาวโกรธหลังจากประกาศว่าจะแต่งงานใหม่

              “ต่อไปคงเข้ากันได้ละมั้ง เสือรีบไปอยู่เลนซ้าย อีกเดี๋ยวจะต้องเลี้ยวเข้าโรงแรมแล้ว”

              ธีมารีบเปิดไฟเลี้ยวและขับรถไปอยู่เลนซ้ายสุด ถ้าพ่อมาด้วยคนบ่นพึมที่ตอนนี้เราสายกว่าเวลาเริ่มงานไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จะว่าเขานึกขวางยัยลูกเลี้ยงของพี่ปายก็ได้ ขนาดไม่เคยพบหน้ายังได้รับความเดือดร้อนจากคอนเสิร์ตของคุณเธอ อย่าคิดว่าเขาไม่ได้เผื่อเวลาเชียวนะ มาก่อนเวลาเริ่มงานถึง 2 ชั่วโมงก็ยังไม่ทันอยู่ดี เวลา 2 ชั่วโมงนี่หากขับไปชลบุรีคงถึงไปแล้ว

     

              พลิศเพิ่งวางสายจากเอกชัยซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของดาวิกา คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้เขาหนักใจ ดาวิกาแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าหลังจากจบคอนเสิร์ตจะไม่มาแสดงความยินดีกับเขา ทำไมลูกสาวถึงได้ไร้เหตุผลและดื้อดึงจนเขาไม่เข้าใจว่าไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน เอกชัยแบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะพูดให้ แต่ไม่แน่ใจอยู่ดีว่ายัยลูกจันทร์จะยอมไหม

              ทุกครั้งที่เขาเรียกดาวิกาว่าลูกจันทร์ท่าทีแข็งกร้าวจะอ่อนลงทันที แต่คงไม่ใช่หลังจากที่เขาประกาศว่าจะแต่งงานกับไปรยา นอกบ้านลูกสาวของเขาคือ วิก้าของแฟนๆ ที่ชื่นชอบเสียงร้องในฐานะนักร้องที่มียอดขายอัลบั้มสูงสูดในปีที่ผ่านมา ดาวิกาไม่ค่อยกลับบ้าน หรือหากกลับมาก็เอาแต่อยู่ในห้อง พูดกับเขานับคำได้ ทำไมถึงต่อต้านไปรยานักหนา ในเมื่อไปรยาไม่ได้มาแย่งความรัก ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเขารักลูกเสมอและจะรักตลอดไป ทำไมลูกไม่เข้าใจเขาบ้างหนอ

              “อย่าทำหน้าเครียดสิคะ ถ้าคุณลิศเหนื่อย เดี๋ยวปายดูแลแขกคนเดียวก็ได้นะคะ”

              “ไม่เป็นไรครับ ผมกังวลเรื่องยัยลูกจันทร์น่ะ ไม่รู้ว่าจะมางานของเราได้หรือเปล่า ปายเข้าใจผมนะ ผมมีลูกสาวคนเดียวถึงจะดื้อไปบ้าง แต่ยังไงแกก็ยังเป็นลูกที่ผมรักอยู่ดี” พลิศปรับทุกข์ ไปรยาเป็นผู้หญิงที่เข้าใจเขาเสมอ ตลอด 3 ปีที่คบหาดูใจ ถูกยัยลูกจันทร์ออกฤทธิ์ใส่เท่าไหร่เธอก็เย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่โต้ตอบจนคนที่ร้อนเป็นไฟกลายเป็นคนหาเรื่อง

              “ปายเข้าใจค่ะ เพราะคุณลิศเป็นอย่างนี้ไงคะ ปายถึงได้รัก วางใจเถอะค่ะ อีกไม่นานคุณลูกจันทร์คงเข้าใจคุณ” ไปรยาบีบมือของพลิศเบาๆ อย่างให้กำลังใจเขาและให้กำลังใจตัวเองด้วย

              ธีมากับธีรดาออกจากลิฟต์มาพอดี ไปรยาโบกมือพลางยิ้มให้ วันนี้แขกที่มาส่วนใหญ่เป็นเพื่อนพ้องและญาติทางฝั่งของพลิศเป็นส่วนใหญ่ แต่รวมๆ แล้วก็ยังไม่ถึงร้อยคนอยู่ดี เพราะเธอกับเขาตกลงกันว่าอยากจัดงานกันในหมู่คนที่สนิทเท่านั้น ในเมื่อเธอแต่งงานกับเขาไม่ใช่เพราะความมีหน้ามีตาในวงสังคมอยู่แล้ว จัดงานใหญ่ไม่ได้หมายความว่าความรักจะยืนยาว ถ้าเงินเหลือใช้น่าจะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า

              “ขอบใจนะที่มา นึกว่านายเสือจะไม่ยอมออกจากถ้ำเสียแล้ว”

              ธีรดาเหล่คนชอบอยู่ในถ้ำซึ่งไม่ได้เกินจริงเลย รายนี้ชอบอยู่ในไร่ในป่า เวลาออกมานอกเมืองก็นานๆ ที พอบอกว่าจะขับรถให้ก็ไม่ยอม แล้วเป็นไงพ่อเจ้าประคุณก็บ่นความวุ่นวายในเมืองกรุงเสียจนคนอยู่เมืองกรุงอย่างเธอเริ่มเห็นด้วย

    “ถ้ากวางไม่ไปตามจิกจนยอมออกมาจากถ้ำก็คงไม่ยอมออกมาหรอกค่ะพี่ปาย”

    “เกินไปนะยัยกวาง งานของพี่ปายทั้งทีจะไม่มาได้ยังไงล่ะ จริงไหมครับพี่ปาย” เสือบอกปากยิ้ม แต่ตายังดุ ไปรยาหัวเราะชอบใจ ฝาแฝดคู่นี้ไม่รู้เป็นยังไงทะเลาะกันได้ตลอด

    “คุณลิศคะนี่ธีมากับธีรดา เรียกสั้นๆ ว่าเสือกับกวางก็ได้นะ ลูกพี่ลูกน้องของปายเองค่ะ อุตส่าห์เดินทางมาไกลจากเชียงรายเชียว” ไปรยาแนะนำ

    พลิศพยักหน้ายิ้มรับด้วยอายุที่มากกว่าจึงได้แต่รับไหว้ญาติผู้น้องของไปรยาแทน

    “สวัสดีครับ รู้จักผ่านพี่ปายมานานแล้ว วันนี้ได้พบตัวจริงเสียที คุณพลิศดูแลพี่สาวของเราสองคนดีๆ นะครับ ถ้าดูแลไม่ดีงานนี้คุณลุงประดิษฐ์คงไม่ยอมหรอกนะครับ”

     “เสือ!” ธีรดาตีแขนคู่แฝดที่หากใส่วิกผมยาวๆ ก็เหมือนเธอเปี๊ยบอย่างหมั่นไส้เต็มที พูดตรงก็จริง แต่เก็บเอาไว้ในใจบ้างก็ได้ “อย่าถือสาเสือเลยนะคะ กวางกับเสือสนิทกับพี่ปายเลยเป็นห่วงมากเท่านั้นเอง”

    พลิศพยักหน้ารับ “ผมไม่ถือสาหรอกครับ เข้าใจว่ามีแต่คนห่วงปายทั้งนั้น ถ้าผมเจอกับปายเร็วสักหน่อยคงไม่รอถึงอายุปูนนี้หรอกครับ”

              ไปรยายิ้มเขินเมื่อฟังคำพูดของพลิศ ธีรดายิ้มล้อๆ ผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนได้พบกับผู้ชายที่อ่อนโยนเหมือนกันชีวิตนี้คงไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะ สองหนุ่มต่างวัยมองเจ้าสาวแล้วยิ้มตาม พอเห็นแขกทยอยมากันเรื่อยๆ ธีรดาจึงสะกิดธีมา

    “พี่ปายคะ เดี๋ยวกวางพาคนปากเสียไปในงานก่อนดีกว่า”

    “ขำๆ น่า พี่สองคนไม่คิดอะไรมากหรอก”

    ธีมาหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ว่าไปรยาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยน่ะสิเขาถึงกล้าพูด คุณลุงประดิษฐ์ยิ้มหน้าบานกว่าทุกคนในงานเมื่อได้ลูกเขยถูกใจ แม้จะเป็นพ่อหม้าย แต่เท่าที่รู้พลิศเป็นคนดีคนหนึ่งคนในวงการธุรกิจต่างนิยมชมชอบในความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เรื่องเดียวที่ทำให้การแต่งงานครั้งนี้ไม่สมบูรณ์คงมีเพียงความร้ายกาจและเป็นจอมวีนที่ได้ข่าวมาของลูกเลี้ยงไปรยาเท่านั้น คนใจเย็นจะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้

     

    แดนเซอร์เดินกลับมาหลังเวทีหลังจากอำลาผู้ชมพร้อมกับ วิก้าเรียบร้อยแล้ว โดยนักร้องสาวเข้ามาด้านหลังเวทีเป็นคนสุดท้าย ไมค์ไร้สายถูกถอดออกไป นักร้องสาวนั่งลงอย่างหมดแรงเมื่อใส่พลังไปเต็มที่ให้สมกับเป็นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่วันสุดท้ายของอัลบั้มนี้ ก่อนที่เธอจะขอพักยาว 3 เดือนเพื่อพักผ่อนทำเรื่องปกติๆ ที่คนอายุ 20 ปีทำกัน

    เอกชัยรีบหาน้ำมาให้แล้วบอกเรื่องที่พลิศโทรมา ดาวิกานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา ความที่รู้จักกันมานานมีหรือหนุ่มใหญ่หัวใจแหวว แต่ต้องแอ๊บไว้จะดูไม่ออก แล้วยังของที่ดาวิกาสั่งมาอีกจะไปก่อเรื่องอะไรอีกก็ไม่รู้

    “นี่อะไรหรือน้องลูกจันทร์ พี่เปิดดูได้ไหม” เอกชัยชอบเรียกชื่อเล่นของดาวิกามากกว่า

    เจ้าของใบหน้าหวานมองกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วยิ้มหวานจนอีกนิดคงน่ากลัวแทน อาจเป็นเพราะการแต่งหน้าที่เน้นสโมคกี้อายตามคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มล่าสุดที่ต้องแต่งหน้าให้ดูแรงๆ เสมอ จนนักข่าวเอาแต่เขียนเรื่องแรงๆ ของเธอ แทนที่จะเป็นเรื่องดีงามสักเรื่อง แต่ก็แปลกการทำตัวแรงๆ กลับได้ใจแฟนคลับเพียง 3 ปีเท่านั้นหลังจากชนะการประกวดร้องเพลงจากเวทีแห่งหนึ่ง ดาวิกาก็ได้เป็นนักร้องหญิงที่ดังที่สุดในเมืองไทยและยังติดอันดับนักร้องผู้มีชื่อเสียงอันดับ 7 ของเอเชียอีกด้วย การทัวร์คอนเสิร์ตในเอเชียได้รับการตอบรับที่ดีจนค่ายเพลงวางแผนว่าจะโปรโมทวิก้าสู่ตลาดยุโรปและอเมริกาในต้นปีหน้า

    “ไม่ได้ค่ะ วันนี้ลูกจันทร์จะขับรถเองนะคะ พี่เอกไปที่งานก่อนเลยได้ดีกว่า ถ้าเสร็จธุระแล้วลูกจันทร์จะรีบตามไป” นักร้องสาวบอกผู้จัดการส่วนตัว ช่างแต่งหน้าเข้ามาช่วยซับหน้าให้เท่านั้น ไม่ได้ล้างเครื่องสำอางเมื่อเจ้าตัวยังมีที่แห่งหนึ่งต้องไป

    “แล้วลูกจันทร์จะไปไหนอีกล่ะ เรามีปาร์ตี้คอนเสิร์ตรอบสุดท้ายอยู่นะ ถ้าไม่ไปมันจะดีหรือ”

    “พี่เอกก็รับหน้าให้ลูกจันทร์ไปก่อนสิคะ ไม่เกินเที่ยงคืนลูกจันทร์จะตามไปสมทบ แล้วเจอกัน”

    ร่างเพรียวลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกล่องสำคัญมากอดไว้แนบอกแล้วเดินจากไปพร้อมการ์ดตัวโตอีกสองคน เอกชัยมองตามแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ครั้นจะห้ามซ้ำก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้ใครกล้าแหยมกับนักร้องเบอร์หนึ่งบ้างล่ะ ขออย่างเดียวว่าอย่าไปงานแต่งงานก็แล้วกัน ชุดดำแบบนั้นเดี๋ยวได้กลายเป็นข่าวอีกหรอก

     

    งานแต่งงานดำเนินไปอย่างราบรื่นเมื่อแขกมากันเกือบครบ คู่บ่าวสาวทักทายแขกและมีการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ งานนี้พิธีกรของงานไม่พ้นพาทีอีกตามเคย ตั้งแต่เรียนมหาลัย จนกระทั่งมาเป็นบรรณาธิการหนังสือเกี่ยวกับวงการบันเทิง พาทีรับหน้าที่พิธีกรตลอด ยกเว้นยังไม่มีงานสำคัญของตัวเองบ้างก็เท่านั้นเอง

    ไปรยาอยู่ในสายตาของพลิศเกือบตลอดเวลาก็ว่าได้ ธีมานั่งมองด้วยความสุขไปด้วยคงเหมือนทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ธีรดาก็ชอบเหลือเกินเรื่องดูแลคนอื่น ไปรยาเลยมีคนช่วยซับหน้าจับกระโปรงให้ตลอดเวลา

    พลิศมองประตูทางเข้างานอยู่บ่อยครั้ง เจ้าสาวมองตามสายตาของเจ้าบ่าวแล้วยิ้มให้กำลังใจเหมือนทุกครั้งที่เขาต้องการได้ยินคำพูดที่ฟังแล้วหายร้อนอกร้อนใจ

    “อย่าคิดมากเลยนะคะ จนป่านนี้แล้วคุณลูกจันทร์คงไม่มาแล้วละมั้งคะ ไม่ราบรื่นไปบ้าง แต่เรายังมีกันและกันนะ ปายจะพยายามทำให้คุณลูกจันทร์ยอมรับความรักของเราให้ได้ค่ะ” ไปรยามุ่งมั่น แม้ว่าไม่ค่อยแน่ใจนัก

    “ขอบใจนะปาย ผมอยากให้ลูกจันทร์ได้รู้จักปายมากกว่านี้ อคติของแกมากเหลือเกิน จนบางทีผมก็ท้อใจ”

    ไปรยาเข้าใจ เธอรู้ดีว่าดาวิกาไม่ใช่คนที่อ่อนยอมฟังใครง่ายๆ แต่ถ้าไม่พยายามต่อไปเธอกับลูกเลี้ยงคงอยู่กันอย่างอึดอัด คนที่ไม่สบายใจก็ไม่พ้นคนกลาง

    “ได้เวลาเจ้าสาวโยนดอกไม้แล้วครับ”

    เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ยินเสียงของพาทีก็รีบเดินกลับไปที่เวที ธีรดาถือดอกไม้มาให้ก่อนจะรีบวิ่งลงไปด้านล่างรวมกลุ่มกับสาวๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเพื่อรอแย่งดอกไม้ ธีมาส่ายหน้าบ่นพึมไม่เข้าใจว่าผู้หญิงนี่แปลกจริงๆ แค่ดอกไม้ช่อเดียวไม้รู้จะแย่งกันทำไม แต่ถึงจะไม่เข้าใจยังไงชายหนุ่มก็ยังออกมายืนรอมองคู่แฝดว่าจะได้ดอกไม้หรือเปล่า รายนี้ได้ดอกไม้งานแต่งมา 3 งานแล้ว แต่ไม่มีวี่แววสักที

    พาทีส่งเสียงเฮสร้างบรรยากาศ สาวๆ เตรียมรับดอกไม้กันเต็มที่ ไปรยาหันหลังให้แล้วชูดอกไม้ขึ้นกำลังจะเหวี่ยงออกไปถ้าไม่เห็นสีหน้าของพลิศเสียก่อน

    “ยัยลูกจันทร์...”

    ไปรยารวมทั้งคนอื่นๆ หันไปมองแขกคนสำคัญที่เพิ่งมาถึงงาน การมาช้าไปมากไม่ใช่จุดน่าสนใจเท่าชุดที่ดาวิกาสวมนั้นเป็นสีดำและดอกไม้ที่จัดช่อมาอย่างดีก็เป็นสีดำเช่นกัน ชั่วพริบตาความดีใจพลันเลือนหายไปจากสายตาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเมื่อรู้ว่าการมาถึงดาวิกาไม่ใช่มาเพื่อยินดีอย่างที่หวังไว้

    “ทำยังไงดีคะ” ไปรยาถามพลิศ

    “เดี๋ยวผมไปคุยกับลูกเอง คุณกวางอยู่เป็นเพื่อนปายแทนผมทีครับ”

    ธีรดารีบมายืนข้างๆ ไปรยาพลางชี้ให้ธีมาทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วย ส่วนต้องทำยังไงเดี๋ยวคงหาทางได้เองนั่นแหละ

    ดาวิกาแค่นยิ้มเมื่อนึกแล้วว่าทุกคนต้องแตกตื่นกัน แล้วดูสายตาของพ่อที่มองเธอสิ ดีใจหรือตกใจกันแน่ ไหนสัญญาแล้วว่าจะไม่มีใครอีกนอกจากแม่คนเดียว แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ ทำไมพ่อถึงลืมเราสองคน

    “นึกว่าจะมาไม่ทันงานสำคัญของพ่อเสียแล้ว สวยดีนะคะ ดอกไม้สีขาวๆ ชุดเจ้าสาวสีขาว จริงๆ แล้วถึงลูกจันทร์ไม่มา งานนี้ก็ไม่ได้ขาดอะไรไปเลยนี่คะ คงดีด้วยซ้ำถ้าลูกจันทร์ไม่มา”

    พลิศมองลูกสาวแล้วถอนใจ เขาอยากให้ลูกสาวมาอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่มาในสภาพนี้

    “พ่อคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ ถ้ามีอะไรอีกเราควรจะคุยกันที่บ้าน”

    ดาวิกายิ้มแม้ดวงตาแวววาวคู่นั้นจะแฝงด้วยด้วยน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ พ่อไม่รู้จริงๆ หรือว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ คงคิดว่าเธอทำแต่เรื่องร้ายๆ เป็นอย่างเดียวตามเคย

    “ค่ะ พ่อ วันนี้ลูกจันทร์เลยมาหาพร้อมดอกไม้สำหรับแม่เลี้ยงยังไงล่ะคะ จะไม่เปิดโอกาสให้ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงได้แสดงความยินดีกันหน่อยหรือคะ”

    “มีอะไรเราไปคุยกันที่บ้านจะดีกว่านะลูกจันทร์” พลิศห้ามพลางจับมือของลูกสาวไว้กำลังจะพาเดินไปยังอีกด้านของงาน เขาผิดเองที่เลี้ยงลูกอย่างตามใจมาตลอดเพราะคิดว่าขาดแม่

    มือบางสะบัดออก คนอย่างดาวิกายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ถ้าพ่อพูดดีๆ และดีใจที่เธอมา สิ่งที่คิดวางแผนมามีหรือที่เธอจะทำให้พ่อเสียใจ

    “ไม่ค่ะ ลูกจันทร์มาแล้ว ดอกไม้ก็ยังไม่ได้ให้จะรีบกลับทำไมล่ะคะ”

    หญิงสาวเดินขึ้นเวทีไปโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปคว้าตัวไว้ด้วยเกรงว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต ธีมากอดอกมองอยากรู้ว่าพ่อลูกจะจัดการกันยังไง ถ้าวันนี้งานล่มเพราะผู้หญิงคนนั้น คงได้เห็นใครต่อใครองค์ลงกันบ้างล่ะ ไปรยามองหาพลิศที่คว้ามือของดาวิกาไว้อีกครั้ง แต่เจ้าตัวกลับหลบแล้วคว้าไมโครโฟนจากมือพาทีไปได้หน้าตาเฉย

    “สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านนะคะ ในฐานะลูกสาวฉันก็อยากบอกอะไรสั้นๆ กับแม่เลี้ยงที่อายุต่างกับฉันไม่กี่ปี แต่อายุห่างจากพ่อเป็นรอบเสียหน่อย”

    แขกในงานยิ่งพากันสนใจว่าลูกสาวของเจ้าบ่าวจะทำอะไร บ้างยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปเพราะรู้กันอยู่แล้วว่าดาวิกาเป็นนักร้องดังมากในตอนนี้ พลิศเข้าไปคว้าแขนของลูกสาวไว้ไม่อยากทำอะไรให้รุนแรง ดาวิกามีชื่อเสียง เขาไม่อยากแลกเลยจำต้องยอมดูสถานการณ์ไปก่อน ธีมาตามขึ้นมาอีกคน พาทีขยิบตาให้สัญญาณ

    “คุณลูกจันทร์คะ...” ไปรยาเอ่ยได้เพียงเท่านั้นเมื่อลูกเลี้ยงยกมือห้ามไม่ยอมฟัง

    ดาวิกายิ้มร้ายกาจรู้ดีว่าพ่อไม่กล้าทำอะไรหรอกเพราะฉะนั้นเธอจะยอมลงให้...นิดหน่อย

    “นี่คุณ ฉันว่ามีอะไรก็ไปคุยกันที่อื่นดีกว่าไหม คุณไม่อาย แต่พ่อของคุณน่ะอายเป็นแน่ๆ ไม่ห่วงท่านบ้างหรือไงคะ” ธีรดาอดใจไม่ไหวจริงๆ

    “แหม ใจร้อนจังนะคะคุณ ไม่เห็นหรือว่าคุณแม่เลี้ยงของฉันน่ะไม่ได้พูดอะไรสักคำ นี่ค่ะ ดอกไม้ พอดีฉันไม่ชอบดอกไม้สีขาวๆ มันดูเสแสร้งเกินไป”

    ไปรยาตะลึงอึ้งจนไม่ทันใจคนใจร้อนที่คว้ามือของเจ้าสาวไปรับดอกไม้ที่ถูกย้อมสีจนกลีบดอกเป็นสีดำทั้งหมด ดาวิกาหัวเราะสะใจ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

    “สำหรับคุณแม่เลี้ยง ฉันก็ขออวยพรให้จับพ่อของฉันได้อยู่หมัดไปนานๆ นะคะ” ดาวิกากระซิบบอก

    พลิศปล่อยแขนลูกสาวแล้วรีบเข้าไปประคองไปรยาที่กำลังจะล้มยังยืนเอาไว้

    “คุณปาย!

    ไม่ว่าอะไรที่ดาวิกาพูดเขามั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งดีๆ อยู่เลย ดวงตายามมองลูกสาวเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียใจ ทว่ายังรัก แต่เหตุการณ์นี้ไม่อาจหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองได้อีกแล้วว่า...ลูกจันทร์ยังเด็ก

     “ใครก็ได้พายัยลูกจันทร์ออกไปก่อนเร็ว” พลิศบอกเสียงเข้มที่พยายามให้เบาที่สุด

    ธีมาเข้ามาคว้าแขนแล้วลากตัวพาดาวิกาลงมาจากเวที เธอไม่ขัดขืน ไม่ได้รู้สึกตกใจด้วยซ้ำเมื่อมีคนเป็นลมไปต่อหน้าต่อตา ราวกับว่าเธอมาเพื่อรอเห็นภาพนี้และยอมจากไปง่ายๆ เมื่องานลุล่วง พลิศรีบอุ้มไปรยาด้วยความห่วงใยและทิ้งสายตาแสนผิดหวังไว้ที่ลูกสาว ธีรดาตามไปอีกคน พาทีเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งไปหาไมโครโฟน

    “อากาศร้อนนะครับ คุณพนักงานช่วยเร่งแอร์หน่อยได้ไหมครับ ดูสิร้อนจนเจ้าสาวเป็นลมไปแล้ว” พาทีพูดแก้สถานการณ์ แล้วพอเห็นแขกพากันมองไปที่สาวชุดดำ เขาก็รีบพูดต่อไปว่า “ตอนนี้คุณดาวิกาต้องกลับแล้วมีงานต่อน่ะครับ ขอเสียงปรบมือให้เธอก่อนกลับด้วยครับ”

    แขกปรบมือกันแบบงงๆ  แม้จะมั่นใจว่าดาวิกาไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีและเจ้าสาวไม่ได้เป็นลมเพราะแอร์ร้อนเกินไปก็ตาม ประดิษฐ์รีบเดินตามลูกสาวที่ถูกอุ้มไปหลังเวทีซึ่งสามารถลัดไปยังห้องแต่งตัวของเจ้าสาวได้ ในขณะที่ธีมาก็พาดาวิกาออกไปจากห้องจัดเลี้ยงจนได้เช่นกัน

     

    ลิฟต์พาธีมากับคนก่อเรื่องลงมาจนถึงชั้นล่าง ดาวิกาไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับสิ่งที่ทำไปเพียงพอสำหรับการฉลองยินดีอยู่ในใจ เขามองผู้หญิงแสนร้ายกาจอย่างเสียดายในความสวย ทว่าหัวใจของเธอช่างแสนดำพอๆ กับดอกไม้ที่เธอถือมาให้ไปรยา ทุกอย่างดูเรียบเรื่อยไร้ความเสียใจไม่มีการสะทกสะท้อนต่อสายตาที่มองเธออย่างผิดหวัง โดยเฉพาะพลิศ ธีมาส่ายหน้าเห็นเค้าลางของปัญหาที่ชัดเจนจากผู้หญิงคนนี้ ครอบครัวของไปรยาคงไม่สงบสุขอย่างที่เคยพบก่อนมาแต่งงานกับพลิศแน่นอน

    “ปล่อยมือของฉันได้แล้ว” ดาวิกาสั่งปรายตามองผู้ชายคนนี้อย่างไม่ชอบใจนักเพราะก็คงไม่พ้นพวกของยัยแม่เลี้ยงกระมัง

    ธีมาปล่อยมือทั้งที่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังจับมือของยัยนักร้องเอาไว้อยู่ ดวงตาคมสบมองดวงตาสุกสกาวที่ถูกเน้นให้หม่นดำราวกับพาความดีงามไปจนหมด

    “ก็ไม่ได้อยากจับนักหรอก เสียดายมือแทบแย่ สงสัยต้องไปล้างมือฟอกแล้วฟอกอีกหลายรอบกว่าจะหายแสบๆ คันๆ”

    ดาวิกาเบ้ปากใส่ ร้ายๆ แบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องออมท่าที พวกของยัยแม่เลี้ยงมีเท่าไหร่ก็มากันให้หมด คนอย่างเธอไม่กลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว

    “ดี แล้วก็อย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีก” เธอบอกพร้อมกับรีบเดินไปด้านหลังซึ่งจะตัดไปยังลานจอดรถเมื่อเห็นว่ามีนักข่าวกำลังเดินผ่านล้อบบี้ของโรงแรมเข้ามา เธอจำได้ นักข่าวคนนั้นชื่อว่าชาญชัยตามเธอมาตลอด

    “จะไปไหน” ธีมาถามพร้อมกับเดินตามไป ถ้าคว้าตัวแล้วจับพาดไหล่โยนใส่กระบะท้ายรถได้ เขาทำไปแล้วให้ตายเถอะ

    “เรื่องของฉัน” ดาวิการีบเดินเร็วๆ เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นนักข่าวคนนั้นแล้ว เหลือแต่คนพูดไม่รู้เรื่องที่ไม่รู้จะตามมาทำไมอีก

    “บ้านของเธออยู่ที่ไหน ที่ถามนี่ไม่ได้เป็นห่วงเธอหรอกนะ แต่เป็นห่วงคนอื่น ถ้ากลับไปในงานคงได้ยุ่งอีกหรอก”

    “ฝันไปเถอะที่ฉันจะบอก”

    ธีมาคว้าต้นแขนดาวิกาไว้ ขืนปล่อยให้คลาดสายตา แม่เจ้าประคุณกลับเข้าไปป่วนในงานจากที่แขกแค่สงสัย คราวนี้คงได้ขายหน้ากันหมดล่ะ ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น ดาวิกาสะบัดแขนพอไม่หลุดก็เลยขยี้ส้นรองเท้าส้นสูงใส่ปลายเท้าของคนยุ่งไม่เข้าเรื่อง ชายหนุ่มตวัดเท้าหลบ นักร้องสาวหน้าคะมำเกือบล้มถ้าแขนไม่ถูกจับไว้

    “นี่ยัยนักร้อง เรื่องแค่นี้คิดว่าฉันไม่มีปัญญาหรือไง” ธีมากดโทรศัพท์หาพาที รายนี้เป็นบรรณาธิการหนังสือบันเทิงมีหรือที่จะไม่รู้

    ดาวิกาขืนตัวจะหนีให้ได้เลยถูกธีมากอดเอวไว้แน่น ไม่ได้พิศวาส แต่เหลือมือว่างอยู่ข้างเดียว ยัยนี่ก็แรงเยอะชะมัด 

    “อยู่อย่างนี้ไปก่อน ถ้าอยากเป็นข่าวฉาวโฉ่ก็แหกปากเข้าไป”

     ดาวิกากัดบ่าธีมาจนจมเขี้ยว ร่างสูงกว่าร้องโอยแต่ไม่ยอมปล่อย เธออยากตะโกนก็ไม่ถนัดเดี๋ยวจะเป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมาจริงๆ แต่เหมือนสวรรค์ยังเข้าข้าง การ์ดของเธอคงเห็นว่าผิดสังเกตเลยออกมาเดินตามหา

    “นายแน่ใจหรือว่าพาฉันไปได้ การ์ดของฉันมาแล้ว นั่นน่ะล้มนายได้สบายๆ”

    ธีมากดวางสายเมื่อได้คำตอบ ดาวิกาฉวยโอกาสผลักเขา แต่ตัวเองนั่นแหละที่กระเด็น การ์ดรีบเดินมายืนประกบนักร้องสาวที่ยิ้มได้นางมารร้ายสุดๆ

    “จัดการเอาแค่เบาะๆ หยอดน้ำข้าวต้มสักวันสองวันก็พอ”

    ธีมากอดอกมองนางมารร้ายพร้อมลูกสมุนพลางมองไปที่เพดาน ตรงนี้มีกล้องวงจรปิด ยัยเด็กไม่รู้จักโตเอ้ยเดี๋ยวได้ติดคุกหัวโต แต่ขอมาเขาก็จะจัดให้

    “เข้ามาเลย พร้อมๆ กันนั่นแหละ”

    การ์ดตัวโตดาหน้าเข้ามาหาธีมาทีละคน ดาวิกาไม่สนใจจะดูเพราะมั่นใจเต็มร้อยว่าคนของเธอไม่พลาด เสียงตุ้บๆ พลั่กๆ ดังตามมา หญิงสาวกดรีโมทเปิดประตูกำลังจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเอกชัย ทว่าโทรศัพท์กลับถูกกระชากไปเช่นเดียวกับตัวเธอ คำว่าตกใจยังน้อยไปเมื่อเห็นการ์ดทั้งสองคนนอนหมดแรงอยู่กับพื้นสภาพเหมือนสะบักสะบอมทั้งที่มารุมอีตานี่ ในขณะที่คู่กรณีมีรอยแดงๆ ที่แก้มนิดเดียวเท่านั้น คนหรือแรมโบ้กันแน่เนี่ย

    “ที่นี้ก็ถึงตาเธอละยัยนักร้องอันธพาล”

    “นายจะทำอะไรฉัน!

    ดาวิกาจะร้องกรี๊ด แต่ถูกมือใหญ่ตะปบปิดปากไว้แล้วลากไปที่รถกระบะคันใหญ่ เขาเปิดประตูให้ปล่อยมือที่ปิดปาก แต่ยังไม่ปล่อยข้อมือ

    “ขึ้นรถ ถ้าผมไม่ห่วงคนในงานแล้วล่ะก็ รับรองได้สองตาฉันก็ไม่แลหรอกว่าเด็กร้ายๆ อย่างเธอจะกลับยังไง”

    ดาวิการ้องกรี๊ด แต่เสียงยังไม่ทันพ้นลำคอก็ถูกดันจนหน้าคะมำเข้าไปในรถ ยัง...ยังไม่พอ ไอ้บ้านี่ยังดันเธอไปจนถึงที่นั่งฝั่งข้างๆ คนขับ พอเธอจะเปิดประตูหนีก็ถูกคว้าข้อมือไว้ ประตูอีกฝั่งปิดดังปังใหญ่ เธอหันมาจะตะกายหน้าเขา แต่กลับถูกคว้าข้อมือไว้ทั้งสองข้าง เธอสะบัดมือหนีแต่ไม่หลุด เลยจัดการก้มหน้ากัดหลังมือของเขาเมื่อเห็นว่ารถเคลื่อนตัวไปแล้ว ธีมาร้องอูยยอมปล่อย

    ดาวิกาจะเปิดประตูออกไปกะว่ากลิ้งตัวแบบที่เคยเห็นในหนัง แต่ก็กลัวเสียโฉม พอจะโทรศัพท์หาพ่อกระเป๋าก็ถูกแย่งไป ไอ้บ้านี่เป็นใครหยาบคายที่สุด แล้วเขาจะพาเธอไปไหน ทำยังไงดี!

     

    ธีมาถอนใจพรืดอยู่หลายรอบ ถ้าพาทีมันไม่รับฝากมาบอกว่าคุณพลิศขอให้พาดาวิกาไปส่งที่บ้าน รับรองได้เลยสองตาเขาก็ไม่สนใจผู้หญิงร้ายกาจแบบนี้แน่ๆ คุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ โดนชกน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ผู้ชายต่อยกันย่อมมีเจ็บกันบ้าง แต่ยัยนี่ต่างหากกัดหลังมือของเขาเสียเลือดซิบ ขอโทษสักคำก็ไม่มี ทำไมเขาต้องมายุ่งเรื่องของคนอื่นด้วย(วะ)

    ดาวิกายอมนั่งเฉยๆ เมื่อเห็นสายตาของผู้ชายที่ลากตัวเข้ามาในรถ แล้วเมื่อดูจากเส้นทางที่มุ่งหน้าไปบ้านของพ่อ อีตานี่คงไม่ได้คิดทำมิดีมิร้ายหรอก แต่ถามสักคำไหมว่าอยากกลับบ้านหรือเปล่า ครั้นจะเปิดประตูลงไปก็ไม่สบโอกาส ถนนโล่งดีเหลือเกิน ถ้าติดไฟแดงบ้างคงดีหรอก โทรศัพท์ก็ถูกยึด

    ไอ้บ้าเอ๊ย!

    รถยังเคลื่อนไปเรื่อยๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผู้ชายคนนี้พาเธอมาส่งที่บ้านจริงๆ ถ้าเพียงแต่จะไม่มีนักข่าวมารอให้พรึบ ประตูหน้าเปิดไฟสว่าง ขับรถฝ่าเข้าไปคงยาก

    “ไม่เห็นหรือไงว่ามีนักข่าว รีบพาฉันไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ รู้ตัวไหม”

    ธีมาได้ค้อนวงใหญ่เป็นรางวัลเต็มๆ จากความยุ่งที่ไม่ได้อยากเลยให้ตายเถอะ ทำไมไอ้พาทีไม่มาแทนเขาแทนที่จะไปคว้าไมโครโฟนวะ

    “ฉันไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของเธอนักหรอก ใครจะอยากเป็นข่าวกับนักร้องอันธพาลที่ไปพังงานแต่งของพ่อแบบเธอกัน แล้วที่สำคัญถ้าไม่ทันคิดก็คิดเสียบ้างว่าพ่อของเธอน่ะได้รับผลของการทำเรื่องฉลาดน้อยของเธอไปเต็มๆ” และเขาก็ใส่ยัยนักร้องเต็มๆ เหมือนกัน เป็นน้องนุ่งได้ตีก้นบวมให้นั่งไม่ได้ไปหลายวัน

    ดาวิกากำมือแน่นอยากเอาคืน แต่ไม่กล้า ขนาดการ์ดตัวโตๆ สองคนอีตานี่ยังคว่ำได้ แล้วเธอจะไปเหลือหรือ เผื่อเขาไล่ลงจากรถตอนนี้เธอคงถูกนักข่าวรุมตายเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่

    “จะมากไปแล้วนะ ฉันไม่ได้อยากขึ้นรถห่วยๆ คันนี้เลยด้วยซ้ำ”

    ธีมากัดฟันกรอด หน็อยแน่มาว่า ไอ้เจสันของเขาว่าห่วย เดี๋ยวได้รู้ว่ามันคึกได้ขนาดไหน ดาวิกาแทบร้องวี้ดเมื่อจู่ๆ รถก็ควบตะบึงไปอย่างมากับรถเอฟวัน (formula 1) มือบางรีบหาที่เกาะก่อนที่จะหัวใจวาย พอเห็นหน้าซีดๆ ของยัยนักร้อง ธีมาค่อยอารมณ์ดีได้หน่อยยอมขับช้าลง...นิดนึง

    “จะพาฉันไปไหน เดี๋ยวถึงหน้าร้านอาหารนั่นก็จอดเสียด้วยล่ะ”

    เงียบ...ธีมาไม่ตอบ ดาวิกาคันไม้คันมืออยากข่วนคนทำเฉย แต่ตอนนี้ยังไม่กล้า

    “ฉันไม่ไปกับนายแล้วนะ”

    “ถ้าพูดอีกคำเดียว ฉันจะทิ้งเธอไว้บนทางด่วน ลองดูไหมล่ะ ฉันน่ะเกลียดนักแหละพวกมีปมด้อยแล้วเรียกร้องความสนใจ พ่อแต่งงานใหม่ทำจะเป็นจะตาย” ธีมาตอบก็จริง แต่ด่าไปเสียเกินครึ่ง

    “อย่ามาวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของฉันนะ”

    “พวกเด็กไม่มีปัญหา แต่ทำตัวมีปัญหา พ่อรักตามใจแล้วยังจะเอาอะไรอีก วันนึงถ้าเธอแต่งงานไปแล้วยังไง พ่อของเธอต้องอยู่บ้านทำสวนไปตามเรื่อง พอเธอนึกได้ว่ารักพ่อก็มาเยี่ยมงั้นสินะ”

    เคยอยากฟาดปากใครสักคนจนอยากร้องไห้เวลาไม่ได้ทำบ้างไหม

    “ไอ้ปากมอม!

    “ยัยอันธพาล นั่งไปเงียบๆ ถ้ามีเรื่องอีกฉันจะเอาไปมัดไว้กระบะท้ายรถ ถ้าใครเห็นแล้วถ่ายรูปไปให้นักข่าวคงงามล่ะ” ธีมาหัวเราะ อย่างนี้สิค่อยหายอึดอัด สุภาพบุรุษเขาเป็นได้ แต่ไม่ใช่กับทุกคน

    ดาวิกากัดริมฝีปากนั่งเงียบ ไม่ใช่ว่ากลัวผู้ชายคนนี้นักหนา ถ้าถึงที่สุดก็แค่ยอมเป็นข่าวแล้วแจ้งจับผู้ชายคนนี้เข้าคุกให้ไปนอนเล่นสักวันสองวัน

    “อ้าว! ที่นี้ทำไมเงียบ”

    “สมองเสื่อมหรือไง ก็นายบอกเองว่าให้ฉันเงียบ ฉลาดน้อยแล้วยังมาทำรู้ดี” ฮึๆ อยากถามให้ย้อนทำไม ไม่ต้องมาจ้องใส่ หรือจะเถียงว่าไม่ได้เพิ่งพูดไปหยกๆ

    ธีมาขี้เกียจเถียงตอบเพราะกำลังจะประสาทกินตาย อยู่กับยัยนักร้องไม่ถึงชั่วโมงนี่เหมือนอยู่เป็นชาติ แล้วทีนี้จะไปไหนดี กลับไปที่โรงแรมคงไม่ดี ไปบ้านของเขาเดี๋ยวยัยนี่ได้หลงตัวเองคิดว่าเขาจะหน้ามืดทำอะไรอีก ยังไม่ทันได้ตัดสินใจน้องสาวก็โทรมาหา ปลายทางเลยมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลแทน โรงพยาบาลจะแตกไหมนี่ ไม่รู้นิสัยวีนแหลกแบบนี้ดังเป็นซุปตาร์ได้ยังไง

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ

    อัมราน&บรรพตี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×