คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Stealer| 05
Stealer| 05
เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นไม่นานมานี้ เขาลูกชายคนเล็กของราชาเเห่งอณาจักรเก้าทั้งปวง บิดาแห่งเทพของเหล่าสรรพสิ่ง เจ้าชายองค์รองแห่งเเอสการ์ด เขาย่างกายเข้ามาพื้นดินมิดการ์ดเป็นเสียครั้งแรก
ทุกอย่างรอบกายช่างน่าอัศจรรย์ใจ อุปกรณ์เทคโนโลยีนั้นดูต่างกับที่เขาจากมาโดยสิ้นเชิง มันมีความพิศวงของกลไกและสวยงามแปลกตา ดวงตาสีมรกตฉายแววตื่นเต้นไม่หลบพ้น
เด็กหนุ่มเดินตามมารดาต้อยๆ ทว่าสายตายังคงไม่ละสิ่งรอบกายแต่อย่างใด จนกระทั้งเขาต้องหยุดฝีเท้าชะงักตามผู้ให้กำเนิด ดวงตาเขาฉงนเหตุใดถึงจึงหยุดเล่า โลกิชะเง้อคอมองมารดาและเด็กสาวที่หญิงวัยกลางทอดสายตาสงสารจับใจ
ฟริกก้ากล่าวให้เด็กหนุ่มย่างก้าวสิบสี่รอค่อยอยู่ตรงนี้ก่อนซึ่งเขาก็ไม่อาจทักท้วงได้ เธอได้ก้าวข้ามถนนเข้าหาเด็กสาวที่ยืนอยู่บนสะพานหินช้าๆ สายตาหล่อนนั้นว่างเปล่าทั้งอารมณ์และจิตวิญญาณจ้องลึกลงไปยังคลื่นใหญ่ที่ค่อยพัดโหมกระหน่ำ
ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ใกล้หล่อนอย่างท่านแม่เขาก็รู้สึกได้ว่า เด็กสาวคนนี้นั้นเศร้าเพียงใด บรรยกาศรอบตัวเธอนั้นมนหมองไปด้วยหมอกหนามืดทึบ เธอคนนี้คงต้องมาหนักเท่าใดถึงได้อยากคราชีวิตตัวเองลงน่านน้ำลึกได้
โลกิไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนคิดจะทำอะไร หากปล่อยมือจากเสาเหล็กที่ค่อยยึดเหนี่ยวร่างบางไว้กับพื้นดิน..คงเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าแน่ๆ แต่ยังโชคดีที่พระมารดาเขาได้รังเหนี่ยวเธอไว้ก่อน
เจ้าหล่อนดูไม่เขาใจกับการกระทำของหญิงสาววัยกลางคนคนนี้ ดวงตาคู่ใสเต็มไปดวยหยดน้ำชื้นและขอบตาที่แดงกล่ำมองฟริกก้าฉายแววงุนงงเพราะตลอกทั้งถนนแทบนี้แทบไม่มีใครเดินผ่านทาง
ถือเป็นแหล่งดีของการสูญหาย...
แอนเดรียน่าตอบรับคำสุภาพพร้อมเช็ดคราบน้ำตาออกไปให้พ้นทางแล้วนำทางสองแม่ลูกผู้มาใหม่แห่งเมืองเล็กๆ นี้ ตลอดทางเธอทำหน้าที่ไกด์ให้เป็นอย่างดีพร้อมแนะนำความเป็นมาต่างๆ ให้ฟังด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่น่าฟัง
“แล้วเมืองเรานั้นได้ชื่อว่าเมอร์โรว์ทาว หรืออีกชื่อหนึ่งว่า silent of merrole--”
“slient of merrole?” เด็กผมนิลหน้าตาดีเอ่ยทวนขัดบทสนทนาขณะเดินตามหลังเงียบๆ แอนเดรียน่าพยักหน้าตอบรับคำ “ใช่ หมายถึงเมอร์โรว์อันเงียบงันน่ะ—แต่ถ้าศึกษาดีๆ ก็จะรู้ว่าเมอร์โรว์เป็นตำนานหากินของเมืองหรือ—“
“..เงือก”
เป็นอีกครั้งที่ลูกชายที่น่ารักของมาดามคนนี้เอ่ยขัดเธอ ฟริกก้ามองดุเล็กน้อยโลกิเองก็หันหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทำฟริก้าเหนื่อยใจพลางๆ เธออมยิ้มกับความน่าเอ็นดูเล็กๆ
“ถูกต้อง แล้วตำนานเมืองเราก็ไม่มีอะไรมากนอกจากน้ำตาเงือก ตำนานเก่ากึกตั้งแต่เมอร์ลินด์มาเกิดทำให้เมืองเราโดดเด่นจากธุรกิจไข่มุกเครื่องประดับ—แล้วมีความเชื่อว่ามีน้ำตาของเมอร์โรว์อันเรืองลือด้วยแต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”
เด็กสาวเล่าสนุกปากไม่เบื่อให้เมืองเล็กๆ ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง ประโยคหลังเธอกระซิบพาเด็กหนุ่มที่แค่ฟังผ่านหูเฉยๆ หูผึ่งสนใจออกหน้าออกตา
“จริงรึ ที่มีน้ำตาแห่งเมอร์โรว์อันเรืองลืออยู่ที่เมืองนี้” นัยน์ตามรกตประกายใสแวววาว
แอนเดรียเหลือบมองท่าทีตื่นเต้นของคนที่เงียบเกือบทั้งทาง “ก็นะ อาจจะจริงที่มีแต่มันหายไปไหนแล้วไม่รู้--บางที่อาจจะอยู่ในรองเท้าชาวประมงเน่าๆ ก็ได้ใครจะรู้” เธอกล่าวไหวไหล่น้ำเสียงทีเล่นทีจริง
โลกิหยีหน้าขยะแขยงกับความเห็นเธอท้ายประโยค แต่หากมันเป็นจริงตามที่หญิงนางนี้พูดเขาคงมีหวังจะได้เจอบ้างตามตำราชั้นสูงในห้องสมุดแอสการ์ดกล่าวไว้
ระหว่างที่เด็กหนุ่มชุดเขียวขี้ม้าขบคิดเสาะหาของวิเศษชิ้นนี้ คนเรือนผมสีเปลือกไม้เข้มข้างหน้าก็พูดขึ้นมาน้ำเสียงสบายๆ คำชวนเธอทำเจ้าชายแห่งแอสการ์ดยิ้มร่าสดใส
“ถ้านายสนใจ ฉันจะพานายไปห้องสมุดที่นี้ก็ได้นะ ที่นั้นเก็บตำนานเรื่องนี้ไว้เยอะเป็นโขยงเลยด้วย”
“ถ้าเธอไม่ชิ่งหนีไปโดดน้ำเล่นก่อนน่ะนะ” โลกิตอบเลี่ยงไม่อยากยอมรับที่แอนเดรียจะรับช่วงไกด์นำอีกหน แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาสนใจไปแล้วนี่
“ฮ่า ฮ่า ถ้านายไปคนเดียวคงได้ถูกรถเหยียบตายกลายเป็นปลาขาดน้ำแน่ๆ” เด็กสาวหัวเราะประชดประโยคเสียดสีของคุณชายตรงหน้าไม่ได้
คนทั้งสองกล่าวหยอกล้อกันตลอดทางซึ้งโดยส่วนใหญ่เป็นการจิกกัดกันมากกว่า แต่ทว่าสิ่งนั้นพารอยยิ้มเอ็ดดูหญิงวัยกลางมองดูสุขใจปรากฏบนใบหน้าสวยมีริ้วรอยตามกาลเวลาได้
เธอดีใจที่เด็กชายผู้ไม่เคยเข้าหาสังคมหรือเพื่อนอย่างโลกินั้นมีเพื่อนเป็นๆ กับเขาได้ด้วยเหมือนกัน คนเป็นแม่นั้นสุขใจเสียเหลือกเกิน
สิ่งเหล่านี้ทำพระราชะนีแห่งแอสการ์ดเริ่มขบคิดถึงสะใภ้คนใหม่เสียแล้ว—ช่างเหมาะสมกันไม่หยอก
กลุ่มคนทั้งสามคนเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงร้านดอกไม้ของเมืองรับประกันกับปากแอนเดรียเลยว่าสวยย่างบอกใคร ฟริกก้าเข้าไปคนเดียวเหลือเธอกับคุณชายจอมเงียบอยู่สองคนอยู่หน้าร้าน
“แล้วเธอไม่มีที่อื่นไปแล้วรึไง”
“ถ้าหูไม่หนวกแม่นายบอกให้ฉันอยู่กับนายนะนายเขียว”
จบประโยคทั้งสองเงียบแล้วมองทิวทัศน์ทะเลพร้อมเสียงคลื่นและกลิ่นอายทะเลต่อโดยไม่มีใครกล่าวอะไรสักพัก
“เธอช่วยหยุดเรียกฉันว่า นายเขียวได้ไหมยัยน้ำตาล”
“จะจ่ายตังฉันรึเปล่าล่ะถ้าฉันเรียกชื่อนาย”
“..ไม่ ทำไมฉันต้องจ่าย”
“’งั้นเราคงไม่มีธุระที่จะคุยกันหรอกค่ะ ที่รัก”
“..”
บรรยกาศเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง จนกระทั้งมาดามเดินออกมาจากร้านพร้อมดอกยิปโซสีชมพูหวานช่อเล็กๆ ในมือเรียว ฟริ้กก้ายิ้มบางๆ ที่เห็นว่าสองคนอย่างอยู่ดีรอค่อยเธออยู่หน้าร้าน
หญิงเรือนผมสีส้มหยิกกล่าวขอบคุณเด็กสาวผู้นี้ที่พาเธอมาส่งแล้วยื่นดอกไม้ช่อเล็กให้เธอเป็นคำขอบคุณ คำขอบคุณนี้พาเด็กสาวปฏิเสธด้วยความเกรงใจเพราะเธอเองก็ไม่ได้คิดมากยู่แล้ว
อย่างไรเธอก็ต้องรับดอกไม้ช่อสวยมาด้วยการรบเร้าของฟริ้กก้า ไหนจะคำเสริมของนายเขียวตัวดีนี้อีก
นัยน์ตาสีน้ำตาลใสมองดอกไม้ชมพูสดใสเล็กๆ ห่อใส่ช่อกระดาษอย่างดีด้วยสายตาคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ พลางเงยหน้ามองสองแม่ลูกเดินจากไปค่อยๆ กลายเป็นจุดเล็กๆ ไกลออกไป
เด็กสาวพ่นลมหายใจยาว ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มบางๆ นึกคิกว่าเธอไม่ได้รับความสุขอบอุ่นแบบนี้มานานเท่าไหนแล้วนะ แต่ก่อนเธอจะเดินกลับสถานที่เด็กกำพร้าเธอก็ถูกพวกเด็กนักเลงประจำเมืองเจอตัวเขาเสียได้
“ชิบหายล่ะ..” แอนเดรียน่าสถบเสียงเบา มือทั้งสองกำชับดอกไม้แน่น
“อ้าวๆ เด็กบ้านคุณหนูบ้านคอลลินด์มาทำอะไรเนี่ย นึกว่าจะกระโดดน้ำตายตามจดหมายโง่ๆ นั้นซะแล้ว”
“คงจะเจอวิญญาณน้องมันหลอกม้าง เลยไม่กล้าโดดอ่ะ ฮ่าๆๆ”
ดวงตาคู่สวยกลับกลอกมองแก๊งอันทพาลพูดดูถูกพร้อมหัวเราะสนุกปาก พวกนี้ล้อมเธอจนไม่มีทางชิ่งเหมือนก่อนด้วยซ้ำ เจ้าหัวโจกมันยกมือห้ามเรื่องคุยสนุกปากไว้ก่อนพลางหักกระดูกเสียงดัง
“พอแล้วๆ เรามาชำระบัญชีคราวก่อนกันดีกว่าพวก—กล้าดียังไงมาชิ่งคราวก่อนน่ะ นังฆาตกร” จบประโยคคอเสื้อเธอนั้นถูกกระชากเข้าตรอกซอยทึบตามแรงกระชากของชายหัวหน้าแก๊ง
อย่างว่าแรงหญิงหรือจะไปสู้แรงชายที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
สิ่งอย่างเดียวที่เธอทำได้อาจจะเป็นภวานาให้อย่าเจ็บหนักเหมือนคราวก่อน สองมือบางกอดดอกไม้ช่อเล็กแน่น ขอให้มันเป็นเครื่องรางแล้วเป็นที่พึ่งให้เธอด้วยเถิด
ขอร้องล่ะ..เจ้าดอกไม้
นำเธอออกไปจากที่โสมมเเห่งด้วยเถอะ..ได้โปรด
TBC.
#ยังไม่เเก้คำผิด
ความคิดเห็น