ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วารีในเปลวเพลิง

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เจ้าหญิงนภัสสรมาธวี...เชลย

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 49


    บทที่ 1 : เจ้าหญิงนภัสสรมาธวี...เชลย

    ภายในห้องโถงประจำตำหนักหลวงแห่งนิศามณี บรรยากาศกำลังวังเวง นัยน์เนตรของผู้เป็นดั่งพ่อของแผ่นดินนิ่งสงบ สุรเสียงสะอื้นกันแสงของพระแม่แห่งแผ่นดินดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงหายใจของเหล่าเสนาอำมาตย์และนางกำนัลข้าหลวงคนสำคัญทั้งหลายกำลังติดขัด

    พระองค์กำลังรอ...พระนางกำลังรอ...พวกเขาก็กำลังรอเช่นเดียวกัน

    รอคำตอบที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนทั้งแคว้น...คำตอบจากเจ้าหญิงนภัสสรมาธวี

    "หากนี่คือหน้าที่เพื่อบ้านเมือง หม่อมฉันก็ยินดีจะไปแคว้นอคิราห์ทิราชย์ในฐานะเชลยสงครามเพคะ" สุรเสียงหวานทรงประกาศชัดถึงพระทัยที่แน่วแน่

    คนเกือบทั้งห้องเงียบกริบด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีเพียงสุรเสียงตัดพ้อขององค์รานีกนกแข รานีองค์ปัจจุบันแห่งนิศามณีเพียงเท่านั้น

    "โธ่ หญิง หญิงลูกแม่"

    "ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องเตรียมพร้อมเดินทางไปยังชายแดนระหว่างนิศามณีและอคิราห์ทิราชย์ในวันพรุ่งนี้" หลังจากหักห้ามองค์เองได้แล้ว เจ้าหลวงดุลยวัตจึงมีรับสั่งกับเจ้าหญิงนภัสสรมาธวี พระเนตรสีอำพันเช่นเดียวกันกับพระธิดาไม่มีแววยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น แม้นในพระทัยนั้นร่ำร้องกล่าวโทษองค์เองมากเพียงใด

    หากเจ้าหญิงนภัสสรทรงรับรู้ถึงความในพระทัยของพระบิดาไม่

    ทั้งที่ทรงเตรียมพระทัยไว้แล้ว...หากเมื่อได้เห็นสายพระเนตรเช่นนี้จากพระบิดา ดวงหทัยที่ทรงเคยคิดว่าจะรับได้ กลับรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดจนหายพระทัยแทบไม่ออก

    "ฝ่าบาท...โปรดให้หม่อมฉันติดตามเจ้าหญิงไปด้วยเถิดนะเพคะ" เสียงขอร้องของพระนมฉาย หากคำตอบที่ได้รับจากองค์เหนือหัวคือ

    "ไม่"

    เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีเทียบจะทรุดลงตรงนั้น ทรงทราบมาตั้งแต่ต้น...ไม่มีใครห่วงใยหรือต้องการพระองค์ เสด็จพ่อต้องการเพียงพี่หญิงเนตรอัปสรยุวดีเท่านั้น

    พี่หญิงคนงามที่พระองค์ไม่เคยแม้แต่เห็นพระพักตร์

    มีพระดำริได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะย่อพระชานุลงข้างหนึ่ง ถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อยงดงาม ทรงเคารพพระบิดาและพระมารดา แล้วเสด็จออกจากที่ตรงนั้นไป หากแต่พระกรรณกลับแว่วได้ยินสุรเสียงตวาดของผู้เป็นรานีแห่งนิศามณี...พระมารดาของพระองค์...หนึ่งในน้อยคนนัก...ที่รักพระองค์

    "เจ้าพี่ ทรงทำอย่างนี้ไม่ได้นะเพคะ!"

    พระองค์เร่งพระบาทออกไปจากที่ตรงนั้นโดยเร็ว ไม่โปรดที่จะรับฟังสิ่งใดอีกต่อไป

    พระบาททั้งสองชะงัก เมื่อทอดพระเนตรเห็นหญิงสาวสองคนยืนรออยู่หน้าห้องบรรทมของพระองค์

    หญิงสาวคนหนึ่งมีเรือนผมสีเทายาวตรงจนถึงสะโพก ผมหน้าม้าปิดหน้าผากมนเหนือนัยน์ตาสีอำพันคล้ายของพระองค์ ซึ่งกำลังบ่งบอกอารมณ์ที่สามารถเรียกได้ว่าเกือบถึงขีดสุดเต็มทน ริมฝีปากบางบนใบหน้ารูปไข่เม้มเข้าหากันแน่นอย่างพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดไม่พอใจ ที่พระองค์เป็นผู้ก่อให้เกิดทั้งหลายไว้

    ผิดกับหญิงสาวอีกคน ถึงแม้ว่าจะมีเรือนผมสีน้ำตาลที่ยาวตรงจนถึงสะโพก มีผมหน้าม้าปิดหน้าผากเช่นเดียวกันกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่นัยน์ตาสีมรกตคู่งามนั้นเต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ริมฝีปากสีกุกลาบคลี่ยิ้มให้พระองค์อย่างอ่อนโยน แต่เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีทรงทราบดี ว่าความจริงแล้วมันคือก็ความโศกเศร้าเสียใจของหญิงสาว

    นี่คือสองคน...ในจำนวนไม่กี่คนนักที่รักพระองค์

    พี่เกสรา...พี่ณัฐชา

    "ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเช่นนี้ ทรงไตรตรองดีแล้วหรือเพคะ เจ้าหญิงนภัสสร?" น้ำเสียงของเกสรามีแววตัดพ้อ ไม่เข้าใจ

    เจ้าหญิงนภัสสรเชิดพระพักตร์ขึ้น บ่งบอกว่าทรงตัดสินพระทัยแล้วแน่วแน่ แล้วตรัสออกมาอย่างมั่นคง

    "หญิงตัดสินใจได้ดีที่สุดแล้วค่ะ พี่เกส"

    เกสรากำมือทั้งสองข้างไว้แน่น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่งคงไม่แพ้กันเลยว่า

    "พรุ่งนี้หม่อมฉันจะไปส่งเสด็จพระองค์ก่อนออกเดินทาง ขอให้พระองค์โชคดี" แล้วเกสราก็หันหลังก้าวเท้าเร็วๆจากไป เหลือเพียงณัฐชาที่ค่อยๆเดินเข้ามาโอบกอดปลอบเจ้าหญิงนภัสสรอย่างอ่อนโยนที่สุด

    "หม่อมฉันหวังว่า...หม่อมฉันจะมีโอกาสได้โอบกอดน้องสาวที่น่ารักยิ่งอย่างพระองค์ได้อีกในเร็ววันนะเพคะ"

    เจ้าหญิงนภัสสรอดห้ามไม่ให้อัสสุชลหลั่งไหลจากขอบพระเนตรไม่ได้ ก่อนตรัสรับสุรเสียงสั่น

    "หญิงก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ พี่ณัฐ"

    ถึงแม้หญิงจะไม่คิดว่าจะมีวันนั้นสำหรับหญิงอีกแล้วก็ตาม

    ในค่ายพักติดชายแดนของกองกำลังทหารประจำแคว้นอคิราห์ทิราชย์

    ณ กระโจมอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์รานี

    "ชายไม่เข้าใจ เจ้าแม่ทรงดำรัสสิ่งใดไว้ในพระทัยหรือพระเจ้าค่ะ จึงได้มีรับสั่งให้นำเจ้าหญิงแห่งแคว้นนั้นมาเป็นเชลยของเรา!" สุรเสียงทุ้มนั้นตวาดใส่พระมารดาอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งที่รู้ว่ามิถูกมิควร แต่พระองค์ก็ไม่สามารถระงับพระอารมณ์ในขณะนี้ได้

    เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงกริ้วมารดาของพระองค์ตั้งแต่ตอนที่พระนาง'ขอ'เสด็จมากับกองกำลังรบแล้ว ทั้งที่ทรงห้ามอย่างสุดความสามารถ พระมารดาก็ไม่ทรงรับฟังหรือใส่พระทัยเอาเสียเลย แล้วมาวันนี้ พระนางก็มีรับสั่งให้นำตัวเจ้าหญิงงี่เง่าไร้ประโยชน์ของแคว้นนั้นมาเป็นเชลย!

    "สู้นำตัวเจ้าชายรัชทายาทของนิศามณีมาเป็นเชลย จะไม่มีประโยชน์กว่าหรือพระเจ้าค่ะ!"

    ผู้เป็นพระมารดาทรงสรวลเบาๆอย่างไม่ถือสาพระโอรส พระพักตร์ที่บ่งบอกชันษาอันยาวนานเต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียว และนัยน์เนตรสีดำสนิทยังคงแสดงถึงความเจ้าแผนการที่ปิดไว้ไม่มิด

    "ตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น เจ้าชายรัชทายาทของนิศามณีก็ถูกส่งตัวหลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศทางตะวันตกทันที ทางเราไปตามไล่จับกลับมาไม่ได้หรอกนะชาย มีแต่ต้องใช้พวกที่เหลือออยู่นี้ให้'เป็นประโยชน์'อย่างที่ชายว่าเท่านั้น"

    "แล้วเพราะเหตุใดจึงต้องเป็นเจ้าหญิงนภัสสรมาธวีพระองค์นั้นด้วยพระเจ้าค่ะ" สุรเสียงทุ้มยังไม่หายขุ่นข้องพระทัย

    ผู้เป็นพระมารดาแย้มสรวลกว้างขึ้นอีก รับสั่งกับพระโอรสด้วยสุรเสียงอ่อนโยนยิ่งนัก

    "แม่มีหลายเหตุผล แล้วชายจะเข้าใจในภายหลัง ชายชเยศ"

    เจ้าชายชเยศจักรเสนไม่ได้รับสั่งสิ่งใดต่อ เพียงแต่หมุนวรองค์จากไปอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอพระทัยในคำตอบจากพระมารดาเท่านั้น

    เสียงอาชาย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่ก็ส่งผลให้รถม้าที่ประทับสั่นไหวไปมาเล็กน้อย เจ้าหญิงนภัสสรทรงประทับนิ่งอยู่กับที่ พระหัตถ์ประสานกันแน่น พระองค์ทรงรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากอุ้งพระหัตถ์ทั้งสองข้าง และรู้สึกถึงพระทัยที่เต้นรัวเร็วเสียยิ่งกว่าเสียงกลอง

    กลัวหรือ?

    เหตุใดพระองค์ถึงเพิ่งจะทรงรู้สึกกลัว?

    ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถึงสองวัน ตอนที่จะออกเดินทาง ยังไม่รู้สึกแม้เสียงพระหทัยว่าเต้นอยู่หรือไม่ แต่ตอนนี้ทรงรับรู้แล้ว รับรู้ได้ถึงความกลัวและความเจ็บปวดที่พระองค์ทรงเก็บกดไว้ตลอดมา

    พระบิดาของพระองค์...ไม่แม้แต่จะเสด็จออกมาให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ก่อนจากลา

    พระมารดาของพระองค์...ทรงประชวรหนักจากการร่ำไห้กันแสงทั้งค่ำคืน จึงมิสามารถเสด็จออกมาส่งลาพระองค์ได้เช่นกัน

    ยังดีอยู่...ที่นมฉาย พี่เกสรา และ พี่ณัฐชา สามารถมายืนโบกมือลาให้กำลังใจพระองค์ได้

    มิเช่นนั้น...พระองค์คงไม่มีแม้แรงจะหายพระทัยในเวลานี้เป็นแน่!

    "อีกไม่นานก็จะถึง ณ ชายแดนของแคว้นอคิราห์ทิราชย์แล้วพระเจ้าค่ะ" เสียงของแม่ทัพวัยกลางคนคนหนึ่งกราบทูลพระองค์จากด้านนอกรถม้าที่ประทับ

    แม้จะไม่มีใครเห็น แต่เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีก็ทรงพยักพระพักตร์ แล้วแย้มพระสรวลที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าออกมาเพื่อตอกย้ำพระองค์เอง

    อีกไม่นาน...จากเจ้าหญิง...จะเป็นเพียงเชลยไร้ค่าคนหนึ่ง

    หรืออาจไม่แตกต่าง...เพราะยามเป็นเจ้าหญิง...พระองค์ทรงไร้ค่ายิ่งกว่านี้มากนัก

    แต่ตอนนี้...ถึงพระองค์จะทรงเป็นเพียงแค่เชลย...แต่พระองค์ก็ทรงสามารถปกป้องแผ่นดินที่พระองค์รักเอาไว้ได้

    หนึ่งพระชนน์ชีพของพระองค์นี้ แลกกับชีวิตของประชาชนหลายแสนแล้ว นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

    "ยอ ยอ" สารถีวัยกลางคนสั่งม้าลากรถสีน้ำตาลทั้งสองตัวให้หยุด รถม้าที่ประทับจึงกระตุกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะจอดนิ่งสนิท แม่ทัพคนหนึ่งรีบกระโดดลงจากหลังม้าสีเทาของตน แล้วเดินไปเปิดบานประตู ให้เจ้าหญิงนภัสสรเสด็จลงมา

    เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีค่อยๆก้าวพระบาทลงจากรถม้าที่ประทับช้าๆ กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ ทรงทอดพระเนตรเห็นเพียงต้นไม้ใหญ่ๆหลายสิบต้น...คณะผู้ติดตามประมาณสิบกว่าคน และเกวียนขนเสบียงอาหารเท่านั้น

    เท่านั้นเอง...

    "หญิงไม่ได้พกอะไรมาหรอกค่ะ มาแต่ตัวเปล่าๆอย่างนี้ล่ะ" เจ้าหญิงนภัสสรทรงพยายามลืมความโศกเศร้าทั้งหมด แล้วตรัสด้วยรอยแย้มสรวล เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นแววตาสงสัยจากผู้ติดตามเสด็จทั้งหลาย ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นว่างุนงงแค่ไหนที่พระองค์ไม่มีอะไรติดองค์มาเลย นอกจากฉลองพระองค์สีฟ้าอ่อนเรียบๆที่ทรงสวมอยู่ในขณะนี้

    ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าของม้านับสิบตัวก็ดังแว่วมาแต่ไกล พระทัยของเจ้าหญิงนภัสสรกระตุกวูบ รู้สึกได้ถึงความกลัวที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ไม่อาจหยุดพระหัตถ์ที่สั่นเทาทั้งสองข้างไว้ได้

    ทั้งยังเสียงหวาดหวั่นของแม่ทัพข้างๆพระองค์

    "เจ้าชายชเยศจักรเสน...จอมมารแห่งสามแคว้น"

    ม้าสีน้ำตาลแดงนับสิบตัวค่อยๆหยุดเรียงแถวเป็นระเบียบเบื้องหน้าพระพักตร์ของเจ้าหญิงนภัสสรมาธวี ก่อนที่เหล่าชายหนุ่มหน้าดุในชุดเครื่องแบบราชองครักษ์ทั้งหลายจะบังคับม้าให้เปิดทางให้แก่ใครสักคน

    อาชาขนาดใหญ่สีดำสนิททั้งตัวค่อยๆเยาะย่างเข้ามาใกล้ๆเจ้าหญิงนภัสสรอย่างสง่างาม แต่ชายที่อยู่บนหลังของมันกลับดูน่าเกรงขามยิ่งกว่ามากนัก

    พระเกศาสีทองสั้นระต้นพระศอ พระเนตรสีฟ้าอมเทาที่แสนเย็นชา ฉลองพระองค์เต็มยศเจ้าชายรัชทายาทส่งผลให้วรองค์สูงแลดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ทั้งยังพระพักตร์สีขาวทว่าดุดันนั้น แทบจะทำให้เจ้าหญิงนภัสสรทรงทรุดลงกับพื้นเบื้องล่าง

    นี่หรือ...คือเจ้าชายชเยศจักรเสน!

    พระเนตรสีฟ้าเทาคู่นั้นเหลือบมองเจ้าหญิงนภัสสรด้วยความรำคาญอย่างทรงไม่ปิดบัง เจ้าชายแห่งแคว้นอคิราห์ทิราชย์เพียงส่งเสียง'หึ'อย่างดูถูกในลำพระศอ ก่อนจะมีรับสั่งกับแม้ทัพแห่งแคว้นนิศามณี

    "พวกท่านกลับไปได้แล้ว ทางเราจะ'จัดการ'ต่อเอง"

    เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีทรงสะดุ้งอย่างรุนแรง เพราะสามารถจับบางสิ่งบางอย่างในพระสุรเสียงเข้มนั้นได้ ท่าทางที่เจ้าชายพระองค์นั้นตรัสว่าจะ'จัดการ' คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพระองค์แน่นอน

    เหล่าคณะผู้ติดตามเสด็จของเจ้าหญิงนภัสสรมาธวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หากเมื่อสบสายพระเนตรดุดันโหดเหี้ยมของเจ้าชายจากอคิราห์ทิราชย์แล้ว ก็ต้องจำยอมด้วยความกลัว แต่ทั้งหมดยังคงไม่ลืม ที่จะค้อมกายถวายความเคารพแก่เจ้าหญิงผู้ที่เสียสละให้แก่พวกเขาทุกคน...อย่างงดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอวยพรให้จากใจจริง

    "ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ พวกกระหม่อมขอทูลลา"

    ไม่นาน ขบวนส่งเสด็จของเจ้าหญิงนภัสสรมาธวีก็ลับสายตาไป และเจ้าหญิงนภัสสรก็ทรงรับรู้ได้...ว่าคงไม่มีวันที่พระองค์จะได้พบพวกเขาเหล่านั้นอีก...ไม่มีวัน

    "ขี่ม้าเป็นไหม?" สุรเสียงดุดันแกมเย็นชาตรัสถามห้วนๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    "มะ มะ หม่อมฉันขี่ม้าได้เพคะ" เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีทูลตอบเสียงสั่น พระหัตถ์ที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก

    "ดี จะได้ไม่ยุ่งยาก ราเมศวร์ เอาม้ามาให้ด้วย" เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงหันไปมีรับสั่งกับชายหนุ่มบนหลังม้าข้างๆองค์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ประจำพระองค์และคนสนิท

    ชายหนุ่มผิวคล้ำ ตาดำ และผมดำหยิกสั้น จึงหันหลังควบม้าออกไป ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับม้าสีน้ำตาลอ่อนๆตัวหนึ่ง

    "ขึ้นไป" ทรงรับสั่งกับเจ้าหญิงนภัสสรด้วยพระสุรเสียงดุดันยิ่งขึ้น ก่อนที่พระขนงทั้งสองข้างจะเล็กขึ้นเล็กน้อย ตรัสถามเรียบๆว่า

    "สัมภาระอยู่ไหน?"

    สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงนภัสสรซีดลงอย่างเห็นได้ชัด พระเนตรสีอำพันหลุบลงต่ำ ก่อนจะทรงตอบเสียงเบาหวิว

    "เชลย...ยังจำเป็นต้องมีอะไรติดตัวมาด้วยหรือเพคะ"

    แต่ถึงมันจะเบาเท่าใด หากเจ้าชายชเยศจักรเสนกลับได้ยินชัดเต็มสองพระกรรณ จึงไม่ได้มีรับสั่งสิ่งใดต่อ นอกจากจะขมวดพระขนงแน่นยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมเพราะความรำคาญ

    พระองค์ก็ไม่เข้าใจองค์เองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้ทรงรู้สึกรำคาญ รำคาญตั้งแต่เห็นหน้าเจ้าหญิงพระองค์นั้นแล้ว รำคาญอย่างไม่มีเหตุผล เพียงแต่ทรงรู้สึกว่าเจ้าหญิงพระองค์นี้...จะนำพาสิ่งที่รำคาญพระทัยมาให้พระองค์ในอนาคตเป็นแน่

    เดินทางมาได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววค่ายพักหรือค่ายทหารติดชายแดนของแคว้นอคิราห์ทิราชย์อยู่เลยแม้แต่น้อย ทำให้เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีทรงรู้สึกกังวลมากจนบอกไม่ถูก

    นี่พวกเขาจะหลอกพระองค์มาฆ่าหมกป่าหรือเปล่านี่!

    "อีกไม่นานก็ถึงแล้วพระเจ้าค่ะ" เสียงเย็นๆกราบทูลเรียบๆ ทำให้พระองค์หลุดออกจากห้วงพระดำริ หันพระพักตร์ไปมองชายหนุ่มนามราเมศวร์อย่างไม่เข้าพระทัยเท่าใดนัก

    "เจ้าชายชเยศจักรเสนมีรับสั่งให้กระหม่อมมากราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบพระเจ้าค่ะ" แล้วราชองครักษ์หนุ่มก็ควบม้าห่างออกไปสมทบกับผู้เป็นนายเหนือหัว บ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยากจะคุยกับพระองค์เท่าไหร่นักหรอก แต่เพราะผู้เป็นนายมีรับสั่งมาต่างหาก

    ครั้นมีพระดำริถึง'ผู้เป็นนาย'ของราเมศวร์แล้วก็ต้องแปลกพระทัย พระเนตรสีอำพันจ้องมองเจ้าชายที่ทรงม้าสีดำสนิทอยู่ไกลๆอย่างขุ่นมัว

    ดูเถิด ทรงทราบความในใจของพระองค์ แต่ไม่ยอมมีพระราชปฏิสันถารกับพระองค์ด้วยองค์เอง กลับรับสั่งให้ราชองครักษ์ที่เงียบขรึมไม่แพ้กันมากราบทูล

    เชลย...ไม่มีค่าพอที่จะเจ้าชายรัชทายาทอย่างพระองค์จะมีพระราชปฏิสันถารด้วยเชียวหรือ

    "เป็นอย่างไร?" สุรเสียงทุ้มตรัสถามแข็งๆอย่างไรชอบกล

    "หมายถึงอะไรหรือพระเจ้าค่ะ?" และราชองครักษ์หนุ่มก็สามารถทูลถามได้แข็งพอๆกัน

    "มีปฏิกิริยาอะไรบ้างไหม?" คราวนี้พระสุรเสียงเริ่มดุดัน ทรงทำท่าบุ้ยใบ้เหลือบหางพระเนตรไปทางเจ้าหญิงนภัสสรมาธวีที่อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ ร่างบอบบางนั้นบังคับม้าได้อย่างชำนาญจนสามารถเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญเลยทีเดียว ผมหน้าม้าและเรือนผมสีเงินหยิกยาวล้อแสงแดดเป็นประกายสวยงาม แต่อะไรก็ไม่ทำให้ทรงหงุดหงิดพระทัยมากไปยิ่งกว่านัยน์ตาสีอำพันเศร้าๆคู่นั้นอีกแล้ว...ทุกครั้งที่สบมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น...พระองค์จะทรงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น...อย่างไม่ทราบเหตุผล

    "ทรงประหลาดพระทัยเท่านั้นพระเจ้าค่ะ" ทรงตรัสถาม'ยาว' ก็ทูลตอบได้'ยาว'ไม่แพ้กัน

    "น่าแปลกนะ ปกติเธอไม่ยอมสุงสิงพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนก่อนเลย ยกเว้นอาภาภัทร  ทำไมคราวนี้ถึงยอมไปคุยด้วยเล่า?" พระสุรเสียงยังคงราบเรียบ และพระเนตรก็แสดงให้เห็นว่าทรงถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด

    "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้กระหม่อมไปกราบทูลเจ้าหญิงพระองค์นั้นไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะ" ทั้งที่รู้ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงทูลตอบ พร้อมๆกับ'สวน'กลับอย่างที่วรองค์สูงๆนั้นต้องร้อนองค์ขึ้นมา

    "ใครจะไปคิดว่าเธอจะทำจริงๆ" พระพักตร์ที่ดุดันอยู่แล้วยิ่งแข็งกร้าวขึ้นไปอีก พระเนตรสีฟ้าอมเทาคู่นั้นเสมองไปทางอื่น ไม่สบสายตากับราชองครักษ์หนุ่มเสียอย่างนั้น

    ราเมศวร์เพียงยิ้มออกมาบางๆอย่างรู้ทัน

    น่าแปลก ที่พอเจ้าหญิงนภัสสรทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นค่ายทหารติดชายแดนของแคว้นอคิราห์ทิราชย์ได้จากไกลๆ องค์รัชทายาทก็ทรงมีรับสั่งให้หยุด ก่อนที่จะหันม้ากลับมาทางเจ้าหญิงนภัสสรมาธวี พระพักตร์คมคายนั้นยิ่งดุขึ้นกว่าเดิม ขณะตรัส'สั่ง'เสียงห้วนว่า

    "ฟังไว้ ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงมาก่อน แต่เวลานี้เธออยู่ในฐานะเชลย ดังนั้น...หากมีใครถาม ให้ตอบว่าตัวเองเป็นแค่เชลยเท่านั้น เข้าใจไหม"

    "ทำไมเล่าเพคะ?" เจ้าหญิงนภัสสรทรงพยายามข่มความกลัวขององค์เอง ตรัสถามเสียงสั่น

    "เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ และมีเพียงพวกกระหม่อม และคนสำคัญอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ฐานะที่แท้จริงของพระองค์" ราเมศวร์เป็นผู้ตอบประโยคยาวๆนี้แทนนายเหนือหัวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

    เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงแย้มสรวลคล้ายหยันเล็กน้อย ก่อนตรัสต่อว่า

    "ดีที่เธอไม่มีอะไรติดตัวมา แถมยังแต่งตัวเรียบๆแบบนี้ จะได้ดำเนินตามแผนต่อง่ายๆ"

    เจ้าหญิงนภัสสรรู้สึกเหมือนมีเสียงอะไรกระทบกันในพระกรรณ และพยายามสะกดพระอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุนี้ไว้ ถึงจะทรงกลัว แต่ความกริ้วมีมันมากกว่า

    เจ้าชายพระองค์นี้ทรงไร้มารยาทเหลือเกิน ไม่แม้แต่จะใช่คำพูดแสดงความเคารพต่อพระองค์ที่เป็นเจ้าหญิง!

    แล้วพระดำริก็หยุดชะงัก เมื่อทรงรับรู้ได้ ว่าตอนนี้พระองค์เป็นเพียงสิ่งใด

    สิ่งที่เรียกว่าเชลย...

    "งั้นต่อไปนี้ หม่อมฉันคือนภัสสร ไม่ใช่เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีอีกต่อไปแล้ว!" 'นภัสสร' ทรงประกาศลั่นอย่างมั่นคง ไม่มีความหวั่นไหวและความกลัวในดวงพระเนตรสีอำพันคู่นั้นอีกแล้ว

    'พระองค์'จะไม่ใช่เจ้าหญิงอีกต่อไป

    'เธอ'จะเป็นเพียงเชลยคนหนึ่งเท่านั้น!

    เจ้าชายรัชทายาทแห่งอคิราห์ทิราชย์เบิกพระเนตรกว้างขึ้นด้วยความประหลาดพระทัย พระองค์ไม่ได้ให้เจ้าหญิงพระองค์นี้เลือกสักหน่อย ประกาศออกมาเองอย่างนี้เสียเฉยๆ เอาเถอะ จะอย่างไร...ที่เจ้าหญิงเพี้ยนๆองค์นี้ประกาศออกมาก็คงจะช่วยให้'แผน'ของพระองค์สำเร็จง่ายขึ้น

    คอยดูแล้วกัน...เจ้าหญิงนภัสสรมาธวี!

    ราเมศวร์และทหารราชองครักษ์อื่นๆมองตากันด้วยความรู้สึกหลากหลาย หลังจากสังเกตุเห็นพระเนตรวาววับเจ้าแผนการจากผู้เป็นนายเหนือหัว และพระเนตรแน่วแน่ไม่ยอมแพ้จากเจ้าหญิงต่างแคว้น

    เฮ้อ...'สงคราม'นี้ คงจะอีกยาวไกล

    ประตูค่ายถูกคนนับสิบช่วยกันพลักให้เปิดออก เหล่าทหารภายในค่ายต่างหยุดชะงักงานที่ตนเองทำอยู่ ออกมาต้อนรับขบวนเสด็จของเจ้าชายรัชทายาทแห่งอคิราห์ทิราชย์กันถ้วนหน้า

    ทหารหลายคนมองมาที่'นภัสสร'ด้วยสีหน้าขรึมๆ แต่สักพักก็หันไปซุบซิบอะไรกันเป็นเสียยกใหญ่ ทำให้'เชลย'รู้สึกอึดอัดไม่น้อย

    ในส่วนลึกที่สุดของค่าย กระโจมสีเหลืองอร่ามประดับประดาด้วยของมีค่ามากมายตั้งเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางทหารรักษาการนับสิบๆคน หากเมื่อพวกเขาเห็นเจ้าชายรัชทายาท จึงค้อมกายถวายความเคารพ และเปิดทางให้เสด็จเข้าไปใกล้แต่โดยดี

    ราชองครักษ์ที่ติดตามเสด็จเจ้าชายชเยศจักรเสนส่วนใหญ่ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน เหลือเพียงราเมศวร์ที่เป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์เท่านั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆผู้เป็นนาย ส่วนอีกคน...คือเชลยจากแคว้นนิศามณีนั่นเอง

    เจ้าชายชเยศจักรเสนเสด็จนำเข้าไปในกระโจมโดยไม่รับสั่งอะไร พระพักตร์ที่บึ้งตึงอยู่แล้วดูจะยิ่งบึ้งมากขึ้นไปอีกสักสามเท่าตัว จน'นภัสสร'ได้แต่เดินตามเข้าไปเงียบๆอย่างกล้าๆกลัวๆ

    ภายในกระโจม หญิงสูงศักดิ์นางหนึ่งทรงบรรทมหลับอยู่บนพระแท่นอย่างสงบ โดยมีนางกำนัลสองคนนั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ แต่เพียงไม่นาน พระเนตรสีดำขลับก็ขยับเปิดขึ้นช้าๆ และพระนางก็แย้มพระสรวลอ่อนโยนอย่างยินดี ที่ทรงทอดพระเนตรเห็นพระโอรสเสด็จกลับมาแล้ว

    "ไหนเล่าชาย 'เชลย'ของเรา" องค์รานีแห่งอคิราห์ทิราชย์ตรัสถามพระโอรสด้วยสุรเสียงนุ่มนวล แต่เจ้าชายชเยศจักรเสนเพียงเบี่ยงวรองค์ไปด้านข้าง เผยให้เห็นสตรีร่างเล็กด้านหลังของพระองค์

    "นี่หรือ...นภัสสรมาธวี" องค์รานีกนกจันทร์แห่งอคิราห์ทิราชย์ทรงอุทาน หลังจากที่มีรับสั่งให้นางกำนัลทั้งสองออกไปนอกกระโจมด้วยสายพระเนตรเฉียบขาด

    "สวย...งามจริงๆ" ทรงมีรับสั่งหลังจากทอดพระเนตรสำรวจมองนภัสสรอยู่ครู่หนึ่ง

    "ทั้งสีผมสีตา เหมือนพระบิดาไม่มีผิดเลยนะนี่"

    "ขอบพระทัยเพคะ" นภัสสรรับคำได้ไม่เต็มปากนัก เนื่องจากบังเอิญหันไปสบพระเนตรดุๆของเจ้าชายชเยศจักรเสนเข้า

    "แต่ฉันว่าชายชเยศคงบอกเธอแล้ว ว่าเราจะให้ใครรู้ฐานะที่แท้จริงของเธอไม่ได้" คราวนี้สุรเสียงอ่อนโยนเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น จนเกือบจะเรียกได้ว่าเครียดทีเดียว

    "หม่อมฉันทราบเพคะ ดังนั้นต่อจากนี้ไป...หม่อมฉันจะเป็นเพียงนภัสสร ไม่ใช่เจ้าหญิงนภัสสรมาธวีอีกต่อไป" ประโยคเดิมที่เคย'รับสั่ง'กับเจ้าชายชเยศจักรเสนถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

    "งั้นฉันเรียกเธอว่าสรแล้วกันนะจ๊ะ " องค์รานีแห่งอคิราห์ทิราชย์แย้มพระสรวลอย่างทรงรู้สึกเอ็นดู

    "แล้วแต่จะทรงโปรดเพคะ" นภัสสรยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะสุรเสียงทุ้มๆดุๆแถมห้วนๆ ของเจ้าชายชเยศจักรเสนแทรกขึ้น

    "และเพื่อความสมจริง เจ้าแม่จะทรงประทานพระราชอนุญาตให้นภัสสรคนนี้เป็นนางกำนัลส่วนตัวของชายได้ไหมพระเจ้าค่ะ" เหมือนจะทรงทูลถามความเห็นจากพระมารดา แต่พระเนตรสีฟ้าอมเทาคู่นั้นกลับฉายแววกร้าวอย่างไม่ทรงคิดจะปิดบัง

    "แม่ว่ามันไม่สมควรนะชาย ถึงในเวลานี้นภัสสรจะไม่ใช่คนเก่า แต่ฐานะที่แท้จริงของเธอ...นางกำนัลดูออกจะ..."

    "แม้นางจะเคยเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งแคว้นนิศามณี หากในเวลานี้ นางก็เป็นเพียงแค่เชลยที่ชายจะทำอย่างไรก็ได้"

    แสดแทงนัก พระดำรัสนี้ของเจ้าชายชเยศจักรเสน ช่างเสียดแทงจิตใจอันบอบช้ำของเธอให้สาหัสมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เธอไม่เคยคิดจะยอมแพ้

    "หม่อมฉันไม่มีปัญหาอะไรเพคะ"

    รู้ดีอยู่หรอก ว่าเจ้าชายพระเนตรดุพระองค์นี้คงทรงวางแผนอะไรไว้ทรมานเธอเป็นแน่ แต่ช่างเถิด...เป็นนางกำนัล ยังดีกว่าเป็นเชลยมากนัก และถ้าให้เดา เจ้าชายพระองค์นี้คงมีพระดำริว่าเธอที่'เคย'เป็นเจ้าหญิงจะใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆอย่างสะดวกสบายจนทำอะไรไม่เป็นล่ะสิ

    คอยดู'นภัสสร'คนนี้ก็แล้วกัน...เจ้าชายชเยศจักรเสน!

    วันรุ่งขึ้น เจ้าชายชเยศจักรเสนและองค์รานีกนกจันทร์ก็ทรงเสด็จกลับวังหลวงของอคิรห์ทิราชย์ พร้อมด้วยผู้ติดตามและราชองครักษ์ร่วมเกือบๆหนึ่งร้อยคนด้วยกัน

    ณ วังหลวงแห่งอคิราห์ทิราชย์ไม่ได้วุ่นวายโกลาหลอย่างที่นภัสสรคิด เพราะเมื่อเจ้าชายรัชทายาทและองค์รานีเสด็จไปถึง ทุกอย่างก็ถูกเตรียมไว้อย่างเพรียบพร้อม ทั้งอาหารหน้าตาหน้าทานหลายชนิด ทั้งน้ำอุ่นๆในห้องสรง และผ้าปูพระแท่นผืนใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวนในห้องบรรทม

    และทำไมนภัสสรถึงรู้เรื่องทั้งหมดนี้น่ะหรือ?

    ก็เพราะเธอถูกเจ้าชายรัชทายาทแห่งอคิราห์ทิราชย์'ลาก'ติดองค์ไปตลอดเวลาน่ะสิ!

    "ต่อไปนี้ ห้องพักของเธอจะอยู่ติดกับห้องของฉัน เธอจะต้องปรากฎตัวทันทีที่ฉันเรียกใช้ และต้องอยู่กับฉันตลอดเวลา เข้าใจไหม?" ฟังดูเผินๆแล้ว พระดำรัสนั้นดูจะหวาน แต่พระสุรเสียงที่ใช้นั้น ดุ เข้ม และเย็นชาเสียยิ่งกว่าอะไรดี แถมคำว่า'เรียกใช้'นั้นก็ถูกย้ำหนักแน่นนัก

    นภัสสรนึกถึงองค์รานีกนกจันทร์จับใจ รู้สึกเหมือนพระองค์เป็นที่พึ่งเพียงองค์เดียวของเธอในแคว้นนี้ เพราะมีเพียงรานีแห่งอคิราห์ทิราชย์เท่านั้น ที่ทรงปฏิบัติและมีพระราชปฏิสันถารอันดีด้วยกับเธอ

    ถึงอย่างไรก็ตาม นภัสสรยังไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์รานีแห่งอคิราห์ทิราชย์อีกเลย นับตั้งแต่เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงองค์เสด็จกลับพระตำหนักทิวากร ซึ่งเป็นตำหนักส่วนพระองค์ และเท่าที่นภัสสรสังเกตุ ตำหนักนี้ไม่มีผู้หญิงอยู่เลยสักคนเดียว!

    จะมียกเว้นบ้างเวลาที่นางกำนัลจากตำหนักหลวงยกเครื่องเสวยมาถวายเจ้าชายรัชทายาท และเข้ามาทำความสะอาดพระตำหนัก แต่นอกนั้นแล้ว จะสามารถพบเห็นเพียงผู้ชายร่างสูงๆหน้าขรึมๆ เดินตรวจตรากันให้ขวักไขว่ไปหมด

    ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในตำหนักนี้ได้ราวสามชั่วโมง เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงมีรับสั่งเรียกใช้เธอแล้วสามครั้ง ทุกๆชั่วโมง ครั้งแรก...ทรงมีรับสั่งให้เธอไปหยิบหนังสือจากห้องสมุดใกล้ๆห้องบรรทม ครั้งที่สอง...ทรงมีรับสั่งให้เธอเก็บกวาดเครื่องเสวยไปล้างเก็บให้เรียบร้อย ซึ่งห้องเครื่องอยู่ห่างจากห้องบรรทมออกไปราวหกร้อยเมตรเห็นจะได้ และครั้งที่สาม...ซึ่งเธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ คือเก็บกวาดและปัดฝุ่นห้องเก็บของส่วนพระองค์ที่ไม่มีใครย่างก้าวเข้าไปแล้วกว่าสองปีเต็ม!

    ฝุ่น...ที่นภัสสรคาดว่าคงหนาไม่ต่ำกว่าสองนิ้ว และที่น่ากลัวกว่าคือ...สิ่งของที่อยู่ในห้องเก็บของนี้เกือบทั้งหมดคือดาบผุๆเปื้อนคราบเลือด!

    แต่คนอย่างนภัสสรไม่มีคำว่ายอมแพ้ ถึงจะกลัวมากแค่ไหน แต่ไม่มีวันยอมให้เจ้าชายพระองค์นั้นมาดูถูกได้หรอก ตอนที่เป็น'เจ้าหญิง'เธอไม่ได้สะดวกสะบายอย่างที่ทรงมีพระดำริหรอกนะ แล้วนภัสสรคนนี้จะแสดงให้เห็นเอง!

    "เป็นอะไรไปพระเจ้าค่ะ?" ราเมศวร์อดทูลถามไม่ได้ เมื่อเห็นว่า'เจ้านาย'ของเขากำลังทำพระพักตร์ที่ดุดันอยู่แล้ว ให้ยิ่งขรึมและน่ากลัวขึ้นไปอีก

    "เบื่อ เจ้าหญิงนั่นสั่งอะไรไปก็ทำ ไม่ค้าน เบื่อ" พระสุรเสียงบอกว่าเบื่ออย่างที่รับสั่งจริงๆ

    "เบื่อ...เพราะเจ้าหญิงพระองค์นั้นทรงทำได้ดีเกินกว่าที่ฝ่าบาททรงคาดไว้มากกว่ากระมังพระเจ้าค่ะ" ราชองครักษ์หนุ่ม'จี้'ได้ถูกจุด ผู้เป็นนายจึงได้แต่ทรงกระแอมเบาๆในลำพระศอเป็นเชิงปราม ทอดพระเนตรมองไปยังคนสนิทอย่างให้รู้ว่าทรงเริ่มกริ้ว

    แต่ราเมศวร์ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เสียงเรียบๆจึงทูลต่อ

    "กระหม่อมว่าเจ้าหญิงพระองค์นี้คงไม่ถูกฝ่าบาทแกล้งเอาได้ง่ายๆหรอกพระเจ้าค่ะ กระหม่อมว่าพระองค์ทรงฉลาดเฉลียวมากทีเดียว"

    "ฉันจะบอกอาภาภัทรให้แล้วกัน" เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงงัดไม้เด็ดออกมาใช้ และมันก็ได้ผลทุกครั้ง เพราะราเมศวร์หยุดพูดทันที

    ท่านหญิงอาภาภัทร ชื่อเดียวที่เมื่อพระองค์งัดออกมาใช้ ราชองครักษ์ปากกล้าและแสนเย็นชา(ไม่แพ้พระองค์) จะไม่มีเสียงค้าน...และหยุดพูดไปในทันที

    เสียงทวารของห้องทรงงานถูกผลักให้เปิดออกช้าๆ พร้อมๆกับร่างบอบบางแต่ค่อนข้างมอมแมมของ'นางกำนัล'คนใหม่ประจำตำหนักทิวากร ที่ก้าวเท้าเร็วๆมาเข้าเฝ้า รอยยิ้มบนใบหน้ารูปไข่กว้างขวาง แบบที่ผู้ทอดพระเนตรทรงรู้สึกได้ว่ามันเหมือนคล้ายๆจะเป็นรอยยิ้มอวดๆในชัยชนะอย่างไรชอบกล

    "หม่อมฉัน ปัด กวาด ถู และเช็ดห้องเก็บของ'ส่วนพระองค์'เสร็จแล้วเพคะ" เสียงหวานกราบทูล พร้อมๆกับถอนสายบัว งดงาม เป็นการถวายความเคารพ แต่นัยน์ตาสีอำพันบ่งบอกว่าไม่อยากจะเคารพพระองค์เอาเสียเลย เพราะมันฉายแววท้าทายออกมาให้ทรงทอดพระเนตรเห็นจนชัด

    ท้ามา...พระองค์ก็จะรับ

    "งั้นฉันจะไปดู" ทรงมีรับสั่ง ทั้งที่ทรงทราบดี ว่ากองงานของเมื่อหลายวันก่อน พระองค์ยังไม่ได้แม้แต่จะทอดพระเนตรมองด้วยซ้ำ และต้องทรงทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันนี้ แต่เมื่อทอดพระเนตรมองไปยังใบหน้าสวยๆที่เต็มไปด้วยความอวดดีนั่น  จะให้พระองค์อยู่เฉยๆคงเป็นไปไม่ได้

    เจ้าหญิงเชลยนั่น!

    ทรงมีพระดำริในพระทัยอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อทรงทอดพระเนตรไปรอบๆห้องเก็บของส่วนพระองค์ ทุกอย่างดูสะอาดหมดจด แม้แต่ดาบผุๆเปื้อนเลือดกองโตนั่น ยังดูสะอาดเงาวาว แม้จะมีรอยบิ่นก็ตาม!

    มันน่าหยิบดาบมาฝันเสียให้ใบหน้างามๆที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะนั่นเป็นแผลเป็นยาวๆสักสองสามแผล!

    ใครจะไปรู้ว่า'อดีตเจ้าหญิง'นั่นทำงานพวกนี้เป็น ทั้งปัดกวาดเช็ดถู นี่ถ้าไม่ทรงพยายามที่จะปลอบพระทัยองค์เองแล้ว คงต้องมีพระดำรัสว่า 'อดีตเจ้าหญิง'คนนี้ ทำงานเหล่านี้ได้ดีกว่านางกำนัลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอคิราห์ทิราชย์ด้วยซ้ำไป!

    เจ้าชายชเยศจักรเสนทรงพยายามปรับพระพักตร์ให้นิ่งเสีย ก่อนตรัสออกมาเพียงสองพยางค์

    "ดีมาก"

    นภัสสรแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้น รอยยิ้มที่เจ้าชายชเยศจักรเสนเคยมีพระดำริว่าจะเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย...แต่ไม่ใช่ มันเป็นรอยยิ้มอ่อนหวานสดใส อย่างเด็กๆที่เพิ่งได้รับคำชมเป็นครั้งแรก

    "ขอบพระทัยเพคะ" เสียงหวานทูลขอบพระทัยพระองค์อย่างดีใจจนออกนอกหน้า

    "หากมีสิ่งใดให้หม่อมฉันรับใช้ ฝ่าบาทรับสั่งมาได้เลยเพคะ หม่อมฉันยินดีจะทำให้ทุกอย่าง" นภัสสรกราบทูลเสียงใส ทีแรกๆก็นึกอยากจะเห็นพระพักตร์กริ้วยามแพ้ของเจ้าชายรัชทายาทพระองค์นี้นั่นล่ะ หากเมื่อเอาเข้าจริงๆ กลับไม่เป็นอย่างนั้น เธอรู้ดีว่าทรงกริ้ว แต่เมื่อแพ้ พระองค์ก็ทรงยอมรับในความพ่ายแพ้ ยอมเอ่ยโอษฐ์ชมเธอเสียแต่โดยดี

    อีกฝ่ายมิได้ทรงทราบหรอกว่าหญิงสาวคิดอย่างไร ทรงทราบแต่พระดำริของพระองค์เองนี้ล่ะ ทั้งกริ้ว ทั้งแปลกพระทัย และทรงรู้สึกขบขันในเวลาเดียวกัน

    ได้...ยินดีทำให้ทุกอย่าง พระองค์ก็จะทรง'มีรับสั่ง'ให้'รับใช้'ทุกอย่างเหมือนกัน เริ่มจากไอ้กองงานเอกสารใหญ่ยักษ์ในห้องทรงงานนั่นก่อน!

    "งั้นมาช่วยฉันทำงาน" ทรงมี'รับสั่งใช้'ในทันที จนนภัสสรรู้สึกว่าตัวเอง'รนหาที่ตาย'อย่างไรก็อย่างนั้น





    *+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+
    มาต่อตอนใหม่แล้วค่า! ช้าไปหน่อย(ไม่หน่อยล่ะแกเอ๋ย) แต่หวังว่าทุกคนคงจะชอบนะคะ ภาษาคงจะงงๆไปหน่อย เพราะข้พเจ้าไม่เก่งราชาศัพท์เอาเสียเลย เพราะงั้นนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เลิกใช้คำราชาศัพท์กับ 'นภัสสร' =_=''
    ส่วนบทที่หนึ่งนี้ออกจะสั้นไปเสียหน่อย แต่รับรองว่าตอนต่อๆไปจะเขียนให้ยาวกว่านี้ และมาลงให้เร็วกว่านี้นะคะ
    หวังว่าเพื่อนคงจะชอบ แล้วก็เม้นและให้คะแนนด้วยนะเจ้าคะ

    ปล. เรื่องนี้ได้ไอเดียมาจากรักต้องห้ามของท่านโรซาน่านะเจ้าคะ หากใครชอบแนวจักรๆวงศ์ๆไปหาอ่านได้ค่ะ รับรองว่ามันส์และสนุกสุดๆเลยค่า

    12/16/06
    วันนี้แวะเข้ามาแก้คำผิดค่า ทั้งยังเพิ่งจะนึกขึ้นได้ด้วยว่ายังไม่ได้อธิบายลักษณะของเจ้าหญิงนภัสสรเลย จึงได้เข้ามาแก้ไขเพิ่มเติมนี่ล่ะค่า

    ยังไงก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×