ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #7 : วันที่ 2.3 : ไม่มีอะไรต้องแก้ตัวหรอกนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5
      3
      25 ม.ค. 66

    วันที่ 2.3 : ไม่มีอะไรต้องแก้ตัวหรอกนะ


     


     


     


     


     

    “เห… เพื่อนเทพของเราไปทำอะไรมาน้าา?” เสียงยียวนกวนอวัยวะเบื้องล่าง ถูกส่งมาจากชายหนุ่มนามว่าคิน ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย จากโซฟาอีกตัวไม่ห่างจากตัวของชายหนุ่ม ผู้ตกเป็นประเด็นในวงสนทนาตอนนี้อย่างเทพนั่นเอง ซึ่งกำลังนั่งทำหน้าเบื่อโลกแล้วจึงดื่มน้ำเข้าไปอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะกล่าวตอบเพื่อนของเขาอีกครั้ง


     

    “อะไร? บอกแล้วไงว่ากูไปเดินเล่น แล้วลื่นตกแม่น้ำมา แล้วมันจะมีอะไรอีกวะ?” เทพถามอย่างรำคาญใจในความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนรักทั้ง4 และแม้จะบอกไปตามจริง แต่ก็สามารถถูกมองออกว่ามีบางอย่างปิดบังอยู่


     

    “งั้นมึงลองเล่าแบบระเอียดๆทีดิ มึงก็รู้ว่านิสัยเพื่อนกลุ่มมึงมันเป็นยังไง คิกคิกคิก” เอกที่นั่งเล่นเกมหน้าโทรทัศน์กล่าวเสริมพร้อมกับขำเล็กน้อย ทำให้เพื่อนๆที่เหลือก็ส่งเสียงสนับสนุนให้เทพเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแบบไม่ให้ปิดบัง


     

    เหตุที่ทุกคนต่างก็คาดคั้นถึงเพียงนี้ เพราะโดนปกติเทพเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ ส่วนนึงเพราะเทพเป็นคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มามากพอสมควร จึงมักจะมองรอบข้างอย่างระมัดระวังเป็นนิสัย และอีกส่วนนึงที่ทำให้เขาถูกไถ่ถามหนักขนาดนี้ เพราะเขาลืมคำนึงถึงบางสิ่งที่ทำให้เขาพลาดไป


     

    ‘พลาสเตอร์สีขาวรูปแมว’ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาดูน่าสงสัยมากกว่าเดิม เพราะเทพเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบของที่ออกแนวน่ารักๆเสียเท่าไหร่นัก และหากต้องการรู้ที่มาของมัน ก็ต้องย้อนไปในตอนที่เขาลื่นตกแม่น้ำ ซึ่งมันทำให้เขามีแผลถลอกเล็กน้อยที่ข้อมือ แต่ดูเป็นแผลที่ใหญ่หลวงสำหรับหญิงสาวอย่างเซเรีย


     

    เธอจึงช่วยทำความสะอาดแผลหลังพาแมวตัวปัญหาไปถึงมือหมอแล้ว และเนื่องจากเป็นการทำแผลแบบง่ายๆ เธอจึงใช้พลาสเตอร์ที่พกมาใช้มันกับชายหนุ่ม ซึ่งชายหนุ่มตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร และปล่อยให้หญิงสาวทำแผลให้ด้วยความสมัครใจ จนเขาพึ่งมารู้สึกตัวเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว


     

    “เฮ้ออ ก็ได้เล่าก็ได้ เลิกเสียงดังในบ้านกูซักทีไอ่พวกหอยหลอดเอ้ย” เทพกล่าวอย่างเหนื่อยใจ และรู้สึกเอือมระอาดับกลุ่มเพื่อนที่เป็นเหมือนครอบครัวที่สองนี้ แม้บางครั้งครอบครัวนี้จะเป็นเหมือนกับแมลงวันที่แสนน่ารำคาญก็ตาม


     

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถเรียกเพื่อนๆกลุ่มนี้ว่าเพื่อนรักได้อย่างเต็มปาก เพราะพวกเขาไม่เคยทิ้งกัน หรือหักหลังกัน และทุกครั้งที่มีปัญหาซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็จะกลับมารักกันดีเช่นเดิม เป็นที่ปรึกษาให้กันและกัน ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าการที่โดนเค้นความจริงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง


     

    แต่เขากลับมองว่ามันค่อนข้างแฝงด้วยความเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็เพราะความอยากรู้อย่างเห็นต่างหาก ที่ทำให้พยายามคาดเค้นความจริงขนาดนี้ มันทำให้เขาดีใจและปวดหัวในเเวลาเดียวกัน ในเวลาที่ต้องอาศัยอยู่กับกลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้


     



     

    “เห… เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง” หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดแบบครบรายละเอียด รินก็กล่าวออกมาเป็นคนแรก และตามด้วยคนอื่นๆที่เริ่มสอบถามเขาเพิ่มเติมอีกไม่หยุดพัก


     

    เหตุผลที่ตอนแรกเทพไม่คิดจะอธิบายเรื่องของเซเรีย เพราะเนื่องจากเขาอาจจะถูกล้อจากกลุ่มเพื่อนก็เป็นได้ เพราะแม้เขาจะเป็นชายหนุ่มที่นับว่าหน้าตาดีมากที่สุดในโรงเรียนก็ตาม แต่ใครจะรู้ว่าเขาเป็นหนุ่มบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และไม่เคยมีแฟน หรือมีการข้องเกี่ยวกับสาวคนใดเลยตั้งแต่เกิด


     

    “ก็ตามนั้นแหละ เข้าใจยังเพราะงั้นหุบปากแล้วบอกมาว่าพวกมึงมาทำอะไรที่บ้านกูวันนี้” หลังจบการสอบสวนจากกลุ่มเพื่อนแสนรัก ก็เป็นทีชายหนุ่มบ้างที่จะสอบถามกลับ


     

    “อ๋อ! เออ พวกกูว่าจะเอาของมาให้มึงแล้วก็ชวนไปเที่ยวน้ำตกต่อ แต่กว่ามึงจะโผล่มาได้ แดดแม่งก็เปรี้ยงขนาดนี้แล้ว คงต้องนั่งเล่นที่บ้านมึงยาวๆแทนละแหละ” รินกล่าว แล้วเดินไปค้นของในกระเป๋าผ้าตัวเอง แล้วยื่นกล่องบางอย่างมาให้เทพที่ยื่นมือมารอรับ


     

    มันเป็นกล่องกระดาษสีเทาที่ใส่บางอย่าง รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดเท่าฝ่ามือ เขาหมุนกล่องเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะได้แกะออกมาดู โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงวางกล่องเอาไว้บนโต๊ะใกล้ตัว แล้วเดินหลบออกมาจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อยพร้อมก้มมองเบอร์ที่โทรมา และพบว่าเป็นเบอร์ของพ่อเขานั่นเอง


     

    “ฮัลโหลครับ มีอะไรรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มกดรับแล้วกล่าวออกไปก่อน ไม่นานเสียงจากปลายสายก็กล่าวตอบ


     

    /ฮัลโหลเทพ พ่ออาจจะกลับบ้านดึกหน่อยนะ หาข้าวกินเองได้เลย ไม่ต้องรอล่ะ อยากได้อะไรรึเปล่า? พ่อจะซื้อเข้าไปฝาก แล้วมีเรื่องหรืออาการอะไรแปลกๆบ้างไหมวันนี้? หืม? โอเคๆเดี๋ยวผมไปแล้ว!/ เสียงพ่อของชายหนุ่มกล่าวถึงธุระที่ได้โทรมาแฝงไปด้วยความเป็นห่วง แล้วตามด้วยเสียงของบางคนเล็ดออกมา


     

    “อ่อ ไม่ล่ะครับ ตอนนี้ผมก็อยู่กับพวกเพื่อนๆ ไม่เป็นอะไรหรอกครับ พ่อดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ชายหนุ่มกล่าว แล้วจากนั้นก็มีเสียงกดวางสายจากอีกฝั่ง เขาจึงลดมือนำโทรศัพท์มาถือไว้ แล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมีแรงปะทะเข้ากับหลังเขาจนเกือบเสียหลัก


     

    “โอ้ย!? อะไรมึงเนี้ย กระดูกเกือบหักแล้วนะ! อ้ะ หรือแค่กระดูกร้าววะ? เหมือนรู้สึกได้” เทพเอ่ยออกมาตามความรู้สึก เพราะเมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงดังกร๊อบจากหลังของเขาจริงๆ เมื่อหันไปมองตัวต้นเหตุ ซึ่งยืนด้วยสีหน้ายิ้มไม่รู้สึกผิดก็ยิ่งหมั่นไส้


     

    “อะไรยะ มาถอนหายใจอยู่ได้! ที่พวกกูมาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อให้มึงทำหน้าเบื่อโลกแบบนี้นะ ออกไปซื้อน้ำแข็งกับน้ำอัดลมมา! วันนี้เราจะมีปาร์ตี้!” รินกล่าวออกคำสั่งพร้อมรอยยิ้มที่ดูสนุกสนาน ทำให้เทพโกรธไม่ลงเสียเลยจริงๆ ก่อนจะหันไปเห็นคินที่ทำหน้าเซ็งๆ และเอกที่กำลังเดินมาทางเขา


     

    “เอาล่ะ ไปกันเถ้อะ” เอกกล่าวอย่างมีความสุข ส่วนคินก็เพียงมองบนเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเทพจึงแสดงสีหน้างงๆออกมา


     

    “ไม่ต้องสงสัยไปหรอก ก็ไอ่คินน่ะสิ นึกคึกอยากจัดปาร์ตี้ แถมอยากล้างแค้นไอ่เอกด้วยเรื่องวันก่อน เลยแข่งเกมกันว่าใครจะต้องจ่ายค่าของกินในเย็นนี้ กับเปย์เกมให้คนชนะ สุดท้ายก็ตามคาดแหละ หึหึ” ปิ่นเป็นคนที่กล่าวเฉลยออกมา ขณะที่จัดเตรียมจานในครัวอย่างชำนาญ ทำให้เทพเข้าใจสถานการณ์ และหัวเราะเบาๆก่อนจะหันกลับไปใส่รองเท้าอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวออกไปด้านนอกต่อ


     

    “รีบไปเหอะ ก่อนที่ไอ่คินหน้ามันจะบูดไปมากกว่านี้ ฮะฮะฮะ” เทพลุกขึ้นแล้วหันกลับมากล่าวอย่างติดตลก ทำให้เพื่อนชายอีกสองคนสวมรองเท้า และออกจากบ้านตามเทพออกไปติดๆ


     



     

    “ทำไมกูถึงกดปุ่มพลาดกันวะ? ไม่งั้นคงไม่จบแบบนี้หรอก โว้ะ!” ระหว่างทางชายหนุ่มผู้แพ้การแข่งเกม ก็บ่นตลอดทางตั้งแต่ขาไปซื้อขนมและน้ำ ยันขากลับ เจ้าตัวก็ยังคงบ่นไม่หยุดทำให้ดูตลกไม่น้อย แม้ว่าข้าวของในมือจะหนักแค่ไหน ก็ดูจะไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย


     

    “กูจะบอกอะไรมึงให้นะ ถึงมึงจะกดถูก ไงกูก็โต้มึงกลับได้ และไอ่สกอ 3-2 อ่ะ ก็เพราะกูสงสารมึงเท่านั้นแหละ แต่ถึงกูจะอ่อนให้มึงมันก็ยังไก่อยู่อีกดีอ่ะ กว่าจะชนะกูได้แทบหอบแดก คิกคิกคิก” และการที่เพื่อนกำลังหงุดหงิด ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะราดน้ำมันเข้ากองไฟสำหรับเอก ซึ่งเปรียบเหมือนกับเป็นชายผู้เชี่ยวชาญเกมไปซะทุกแขนง


     

    “แล้วไงวะ! มันก็คือความจริงที่ว่ากูชนะอยู่ดีไอ่หอกงอเอ้ย มันต้องมีซักวันสิวะที่มึงจะต้องโดนตบร้อง” คินกล่าวออกมาอย่างหมั่นไส้ เพราะคำกล่าวอย่างเย่อหยิ่งจากเพื่อนรักแสนรัก ก็ทำให้คินรู้สึกหมั่นไส้มากขึ้นอีก


     

    แม้ว่าเรื่องที่ว่าเอกนั่นเทพไปซะทุกเกม มันก็เป็นความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้ก็ตามที ทำให้สภาพของคนแพ้ที่โดนตอกย้ำจากคนชนะตลอดทาง กลายเป็นภาพที่มีสีสันสำหรับชายหนุ่มอีกคนที่รับหน้าที่ถือของอีกคน ให้รู้สึกขำขันได้ไม่น้อยเลย ซึ่งแม้จะมีการบ่น และการโต้เถียงกันไปมาตลอดระหว่าง สุดท้ายก็กลับมาถึงบ้านของชายหนุ่มจนได้


     

    “ทะเลาะเป็นเด็กอมมือตั้งแต่ออกบ้าน ยันมาถึงบ้านละ ยังจะล้อ ยังจะด่ากันต่ออีก ตกลงว่าพวกมึงอายุเท่าไหร่กันวะเนี้ย” เทพเอ่ยอย่างเอือมระอา และส่ายหน้าเบาๆอย่างเหนื่อยใจ แล้วเดินนำหน้าสองหน่อเข้าไปบ้านไป ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามมาติดๆ


     

    “รีบๆเข้ามาสิ” เสียงพูดเป็นสิ่งแรกที่ได้ยิน ทันทีที่ได้ก้าวเข้ามาในบ้านของชายหนุ่ม ซึ่งเมื่อมองเข้าไปก็พบกับสองสาวที่นั่งกินขนมรออยู่หน้าโทรทัศน์ และมองมาทางสามหนุ่ม สิ่งของรอบข้างถูกดันออกไปเล็กน้อย เพื่อให้มีพื้นที่ในการนั่งล้อมวงปาร์ตี้สมใจอยาก


     

    เห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงเดินมาล้อมวง แล้วแจกจ่ายของต่างๆที่ซื้อมาเมื่อครู่ให้ทั่วถึง เนื่องจากปิ่นเป็นคนอาสาใส่เครื่องดื่มให้เพื่อนๆทุกคนแล้วแจกจ่าย ก่อนที่จะเริ่มปาร์ตี้เร่งด่วน บรรดาอาหารที่จัดวางไว้แม้ไม่ได้หรูหราอะไรนัก แต่ก็ให้บรรยากาศที่อบอุ่นดีแก่เทพไม่ใช่น้อย


     

    เนื่องจากกลุ่มพวกเขาค่อนข้างไม่ชอบสิ่งมึนเมาต่างๆ จึงไม่มีปัญหาอย่างการทะเลาะเบาะแว้งกันในวงปาร์ตี้ว่าใครดื่ม ใครไม่ดื่ม อาจจะดูแปลกที่กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ไม่ทำอะไรเหมือนกันกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆที่มักชื่นชอบทั้งรสชาติ หรือบรรยากาศของสิ่งมึนเมา


     

    แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็สามารถมีความสุขได้กับบรรยากาศชิลๆที่กินขนมขบเคี้ยว น้ำดื่มอัดลม มีการเล่นเกม ดูโทรทัศน์ และการพูดคุยเรื่องต่างๆ พวกเขาสามารถมีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร และไม่ต้องการให้มีใครเหมือน ตราบที่สิ่งนั้นทำให้พวกเขายังรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นเดิม


     

    คราวเมื่อมองเพื่อนๆที่ยิ้มหัวเราะ เขาก็พลอยรู้สึกมีความสุขไปด้วย และอยากจะเก็บความรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน แม้รู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะสามมารถทำได้ก็ตามที เมื่อคิดเช่นนั้นสีหน้าชายหนุ่มก็หมองลงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของกลุ่มเพื่อนๆได้


     

    “ไอ่เทพ” เสียงเรียกจากเพื่อนซักคนในวงทำให้เขาได้สติขึ้นมา แล้วมองใบหน้าของทุกคนที่กำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้าต่างๆ มันทำให้เขารู้สึกผิด และขำเล็กน้อยในเวลาเดียวกัน เห็นเช่นนั้นแล้วเขาจึงกล่าวขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลงไปมากกว่านี้


     

    “ไม่ต้องห่วงน่า พวกมึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง กูแค่ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในบรรยากาศแบบนี้เฉยๆ” เทพกล่าวออกมา แล้วยิ้มแห้งๆให้กลุ่มเพื่อน ก่อนจะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาแล้วดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่ออย่างไม่เร่งรีบ


     

    “ขอบคุณสำหรับการที่ทำให้กูเจอทุกเรื่องราวความสุข และพาก้าวข้ามความเสียใจที่ผ่านมานะ ริน ปิ่น คิน เอก… ขอบคุณพวกมึงมากจริงๆ!” ขณะที่กล่าวก็มองหน้าเพื่อนๆที่ถูกกล่าวถึงทีละคนตามลำดับ และในประโยคสุดท้ายเขาก็กล่าว และยิ้มออกมาอย่างจริงใจ


     

    “แน่นอนอยู่แล้วสิวะ! ก็พวกเราคือเพื่อนกันไง!” เอกกล่าวออกมาทั้งรอยยิ้ม ซึ่งมันแสดงอารมณ์ที่มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมเป็นคนแรก


     

    “ใช่แล้วล่ะ สุดท้ายยังไงมันก็คือเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ที่ว่านี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่พวกเรามีความสุขมากที่สุดแล้วน่ะนะ” ปิ่นยกยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวออกมาตามที่ในใจคิด


     

    “หึ! พระเอกเชียวนะมึง” คินกล่าวออกมาสั้นๆ แต่ก็แสดงถึงอารมณ์มากมายที่อัดอั้นเอาไว้ภายในคำพูดที่กล่าวออกมา


     

    “แน่นอนสิย่ะ! นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้ไงล่ะ! มาชนแก้วกันหน่อย!” รินยิ้มออกมาแล้วยกแก้วน้ำของตนขึ้นมาด้านหน้าตัวเอง ในขณะเดียวกันคนอื่นๆก็ทำเช่นกัน ก่อนจะมีเสียงกระทบของแก้วดังขึ้นจากการกระทบของแก้วทั้ง 5 ใบ ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่น


     



     

    “หืม นอนไปตอนไหนล่ะเนี้ย?” เสียงงัวเงียของชายหนุ่มเอ่ยอย่างมึนๆภายใต้ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เมื่อสายตาของเขาเริ่มชินกับความมืดแล้ว เขาจึงเห็นเพื่อนชายทั้งสองที่นอนแผ่กันบนพื้น และสองสาวบนโซฟาคนละฝั่ง


     

    ส่วนตัวเขาตอนนี้ก็นอนไม่ห่างจากสองหนุ่มเท่าไหร่นัก แต่สภาพดีกว่าเล็กน้อย เพราะเขานอนพิงกำแพงพร้อมผ้าห่มตัวนึง และไม่ได้นอนแผ่ไปกับพื้นดังเช่นสองคนนั้น เขานั่งมองครู่หนึ่งก่อนจะเปิดโทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆขึ้น เพื่อมองเวลาบนหน้าจอ ซึ่งกำลังแสดงเวลา 2.30 นาฬิกา


     


     


     


     


     
     

    เหลือเวลาอีก 4 วัน 21 ชั่วโมง 30 นาที

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×