ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #6 : วันที่ 2.2 : การเสียใจไม่ได้ผิดหรอกนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7
      3
      21 ม.ค. 66

    วันที่ 2.2 : การเสียใจไม่ได้ผิดหรอกนะ


     


     


     


     


     

    “มันไปไหนวะ หายไปตั้งแต่เช้าละ” คินกล่าวขณะกดเครื่องเกมในมือที่เชื่อมต่อกับโทรทัศน์ เช่นเดียวกับเอกที่กำลังกดปุ่มบนเครื่องเล่นอย่างไร้รูปแบบราวกับเล่นมั่ว แต่ดันเป็นเอกที่เล่นชนะไปแบบฉิวเฉียดแทน


     

    “อ่าฮะ! กูชนะ! เย็นนี้มึงต้องเปย์ตัวใหม่ให้กู!” คินที่ได้ยินเอกกล่าวแบบนั้นจึงทำหน้าเซ็ง ก่อนจะเอนหลังไปบนโซฟา แล้วเงยหน้าไปมองนาฬิกาบนผนังห้องรับแขกในบ้านของเทพ ซึ่งแสดงเวลาประมาณบ่ายสามได้แล้ว


     

    “มึงลองโทรไปหามันอีกรอบหน่อยดิ เผื่อมันมีเรื่องไรอีก” รินที่นอนเล่นบนโซฟาใกล้ๆกับสองหนุ่มกล่าว แต่ปิ่นที่นั่งข้างๆรินก็ได้เอ่ยออกมาก่อน


     

    “เมื่อกี้กูลองโทรดูแล้วแต่โทรไม่ติดโทรศัพท์มันคงไปโดนไรซักอย่างมั้ง ลองออกไปตามมะ?” ปิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี แล้วเตรียมจะลุกขึ้นแต่เอกที่นั่งชิลอยู่ก็เอ่ยขัดขึ้นมาอย่างไม่กังวล


     

    “ไม่ต้องห่วงนักหรอกน่า พวกมึงก็รู้ว่าเทพมันเป็นยังไง โตๆป่านนี้ล่ะเชื่อใจเพื่อนมั่งดิ้ คบกันมาตั้งกี่ปีละ ต่อให้มันกำลังป่วยก็ไม่มีทางเป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า” เอกกล่าวขณะยิ้มออกมาอย่างไม่กังวล


     

    ซึ่งทำให้คินรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาจึงโยนหมอนใส่หน้าเอกเต็มแรง แต่เอกก็หลบได้พร้อมหัวเราะออกมา ขณะหมอนลอยไปตรงหน้าประตู ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเปิดประตูบ้านพอดี ทำให้หมอนใบนั้นปะทะหน้าคนที่เข้ามาใหม่พอดี เมื่อทุกสายตามองไปยังคนที่เข้ามาใหม่ ก็พบว่าเป็นเทพนั้นเอง


     



     

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน หลังจากช่วยเหลือลูกแมวได้สำเร็จทั้งคู่ก็เดินมุ่งหน้าไปยังร้านขายของข้างๆที่มีผ้าขนหนูขาย แล้วจึงนั่งเล่นรอเสื้อผ้าแห้งครู่นึง ก่อนจะเดินทางไปพบสัตวแพทย์ซึ่งรอนานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้รักษาเจ้าแมวน้อย ซึ่งดีที่มันมีเพียงแผลเล็กๆ ส่วนค่ารักษาหญิงสาวออกเงินเองเนื่องจากมันน่าจะเป็นแมวจรจัดจึงถือโอกาสนำมันไปเลี้ยงด้วยเลย


     

    เมื่อจบเรื่องวุ่นวายของแมวๆแล้วทั้งสองก็เดินไปนั่งพักกันบริเวณสวนสาธารณะแห่งเดิม ซึ่งมีคนเดินกันประปราย เนื่องจากอากาศที่ร้อนระอุยามเที่ยงวัน ยังดีที่พอมีร่มเงาของต้นไม้บดบังแสงแดดไว้บ้างจึงไม่ทำให้คนเป็นลมแดดกลางทางเสียก่อน


     

    “อากาศประเทศนี้นี่มันสุดจริงๆ เมื่อเช้าหนาวอยู่ดีๆ กลางวันดันร้อนซะงั้น เฮ้อ” เสียงบ่นตามประสาคนขี้ร้อนของหญิงสาวที่กำลังนั่งเล่นบนม้านั่งกับแมวสองตัวที่ดูจะสนิทกันดี ในตอนนั้นก็มีเสียงของชายหนุ่มแว่วมา


     

    “เพราะประเทศเราเป็นที่รักของพระอาทิตย์ละมั้ง ฮะฮะฮะ” เมื่อหันขวาไปก็พบเทพที่ยื่นขวดน้ำเปล่าที่พึ่งซื้อมาให้ หญิงสาวเห็นก็รับมาพร้อมดื่มอย่างกระหาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะมาหยุดเดินตรงข้างๆ แล้วเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย


     

    “นี่ เซเรีย… ขอโทษที่ถามนะ แต่กำไลข้อมือของเธอซื้อมาจากไหนเหรอ? พอดีผมเหมือนเคยเห็นมาก่อนน่ะ” เทพเอ่ย ทำให้หญิงสาวยกข้อมือที่มีกำไลวงสีขาวและประดับด้วยลูกไม้ประดับสีดำแดง และมีลายที่ดูแปลกตาด้วยสีเนื้อถูกวาดไว้


     

    “เรียกเรา ‘เซีย’ ก็ได้เพื่อนเราก็เรียกแบบนั้น ส่วนกำไลอันเนี้ยเหรอ? พ่อให้เรามาอ่ะ บอกเป็นเครื่องรางเลยใส่ไว้ตลอดน่ะ ชอบเหรอ?” เซเรียเอ่ยถาม เขาก็เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างไม่สนใจ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดขึ้นมาทดสอบ


     

    ซึ่งมันก็ยังคงใช้ได้ดีอยู่เหมือนเดิม เห็นดังนั้นแล้วเขาจึงโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาที่ตอนนี้เวลาประมาณบ่ายสองแล้ว จากนั้นจึงกดเปิดข้อความขึ้นมาอ่าน ซึ่งก็มีข้อความของเพื่อนๆเขาถูกส่งมาไม่กี่อัน และการโทรเบอร์อีกนิดหน่อย ซึ่งเขาไม่ได้คิดจะโทรกลับไป เพราะกำลังจะกลับไปหาอยู่แล้วในอีกไม่นาน


     

    “ซักพักเราคงต้องไปแล้วล่ะ พอดีนัดกับเพื่อนเอาไว้น่ะ” เทพว่าแล้วมองเวลาซึ่งใกล้เที่ยงวันเข้าทุกทีแล้ว เมื่อหญิงสาวได้ยินก็ยิ้มแห้งๆเพราะรู้ว่ารบกวนเวลาของชายหนุ่มมานานแล้ว ทั้งๆที่ความตั้งใจแรกมีเพียงแค่ชวนทานข้าวเพื่อขอโทษเท่านั้นเอง


     

    “เอ่อ เทพเราขออะไรซักอย่างไว้ติดต่อหน่อยได้ป่าว? เฟซ ไลน์ เบอร์ พอดีเราอยากจะตอบแทนที่ช่วยอ่ะ ทำไมยิ่งตอบแทนมันถึงยิ่งโดนช่วยก็ไม่รู้ พอดีเราเป็นพวกไม่สบายใจเวลาเป็นหนี้บุญคุณน่ะ” เซเรียกล่าวอย่างเอือมระอาในเวลาปกติ เธอส่งจ่ายเงินเล็กๆน้อยไปแล้วเพื่อตอบแทน แต่เธอรู้ว่าชายตรงหน้าคงไม่รับเงินของเธอแน่ๆ เมื่อเทพได้ยินก็หลุดขำเล็กน้อย ทำให้เซเรียเผยสีหน้าสงสัยออกมา


     

    “เราไม่ได้โดนจีบอยู่ใช่ป่าว? ฮะฮะ” เทพเอ่ย ทำให้เซเรียหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจแล้วหันหน้าไปทางอื่น ก่อนที่เขาจะขอโทษและหัวเราะเบาๆ และให้เป็นเฟซแก่หญิงสาวมา และแอดไว้กันเอาไว้ เมื่อเรียบร้อยแล้วเซเรียก็กดโทรศัพท์โทรหาใครบางคน เห็นดังนั้นเทพจึงกะจะกลับบ้านไปหาเพื่อนของเขา แล้วในตอนนั้นเขาก็นึกสงสัยบางอย่าง


     

    “เอ้อเซีย! บ้านเธอยู่ไหนเหรอเห็นบอกว่าย้ายมายังไม่รู้เลยว่าอยู่แถวไหน ว่าจะพาเพื่อนไปทำความรู้จักด้วย” เทพหันมาถามหญิงสาวที่กำลังพึ่งคุยธุระเสร็จ หญิงสาวทำท่านึกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมา


     

    “เลยที่นี่ไปอีก 4-5 ซอยอ่ะ ทางขวาอ่ะจำไม่ได้ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะเราก็พึ่งย้ายมาไม่ถึงอาทิตย์เลย” ชายหนุ่มนึกตามก่อนจะนึกออกว่าแถวนั้นเป็นส่วนคนมีฐานะขึ้นอีกหน่อย เมื่อมองไปที่หญิงสาวก็พอจะรู้ว่ามีฐานะการเป็นอยู่อย่างไร


     

    “อืม งั้นก็ใกล้กันนิดเดียวเองนี่ เราอยู่ซอย 3 ไว้ว่างๆเราไปเยี่ยมละกันนะ วันนี้นัดกับเพื่อนเอาไว้น่ะ ว่าแต่เธอจะไปไหนต่อเหรอ?” เขากล่าวถาม หญิงสาวก็ยืนทำหน้ามึนๆเป็นการบอกว่าไม่มีแผนอะไรในวันนี้ เขาจึงอาสาพาไปส่งหญิงสาวหน้าซอยทางเข้าบ้าน


     

    เมื่อได้ยินชายหนุ่มเสนอตัวหญิงสาวก็ตอบตกลง แล้วอุ้มลูกแมวขึ้นมาเบาๆเนื่องจากมันหลับไปแล้ว ส่วนแมวเจ้าปัญหาก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน แล้วกระโดดลงจากม้านั่งมาเดินข้างๆหญิงสาวอย่างรู้งาน


     

    จากนั้นทั้งคู่จึงค่อยๆเดินไปตามเส้นทางเดินอย่างไม่เร่งรีบ ระหว่างทางก็มีเพียงต้นไม้ขนาบข้างตลอดทาง มีคนเดิน หรือไม่ก็ขับพาหนะสวนทั้งคู่ไปมาเล็กน้อย ซึ่งการที่มีหนุ่มหล่อและสาวน่ารักเดินคู่กัน ย่อมเป็นจุดสนใจไม่น้อย


     

    แต่ทั้งคู่ก็พูดคุยอะไรเรื่อยเปื่อยแบบไม่ได้สนใจรอบข้าง หัวข้อที่สนทนาก็เป็นเรื่องเกี่ยวชีวิตแต่ละคน อย่างเรื่องงานอดิเรกที่มักจะทำเวลาว่างๆ อาหาร หรือไม่ก็ขนมที่ชื่นชอบ ซึ่งก็ดูจะไปคนละทางกันอย่างเห็นได้ชัด แต่บางเรื่องก็ดูเข้ากันดีราวกับเป็นคนๆเดียวกันเสียอย่างนั้น


     

    “ดาร์กช็อกโกแลตเนี้ยเหรออร่อย? เราเคยกินไม่กี่ครั้งหรอกนะ เพราะมันขมเกินไปอ่ะ เราว่าช็อกโกแลตแบบปกติก็ขมๆพอดีแล้วนะ” เซเรียเอ่ยแล้วทำหน้าหวาดๆเมื่อนึกถึง ส่วนเขาก็เพียงหัวเราะเบาๆ


     

    “เหมือนเพื่อนเราเลย แต่รายนั้นดูเหมือนแม้แต่ช็อกโกแลตก็ยังไม่คิดจะแตะต้องเลยอ่ะนะ จริงๆมันก็แล้วแต่คนจริงๆแหละ เพราะมันก็หายากอ่ะนะที่จะเจอคนชอบดาร์กช็อก เพราะมันดาร์กสมชื่อจริงๆ ฮะฮะ


     

    รสนิยมเราดูต่างกันจังนะ แต่จะว่าไปก็ยังมีเรื่องที่เหมือนกันอยู่นี่ อย่างเรื่องของนิยายไลท์โนเวล เอาจริงๆดูเธอจะเชี่ยวชาญกว่าเราซะอีก วันๆเธออ่านวันละกี่เรื่องกันล่ะเนี้ย ฮะฮะฮะ!” เทพกล่าว แล้วเอ่ยถามแซวหญิงสาวอย่างขบขัน เธอก็ยิ้มรับแห้งๆ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงหม่นลงเล็กน้อย


     

    “เราชอบนิยาย เพราะมันคือโลกแห่งจินตนาการที่เราจะกินอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ หรือจะทำอะไรก็ได้ มันทำให้เราหลงไหลในความวิเศษของโลกในนิยายมากๆเลยล่ะนะ…” หญิงสาวกล่าวแล้วเงียบไปเล็กน้อย แล้วยิ้มกว้างออกมาแล้วกล่าวถามชายหนุ่มต่อ


     

    “เทพล่ะ! ชอบอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า?” หญิงสาวเอ่ยถาม พร้อมแววตาที่ดูเป็นประกาย เมื่อได้ยินคำถามดังนั้นชายหนุ่มก็ยืนคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวออกมาแบบไม่มั่นใจมากนักในคำตอบ


     

    “อืม… จริงๆเราชอบเล่นเกมมากนะ แต่ตอนเด็กๆเราเคยชอบวาดรูปล่ะมั้ง ตอนนี้ก็ยังวาดนะ ถึงแทบจะไม่ได้มีโอกาสวาดรูปเลยก็เถอะ” เอ่ยจบก็ได้ยินเสียงแสดงอาการทึ่งมาจากหญิงสาวข้างๆ เขาจึงหันไปมองก็พบว่าเธอกำลังมองมาที่เขาและทำหน้าตาที่ดูทึ่งกับคำตอบของชายหนุ่ม


     

    “อะไร? หน้าเราไม่เหมือนคนชอบวาดรูปรึไง ฮะฮะ” เทพถามก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวต่อ


     

    “เพราะตอนเด็กๆแม่เราเป็นคนสอนวาดรูปนั่นแหละ เลยชอบมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่ได้นั่งวาดรูป เลยรู้สึกเหมือน…” ชายเหนุ่มกล่าวแล้วหยุดกลางคัน ก่อนจะหันมามองหญิงสาวอีกครั้ง ซึ่งเธอก็พึ่งรู้ตัวว่าถามอะไรที่กระทบจิตใจชายหนุ่มไป เธอจึงรีบกล่าวขอโทษอย่างรีบร้อน


     

    “เราขอโทษจริงๆนะ! คือเราไม่รู้มาก่อนว่าเทพมีเรื่องแบบเน้!?” เพราะด้วยความร้อนรนที่รีบพูดของหญิงสาวทำให้เธอเผลอกัดลิ้นอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เธอต้องย่อตัวลงไปนั่งกับพื้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเล็กน้อยจากอาการเจ็บปวดที่บรรยายไม่ได้


     

    “ฮะฮะ เป็นไงบ้างไหวรึเปล่าน่ะ!?” เทพหัวเราะเบาๆ แล้วลงไปนั่งย่องๆด้านข้างเพื่อดูอาการ เมื่อมองใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังเจ็บปวดจากความเด๋อ ก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจ แล้วกล่าวออกมาอย่างจริงใจ


     

    “เราไม่ได้คิดมากกับอะไรเรื่องที่เซียพูดหรอกนะ ไม่ต้องห่วง เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ยังไงเราก็ไม่ใช่เด็กประถมแล้ว จะมาอะไรกับเรื่องแบบนี้ก็คงจะตลกน่าดู…” ชายหนุ่มเอ่ยตามความคิด แต่ก็ทำให้หญิงสาวข้างกายเอ่ยขัดขึ้นมา


     

    “ต่อให้ไม่ใช่เด็กประถม ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสิทธิร้องไห้ซักหน่อยนี่นา เราก็คนเหมือนกัน ทำไมจะไม่มีสิทธิร้องไห้หรือเสียใจล่ะ นั่นเลยยิ่งทำให้เรารู้สึกผิดที่พูดอะไรที่กระทบจิตใจเทพนะไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม” หญิงสาวเอ่ยดังนั้น ทำให้เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาแบบไม่ผิดบัง


     

    “ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดอาการมึนงงขึ้นมาในหัวของหญิงสาวอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีก ผ่านไปซักพักจึงได้ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนเดิม


     

    “ไม่มีอะไรๆ ฮะฮะ แค่เรื่องที่เธอพูดมันทำให้เราสบายใจขึ้นเยอะเลยน่ะนะ เอาล่ะ! ไปกันต่อดีกว่า” เทพเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นอย่างฉับพลันแล้วเดินมุ่งสู่บ้านของเขาด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างดีขึ้น


     

    “เทพนี่ก็เหมือนกับเราดีนะ…” หญิงสาวที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวกับตัวเองเบาๆ แล้วจึงรีบลุกขึ้นตาม พร้อมกับค่อยๆเดินตามชายหนุ่มไปไม่ห่าง


     



     

    จนทั้งคู่เดินมาถึงซอยของชายหนุ่มแล้ว เขาก็เหลือบมองเข้าไปเห็นรถของเพื่อนๆเขาจอดอยู่หน้าบ้านของเขาซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เมื่อหญิงสาวเห็นว่าถึงจุดหมายแล้ว เธอจึงทำท่าทางจะถามกับชายหนุ่มด้วยอาการลังเลนิดหน่อย


     

    “ไม่มีอะไร! ไปก่อนนะแล้วเจอกันล่ะ” เซเรียกล่าวแล้วหันหน้าหลบเล็กน้อย ขณะที่ใบหูก็เริ่มแดงขึ้นเล็กๆ ทำให้ชายหนุ่มขำเล็กน้อยกับท่าทีของเธอ ก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกไปด้วยท่าเดินที่ดูตลกขบขันไม่น้อย


     

    เขายืนมองหญิงสาวเดินจากไปซักพัก ก่อนจะหันกลับไปทางเข้าบ้าน แล้วเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับเสียงตะโกนที่ตามมาจากด้านในบ้าน และหมอนหนึ่งใบที่ปาเข้ามากลางหน้าของเขาเต็มๆ ซึ่งก็ทำให้เขาเซ็งเล็กน้อยกับความโชคร้ายของตนที่มาได้ถูกจังหวะเสียจริง


     

    “เทพ ไปไหนมาเนี้ย นึกว่าโดนหิ้วไปแล้ว” นอกจากหมอนต้อนรับแล้ว ก็ยังมีประโยคต้อนรับที่ส่งมาจากเพื่อนสาวอย่างรินนั่นเอง พร้อมกับร่างของเจ้าของเสียงที่เดินมาปรากฎตรงหน้าเขา เมื่อมองเลยเข้าไปก็จะพบ คินและเอกที่กำลังนั่งกดเครืองบังคับเกมอยู่ในมือ และปิ่นที่กำลังทานขนมอยู่ไม่ห่าง


     

    “ต้อนรับด้วยการรับโชคสามขั้น แถมยังมีประโยคต้อนรับนี้อีก มันทำให้ชื่นใจดีจริงๆ” เทพเอ่ยประชดออกมา ทำให้รินขำออกมายกใหญ่ พร้อมสองหนุ่มที่กับวางเครื่องบังคับเกมในมือแล้วหันมามองสภาพของเทพในตอนนี้ ก่อนปิ่นจะรู้สึกตะหงิดใจในบางอย่าง


     

    “หืม กูจำได้ว่าชุดนี้มันขายที่ร้านแถวๆนี้นี่นา เพราะมันเป็นของทำมือกูเลยแวะไปดูบ่อยๆ แล้วเมื่อตอนระหว่างทางกูมาบ้านมึงมันก็ยังอยู่ที่ร้านนี่นา” เพียงปิ่นเอ่ยแค่นั้น ก็เพียงพอให้เทพรู้สึกล่วงปวดหัวแล้ว กับการที่จะต้องโดนรุมสอบถามที่มาของเสื้อนี้นั่นเอง


     


     


     


     


     

    เหลือเวลาอีก 5 วัน 9 ชั่วโมง 50 นาที

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×