ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #5 : วันที่ 2.1 : ไม่ได้พบกันครั้งแรกหรอกนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7
      3
      17 ม.ค. 66

    วันที่ 2.1 : ไม่ได้พบกันครั้งแรกหรอกนะ


     


     


     


     


     

    “ติ้ง! ติ้ง!” เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วมองต้นเสียงด้วยอาการง่วง จากนั้นจึงลุกขึ้นมานั่งอย่างงัวเงีย ก่อนจะดึงสายชาตออกจากโทรศัพท์ของเขา แล้งเปิดอ่านข้อความ ซึ่งส่งมาจากพ่อของเขา


     

    ‘ วันนี้พ่อมีงานด่วนมาก ต้องรีบออกจากบ้านไปแต่เช้า ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับตอนไหน แต่พ่อจะรีบทำธุระให้เสร็จแล้วจะพาลูกไปเที่ยวแบบพ่อ-ลูกอีกครั้งนะ

    จาก พ่อ ’

     


     

    “อืม… พ่อของเรานี้ล่ะก็… คิดมากเกินไปจริงๆแฮะ… แค่อยู่กับเราจนวันสุดท้ายเราก็แทบจะรู้สึกผิดแล้วแท้ๆ… เฮ้อ…” บ่นเสร็จก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็นอนไม่หลับจึงลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัวให้สดชื่นแทน


     

    วันนี้เขาก็ยังคงใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆแบบที่เขาชอบ สวมเสื้อยืดสีดำสกรีนเป็นรูปสายฟ้าสีแดงไว้ แต่สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีเทาทับไว้เนื่องจากวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น และกางเกงขายาวสีดำ จากนั้นจึงเดินมาหยิบนาฬิกาเรือนเดิมที่วางบนโต๊ะ และแสดงเวลา 05.21 นาฬิกาอยู่


     

    เขาจึงหยิบมาสวมบนข้อมือซ้าย จากนั้นจึงนำเอาโทรศัพท์ และกระเป๋าเงินยัดใส่ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินลงมาด้านล่างที่เงียบสงบอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเดินออกมาจากบ้านแล้วจึงทำการล็อกประตูบ้านก่อนจะออกเดินเล่นอีกครั้ง


     

    “เย็นดีจัง อากาศแบบนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่แต่ว่าก็เป็นเรื่องที่ดีล่ะนะ” เขาพูดขณะที่เดินเล่นในสวนที่เดิม ซึ่งในวันนี้ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีคนเลย จากอากาศที่เหมาะแก่การนอนเช่นนี้ และตะวันที่ยังไม่ได้ขึ้นจากขอบฟ้าทำให้บรรยากาศดูวังเวงชวนขนลุก


     

    “น่ากลัวดีแฮะ ไปหาอะไรกินดีกว่…” เขาพูดหลังเดินเล่นในสวนซักพัก แล้วจึงหัวเราะเบาๆให้กับความคิดที่ว่าจะมีเรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นกับตัวเขา จึงตัดสินใจที่จะออกไปหาอะไรทานตามร้านอาหาร แต่ไม่ทันสิ้นคำดีเขาก็พบเงาบางอย่างพุ่งตัดหน้าเขาจนต้องชะงักเท้าที่กำลังจะก้าว


     

    “อะไรวะน่ะ?” เขาพูดแล้วขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่ได้กลัวผี แต่เชื่อเรื่องพวกนี้พอสมควรทำให้เขาไม่ตกใจไปเสียก่อน แต่ก็ต้องพบกับสิ่งที่ผ่านหน้าเขาไปในเวลาต่อมา มันคือเจ้าแมวสีขาวตัวเดิมของเมื่อวาน


     

    “หือ? แกนั่นเอง รู้สึกจะชื่อฟาลสินะ? การที่แกมาอยู่ตรงนี้งั้น…” เขากล่าวก่อนจะนึกย้อนชื่อของแมวตัวนี้ที่หญิงสาวคนเมื่อวานได้พูดไว้ และไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อก็มีเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาอีกครั้ง


     

    “ขอโทษค่ะ! ที่แมวของฉัน… อ้ะ! นายคนเมื่อวานนี่นา!” หญิงสาวคนเดิมวิ่งมาด้วยท่าทางเช่นเดิม แต่ก็ต้องตกใจในความบังเอิญที่แมวของเธอวิ่งมาหาชายหนุ่มคนเดิมอีกครั้ง มันทำให้เธอสงสัยเล็กน้อย ว่าแมวของเธอติดใจอะไรในตัวของชายหนุ่มคนนี้


     

    “ว่าไง เจอกันอีกแล้วนะ” เขาพูดแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนที่แมวตัวปัญหาจะวิ่งไปอ้อนเจ้าของเดิมของมัน ทำให้เธอที่กำลังตอบกลับชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา


     

    “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะ! ส่วนฟาล! เลิกวิ่งออกมาตัวเดียวได้แล้วน่า! เกิดหลงไปจะทำยังไงกัน!” กล่าวจบก็ก้มลงไปจะอุ้มแมวของเธอขึ้นมา ตอนนี้เธออยู่ในเสื้อยืดเนื้อดีสีขาว สวมกระโปรงสีฟ้าอ่อนยาวถึงเข่า และสวมรองเท้าผ้าใบสีขาว ด้านข้างเธอมีกระเป๋าใส่ของใบเล็กห้อยสีน้ำตาลอ่อนมาด้วย แต่ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงอะไรขัดเสียก่อน


     

    “โครกก” มันดังมาจากหญิงสาวที่กำลังก้มตัวอยู่ ทำให้เผลอเขาหันไปมอง จนเห็นใบหน้าที่ดูจะขึ้นสีเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ หญิงสาวที่ได้ยินเสียงหัวจากชายหนุ่มก็รีบเอ่ยออกมาอย่างอายๆ


     

    “พอดีว่าต้องออกมาตามหาเจ้าฟาลตั้งแต่เช้าเลยยังไม่ทันทานอะไรมาเลยน่ะ ขอโทษจริงๆนะที่แสดงมารยาทที่ไม่ดีออกไป!” เธอกล่าวแล้วก้มตัวขอโทษ แต่เขาก็เพียงหัวเราะ และชวนไปทานอาหารที่ร้านใกล้ๆแทน เมื่อได้ยินดังนั้น เธอจึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลง และบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเขาหนึ่งมื้อ จากการที่แมวของเธอไปรบกวนเขาถึงสองครั้ง


     



     

    เมื่อมาถึงร้านอาหารตามสั่ง เขาและหญิงสาวก็เดินไปนั่งเก้ากี้ที่ตรงกันข้ามกัน ก่อนที่จะสั่งอาหารไปโดยเขาสั่งเป็นข้าวผัดง่ายๆ ส่วนหญิงสาวตรงหน้านั้นสั่งข้าวคั่วกลิ้งแบบเผ็ดพิเศษ ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อยกับรสนิยมการทานของเธอ ระหว่างที่รออาหารเขาก็ชวนหญิงสาวตรงหน้าคุยไปด้วย


     

    “ไม่นึกเลยนะว่าเธอจะเป็นคนกินเผ็ด” เทพพูดทำให้หญิงสาวหัวเราะแห้งๆให้กับเขาแทน ก่อนจะหันลงไปมองแมวของเธอที่กำลังนอนหมอบบนพื้นของร้านอาหารที่ค่อนข้างสะอาดใกล้ๆกับขาของเขา เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงถามขึ้นมาอย่างสงสัย


     

    “มันค่อนข้างเชื่องเลยนะเนี้ย แม้ดูเหมือนจะชอบหนีออกมาเที่ยวบ่อยๆ เลี้ยงมันมาตั้งแต่ตอนไหนเหรอ?” เขาเอ่ยถาม เพราะในอดีตก็เคยเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่งเช่นกันจึงรู้ว่าค่อนข้างยากที่จะทำให้มันเชื่องได้ถึงเพียงนี้ เมื่อหญิงสาวได้ยินคำถามจึงตอบกลับเขาในขณะที่ยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว


     

    “ฉันเลี้ยงมันตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ เพราะตอนนั้นแม่ของมันที่ญาติคนนึงเลี้ยงไว้ดันเสียชีวิตพอดี ฉันเลยขอรับมันมาเลี้ยงตัวนึงน่ะ แล้วก็ตั้งชื่อมันว่า ‘ฟาล’ นี่แหละ แล้วนายล่ะ? ดูเหมือนค่อนข้างคุ้นเคยกับแมวไม่น้อยเลยนะ เคยเลี้ยงแมวด้วยเหรอ?” เธอถามกลับเขา ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าเขาเคยเลี้ยงแมว


     

    “เรียกเทพก็ได้ เพราะเราน่าจะอายุพอๆกัน ถ้าจำไม่ผิดชื่อเซเรียสินะ? อ้อ! แล้วก็รู้ได้ยังไงอ่ะว่าผมเคยเลี้ยงแมวด้วย?” เทพกล่าว ทำให้เธอยิ้มเขินๆ


     

    “พอดีฉันไม่ค่อยเห็นฟาลสนิทกับใครนอกจากคนที่เคยเลี้ยงแมวน่ะ เลยเดาไว้แบบนั้น แต่เรื่องจริงเหรอที่เคยเลี้ยงแมว มันเป็นแมวยังไงเหรอ?” เซเรียกล่าวพร้อมใบหน้าที่ดูตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับได้พูดคุยในเรื่องที่ชื่นชอบ เขาจึงเล่าเรื่องแมวของเขาให้เธอฟัง


     

    “มันเป็นแมวที่ญาติผมเคยมาฝากเลี้ยงไว้ตอนผมอายุซัก 15 น่ะ จำได้ว่าเพราะครอบครัวนั้นจะไปต่างประเทศจึงเอามาฝากเลี้ยงไว้ ชื่อ ‘คอนเตอร์บัด’ แต่ฉัน เรียกมันว่า ‘คอน’ น่ะ ฮะฮะฮะ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงตั้งชื่อแบบนี้จนกระทั่งมารู้อีกทีว่าลูกชายของญาติคนนั้นเป็นคนตั้งชื่อให้เลยไม่แปลกในเท่าไหร่ มันเป็นแมวที่ค่อนข้างดุเลยล่ะ


     

    ช่วงแรกผมแทบจะเข้าใกล้มันไม่ได้เลย เข้าใกล้ทีไรต้องได้แผลตลอด แต่ก็พยายามหาวิธี และลองไปเรื่อยๆ จนมันก็ค่อยๆคุ้นชินกับผม แล้วก็ได้เป็นเพื่อนกันนั่นแหละ ใช้เวลานานเลยทีเดียว แต่สุดท้ายญาติคนนั้นก็กลับมารับแมวของเขาไป


     

    เห็นญาติคนนั้นเล่าว่าช่วงแรกๆที่กลับไป มันแทบจะไม่กินข้าวเลย เพราะมันเหมือนจะเสียใจน่ะ แต่ตอนหลังก็กลับมาเป็นปกติดี และยังคงแวะไปเล่นกับมันบ่อยๆตอนช่วงวันหยุดยาว” เขาเล่าในขณะที่หญิงสาวก็ตั้งใจฟัง จนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อาหารมาวางไว้ข้างโต๊ะพวกเขาแล้ว


     

    ระหว่างที่ทานอาหารทั้งคู่ก็ยังคงคุยเรื่องแมวกัน จนเปลี่ยนไปเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน และงานอดิเรกซึ่งค่อนข้างคล้ายกัน ทำให้คุยกันอย่างไม่ติดขัดนัก สุดท้ายอาหารก็หมดลง ซึ่งก็มองนาฬิกาเล็กน้อยทำให้รู้ว่าตอนนี้เวลา 8.02 นาฬิกาแล้ว และขณะที่พวกเขากำลังจะลุกขึ้นไปจ่ายเงิน เจ้าแมวตัวนี้ของหญิงสาวก็ฉวยโอกาสวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


     

    “อ้ะ!? ฟาลไปไหนน่ะ!” เธอพูดอย่างตระหนักก่อนจะจ่ายเงินให้แม่ค้าแล้ววิ่งตามออกไปอย่างเร่งรีบ เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ตามาติดๆในทางที่แมวของหญิงสาววิ่งไป แต่เพียงพริบตาเดียวแมวของเธอก็หายไปเสียแล้ว


     

    “ทำไมมันดูแปลกๆนะตอนที่มันวิ่งออกไปเมื่อกี้…” เธอกล่าวขณะที่หอบจากการที่จู่ๆก็วิ่งอย่างเต็มแรงจึงไม่แปลกที่จะเกิดอาการเหนื่อย เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยถามออกมา


     

    “แปลก? ยังไงเหรอ?” เขาถามอย่างสงสัยในขณะที่ค่อยๆเดินหาเช่นเดียวกับหญิงสาว ก่อนที่เธอจะอธิบายให้เขาฟัง


     

    “เมื่อกี้มันวิ่งแล้วดวงตาเบิกกว้าง ซึ่งมันชอบทำตาแบบนี้ตอนที่กำลังจะมีเรื่องน่ะ เลยรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่” เธอกล่าว ทำให้พวกเขาเร่งมือในการตามหามันเข้าไปอีก แม้จะดูเชื่อไม่ได้เพราะมันเป็นแมว แต่อาจจะเกิดเรื่องจริงๆก็ได้ใครจะรู้?


     

    ขณะที่ค้นหาอยู่ และถามคนที่เดินทั่วไปก็มีคนมาบอกถึงแมวสีขาวตัวนึงที่วิ่งอยู่แถวๆแม่น้ำ ทำให้เขาสองคนต้องรีบไปตามทางที่คนๆนั้นบอก ในตอนนั้นเสียงริงโทนโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น เขาจึงเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นชื่อเดิมที่โทรมาเมื่อวานนี้ หรือก็คือเพื่อนของเขานั้นเอง


     

    /มึงไปไหนอีกแล้ววะ? พวกกูอยู่หน้าบ้านมึงเนี้ย แวะไปสวนเมื่อวานก็ไม่เห็น พอพ่อไม่อยู่ก็แอบเที่ยวเลยรึไงกัน? ฮะฮ่าฮ่าฮ่า/ เสียงจากปลายสายกล่าว ตามด้วยเสียงหัวเราะจากพ้องเพื่อนเขา ทำให้เขาต้องรีบตอบกลับไป


     

    “กูออกมาสูดอากาศตอนเช้าเฉยๆ แล้วมันมีเรื่องนิดหน่อยไว้เดี๋ยวกูจะรีบโทรกลับละกัน! อีก 10 นาทีเดี๋ยวกูไป!” เทพกล่าว แล้วเมื่อเพื่อนของเขารับทราบ เขาก็เก็บโทรศัพท์ไปพร้อมกับวิ่งไปตรงแม่น้ำต่อ


     

    “เจอแล้วเหรอ?” เขาเอ่ยถามทันทีที่เดินมาใกล้ๆหญิงสาว ซึ่งเธอก็ชี้ไปทางริมแม่น้ำที่ค่อนข้างกว้าง ที่ตอนนี้แมวของเธอกำลังพยายามช่วยลูกแมวตัวตัวเปียกชุ่ม และตัวสั่นอย่างหนาวเหน็บขณะที่เกาะอยู่ตรงโขดหินกลางแม่น้ำซึ่งตอนนี้น้ำค่อนข้างเชี่ยวจากการที่ฝนตกหนักไม่กี่วันก่อน


     

    “มันพยายามจะช่วยลูกแมวเหรอ?” เขากล่าวอย่างนึกสงสัย แต่ก็เลิกสนใจ ก่อนจะวิ่งไปหาลูกแมวตัวนั้น ซึ่งเมื่อมาถึงเจ้าฟาลก็ได้ร้องออกมา เขาจึงก่อนจะลองเอามือจุ่มน้ำ ก็ได้รู้ว่าน้ำไม่ได้แรงขนาดที่เขาจะข้ามไปไม่ได้ จากนั้นจึงหาท่อนไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงสูงเท่าเอวของเขาจากแถวๆนั้นมาพกไว้ แล้วจึงพับขากางเกงขึ้นจนเลยหัวเข่า และพับแขนเสื้อขึ้น เพื่อไม่ให้เสื้อผ้านั้นเปียก


     

    เมื่อเสร็จแล้วเขาจึงค่อยๆหย่อนไม้ที่เอามาตอนแรก และเท้าลงน้ำ มันลึกประมาณกลางหน้าแข้งเขานิดเดียว แล้วก้าวทีละก้าวอย่างมั่นคง จนกระทั่งเดินไปถึงตัวของลูกแมวตัวนั้น เมื่อเอื้อมมือพยายามจะเข้าไปอุ้มลูกแมวตัวนั้นขึ้นมา มันก็เกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว


     

    เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงค่อยๆลูบตัวมันอย่างเบามือ ก่อนจะสังเกตเห็นขาซ้ายของมันที่มีแผลอยู่ เขาจึงค่อยๆยกตัวมันแบบไม่ให้โดนแผลขึ้นมากอดไว้ แล้วเดินถอยหลังส่งลูกแมวให้กับเซเรียที่รอรับลูกแมวอยู่


     

    แต่เมื่อเขาเตรียมจะก้าวขึ้นจากเหนือน้ำตามลูกแมวตัวนั้น เขาก็ได้เสียหลักล้มจากตะไคร้น้ำจนหน้าของเขากำลังจะล้มไปที่พื้น ซึ่งมีเศษหินเล็กๆเต็มพื้น แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ถูกหญิงสาวที่กำลังตกใจ ผลักเขาจนหงายหลังตกลงน้ำแทน


     

    “ตู้ม!” สิ้นเสียงของร่างกายกระทบกับน้ำ ก็ทำให้หญิงสาวได้สติขึ้นมาทันที จึงรีบวางลูกแมวในมือก่อนจะพยายามลงไปช่วยเขาอย่างเร่งรีบ จนเทพที่กำลังจะลุกขึ้นจากน้ำในท่านั่งจุ่มพื้นอยู่ ก็รีบเอ่ยห้าม


     

    แต่ก็ไม่ทัน เพราะหญิงสาวที่พยายามจะลงมาก็ลื่นตะไคร้เช่นเดียวกัน ทำให้เธอหงายหน้าลงน้ำอย่างที่ควรจะเป็นตามแรงโน้มถ่วงโลก ซึ่งชายหนุ่มไม่ยอมให้หน้าของหญิงสาวกระแทกพื้นแน่ๆจึงลุกขึ้นไปรับตัวของหญิงสาวเอาไว้ก่อน


     

    “ตู้ม!” แม้จะไม่พ้นน้ำ แต่อย่างน้อยหญิงสาวก็ไม่ต้องบาดเจ็บจากการกระแทกพื้น เพราะเธอตกลงมาบนแขนเขาอย่างพอดิบพอดี เมื่อได้สติเขาก็รีบลุกขึ้น และช่วยพยุงหญิงสาวขึ้นมา


     

    “ฮะฮะฮะ เปียกจนได้นะเนี้ย ยังดีที่ไม่บาดเจ็บนะ” เขากล่าวก่อนจะขึ้นเหนือน้ำอีกครั้งโดยเหยียบพื้นจนมั่นคงแล้วค่อยออกแรงดันตัวเองขึ้นจากน้ำอย่างระมัดระวัง


     

    “ขอโทษนะที่ทำให้นายเปียกซะได้” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้า ทำให้เขาหัวเราะออกมา ก่อนจะยื่มมือมาช่วยเธอที่เปียกโชกไม่ต่างกับเขา ซึ่งเขาก็พึ่งสังเกตเห็นชุดของเธอที่เปียกไปทั้งตัวทำให้มีเงารางๆของชุดชั้นในของเธอ ทำให้เขาหันออกข้าง เพราะไม่ต้องการให้เธออาย


     

    เซเรียที่เห็นเขาหันหลบก็รู้ตัวจึงรีบขึ้นจากน้ำ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาอย่างเร่งรีบ โชคยังดีที่เหมือนว่าน้ำจะเข้ากระเป๋าเธอไม่มากทำให้ข้าวของไม่เสียหาย ส่วนเขาก็ก้มมองนาฬิกาของเขาที่ค่อนข้างทนน้ำแสดงเวลา 11.20 นาฬิกา


     


     


     


     


     

    เวลาเหลืออีก 5 วัน 12 ชั่วโมง 40 นาที

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×