ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #4 : วันที่ 1.3 : ชีวิตธรรมดาที่ควรจะเป็น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6
      3
      13 ม.ค. 66

    วันที่ 1.3 : ชีวิตธรรมดาที่ควรจะเป็น


     


     


     


     


     

    “เฮ้ยโทษทีว่ะ! พอดีบ้านกูมีปัญหานิดหน่อย ซักแปบคงต้องกลับแล้วอ่ะ” คินพูดขณะเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนด้วยสายตาเศร้าๆ หลังจากที่ออกไปคุยโทรศัพท์ จากนั้นพวกเขาจึงพูดคุยเล่นกันเรื่องทั่วไปซักพัก จากนั้นทั้งกลุ่มก็ตัดสินใจเดินเที่ยวกันเล็กน้อย


     

    หลังออกจากห้างสรรพสินค้า กลุ่มเพื่อนก็ได้ออกมาหาอาหารตามสั่งข้างทางทาน จนตกเย็นแล้วจึงได้แยกกลุ่มกัน เช่นเดียวกับสองสาวที่ควรกลับเช่นกัน เนื่องจากดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าเร็วกว่าทุกๆวัน ดังนั้นจึงต้องจบการเที่ยวเล่นไว้แต่เพียงเท่านี้


     

    แล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของแต่ละคน โดยคินเป็นคนขับรถพาทุกคนกลับบ้านด้วยตัวเองจนเกือบครบ แต่เทพนั้นขอลงกลางทาง โดยที่ๆเขาลงมาคือสนามเด็กเล่นไม่ไกลจากบ้านของเขา แล้วก็นั่งเล่นพร้อมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย


     

    “เหนื่อยจริงๆเลยแฮะทั้งที่รู้สึกเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ ฮะฮะ” เทพเอ่ยขณะที่นั่งเหม่อมองพระอาทิตย์ตก บนชิงช้าไม้ที่แกว่งเล็กน้อยจากแรงถีบ แถวสนามเด็กเล่นใกล้ๆบ้านของเขา ซึ่งในตอนนี้มีผู้คนเพียงประปรายเนื่องจากเป็นเวลายามเย็นแล้ว ผู้ปกครองจึงมารับเด็กๆกลับบ้านกันไปเพื่อความปลอดภัย


     

    บรรยากาศตอนนี้จึงเงียบเหงาเป็นอย่างมาก แต่กลับทำให้เขารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงนกร้องยามกลับรัง เขานั่งคิดสิ่งอื่นเรื่อยเปื่อยตามนิสัยปกติ แต่เมื่อนั่งไปซักพักก็ได้เห็นบุคคลที่คุ้นตากำลังปั่นจักรยานผ่านมา


     

    “อ้าว!? ริน!” ชายหนุ่มเอ่ยทักออกไปพร้อมกับยกแขนโบกมือเล็กน้อย ทำให้หญิงสาวหยุดจักรยานแล้วหันหน้ามองหาผู้เรียก ก่อนจะมองเห็นเขาแล้วลงจากจักรยานเพื่อจูงเดินเข้ามาหาเขาแทน เมื่อเขามองไปก็พบข้าวของที่วางในตระกร้าหน้าจักรยาน


     

    “มึงมาทำอะไรแถวนี้วะ? ซื้อของเหรอ? นึกว่ากลับถึงบ้านไปแล้วนะเนี้ย” เทพเอ่ยถาม พร้อมกับมองรินที่กำลังตั้งขาจักรยานไว้ด้านข้าง


     

    “มาซื้อของให้แม่อ่ะ เพราะร้านประจำมันปิดเลยต้องมาซื้ออีกร้าน กูสิต้องถามมึง บ้านช่องไม่รู้จักกลับห้ะ?” รินกล่าวพร้อมทิ้งตัวนั่งลงชิงช้าข้างๆที่ยังว่างอยู่ จนตัวโครงชิงช้าสั่นไปเล็กน้อย ทำให้เทพหลุดหัวเราะออกมา


     

    “อะไรยะ?” รินทำหน้าไม่พอใจพร้อมกับหันมามองด้ายสายตาดุๆแล้วส่งเสียงไม่สบอารมณ์ออกมา


     

    “ไม่มีอะไรหรอกน่า มึงอ่ะคิดมาก” เทพหันมากล่าวพลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะโยกชิงช้าเล่นราวกับเด็กๆ เมื่อรินเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร และโยกชิงช้าเล่นตามชายหนุ่มเบาๆด้วยกันซักพัก


     

    “มึง… ไม่กลัวตายเหรอ?” รินเอ่ยถามขณะนั่งแกว่งชิงช้าเบาๆ เทพได้ยินคำถามก็หยุดแกว่งชิงช้า แล้วหันมาตอบกลับหญิงสาว


     

    “กลัวสิ… ใครๆก็กลัวความตายทั้งนั้นแหละ… แต่กูกลับก็ยังดีใจนะ ที่ยังมีเวลาเหลืออยู่อ่ะ…” เทพกล่าวเบาๆก่อนจะหันหน้ามองตะวันที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว ส่วนรินก็หยุดแกว่งชิงช้าแล้วหันมามองมาทางชายหนุ่ม ก่อนจะถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


     

    “เฮ้อ! กูต้องไปแล้วล่ะนะ มึงก็รีบกลับบ้านล่ะ” รินพูดแล้วลุกขึ้นจากชิงช้า แล้วเดินกลับไปนั่งบนจักรยานคันเดิม ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มที่กลับมานั่งแกว่งชิงช้าอย่างสบายอารมณ์เช่นเดิม


     

    “รู้แล้วน่า มึงก็เหมือนกัน” เทพเอ่ยพลางยิ้มออกมา รินที่ได้ยินดังนั้นก็เพียงแค่หันหน้าหนีก่อนจะปั่นจักรยานออกไป ผ่านไปซักพักเมื่อเห็นรินปั่นห่างออกไปจนสุดสายตา เขาก็ลุกขึ้นบิดร่างกายเล็กน้อย แล้วเดินมุ่งหน้ากลับบ้านของเขาแล้วก็เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย


     



     

    เวลา 19.32 นาฬิกา เป็นเวลาที่ชายหนุ่มเดินกลับมาถึงบ้าน เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้านเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยบริเวณด้านข้างบ้าน ที่เป็นสวนหญ้าเล็กๆไว้สำหรับทานอาหารนอกบ้าน เมื่อได้ยินคนคุยธุระกัน เขาก็ตั้งใจจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว และสนทนาทางออนไลน์กับเพื่อนของเขาต่อ


     

    แต่เมื่อกำลังจะเดินเข้าบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงจากข้างบ้านก็เรียกเอาไว้ก่อน เขาจึงเดินมาทางข้างบ้านแทน และได้พบพ่อของเขา และหมอผู้ตรวจอาการเขาเมื่อวานผู้ซึ่งเป็นเพื่อนรักของพ่อเขาในตอนนี้มีชื่อว่า ‘ซัน’


     

    ซึ่งเขาเป็นชายวัยกลางคนเช่นเดียวกับพ่อของชายหนุ่ม มีผมและดวงตาสีดำสนิท สูงเลยเขาไปเล็กน้อย ผิวค่อนข้างจัดว่าขาวจัด บุคลิคดี แต่งตัวสะอาดสมกับผู้ประกอบอาชีพแพทย์ที่ต้องมีความน่าเชื่อถือ


     

    “สวัสดีครับลุงซัน” เทพเอ่ยถามมารยาท ก่อนจะไปเดินไปนั่งตรงหัวโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยพ่อของเขานั่งทางด้านซ้ายมือ และลุงซันนั่งด้านขวามือ บนโต๊ะมีเพียงดอกไม้สีขาวที่ใส่แจกันใบเล็กๆตกแต่งไว้


     

    “สวัสดีๆ ว่าแต่เทพเป็นไงบ้างดีขึ้นรึยังล่ะ? รู้สึกแปลกๆอะไรรึเปล่า?” เมื่อได้ยินคำถามเขาก็ยิ้มแล้วตอบกลับอย่างสุภาพ


     

    “ไม่เป็นอะไรเลยครับ ผมยังรู้สึกปกติดีทุกอย่างนะครับ” เมื่อได้ยินเทพพูดดังนั้น ลุงซันจึงได้ถามอะไรอีกนิดหน่อย ก่อนจะเล่าถึงรายละเอียดโรคที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ โดยมันมีชื่อโรคว่า ‘โรค Seven Night’ หลังจากนั่งคุยกันมาซักพัก ลุงซันก็มองชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างสมเพชตนเอง จากนั้นจึงกล่าวออกมาต่อ


     

    “ฟังลุงนะเทพ ไม่ใช่ในฐานะของหมอ แต่ให้ฟังในฐานะของลุงคนหนึ่งที่นับเทพเป็นหลานคนนึง ใช้ชีวิตให้เต็มที่ซะนะ!” ลุงซันจับบ่าขวาของเขาเบาๆ และยิ้มให้กับชายหนุ่ม มันทำให้เขาพูดไม่ออกแต่ก็ทำให้ยิ้มออกมาได้จากใจอีกครั้ง


     

    “ขอบคุณมากนะครับ” สิ้นคำเขาก็ขอตัวกลับขึ้นห้องไป


     



     

    “เฮ้อ! อาบน้ำก่อนดีกว่า” เมื่อขึ้นมาบนห้องเขาก็วางข้าวของที่ได้มา แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายจากที่ออกไปเที่ยวมาทั้งวัน เมื่ออาบน้ำจนรู้สึกสะอาดแล้วจึงออกมาแต่งตัวสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นสำหรับอยู่บ้านอย่างง่ายๆ


     

    เมื่อแต่งกายเสร็จเขาก็เดินมาเปิดคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วนั่งลงที่เก้าอี้สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะที่เคยถูกเพื่อนสนิทหลอกให้ซื้อมาเพื่อเล่นเกมกับพวกนั้น ซึ่งมันค่อนข้างนุ่มสบายพอใจเขาเช่นกัน แม้จะรู้ภายหลังว่าถูกหลอกให้ซื้อมา แล้วกดเข้าไปโปรแกรมสนทนาประจำกลุ่มของเขาที่ตอนนี้กำลังมีคนคุยกันอยู่ 3 คน ในห้องสนทนาเสียง เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงสวมหูฟังแล้วกดเข้าร่วมในห้องสนทนา


     

    “ฮัลโหล ทำไรกันวะ?” เมื่อเข้าไปในห้องสนทนาเขาก็เอ่ยทักทายเพื่อนของเขาที่อยู่ในห้องสนทนา โดยในห้องนั้นมีเพื่อนสนิทของเขา เอก และเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคน ชื่อ ‘พล’ กับ ‘ลม’ เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เอกก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเร่งรีบ พร้อมกับเสียงของเพื่อนอีกสองคนที่ดูวุ่นวายพอสมควร


     

    /เทพเหรอ!? แปบนึงพวกกูจะชนะแล้วเดี๋ยวกูมาคุยด้วย ซัก 5… ไม่ดิประมาณ 10 นาที! เอ้อ! มึงจะเล่นป่าว? ทีมแม่งขาดพอดี ไอ้คินซักพักมันก็คงจะมาแล้วแหละมั้ง เชี้ยพล! แม่งมาดักยิงกูตรงพุ่ม! มึงวิ่งไปไหนช่วยกูก่อน! / เสียงที่ตอบกลับมาพร้อมเสียงโวยวาย ทำให้เขารู้ว่าเอก และพวกกำลังเล่นเกมอยู่เขาจึงกล่าวตอบกลับไป


     

    “เอาดิ เดี๋ยวกูมาเล่นด้วย เล่นจบแล้วก็มาเรียกละกัน กูจะออนทิ้งไว้” กล่าวเสร็จเขาก็ออกจากห้องสนทนา แล้วนั่งคิดอะไรแปบนึงก่อนจะกดเข้าเว็บไซต์ที่มีไว้สำหรับค้นหาข้อมูลต่างๆ เมื่อมาถึงหน้าหลักเขาก็กดที่กรอบสำหรับพิมพ์ก่อนจะกดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์เพื่อพิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา


     

    ‘โรค Seven Night’ หรือชื่อโรคอย่างเป็นทางการที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้นั้นเอง เมื่อพิมพ์เสร็จเขาจึงกดค้นหาไป รอแปบนึงก็มีข้อมูลมากมายเด้งขึ้นมาเพื่อให้เขาได้เลือกที่จะเข้าไปอ่าน เมื่อชายหนุ่มเลื่อนดูแต่ละหัวข้อของโรคนี้ไปเรื่อยๆ


     

    จากนั้นจึงตัดสินใจกดเข้าไปในเว็บที่ได้รับรองจากแพทย์เว็บหนึ่ง และดูจะใหม่ล่าสุดแล้วเนื่องจากพึ่งถูกอัพเดทไปเมื่อประมาณ 2 วันที่แล้ว เมื่อเข้ามารอซักพักก็มีข้อมูลต่างๆเป็นข้อๆปรากฎขึ้นมาให้เขาได้อ่านเป็นข้อๆไป


     

    ‘โรค Seven Night หรือ โรคเจ็ดราตรี เป็นโรคประหลาดที่ถูกพบครั้งแรกเมื่อ 10 เดือนก่อน โดยถูกค้นพบครั้งแรกในฝั่งตะวันออก มันเป็นโรคที่ไม่มีวิธีการรักษา แต่ก็ไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาก่อนที่อาการจะกำเริบจนรู้ตัวอีกทีก็มีเวลาชีวิตเหลืออีกเพียง 7 วันเท่านั้น


     

    ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้นั้น ส่วนมากอยู่ในวัยรุ่นถึงวัยกลางคน และนอกจากอาการที่เกิดจากการกำเริบของโรค ก็จะไม่มีอาการใดๆระหว่างที่เป็นโรคนี้อีก ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่าง เนื่องด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้ยากที่จะสันนิฐานว่าเป็นเพราะเชื้ออะไร


     

    ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ แม้จะไม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลดลงเช่นกัน ทำให้เป็นหนึ่งในโรคที่ทางแพทย์ต่างก็เร่งมือวิจัย และรักษาโรคนี้ให้สำเร็จ…’


     

    หลังจากอ่านข้อมูลแต่ละอันเขาก็ย่อยใจความสำคัญออกมาได้ประมาณนี้ เมื่อสรุปในใจเสร็จชายหนุ่มก็เอนตัวลงไปกับเก้าอี้ของเขาก่อนจะปิดตาลงแล้วนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้ยินเสียงจากห้องแชทเด้ง เขาจึงลุกขึ้นมา แล้วกดเข้าร่วมห้องสนทนาอีกครั้ง


     

    “เล่นกันเสร็จแล้วเหรอ?” เขาเอ่ยถาม เมื่อมาถึงเขาก็เห็นปิ่นร่วมอยู่ในห้องด้วย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงของหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของเขา หรือลมนั้นเองที่เป็นคนที่ตอบคำถามของเขา


     

    /อ่าห้ะ พอดีไอ้เอกมันไปเข้าห้องน้ำมันเลยฝากเรียกมึงมาด้วย มึงเข้าเกมยัง? ห้องเลข LA2793 นะเว้ย/ เมื่อได้ยินเขาจึงกดเข้าเกมของเขา และรับของรางวัลล็อกอินจนครบแล้วกรอกเลขห้องเพื่อเข้าร่วมห้องเตรียมตัว เมื่อเข้ามาแล้ว เขาก็พบว่ามีอีก 4 คนรออยู่แล้ว สองคนคือเพื่อนร่วมชั้นเขา อีกหนึ่งคือไอดีของเอก แต่อีกคนที่เขารู้สึกงงนิดหน่อยคือไอดีของใครซักคน


     

    “อีกคนนี้ใครวะ?” เขาถามออกมา ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงของเอกหลังจากที่ไปทำธุระมาพอดี


     

    /อีกคนก็ปิ่นไง เห็นมันบอกว่างๆเลยชวนมาเล่นด้วยซะเลย เพราะวันนี้ไอ้คินมันไม่น่าจะได้เล่นแล้วว่ะ มันแชทมาบอกเมื่อกี้ ปิ่นเงียบจังวะ… เชี้ย! ใครไปปิดไมค์มันวะ!?/ จบคำของเอกได้แค่แปบเดียว เขาก็ได้ยินเสียงโวยวายตามมาจนต้องหรี่เสียงหูฟังลง


     

    /ก็ว่าอยู่! ทำไมไม่มีใครฟังที่กูพูดเลย!/ เสียงของปิ่นพูดขึ้นมาอย่าง เคืองๆ ส่วนเพื่อนอีกสองครั้งนั้นต่างก็หัวเราะอย่างสนุกสนานระหว่างที่ฟังปิ่นบ่นอย่างไม่สำนึก เช่นเดียวกับเทพ และเอกที่มาทีหลังแต่ก็หัวเราะให้กับปิ่นที่โดนแกล้ง


     

    /ฮ่าฮ่าฮ่า! เออๆช่างมันก่อน กูกดเริ่มเกมล่ะนะ!/ เมื่อเอกพูดจบก็กดเริ่มจับคู่เพื่อหาคนมาแข่งด้วย หลังจากนั้นพวกเขา 5 คนก็เล่นเกมไปเรื่อยๆ โดยตอนแรกนั้นค่อนข้างที่จะเล่นกันลำบากเนื่องจากปิ่นนั้นเป็นมือใหม่แกะกล่อง


     

    ส่วนพวกเขานั้นเล่นเกมนี้มาค่อนข้างนานทำให้มีระดับสูงพอสมควร จึงทำให้รูปเกมลำบากกว่าอีกฝั่งที่มีผู้เล่นระดับเท่าเขาทุกคน เพราะนี้เป็นเกมที่ต้องอาศัยผู้เล่ยฝ่ายเดียวกันทุกคนในการสู้ ทำให้รูปเกมนั้นลำบากพอตัว


     

    แต่ก็ยังสามารถประคองให้ชนะได้จากการช่วยเหลือของเขาอีก 4 คน และจากการที่พบ Toxic Player หรือผู้เล่นมารยาทแย่ในอีกฝั่งค่อนข้างบ่อยจึงทำให้เล่นไม่ลำบากมาก แต่ตัวของเทพนั้นรู้สึกผ่อนคลายลง จากการเล่นเกมกับเพื่อนของเขา แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม


     

    หลังๆก็เริ่มเล่นกันดีขึ้นเพราะปิ่นได้เรียนรู้เทคนิค และรูปแบบการเล่นมาจากพวกเขา ทำให้เริ่มตามเกมทัน และสุดท้ายกลายเป็นว่าปิ่นเล่นเก่งเกือบเท่ากับพวกเขาไปเสียแล้ว มันทำให้อดทึ่งไม่ได้เลย ซึ่งในระหว่างที่เล่น รินก็ได้เข้ามาคุยเล่นในห้องสนทนาด้วย ทำให้การเล่นนี้ดูสนุกสนานและมีสีสันมากขึ้น


     

    “เฮ้อ! พอยังวะ? กูว่าประมาณนี้ก็พอมั้ง เดี๋ยวปิ่นมันจะปวดหัวเอา เรียนรู้อะไรเยอะไปทีเดียวก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอก” เทพกล่าว ทั้งกลุ่มก็หยุดการเล่นกันก่อน และแยกย้ายกันไปนอน เช่นเดียวกับเทพที่กดออกโปรแกรมสนทนา แล้วปิดคอมพิวเตอร์ของเขา จากนั้นจึงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย


     

    ก่อนจะออกจากห้องลงมาหาเครื่องดื่มแก้กระหายที่ห้องครัว ซึ่งดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะหลับไปแล้วเขาจึงทำทุกอย่างด้วยเสียงเบาๆ แล้วจึงกลับขึ้นห้องไปทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย ก่อนจะมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงที่แสดงเวลา 23.45 นาฬิกาแล้ว


     

    เมื่อเห็นเวลาเขาจึงเดินไปปิดไฟห้องของเขา จากนั้นจึงเดินมานอนบนเตียงของเขาอย่างเคยชิน แล้วจึงคิดอะไรเล็กน้อยตามนิสัยแล้วจึงค่อยๆหลับไปด้วยความเหนื่อย…


     


     


     


     


     

    เหลือเวลาอีก 6 วัน 0 ชั่วโมง 12 นาที

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×