ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #2 : วันที่ 1.1 : ชีวิตที่ได้รับโชคชะตาลิขิต

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 66


    วันที่ 1.1 : ชีวิตที่ได้รับโชคชะตาลิขิต


     


     


     


     


     

    “อึก อืม…” เด็กหนุ่มคนเดิมส่งเสียงร้องออกมา เมื่อลืมตาตื่นขึ้น แล้วเหยียดกายอย่างปวดเมื่อย มองไปที่นาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 6.22 นาฬิกา แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า ‘เทพ’ เป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 ปี ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผมสีน้ำตาลเช่นกัน สูง 170 เซนติเมตร รูปร่างดี ผิวขาว จัดว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมาก


     

    เทพเป็นเด็กหนุ่มที่มีพร้อมทุกอย่างตั้งแต่เกิด แต่กลับต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปตั้งแต่อายุได้เพียง 5 ขวบ ตัวของเขาเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เทพเป็นคนพูดน้อย จึงมีเพื่อนสนิทเพียง 4 คน คือ คิน, เอก, ปิ่น และริน โดยที่พวกเขาทั้ง 5 เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่ม.ต้น


     

    เทพอาศัยอยู่กับพ่อที่เป็นนักธุรกิจสองคน ในบ้านหลังเก่าของเขา ชีวิตของเขานั้นมีความสุขดี จนกระทั่งมาถึงเมื่อวานนี้ มันทำให้ชีวิตเขาจะต้องเปลี่ยนไป เขาคิดแล้วก็ฟุบหน้าลงบนหมอนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ด้วยเสื้อยืดสีขาวล้วน และกางเกงขายาวสีดำ


     

    จากนั้นจึงมองไปที่นาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอลสีดำ-ทองที่วางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจใส่ไปด้วย เสร็จแล้วจึงหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาที่ลืมชาตแบตไว้ข้างๆ เนื่องจากกลับมาถึงบ้านเขาก็ล้มตัวนอนไปทันที แต่ก็ยังพอมีแบตเตอรี่ประมาณ 50% เมื่อไม่มีอะไรแล้วจึงเดินลงไปยังชั้นล่าง ก็พบกับผู้เป็นพ่อกำลังนั่งคุยโทรศัพท์บนโซฟา


     

    “ตื่นแล้วเหรอเทพ… อ่า แปบนะ... เป็นยังไงบ้าง? มีอะไรที่ไม่สบายรึเปล่า?” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามขณะที่มองมายังเขา พ่อของเขาชื่อว่า ‘ทอย’ มีสีผมและดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกันกับเขา สวมแว่นสายตาสีขาวอ่อน สูงราว 180 ผิวขาวรูปร่างสมส่วน ซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดมาดนักธุรกิจ


     

    เมื่อเขาได้ยินก็เพียงยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะขออนุญาตออกไปเดินเล่นด้านนอก เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงปิดวันหยุดยาวพอดี เมื่อเขาเดินออกมาก็พบกับผู้คนที่เดินออกมาจับจ่ายใช้สอย เขามองผู้คนที่ทำกิจวัตรประจำวัน


     

    เทพมองแล้วก็เกิดความรู้สึกมากมายขณะที่มองดูพวกเขา ผู้คนที่ออกมาแต่เช้าเพื่อใช้ชีวิต หลายคนต้องตื่นขึ้นเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว หลายคนต้องตื่นขึ้นมาเพื่ออะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องทำ เขาเดินเล่นขณะที่ยังมองผู้คนไปด้วย


     



     

    เมื่อเดินมาซักพักก็มาถึงสวนสาธารณะ หลังจากเขาเดินไปเรื่อยๆ เขาจึงตัดสินใจเดินไปนั่งพักตรงม้านั่งในสวนใกล้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อนั่งลงเขาก็เริ่มมองเห็นผู้คนที่เริ่มตื่น และออกจากบ้านมากันแล้ว ไม่ว่าจะคนที่ออกมาวิ่งออกกำลังกาย คนที่ออกพาสุนัขมาเดินเล่น หรือมาปิกนิกกัน มีบางคนที่ทักทายเขาบ้าง เขาก็ยิ้มทักทายตอบคนเหล่านั้น


     

    ไม่รู้ว่าผ่านมานานเพียงใด ที่เขานั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบใจ จนซักพักก็มีเสียงริงโทนโทรศัพท์เขาดังขึ้นมา นั้นทำให้เขาดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วก้มไปดูรายชื่อ ปรากฎว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนของเขา เขาจึงกดรับสาย แล้วในตอนนั้นก็มีเสียงดังมาจากอีกฝั่งจนเขาต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู


     

    /เทพ! มึงอยู่ที่ไหน! ตอบมาเดี๋ยวนี้!/ เสียงจากปลายสายมันทำให้รู้ว่าอีกฝั่งมีอารมณ์โกรธอย่างมาก ไม่เพียงแค่นั้น เขายังได้ยินเสียงของเพื่อนอีกสามคนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


     

    /เทพกูว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันนะ! / / ใช่! ตอนนี้พวกกูอยู่ที่บ้านมึงนะ! ตอนนี้มึงอยู่ที่่ไหน?/ เสียงของคนอื่นก็เริ่มดังออกมา น้ำเสียงที่ฟังดูโกรธ แต่กลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย


     

    สิ่งนั้นมันทำให้เขายิ้มออก ก่อนที่จะบอกไปว่าอยู่ที่สวนใกล้บ้านเขา จากนั้นจึงได้ยินเสียงดุจากบรรดาพ้องเพื่อนๆเขา แล้วถูกกำชับว่าห้ามไปไหน แล้วกดวางสายไป มันทำให้เขาหัวเราะอย่างแผ่วเบา


     

    “ฮะฮะ… เจ้าพวกบ้านั่น…” เขาคิดแล้วจึงดูเวลาปรากฎว่าเป็นเวลาเกือบ 10 นาฬิกาแล้ว จากนั้นเขาก็ยังคงนั่งอยู่แบบนั้น แต่ในตอนนั้นเขาก็พบกับแมวตัวขาวทั้งตัว ตาสีฟ้าสวย และมีปลอกคอที่เป็นกระดิ่งสีทอง เดินเข้ามาคลอเคลียบริเวณขาของเขา เขาแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะอุ้มมันขึ้นมา


     

    “หลงมาจากไหนเนี่ย? หือ! เจ้าแมวน้อย” เขาเอ่ย แล้วมองมันอย่างเอ็นดู มันเพียงร้อง ‘เมี้ยว’ ตอบเขา ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ เขาวางมันไว้ข้างๆตัว แต่มันก็เดินมาม้วนตัวนอนลงบนตักของเขาอย่างน่ารัก มันทำให้เขารู้สึกเอ็นดูมันมากกว่าเดิม


     

    “ฟาล!” ในตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งตะโกนออกมา เด็กสาวคนนั้นเดินเข้ามาหาเขาขณะที่กำลังหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ที่ตอนนี้เธอกำลังก้มตัวขอโทษเขา


     

    “ขอโทษนะ! ที่ฟาลมากวนนาย” เธอกล่าว มันทำเขานึกไปว่า นี้คงเป็นแมวของเธอ เขาจึงโบกมือเล็กๆอย่างไม่ใส่ใจ แล้วอุ้มเจ้าฟาลให้แก่เด็กสาวตรงหน้า นั้นทำให้เธอดูดีใจอย่างมาก แล้วกล่าวขอบคุณเขาที่ดูแลเจ้าแมวตัวแสบให้


     

    เธอเป็นเด็กสาวอายุไล่เรี่ยกับเขา ผิวขาวอมชมพู ผมสีเงินยาวสลวยยาวจนถึงเอว ดวงตาสีทองสดใส หน้าตาเหมือนกับชาวต่างชาติ แต่ดันพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนเสียอย่างนั้น ส่วนสูงราวๆ 160 หรือสูงกว่านั้นเล็กน้อย ในส่วนของหน้าอกเขาไม่กล้ามอง เนื่องจากพบกันเป็นครั้งแรก แต่รูปร่างสมส่วนดูกระทัดรัดดูน่ารัก มันทำให้เขารู้สึกแปลกตา เพราะไม่เคยเห็นเธอคนนี้บริเวณนี้มาก่อน จึงเอ่ยถามไป


     

    “เธอพึ่งย้ายมาเหรอ?” เขาถามออกไป เด็กสาวเพียงพยักหน้า แล้วเอ่ยเรื่องของตนออกมา


     

    “ใช่! พอดีต้องย้ายตามแม่มา… อ้ะ! โทษทีนะต้องไปแล้ว ฉันชื่อ ‘เซเรีย’ ไว้พบกันใหม่นะ!” เธอเอ่ยขณะที่มองนาฬิกาในมืออย่างร้อนรน ก่อนที่จะขอตัวลาไปก่อนพร้อมกับกอดแมวของเธอไว้ เขาจึงตะโกนแนะนำตัวเองตามหลังเธอไป


     

    “ผมชื่อ ‘เทพ’ นะ!” เขาเอ่ย เธอเพียงหันมายิ้มแล้วโบกมือให้เขา ขณะที่กอดเจ้าฟาลอยู่ จนเธอวิ่งหายไปลับสายตา…


     



     

    “แฮ่กๆ… อยู่นี่เอง!” ไม่นานจากนั้นเด็กหนุ่มผิวแทน ผมและตาสีดำ สวมเสื้อผ้าสีทึบ กางเกงยีนส์สูงกว่ากับเขานิดหน่อย คนหนึ่งเดินมาทางเขา เขาเห็นชายหนุ่มคนนั้นก็ยกมือขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยทักทาย


     

    “ไง” สิ้นเสียงของเขาก็มีฝ่ามือลอยมาทางหน้าเขา แต่เขาจับเอาไว้ก่อน ทำให้ฝ่ามือนั้นไม่อาจเข้ามาประชิดตัวเขาได้ ไม่นานนักเพื่อนคนอื่นๆของเขา ก็เดินเข้ามาสมทบ ชายหนุ่มผิวแทนที่เป็นเจ้าของฝ่ามือกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด


     

    “ไงป้ามึงดิ! ไม่บอกวะว่าอยู่ด้านในสวน! พวกกูก็หาแถวนอกกันไปเถอะ! ไอ้หอกงอเอ้ย!” ชายหนุ่มผิวแทนร้องออกมา พร้อมกับเหงื่อที่เริ่มไหล นั้นแสดงให้เห็นว่าเขาวิ่งหาเขาจากด้านนอกสวนจนทั่วจริงๆ


     

    ซักพักก็มีชายหนุ่มหน้าตากวนอารมณ์ ผิวขาวซีดผมแดงเข้ม ดวงตาสีดำ สูงพอๆกันกับเขาและชายผิวแทน สวมชุดสบายๆ กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม กำลังเดินมาพร้อมกับหัวเราะใส่ชายหนุ่มผิวแทน และเดินมาตบบ่าของเขาชายผิวแทนเบาๆ


     

    “คิกคิก! ฮะฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เอาน่า ‘คิน’ อย่าไปว่าเทพสิ มันก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยู่ด้านนอก มึงโง่เองตั้งหากที่วิ่งหาจนเหงื่อท่วมแบบนี้ ฮะฮ่าฮ่าฮ่า!” ถึงกระนั้นชายหนุ่มนามว่าคินก็ยังคงทำหน้าบูดบึ้งอย่างไม่ลดละพร้อมกับเดาะลิ้นเพราะอารมณ์เสีย จนหญิงสาวอีกคนหนึ่งรีบเดินมาช่วยพูดให้


     

    “น่าๆ ‘เอก’ ก็เหมือนกัน อย่าไปรังแกคินมันมากเลย พวกเราก็รู้ดีว่าสติสตังมันอยู่ในระดับไหน” เธอเอ่ยแก่ชายหนุ่มนามว่าเอก จนเอกต้องเผลอหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ผิวขาว ผมสีดำยาวถึงไหล่ ตาสีน้ำตาล ส่วนสูงประมาณ 165 หรือต่ำกว่า ส่วนหน้าอกประมาณคัพ C จนเธอนั้นก็เผลอหัวเราะร่วมด้วยกันอีกรอบ


     

    “หยุดเลยนะ! ‘ริน’ มึงก็หยุดเลย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว เรายังมีเรื่องต้องทำอีกนะ” หญิงสาวอีกคนเอ่ยขึ้นมาห้ามทัพ เธอชื่อว่า ‘ปิ่น’ เป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักอีกคน ผิวขาวใส ผมสีน้ำตาลยาวเลยต้นคอไปเล็กน้อย ตาสีฟ้าใส สูงประมาณ 160 นิดๆ หน้าอกนั้นใหญ่ถึงประมาณคัพ D เลยทีเดียว


     

    เมื่อสิ้นคำกล่าวของปิ่น ทั้งหมดก็พร้อมใจหันมามองตัวของเทพที่ตอนนี้กำลังนั่งมองพวกเขาที่ทะเลาะกันอย่างชิลๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องของเขา ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดาย


     

    “อ้าว!? จบแล้วเหรอ? กำลังสนุกเลย” เขาเอ่ยแล้วยิ้มกวนๆ จนทำให้ปิ่นที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดทำการเขกหัวเขาเบาๆ ก่อนที่รินจะเป็นคนเอ่ยออกมา


     

    “มันเพราะมึงนั่นแหละ! นี้ถ้าคุณลุงไม่ได้โทรมาบอกพวกกู พวกกูจะรู้มั้ย? ว่ามึงป่วยอ่ะ!” เธอเอ่ยขณะที่มองเขา เขาเพียงหัวเราะแห้งๆ แล้วลุกขึ้นเหยียดตัว ก่อนจะกล่าวออกมา


     

    “ถึงไม่บอกพวกมึงก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่ เพื่อนกูเก่งซะอย่าง” เขาเอ่ยขณะที่ยกยอไปด้วย มันทำให้คินแทบต้องตอบขัดขึ้นมาในทันที


     

    “ถุย! เก่งบ้าบออะไรห้ะ!? คิดว่ากูฉลาดขนาดนั้นเลยรึไง?” คินเอ่ยอย่างสงสัย ก่อนที่เอกจะตบบ่าคินเบาๆ แล้วกล่าวอีกครั้ง


     

    “ก็ทุกคนนอกจากมึงไงคิน คิกคิกคิก!” เอกเอ่ยขณะที่กำลังเอามือปิดปากกลั้นขำเต็มที่ จนทำให้คินแทบจะกระโดดเตะเจ้าเพื่อนตัวดี หากรินไม่ห้ามไว้เสียก่อน นั้นทำให้เทพหัวเราะออกมาจนรู้สึกโล่งใจ


     

    “แล้วตอนนี้เป็นมึงยังไงบ้าง?” ปิ่นหันมาถามเขา เขาเพียงยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ แล้วจึงตอบกลับ


     

    “ไม่ล่ะ รู้สึกปกติทุกอย่างเลยล่ะนะ” เขาเอ่ย มันทำให้เพื่อนอีก 3 คนที่ฟังอยู่โล่งใจ และแต่ก่อนที่จะได้มีใครพูดอะไรต่อ คินก็เป็นคนเอ่ยออกมาเป็นคนแรก ด้วยเสียงร่าเริง


     

    “มาๆไหนๆก็ไหนๆละ อุตส่ามารวมตัวกันทั้งที วันนี้ไปกินหมูทะกัน กูเลี้ยง!” คินเอ่ย มันทำให้คนทั้งกลุ่มร้องเฮออกมา เทพก็เช่นกัน ก่อนที่เอกจะเอ่ยโปรยๆออกมา


     

    “เฮอะ! เบื่อพวกลูกคนรวยโว้ย!” เอกเอ่ยแซวตามความเคยชิน ทำให้คนอื่นๆหัวเราะ โดยเฉพาะคิน เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมดาที่หยอกล้อกันในกลุ่ม ทำให้คินไม่ได้โกรธเคืองอะไรเพื่อนสนิทคนนี้ จากนั้นเทพก็เป็นคนที่เอ่ยทักออกมา


     

    “แต่เล่นแดกหมูทะแต่หัววันนี้มันใช่เหรอวะ?” เขาเอ่ย แต่รินก็โบกมืออย่างแรง พร้อมกับเอ่ยออกมา


     

    “ไม่เป็นไรน่า! มีเสี่ยเลี้ยงแล้วต้องเอาให้สุดสิยะ!” รินเอ่ยขณะที่ยิ้มกว้าง แล้วชูสองนิ้ว จากนั้นทั้ง 5 คนก็มุ่งหน้าไปร้านประจำของพวกเขาด้วยความหิวโหย(?)


     



     

    “พี่ๆ! เอาหมูสไลด์อีก 5 จานพี่! ขอสไปรท์เพิ่มด้วยอีก 2 ขวดครับ!” เอกเอ่ยขณะที่แย่งคีบหมูออกมาจากเตาแย่งกับริน ส่วนปิ่น…


     

    “พี่คะ! เอาหมูไขมันแบบพิเศษอีก 3 จาน! หมูสามชั้น 4 จาน! แล้วก็ขอชุดใหญ่อีก 2 นะคะ! เต้าหู้อีก 2 ถ้วย! แล้วก็…” เธอสั่งชนิดที่ว่าแม้แต่พนักงานยังจดแทบไม่ทัน จนปากกาหมึกหมดไปแล้วนับด้าม


     

    ส่วนคินนั่งหลบมุมไปตั้งแต่ที่เห็นปิ่นเริ่มสั่งแล้ว พร้อมกับทำเสียงว่า ‘เงินบินไปแล้ว’ เทพจึงพยายามคีบหมูมาให้ถ้วยใบเล็กๆของเขา ทำให้มันแทบจะก้มกราบบูชาตัวเทพให้สมกับชื่อเทพเลยทีเดียว


     

    “ไว้ผมจะถวายหัวหมูไปให้นะครับ!” คินเอ่ย มันทำให้คนในคณะหัวเราะกันรวน จนเขาต้องตะโกนตบมุก


     

    “กูชื่อเทพแต่ไม่ใช่เทพเว้ย!” เขาตะโกนออกมา ขณะที่ยิ้ม และหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง จนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบๆบ่ายโมง และอาหารกว่า 80% ร่วมของที่พวกเอกสั่งด้วยนั้นอยู่ในกระเพาะของสองสาวที่ยิ้มอย่างชื่นบานกันอยู่ มันทำให้พวกผมอึ้งไปเลย


     

    แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกมาจากร้านหมูกระทะดีๆ รินก็ได้ลากพวกเขาไปทานไอศกรีมต่อ มันทำให้เอกที่ฝืนตัวกินแข่งกับริน รู้สึกคลื่นไส้แทบจะอ้วกเลยทีเดียว เอกนั้นเอ่ยออกมาอย่างหมดมาดในระหว่างทางที่โดนลากมา


     

    “กระเพาะผู้หญิงมันช่างน่าพิศวง…” ซึ่งมีสภาพเช่นเดียวกับคินที่นั่งอาลัยตายอยากอยู่ พร้อมกับพึมพำอย่างหดหู่


     

    “เงินกูเดือนนี้… ไปซะแล้ว…” และหน้าที่แบกทั้งสองคนที่จะทำแม้แต่ยืนไม่ไหวก็คือเทพนั้นเอง แม้มันจะวุ่นวาย แต่เขากลับยิ้มอย่างมีความสุขออกมาได้


     

    “เทพมาเร็ว! มีโปรโมชั่นด้วยล่ะ!” รินเอ่ย ขณะที่ปิ่นนั้นจ้องไอสกรีมอย่างไม่หยุดด้วยแววตาเป็นประกาย และน้ำลายที่เริ่มไหลออกมา ส่วนสองหนุ่มที่ได้ยอนว่ามีโปรโมชั่นก็…


     

    “โปรโมชั่น!? (คิน : ไม่นะ! เงินกู!) (เอก : ไม่นะ! ท้องกู!)” แม้จะเป็นคำเดียวกัน แต่คนละความหมายเสียอย่างนั้น เทพหัวเราะสีหน้าของทั้งสองคนที่ซีดลงเรื่อยๆ ก่อนจะตะโกนกลับไป


     

    “กำลังไป!” เมื่อเอ่ยจบเขาก็รีบวิ่ง และลากอีกสองหน่อตามสองสาวไป จนทำให้ทั้งสองหนุ่มดังกล่าวหน้าซีดลงอีก จนเขาอดที่จะหัวเราะอีกครั้งไม่ได้…


     


     


     


     


     

    เหลือเวลาอีก 6 วัน 12 ชั่วโมง 0 นาที

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×