ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #11 : วันที่ 4.1 : ไม่มีปัญหาก็ลองเที่ยวบ้างสิ

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 66


    วันที่ 4.1 : ไม่มีปัญหาก็ลองเที่ยวบ้างสิ


     


     


     


     


     

    “เมื่อยไปทั้งตัวเลยแฮะ…” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเอง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรด จากนั้นจึงเอนตัวลงนอนเพื่อผ่อนคลายในห้องของตัวเอง แล้วจึงหลับตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


     

    ขณะนี้เวลา 00.12 นาฬิกาแล้ว หลังจากพบเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงจากบรรดากลุ่มเพื่อน ตอนนี้ก็ล่วงเลยผ่านไปประมาณ 3-4 ชั่วโมงแล้ว หลังจากพวกเขาเสร็จจากการละเล่นดอกไม้ไฟ พวกเขาก็ช่วยกันเก็บข้าวของในที่ดิน แล้วก็มีการพูดคุยอะไรกันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกัน


     

    แต่ก่อนกลับก็ไม่วายถูกล้อจากสองหนุ่มเพื่อนรักคิน และเอก เนื่องจากระหว่างที่พวกเขากำลังเล่นดอกไม้ไฟ ก็มีหลายเหตุการณ์ชวนให้ดูโรแมนติก ที่ทำให้เขาต้องเกี่ยวข้องกับเซเรียอย่างช่วยไม่ได้ แม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตามที มันจึงทำให้ทั้งคู่ก็เขินอายกันเล็กน้อย


     

    แต่ถึงอย่างนั้นงานเล็กๆก็จบลงไปได้ด้วยดี แล้วทุกคนจึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งก่อนกลับชายหนุ่มก็แวะซื้อของเข้าบ้านเล็กน้อย กว่าจะได้เข้าบ้านก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว หลังเก็บของที่ซื้อมาเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ได้เดินกลับขึ้นห้องมานอนหมดแรงบนเก้าอี้จนถึงตอนนี้


     

    “หื้ม?” ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงรถที่คุ้นเคยกำลังใกล้ๆ


     

    เมื่อได้ยินเสียงนั้นเขาจึงลุกขึ้นไปเปิดผ้าตรงหน้าต่างเพื่อสำรวจภายนอกดู ก็พบกับพ่อของเขากำลังหอบข้าวของลงจากรถจากโรงจอดรถ เห็นดังนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องลงไปยังชั้นล่างเพื่อช่วยเหลือพ่อของเขา


     

    “พ่อครับ ผมช่วยเอง” ทันทีที่ลงมาถึง ชายหนุ่มก็รีบกล่าวเสนอตัว แล้วยื่นมือมารับช่วงต่อของในมือ ผู้เป็นพ่อ หรือทอย เห็นจึงมอบของในมือให้ เสร็จแล้วจึงหันกลับไปจัดการข้าวของอีกเล็กน้อยในรถ แล้วออกมาพร้อมของที่เหลือ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเข้าบ้านด้วยกันอย่างไม่รีบร้อน


     

    “ของอะไรอ่ะครับพ่อ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะมองกล่องมากมายบนโต๊ะ ซึ่งถูกวางไว้ไม่เป็นระเบียบนัก ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อที่ได้ยินก็เอ่ยตอบ ขณะเปิดกล่องด้วยกรรไกรไปในเวลาเดียวกัน


     

    “ของจากญาติๆนั่นแหละ หลังจากที่รู้ว่าลูกป่วยน่ะ” พ่อของชายหนุ่มเอ่ย พร้อมแสดงสีหน้าเศร้าเล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยถามต่อ


     

    “หื้ม? พ่อกลับบ้านมาเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะโดยปกตินั้น สองพ่อลูกจะใช้ชีวิตโดยไม่เกี่ยวข้องกับญาติๆมากนัก นอกจากวันรวมญาติที่นานครั้ง หรือไม่ก็ตอนมีงานฉลองอะไรเกี่ยวกับคนในครอบครัว


     

    เนื่องจากพวกเขาอยู่กับแบบพอประมาณไม่ระรานใคร พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปร้องขออะไรใคร เช่นเดียวกับญาติคนอื่นที่ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขาสองพ่อลูก โดยอีกเหตุผลก็เพราะว่ารู้สถานะการเงินกันและกันดี จึงไม่มีใครต้องการเพิ่มความลำบากให้ญาติ และตัวเอง


     

    “ใช่ พ่อแวะไปหาปู่มา แล้วดันมีลุงๆป้าๆของลูกมาเยี่ยมปู่ด้วย ทำให้พวกพ่อนั่งคุยอะไรกันนิดหน่อยเรื่องลูก แล้วจากนั้นพวกปู่ก็ให้ของมานิดหน่อยน่ะ” ชายวัยกลางคนว่าแล้วก็เปิดกล่องในมือออก แล้วค้นของในกล่องก่อนจะยกขึ้นมา แล้วยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้าดู


     

    “อะไรเนี้ย? บอล? ฮะฮะ ยังอยู่อีกเหรอ นึกว่าแตกไปแล้ว” ของในมือของเขาคือลูกบอลสีขาว-ดำ ซึ่งสภาพเก่าจนเหมือนพังไปแล้วครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มจำได้ว่ามันคือบอลที่เขาเคยเล่นกับเพื่อนข้างบ้านสมัยเด็กเมื่อนานมาแล้ว


     

    “ตอนแรกพ่อกะพาลูกไปหาปู่ด้วย แต่ปู่แกบอกให้ลูกใช้ชึวิตแบบที่ต้องการไปเถอะ หึ ตอนปู่ลูกพูดถึงคำพูดจะดูดี แต่ก็ยังแอบเศร้าๆในใจนั่นแหละ” ชายผู้เป็นพ่อเอ่ย แล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามามองลูกชายของตัวเอง


     

    “ลูกโตขนาดนี้แล้วสินะ ไม่ทันมองดูแปบเดียวเอง…” ชายวัยกลางคนว่าแล้วก็ยิ้มให้เล็กๆ ก่อนจะก้มหน้าแกะกล่องที่เหลือต่ออย่างเงียบๆ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูก ก็ได้หากรรไกรมาช่วยด้วยอีกแรง


     



     

    “พอก่อนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาแกะต่อ” เสียงเอ่ยจากชายกลางคนคนเดิมบอกแก่ลูกชาย หลังผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังจัดการกล่องทั้งหมดไม่ได้ และตอนนี้เริ่มดึกมากแล้ว จึงคิดจะกลับห้องไปเพื่อพักผ่อน


     

    หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็เก็บกล่องที่เหลือไว้ให้เย้าที่ และข้าวของต่างๆไว้ไม่ห่างกัน เก็บเศษกล่องที่เปิดแล้วรวมกันไว้ที่หนึ่ง แล้วทั้งคู่จึงแยกกันไปอาบน้ำ ก่อนจะเข้าห้องเพื่อพักผ่อนร่างกาย


     

    ทางด้านชายหนุ่ม หรือเทพ เมื่อเข้ามาในห้องของตัวเอง ก็เปิดโทรศัพท์เพื่อเช็คแจ้งเตือน ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกดขอเพิ่มเพื่อนมา เมื่อเขากดดูก็พบว่าเป็นหญิงสาวคุ้นหน้าอย่างเซเรียนั่นเอง


     

    “แอดมาตอนไหนหว่า ไม่ทันเห็นแฮะ แต่ก็ช่างเถอะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็กดรับคำขอ ก่อนที่จะเปิดหาอะไรดูอีกนิดหน่อย แล้วจึงค่อยเข้าไปคุยในกลุ่มสนทนาของเขาและเพื่อน ซึ่งกำลังคุยกันอยู่ แม้จะเป็นเวลาตีสองกว่าแล้วก็ตามที


     

    แม้ใจอยากจะเข้าไปร่วมสนทนาแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่าร่างกายเขาจะล้าเกินไป เขาจึงตัดสินใจเขียนบอกฝันดีทุกคนในกลุ่ม ก่อนจะปิดโทรศัพท์ แล้วปิดไฟห้อง เพื่อเข้านอนพักผ่อนร่างกาย


     



     

    แดดยามเช้าที่ส่องเข้าห้องมา เป็นสัญญาณอันดีเยี่ยมที่บ่งบอกว่ายามอรุณมาถึงแล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มซึ่งนอนบนเตียงก็ค่อยๆลุกขึ้นด้วยอาการง่วงค้างเล็กๆ ก่อนจะลุกจากเตียงเพื่อไปทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ


     

    “ตื่นสายนิดหน่อยแฮะ” ชายหนุ่มเอ่ยขณะมองนาฬิกาซึ่งกำลังแสดงเวลาเป็น 9.21 นาฬิกาอยู่ เห็นเช่นนั้นเขาจึงรีบใส่เสื้อให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมาหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย แล้วเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรทานยามเช้า


     

    “ลูกมาพอดีเลย” ในตอนที่เดินลงมาก็พบกับพ่อของเขากำลังนั่งอยู่ที่โซฟาเช่นเดิม แต่ด้านหน้าของพ่อเขากลับมีบางคนนั่งอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีสำหรับชายหนุ่ม


     

    “สวัสดีครับอาเมย์” กล่าวเสร็จก็ยกมือไหว้หญิงสาวตรงหน้าอย่างเคยชิน ก่อนที่หญิงสาวนามว่า ‘เมย์’ จะยิ้มให้แล้วกล่าวทักทายกลับ ก่อนจะเรียกให้ชายหนุ่มเดินมานั่งข้างๆพ่อของเขา


     

    เมย์ เป็นหญิงสาวที่อายุอ่อนกว่าพ่อของชายหนุ่มเล็กน้อย หน้าตาออกไปทางสวยเนื่องจากอายุที่มากขึ้น รูปร่างสมส่วน ผิวสีแทนราวกับต้องพบเจอกับแสงแดดบ่อยครั้ง ผมและดวงตาสีดำสนิท และเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของพ่อเขา ซึ่งก็อาสาวคนนี้ก็มีความสนิทสนมกับครอบครัวสองพ่อลูกในระดับหนึ่ง และได้แวะเวียนมาเยี่ยมบ่อยครั้งต่างจากคนอื่นๆ


     

    “อาได้ข่าวแล้วล่ะ ดีนะที่อาได้ยินต่อจากพี่อาท ไม่งั้นคงไม่รู้ว่าหลานรักตัวเองกำลังป่วย ชิ! เจ้าพี่นี่ก็ไม่เคยบอกอะไรเลย” หญิงสาวกล่าวขณะที่ส่งสายตาจิกกัดไปยังชายคนด้านข้าง


     

    “อย่าว่าพ่อเลยครับ จริงๆผมก็ไม่อยากให้ทุกคนรู้หรอก มันจะทำให้ปวดหัวกันเปล่าๆ” เป็นเทพที่เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยที่ยังมีคนห่วงใยเขา เห็นดังนั้นผู้เป็นอาก็ได้เอ่ยต่ออีกครั้ง


     

    “วันนี้อาเลยจะมาพาเทพหลานรักไปเที่ยว!” อาสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลังงาน แต่คำกล่าวนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มงงเล็กน้อย แล้วจึงหันกลับไปมองพ่อของเขา ซึ่งตอนนี้กำลังแสดงหน้าเบื่อหน่ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง


     

    “อะไรของแกเมย์ ไหนบอกจะแวะมาเที่ยวเฉยๆไง?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามทำให้อาสาวพูดขึ้นต่อ


     

    “อะไร? มาเที่ยวไง แต่จะพาหลานรักเมย์ไปด้วย พี่มีปัญหาอะไรไม่ทราบ?” กล่าวจบหญิงสาวก็ส่งรอยยิ้มยียวนกวนประสาทให้แก่ผู้เป็นพี่ ซึ่งมันก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะมันทำคนที่ถูกส่งยิ้มให้รู้สึกปวดหัวไม่น้อย


     

    “แล้วเราจะไปไหนกันเหรอครับอาเมย์?” หลังจากรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรกับการตัดสินใจของอาสาวได้ แม้ในใจไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้วก็ตามที จากนั้นเขาก็เอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ อาสาวที่ได้ยินก็ยิ้มรับแล้วเอ่ยตอบ


     

    “อาจะพาเทพไปเที่ยวน้ำตก!” ว่าแล้วก็กดโทรศัพท์ในมือเพื่อเปิดสถานที่ที่พวกเขาจะได้ไปกัน มันเป็นแหล่งเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งที่ดูสวยงาม สะอาด และเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนย่อนใจไม่น้อย


     

    “เป็นอันตกลงนะ เทพมีนัดกับสาวที่ไหนรึเปล่า?” อาสาวเอ่ยถาม แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจ ส่วนชายหนุ่มก็เพียงยิ้มแห้งๆตอบแล้วส่ายหน้า ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา แล้วกดทักไปในกลุ่มว่าเขาจะไปเที่ยวกับญาติวันนี้


     

    แม้จะมีการบ่นเล็กๆน้อยๆจากกลุ่มเพื่อนว่าอยากไปเช่นกัน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่แค่พวกเขาที่รัก และห่วงใยเทพเสมอมา มันจึงจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ไปขัดขวางการเที่ยวเล่นกับญาติของเพื่อนหนุ่ม


     

    “เอาล่ะ ไปเก็บของที่ต้องใช้มาให้ด่วนเลย พี่ด้วย! เราต้องทำเวลาหน่อย” หญิงสาวได้เอ่ยสั่ง ก่อนจะหันไปเรียกชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่เดิม ซึ่งชายหนุ่มก็เดินขึ้นห้องเพื่อเตรียมตัวเล็กน้อยครู่หนึ่ง


     



     

    “เอาล่ะ! พร้อมแล้วใช่ไหม?” เสียงที่ดูตื่นเน้นเสียมากกว่าใครอื่นได้ถูกกล่าวออกมาจากหญิงสาวที่หันมาถามชายหนุ่มซึ่งนั่ง ณ ที่นั่งข้างคนขับ ในตอนนี้พวกเขาได้เข้ามานั่งในรถของอาสาวอย่างเรียบร้อย ซึ่งมันเป็นรถกระบะรุ่นหนึ่งคันสีดำสนิททั้งคัน


     

    พ่อของชายหนุ่มขออาสาเป็นคนขับรถให้เอง โดยใช้หญิงสาวด้านข้างเป็นคนบอกทาง ส่วนชายหนุ่มนั่งที่เบาะหลัง ซึ่งก็มีพื้นที่กว้างพอสมควร สัมภาระขนาดใหญ่ๆก็ถูกย้ายไปไว้หลังรถ ของจิปาถะอย่างขนม ยาดม ก็นำติดตัวไว้ในกรณีที่ต้องใช้ เมื่อได้ยินคำถามเขาก็ตรวจสอบตัวเองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ


     

    “เรียบร้อยแล้วครับ เสื้อสำรอง ยานิดๆหน่อยๆ ส่วนพวกเสื่อที่นั่ง โต๊ะเล็ก ก็เช็ครอบนึงแล้วก่อนเข้ามาครับ” ชายหนุ่มเอ่ย ทำให้หญิงสาวตรงหน้ายิ้มอย่างพอใจ แล้วกลับมานั่งที่เดิม พร้อมกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น


     

    “ออกเดินทาง!” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ช่างคล้ายกับกำลังสั่งเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ให้เดินหน้าไปยังจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาสมบัติไม่มีผิด


     

    “เสียงดังจริงแกนี่” เสียงของชายวัยกลางคนที่แม้จะเอ่ยแบบบ่นๆ แต่ก็ยังคงแฝงไปด้วยความเอ็นดูในน้องสาวคนเดียวของเขาในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มออกรถเพื่อมุ่งสู่จุดหมาย


     

    “อะไร? นานๆทีพี่จะเที่ยวใช่ไหมล่ะ? หัดสนุกบ้างเถอะน่า คิดว่าชีวิตนี้มีให้ครั้งเดียวเพราะอะไรกัน!” กล่าวไปก็ยิ้มระรื่นอย่างไม่สนใจคำบ่นของผู้เป็นพี่ ทำให้ชายวัยกลางคนเกิดอาการหมั่นไส้เล็กน้อย


     

    “เทพก็คิดแบบอาใช่ป่ะ? พ่อของเทพอ่ะจะได้เหี่ยวคากองงานจริงๆสักวัน” ในตอนนั้นเองอาสาวก็หันมาถามความคิดเห็นของชายหนุ่ม ซึ่งนั่งหัวเราะเบาๆด้านหลังเมื่อครู่


     

    “ผมก็คิดว่าพ่อน่าจะต้องเที่ยวบ้างนะครับ” เอ่ยจบก็ทำให้หญิงสาวหันกลับไปที่เดิม พร้อมมองไปยังผู้เป็นพี่ชายดั่งผู้ชนะ ซึ่งเธอก็ถูกชายวัยกลางคนจับหัวแล้วโยกไปมาอย่างหมั่นไส้


     

    “โอ้ย! อย่าใช่กำลังสิ!” อาสาวเอ่ยอย่างเวียนหัวหลังถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก่อนจะหันมาขอยาดมจากชายหนุ่มด้านหลัง ก่อนจะหันไปก่อกวนผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง แล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินไปเรื่อยๆคล้ายเช่นเดิมตลอดการเดินทาง


     



     

    “ฮึบบ… ถึงสักที” เป็นชายหนุ่มที่เอ่ยขณะยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยจากการที่ต้องนั่งในรถมาเป็นเวลานาน ซึ่งพวกเขาออกเดินทางก่อนเที่ยงวัน เมื่อมาถึงก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ระหว่างทางก็มีการแวะพัก แวพซื้อของกินรองท้องเล็กน้อยตามทาง ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกจากอาสาวคนเดิมให้ไปช่วยยกสัมภาระจากหลังรถลงมา


     

    ในตอนนั้นก็มีเสียงข้อความถูกส่งมาในโทรศัพท์ ทำให้เขาหยุดเล็กน้อย แล้วเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ ซึ่งมันถูกส่งมาจากหญิงสาวที่คุ้นหน้าอย่างเซเรียนั่นเอง เมื่อเห็นชื่อผู้ส่งเขาจึงกดเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว


     

    ซึ่งในข้อความก็ปรากฏรูปภาพของน้ำตกแห่งหนึ่งแนบมาด้วย 2-3 รูป ซึ่งมีความสวยงาม สะอาด และดูเงียบสงบ พร้อมข้อความบอกว่า ‘มาเที่ยวน้ำตกล่ะ!’ แต่ก็ทำให้เขาละงักเล็กน้อย เมื่อสถานที่ในรูปนั่น มันคือที่เดียวกับที่ชายหนุ่มยืนอยู่อย่างแน่นอน


     

    “อ้ะ!? เทพ!?” ไม่ทันที่จะได้คิดประมวลผลอะไรมาก ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากที่ไกลๆ เมื่อหันไปมองผู้เอ่ยทัก ก็พบหญิงสาวคุ้นหน้าซึ่งกำลังทำหน้าแปลกใจไม่แตกต่างกันกับชายหนุ่ม


     


     


     


     


     

    เวลาเหลืออีก 3 วัน 11 ชั่วโมง 45 นาที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×