ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #10 : วันที่ 3.3 : ไม่ว่าแสงใดมันก็ไม่เคยถาวร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5
      3
      5 ก.พ. 66

    วันที่ 3.3 : ไม่ว่าแสงใดมันก็ไม่เคยถาวร


     


     


     


     


     

    “จิตรกรงั้นเหรอ…” คำตอบของเทพเหมือนจะมีผลกระทบบางอย่างต่อคนทั้งกลุ่มเล็กน้อย แน่นอนว่าทุกคนยกเว้นเซเรียก็รู้ว่าทำไม ซึ่งเทพก็ไม่รีรอให้คนอื่นได้กล่าวหรือสร้างบรรยากาศอึดอัดเพิ่มแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน


     

    “เรื่องของกูน่า จะว่าไปตอนนี้ก็เที่ยงแล้วนี่นา” สิ้นคำกล่าวทุกคนก็เหลือบมองนาฬิกาบนฝาบ้านเล็กน้อย ก่อนที่เอกจะดีดนิ้วแล้วทำท่านึกอะไรออกแล้วกล่าวอย่างร้อนรน


     

    “กูก็ว่าลืมอะไร! แปบนึงเดี๋ยวมานะ! ไอ่คิน! ของมึงอ่ะ!” สิ้นคำของเอกก็ทำให้คินนึกออกในทันที ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถออกของตัวเองไปด้วย ก่อนทั้งคู่จะก้าวออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความงุนงงของหนึ่งหนุ่มและสามสาวในบ้าน


     

    “อะไรของมันวะ?” รินเอ่ยแล้วเกาหัวเบา ๆ ก่อนที่จะมีเสียงแจ้งเตือนข้อความจากในโทรศัพท์มือถือของปิ่นดังขึ้นมา เมื่อหญิงสาวเปิดข้อความอ่านก็ทำหน้างงครู่หนึ่งก่อนจะทำสีหน้าเหมือนเข้าใจบางอย่าง


     

    “อ่อ… เอ้อ! เทพวานไรหน่อยดิ ไปซื้อของให้หน่อยไปกับรินแล้วก็เซียนะ เดี๋ยวกูส่งของที่ต้องซื้อให้ทางแชทริน แล้วให้รินกับเซียช่วยกันเลือก เงินให้รินมันออกไปก่อนส่วนมึงช่วยไปยกข้าวของก็พอ” เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็ทวีคูณความงุนงงเข้าไปอีก


     

    ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรก็โดนดันตัวออกมาจากบ้านตัวเองเสียแล้ว พร้อมกับหญิงสาวสองคนด้านข้างซึ่งก็มีอาการงงไม่ต่างกัน แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อก็มีรายการของต้องซื้อส่งมาทางมือถือรินเรียบร้อยแล้ว เมื่อหญิงสาวเปิดอ่านก็ทำหน้าเข้าใจบางอย่าง


     

    “กว่าจะเข้าใจ ไปกันเหอะ” รินกล่าวแล้วทำหน้าพอใจที่โดนคลายความสงสัยในใจ แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มอีกคน


     

    “กูว่าพวกมึงนี่ชักจะมีความลับกับกูเยอะขึ้นทุกวันละนะ นอกจากของที่ชอบ ความฝันที่อยากทำ ชื่อพ่อแม่พวกมึง มีไรที่กูต้องรู้อีกไหมเนี่ย?” เทพกล่าวแล้วยกนิ้วขึ้นมาทำท่านับ ก่อนที่จะมีเสียงโวยวายออกมาขณะที่ทั้งสามเดินตาม ๆ กันไปกับผู้นำทางอย่างริน


     

    “พวกกูไม่ได้มีความลับ! เดี๋ยวก็รู้เอง แล้วไอ่ชื่อพ่อแม่นี่มึงจะรู้ไปทำไมย่ะ!” การตบมุกที่เฉียบขาดทำให้ชายหนุ่ม และหญิงสาวอีกคนหัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อม ๆ กัน ก่อนจะมีเสียงไม่พอใจส่งมาจากหญิงสาวที่นำทางอยู่


     

    “เอาน่า ๆ ว่าแต่เราจะไปไหนกันเหรอริน?” เซเรียเป็นคนที่เอ่ยขึ้นมาแล้วหันไปถามด้วยความสงสัย ซึ่งรินก็เดินเข้ามากระซิบเบา ๆ ข้างหูของหญิงสาว ก่อนเธอจะอ้าปากกว้างเล็กน้อยเมื่อถูกคลายความสงสัย


     

    “เพราะงั้นเลยต้องมีเซียมาช่วยเลือกของไงล่ะ!” สิ้นคำของรินเธอก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกับเซเรีย กลับกันชายหนุ่มที่เดินตามมาก็ทำได้เพียงถอนหายใจแบบเซ็ง ๆ แต่เขาก็ไม่คิดจะคาดคั้นไปมากกว่านี้


     



     

    “ร้อนน ร้อนโครต คนบ้าที่ไหนออกมาเดินเล่นตอนกลางวันที่มีแดดเปรี้ยง ๆ ขนาดนี้วะเนี่ย!?” เป็นรินหญิงสาวคนเดิมที่นั่งหมดแรง ณ โต๊ะไม้ บ่นออกมาหลังประสบพบเจอกับอากาศตอนเที่ยงวัน ซึ่งร้อนจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้


     

    หลังทั้งสามเดินตระเวนซื้อของตามต้องการจนเกือบครบทุกร้านขายของริมทางก็ถูกหยุดภารกิจด้วยอากาศยามเที่ยงวันเสียก่อน โดยทั้งสามเลือกมาหลบแดด ณ โต๊ะไม้สำหรับรับลูกค้าหน้าร้านร้านขายขนม ซึ่งตั้งร้านอยู่หน้าโรงเรียนประถมโรงเรียนหนึ่งที่พวกเขาเดินทางผ่านบ่อย ๆ


     

    ซึ่งเนื่องจากมันยังคงปิดเทอมอยู่ จึงทำให้พบเห็นเพียงตึกอาคาร และสนามหญ้าที่ว่างเปล่าในโรงเรียน อาจเจออาจารย์ของโรงเรียน และผู้ปกครองเดินเข้า-ออกบ้างเป็นระยะ ๆ แต่โดยรวมก็ดูสงบสุขดีไม่มีเรื่องอะไรที่น่ากวนใจ


     

    “ใคนสั่งใครสอนให้เดินเท้าซื้อของทั่วเมืองในเวลานี้ล่ะ ร่ม หมวก ไรก็ไม่เอามาสักอย่าง เห้อ… ป้าครับอันนี้เท่าไหร่ครับ?” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มบ่นตอบ หลังหญิงสาวที่พาเขาเดินทั่วเมืองท่ามกลางแดดที่ราวกับถูกส่งมาจากใต้พิภพบ่นออกมา


     

    แล้วเขาก็หยิบไอศกรีมแท่งหนึ่งขึ้นมาชูถามราคากับคุณป้าเจ้าของร้าน ก่อนจะหยิบเพิ่มเป็นสามแท่งเดินไปจ่ายเงินให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมานั่งข้าง ๆ หญิงสาวทั้งสอง แล้วยื่นไอศกรีมให้หญิงสาวทั้งสองคนละแท่ง


     

    “ก็กูลืมนี่หว่า ปิ่นมันก็ดันเร่งให้รีบออกมาอีก ลืมอิทธิฤทธิ์ของแดดประเทศนี้ไปซะสนิทเลย เห้อ…” หลังรินรับไอศกรีมจากชายหนุ่มมาแล้ว ก็รีบทานมันเพื่อลดอาการหัวร้อนจากอากาศ


     

    “ไอ่เทพ! มึงเอารสช็อกโกแลตมาทำม้ายย!?” หลังกัดไปหนึ่งคำรินก็ร้องออกมาอย่างรู้สึกเจ็บปวดในใจ ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวตอบด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่ดูสะใจนิด ๆ


     

    “เอ้าเหรอ!? กูนึกว่าเอารสวานิลลามาซะอีก เห็นเซียกินชิล ๆ เลยไม่คิดว่าเป็นช็อกโกแลตอ่ะ มันก็อร่อยใช่ป่ะเซีย? กูไม่ได้แกล้งเพียงเพราะมึงซ่อนความลับหรอกนะ คิกคิก” ว่าแล้วก็หันมือให้ดูเซเรียที่นั่งทานอย่างสงบ พร้อมขำเล็ก ๆ ให้กับการกลั่นแกล้งเล็ก ๆ นี้


     

    “ใช่ ก็อร่อยดีนะ คิคิ” เซเรียเอ่ยเสริมพร้อมหัวเราะอีกครั้งเบา ๆ ก่อนจะก้มมองไอศกรีมในมือตัวเอง


     

    “ชิ! ทีใครทีมันละกัน” รินที่เห็นก็ส่ายหน้าหันออกแบบงอน ๆ แล้วกินไอศกรีมในมือช้า ๆ อย่างช่วยไม่ได้จนเกือบหมดแท่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีอะไรเย็น ๆ เข้ามาแปะที่หน้าของหญิงสาว จนเธอสะดุ้งอย่างแรงแล้วหันกลับมามองอย่างรวดเร็ว


     

    แล้วรินก็ได้พบกับถุงไอศกรีมวานิลลาถูกยื่นมาให้พร้อมกับใบหน้าของชายหนุ่มที่ดูกวน ๆ ยืนทานไอศกรีมในมือโดยไม่พูดอะไร เห็นดังนั้นเธอจึงหยิบถุงไอศรีมนั้นมาแกะแล้วหันหน้ากลับไปกินทางเดิม พร้อมใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งการกระทำทั้งหมดก็อยู่ในสายตาของเซเรียที่ยิ้มเล็ก ๆ อยู่


     



     

    หลังจากนั่งพักกันจนพอใจแล้วทั้งสามก็ออกเดินทางซื้อของต่อ ซึ่งของแต่ละอย่างที่ซื้อมานั้นถูกใส่ถุงทึบมองไม่เห็นด้านใน ทำให้ชายหนุ่มไม่รู้ถึงของด้านในว่าคือสิ่งใดแต่รู้สึกว่ามีน้ำหนักเล็กน้อยทำให้รู้สึกสงสัย


     

    แต่จะให้เขาแอบดูก็ไม่กล้าเช่นกันแถมยังไม่มีความจำเป็นถึงขั้นที่ต้องแอบดู จนกว่าที่พวกเขาสามคนจะซื้อของครบก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งบรรยากาศโดยรอบตัวก็มืดลงไปหมดจนมีเพียงแสงไฟข้างถนนช่วยนำทาง


     

    “กลับมาแล้ว!” เสียงของรินถูกกล่าวตามมาหลังจากเปิดประตูบ้านเข้าไปเป็นคนแรก ตามมาด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวที่เดินตาม ๆ กันมา เมื่อเข้ามาถึงก็พบว่าสองหนุ่มก่อนหน้านี้ได้กลับมาแล้ว พร้อมมีสีหน้าที่ตื่นเต้นจนเก็บไว้ไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางดังนั้นเทพก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วค่อยนำถุงทั้งหมดไปวางไว้ใกล้ ๆ โต๊ะรับแขก


     

    “พวกมึงไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเหอะ กูก็ลืมไปให้พวกมึงเดินซื้อของท่ามกลางแดดเปรี้ยง ๆ ” เมื่อเห็นว่าทั้งสามกลับมาแล้ว ปิ่นก็เดินออกมาไล่ด้วยความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ก่อนจะเป็นรินที่เดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับเซเรียแล้วจึงเป็นคิวของเทพถัดมา


     

    “เห้ออ… เหนื่อยอยู่แฮะ…” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาพร้อมสีหน้าที่ดูเพลียเล็กน้อย เขาจึงทำการล้างหน้าไปหลายรอบแล้วเงยขึ้นมามองหน้าตัวเองในกระจก พลันเกิดอารมณ์แปลก ๆ ยามเมื่อสบตาตัวเองในกระจกแต่ก็เพียงชั่วครู่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะออกจากห้องน้ำไป


     

    “อ้าว! ไปไหนหมด?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างงุนงงเมื่อเขาเดินออกจากห้องน้ำมาก็ไม่พบใครแล้ว นอกจากเซเรียที่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเขา ก่อนจะเดินนำออกไปนอกบ้านด้วยท่าทีตลก ๆ เทพจึงเดินตามออกไปอย่างสงสัย แล้วจึงได้พบกับริน และคินกำลังนั่งรถจักรยานยนต์รอเขาทั้งคู่อยู่


     

    “ขึ้นมาก่อนละค่อยถาม” ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไรคินก็เป็นคนตัดบท แล้วเรียกให้เทพขึ้นรถของเขา เช่นเดียวกับเซเรียที่ขึ้นไปซ้อนรินบนรถจักรยานยนต์อีกคัน ก่อนที่ทั้งสองคันจะออกรถแล้วมุ่งไปยังจุด ๆ หนึ่ง


     



     

    ระหว่างทางเทพก็ได้เอ่ยถามหลายสิ่งหลายอย่าง แต่คินก็ตอบกลับคำตอบเดียวว่า ‘ไปถึงก็รู้เอง’ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูเท่ที่สุด ทำให้เขาเลิกคิดที่จะถามแล้วพวกเขาก็ได้มาถึงจุดหมายพอดี


     

    ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นที่ดินแถบหนึ่งของเมืองที่พ่อของคินเป็นเจ้าของ ซึ่งมีเอกกับปิ่นกำลังจัดอะไรบางอย่างบนโต๊ะกลางสนามหญ้าที่ไร้ซึ่งผู้คน แต่รอบ ๆ ก็มีเสาไฟแบบเคลื่อนที่ฉายลงมาให้พอเห็นพื้นบ้าง พร้อมกับแบตเตอรี่เคลื่อนย้ายอีกอันทำให้สามารถใช้ไฟฟ้าได้แม้ไม่ต้องมีสายไฟ


     

    “อ้ะ!? อะไรวะเนี้ย!?” เมื่อมาถึงก็พบปิ่นและเอกกำลังแยกของบางอย่างจากในถุงที่พวกเขาออกตระเวนซื้อมาจากร้านขานของหลายร้าน ซึ่งของด้านในก็ประกอบด้วยของที่คาดไม่ถึง เช่น ไฟเย็น กระเทียม ระเบิดควัน ไข่มังกร รถถัง โอ่ง ผึ้ง และอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดมันคือดอกไม้ไฟชนิดหนึ่งที่เคยนิยมในสมัยก่อนของเด็กตามชนบท


     

    “เป็นไงล่ะเพื่อน มึงอาจลืมเรื่องตอนม.ต้นไปแล้ว แต่พวกกูไม่ลืมหรอกนะ คำพูดลอย ๆ ของมึง ที่มึงบอกอยากเล่นดอกไม้ไฟแต่มันหายากน่ะ” คินเป็นตัวแทนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มันทำให้เทพพูดอะไรไม่ออกก่อนจะก้มหน้าไปสักพัก


     

    “พ่อมึง… กูพูดเล่น ๆ ตอนพึ่งดู… ไอ่เมะดอกไม้ไฟเสร็จใหม่ ๆ รึป่าววะ… ทำไมพวกมึงถึงจำมาถึงวันนี้…” ขณะที่ชายหนุ่มกล่าวก็ยังคงก้มหน้าอยู่ พร้อมเสียงที่ควบคุมไม่ค่อยได้ทำให้รับรู้ถึงอารมณ์ของคนพูดได้ไม่ยากนัก


     

    “หุบปากน่า! กูกับเซียอุตส่าช่วยกันไปขอร้องซื้อต่อจากลุง ๆ ป้า ๆ ร้านขายของเลยนะ! มาสนุกกันเหอะน่า!” รินเป็นคนที่เอ่ยขึ้นมาแล้วกระชากแขนของเทพให้เดินตามมา ในขณะที่เทพก็ยิ้มเล็ก ๆ แต่ใช้มืออีกข้างปิดหน้าส่วนบนไว้


     

    “มาเถอะเทพ พวกเรารอคนเปิดงานอยู่นะ!” เซเรียเป็นอีกคนที่กล่าวแล้วดึงแขนอีกข้างของเทพที่ปิดหน้าให้เดินมาด้วยกัน ทำให้ทุกคนเห็นดวงตาของเทพที่มีหยดน้ำไหลรินออกมาเล็กน้อย ซึ่งชายหนุ่มก็รู้สึกเขินอายนิดหน่อยที่โดนเห็นสภาพนี้ แต่ก็เลิกขัดขืนแล้วลงมายืนกลางสนามหญ้าโดยดี


     

    “มึงจะเอากระเทียมมาทำไมวะ” คินที่มองของบนโต๊ะก็กล่าวออกมา แล้วหยิบก้อนกระดาษสีขาวกลม ๆ ที่ถูกบรรจุด้วยสารระเบิดชนิดหนึ่ง และถูกห่อด้วยกระดาษแล้วม้วนจนมีรูปร่างคล้ายกระเทียม


     

    “เอามาใช้แบบนี้ไง” รินหยิบกระเทียบขึ้นมาหนึ่งก้อน แล้วโยนใส่ข้าง ๆ คินจนเขาสะดุ้งเล็กน้อยถึงปานกลาง ก่อนจะหันมาโวยวายใส่หญิงสาว ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆในกลุ่มก่อนที่เอกจะเอ่ยตามอย่างรีบร้อน


     

    “เอาล่ะครับ ท่านประธานเชิญเปิดงานด้วย อ่า… อะไรดีวะ จุด ไข่มังกร ได้!” เอกเป็นคนที่เอ่ยออกมาอย่างเป็นทางการจนทำให้กลุ่มเพื่อนรู้สึกขำเล็กน้อยเช่นเดียวกับเทพ หลังจากนั้นเขาจึงจุดไฟกับพลุรูปร่างกลม ๆ แล้วเดินหลบออกมา โดยมีปิ่นเป็นตากล้องสำหรับถ่ายภาพงานวันนี้


     

    หลังจากนั้นก็มีประกายไฟปรากฎขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น ก่อนที่มันจะดับลงอย่างห่อเหี่ยว…


     

    “อีกอัน ๆ แหม ของเก่าแล้วก็มีพังบ้างแหละน่า” รินเป็นคนเอ่ยแบบเขิน ๆ ก่อนจะยัดไข่มังกรอีกอันให้กับชายหนุ่มตัวหลักงานแล้วจุดใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่ามันมีประกายไฟที่งดงามระเบิดกระจายออกมาเป็นสีสันต่าง ๆ ทำให้พวกเขาร่วมกันปรบมือเบา ๆ เป็นการเปิดงาน ‘ดอกไม้ไฟอะไรสักอย่าง’


     

    เนื่องจากด้วยสีสัน ความสวยงาม และความเพลิดเพลินของดอกไม้ไฟชนิดต่าง ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกไปด้วยกัน จนลืมวันลืมเวลาราวกับมันไร้ซึ่งจุดสิ้นสุดสำหรับค่ำคืนนี้ จนกระทั่งพวกเขาเหลือดอกไม้ไฟแค่ไฟเย็นคนละแท่ง ทำให้รู้สึกใจหายเล็กน้อยกับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


     

    “อ่ะ! เทพอันนี้พวกกูรวมเงินกันซื้อ ถึงมันจะไม่แพงมาก แต่มันก็เป็นของจากใจพวกกู อ่อ! อันนี้ไอเดียของเซียที่พูดขึ้นมาตอนกลางวัน เกือบทำไม่ทันแน่ะ ดีนะที่ไอ่เอกมันโปร” รินเอ่ยแล้วยื่นกล่องบางอย่างให้ก่อนที่พวกเขาจะเล่นไฟเย็นกัน


     

    เมื่อเขาเปิดออกก็พบกับอัลบั้มรวมภาพขนาดเท่าฝามือ ซึ่งถูกปริ้นออกมาด้วยการนำรูปจากความทรงจำต่าง ๆ มาทำเป็นอัลบั้มเล็ก ๆ เขากล่าวอะไรไม่ออกอีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ เปิดไปเรื่อย ๆ จนมาพบกับหน้าที่ว่างเปล่า พร้อมกระดาษที่เหลือ ๆ อยู่ แต่ก่อนจะได้กล่าวถามอะไรก็มีเสียงชัทเตอร์ดังมาจากด้านข้างของเขา


     

    “หน้าที่ว่างอยู่ ก็แค่ต้องเติมมันให้เต็มใช่ไหมล่ะ” ปิ่นเป็นคนเอ่ยแล้วยิ้มออกมาเช่นกันกันกับทุกคนในสถานที่แห่งนี้ที่มองมาที่เทพด้วยรอยยิ้ม มันทำให้เขารู้สึกดีใจมากเกินกว่าที่จะสามารถบรรยายได้


     

    “เอาล่ะ! มาถ่ายรูปกันเถอะ!” ว่าแล้วคินก็หยิบไฟเย็นยื่นให้ทุกคนก่อนที่จะเริ่มจุดทันที แล้วปิ่นทำการตั้งกล้องเอาไว้ตรงด้านหน้า เพื่อสำหรับถ่ายพวกเขาทุกคนซึ่งยืนหันหน้าไปที่กล้องที่ตั้งอยู่


     

    บนใบหน้าของทุกคนต่างก็ปรากฎรอยยิ้มที่ราวกับว่านี่เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของพวกเขาในชีวิตนี้แล้ว แล้วเสียงจากไฟเย็นก็ค่อย ๆ ดับลงหลังผ่านไประยะเวลาหนึ่ง


     


     


     


     


     

    เวลาเหลืออีก 4 วัน 3 ชั่วโมง 19 นาที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×