ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #1 : วันที่ 0.0 : อารัมภบท

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12
      4
      1 ม.ค. 66

    วันที่ 0.0 : อารัมภบท


     


     


     


     


     

              “มึงพูดจริงงั้นเหรอ!?” เสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง หมอที่นั่งด้านหน้าของเขาก็ยังคงส่ายหน้าเบาๆอย่างระอาใจ แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

              “ไม่ว่าจะให้กูย้ำอีกกี่ครั้ง คำตอบมันก็เหมือนเดิม ว่าลูกชายมึงป่วยด้วยโรคประหลาด… และจะมีชีวิตได้อีกนับจากวันพรุ่งนี้อีกเพียง 7 วัน…” สิ้นคำของหมอคนนั้น ชายวัยกลางคนก็ทรุดตัวลงไป พร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มไหลรินออกมา

              “อะไรกัน…” เขาเอ่ยทั้งน้ำตา ผู้เป็นหมอ และเพื่อนคนสนิทก็ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงเดินไปด้านข้างของชายกลางคน แล้วตบบ่าเบาๆอย่างให้กำลังใจ ผ่านไปซักพักเขาก็เช็ดหยดน้ำตาออก กล่าวขอบคุณเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป

              เมื่อเขาเดินออกมาก็พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังพิงกำแพงรออยู่ เด็กคนนั้นคือลูกชายครอบครัวคนสุดท้ายของเขา ตัวของเขาตื่นตกใจ แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอธิบายอะไร เด็กหนุ่มคนนั้นก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน

              “ไม่เป็นอะไรครับ… ผมได้ยินแล้ว…” เด็กหนุ่มเอ่ยและพยายามยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ ทำให้ชายผู้เป็นพ่อเดินเข้าไปกอดผู้เป็นลูกชายอย่างแนบแน่น อย่างที่กลัวว่าลูกชายของตนจะหายไป…


     

              “กลับบ้านกันเถอะ…” ผู้เป็นบิดาเอ่ยพลางจูงมือเด็กหนุ่ม เขาเพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มฝืนๆเท่านั้น จากนั้น 2 พ่อลูกก็ได้เดินไปยังลาดจอดรถในเขตโรงพยาบาล แล้วเดินหารถเก๋งสีดำของตน จากนั้นพวกเขาจึงได้ขับมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของพวกเขา ระหว่างทางผู้เป็นพ่อพยายามพูดกับเด็กหนุ่มเพื่อไม่ให้มันดูเงียบจนเกินไป

              “เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะพาลูกไปตรวจ…” แต่ยังไม่ทันที่ผู้เป็นพ่อจะได้พูดจบประโยค เด็กหนุ่มก็ได้ขัดขึ้นมาเสียก่อน

              “ไม่ต้องหรอกครับ… นั่นน่ะเป็นคำตอบจากหมอที่เก่งที่สุดเลยนะครับ… ดังนั้นจะตรวจที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอกครับ…” เด็กหนุ่มเอ่ย มันทำให้ผู้เป็นพ่อเงียบลงด้วยความเจ็บปวดที่รู้สึกว่าไม่สามารถช่วยอะไรลูกชายได้แม้แต่น้อย

              “พ่อไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะครับ…” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเงียบลงไป พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงปกติ ขณะที่มองวิวข้างทางด้วยสีหน้าโศกเศร้าต่างจากน้ำเสียงที่เอ่ย

              “ผมสิต้องขอโทษ… ขอโทษที่ไม่สามารถอยู่ทดแทนบุญคุณของพ่อได้…” เด็กหนุ่มเอ่ย แล้วยิ้มให้ผู้เป็นพ่อทั้งๆที่หางตาของเขานั้นเริ่มมีหยดน้ำใสๆไหลออกมา ผู้เป็นพ่อก็ได้แต่กัดฟันตัวเองอย่างเสียใจ

              “ไม่หรอก… บุญคุณน่ะลูกจะทดแทนตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น… เพราะงั้นอย่าโทษตัวเองเลยนะ…” ผู้เป็นพ่อเอ่ย มันทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมาจากใจจริงได้ เขาเพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยเบาๆเป็นคำสั้น ๆ

              “ครับ…” เมื่อสิ้นเสียงของเด็กหนุ่มทุกอย่างก็เงียบลง…


     

              หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ขับรถมาจนถึงบ้านเดี่ยว 2 ชั้นเล็กๆ ชายหนุ่มลงจากรถ แล้วปลดกุญแจบ้าน ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป เมื่อเข้ามาแล้วเขาก็เดินขึ้นชั้น 2 เพื่อกลับห้องของตน แต่ก็ได้ยินเสียงพ่อดังมาจากด้านหลังเสียก่อน

              “จำไว้นะ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น… ลูกก็ยังมีพ่ออยู่นะ!” เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้งในรอบวัน แล้วจึงเดินไปโอบกอดผู้เป็นพ่ออย่างแนบแน่น ในชั่วครู่ก็ชายหนุ่มก็ผละตัวออก แล้วก้าวเดินขึ้นห้องของตนไป เมื่อเข้ามาแล้วเขาก็ล็อกกุญแจห้อง จากนั้นก็มองไปทั่วห้องของเขา

              “เรื่องจริงสินะ…” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆขณะที่ยังคงมองไปรอบห้องของเขา ก่อนที่จะเดินไปฟุบหน้าลงหมอนใบโปรดบนเตียงของเขา จากนั้นจึงได้เอ่ยเบาๆกับตัวเอง

              “เคยเตรียมใจไว้อยู่หรอก… แต่เร็วจังเลยแฮะ… ความตายเนี่ย…” เขาเอ่ยขณะที่ใบหน้าเริ่มมีหยดน้ำใสๆไหลออกมาอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด

              “เรา… ยังไม่อยากตายเลย…” เขาเอ่ยขณะที่เอาหน้าแนบฝุบกับหมอนไว้แน่นกว่าเดิมราวกับว่าไม่ให้ใครเห็นน้ำตาของเขา

              “เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย… ทั้งตอนแทนพ่อ… ยังไม่เคยทำอะไรที่มันสร้างความภูมิใจให้พ่อเลย… ทั้งยังต้องคอยอยู่ดูแลพวกนั้น… เรียนจบกับพวกนั้น… ยังรู้สึกใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าเลยแฮะ…” เขาเอ่ยขณะที่น้ำตายังคงไหลเรื่อยๆ และมากกว่าเดิม ก่อนจะหันใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเขามองไปยังรูปๆหนึ่ง

              “แม่ครับ… ผมควรจะทำยังไงดี…” เขาเอ่ยพลางมองไปยังรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทางด้านขวามือของเขา เป็นรูปภาพที่ใส่ในกรอบรูปที่สวยงาม ในรูปนั้นมีเด็กชายตัวเล็กหน้าตายิ้มแย้ม และสองชายหญิงที่ยืนข้างเด็กคนนั้น

              ซึ่งทั้ง 3 คนต่างก็ยิ้มอย่างสดใส เขามองรูปนั้นแล้วก็นำหน้าฝุบลงหมอนอีกครั้ง ก่อนที่จะหลับไหลไปพร้อมกับเสียงนาฬิกาดิจิตอลตั้งโต๊ะที่แสดงตัวเลข 00.00 นาฬิกา…


     


     


     


     


     

    เหลือเวลาอีก 7 วัน…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×