ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #8 : วันที่ 3.1 : ความสัมพันธ์ไม่เคยแน่นอน

    • อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 66


    วันที่ 3.1 : ความสัมพันธ์ไม่เคยแน่นอน


     


     


     


     


     

    “ตื่นมาทำไมตีสองวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ ตื่นอีกทีตอนเช้าเลยไม่ได้รึไง” เทพบ่นอย่างหงุดหงิดตามประสาคนพึ่งตื่น และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนอนหลับลงอีกครั้ง หลังจากพึ่งตื่นไม่กี่นาที


     

    เขานั่งคิดอะไรกับตนเองเรื่อยเปื่อย และมองเพื่อนทั้ง 4 ที่หลับประดุจดั่งอดหลับมานานนับเดือนจนสภาพดูไม่ได้เลยซักคนเดียว ทำให้เกิดอารมณ์ตลกไม่น้อย เมื่อนั่งขำกับตนเองจนพอใจแล้ว จึงค่อยตัดสินใจลุกขึ้นแล้วยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย แล้วเดินไปปิดโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้


     

    การยืดเส้นยืดสายนั่น เหตุก็เพื่อคลายอาการปวดล้าจากการนอนบนพื้นแข็ง ๆ มาเป็นเวลานาน เมื่อยืดจนพอใจแล้วก็อยากจะอาบน้ำเรียกสติและความสดชื่น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเปิดแอพไฟฉายไปยังพื้นทางเดินไปห้องน้ำ เพื่อให้เขาสามารถเดินไปได้อย่างสะดวก


     



     

    “ฟู่…” เสียงถอนหายใจถูกพ่นออกมา หลังจากชายหนุ่มอาบน้ำ ล้างหน้า จนรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งบนหน้าเขาก็ได้ปรากฎรอยดำจาง ๆ บนใบหน้า แท้จริงมันคือรอยปากกาเมจิกนั่นเอง แต่เหตุที่สีมันจางลงเพราะเนื่องจากถูกล้างออกไปบ้างแล้ว เขาจึงนึกย้อนเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะหลับไป


     

    เหตุการณ์คร่าว ๆ ที่เขาพอจะจดจำได้ คือ พวกเขากินขนมและดื่มน้ำอัดลม และก็พูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ เสร็จแล้วจึงพากันเล่นเกม โดยมีบทลงโทษคือการเขียนหน้าด้วยปากกาเมจิกสีดำ


     

    หากแต่เป็นเพียงการเล่นวิดีโอเกม หรือเกมทั่วไปในวงสนทนา ก็คงจะน่าเบื่อไปสำหรับสองหนุ่ม พวกเขาจึงคิดเกมใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นเกมที่มีไว้จัดการเตรียมเขียนหน้าลงโทษเทพโดยเฉพาะ เพราะตั้งชื่อเกมไว้ซะดิบดีว่า ‘เกมสังหารเทพ’


     

    เมื่อได้ยินแว่บแรก ชายหนุ่มก็หวั่นใจเล็กน้อย แต่เมื่อนั่งฟังกติกาคร่าว ๆ ก็เกือบทำให้เขาหลุดขำออกมา เพราะดูเหมือนเพื่อนชายสองหน่อจะดูถูกเขาไปเล็กน้อย ทำให้ผลลัพท์ออกมาไม่เป็นดังคิด


     

    สุดท้ายก็เป็นชัยชนะที่ง่ายดายของชายหนุ่ม แม้จะมีพลาดพลั้งไปบ้างแต่ก็พอจะจับทางได้บ้าง สุดท้ายคนโดนเขียนหน้าหนักสุดกลับกลายเป็น ริน ซึ่งไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเกมเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับปิ่นที่พึ่งรู้ว่าสองหนุ่มมีเกมไว้จัดการกับเทพในวันนี้


     

    แต่กรรมดันมาตกที่เธอแทน ทำให้เธอเกรี้ยวกราดไม่น้อย ส่วนคนที่ชนะมากที่สุดก็ย่อมเป็น เอกที่เก่งไปซะทุกเกมแน่นอนอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนปิ่นได้ที่ 3 แม้จะพึ่งรู้กติกาพร้อม ๆ กัน และ คินตัวตั้งต้นอีกหน่อกลับได้ที่ 4 ซึ่งสภาพก็ไม่ต่างกับรินเท่าไหร่นัก


     

    เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อไปเพราะความดื้อรั้นที่จะเอาชนะ ทำให้ได้รอยมาเต็มใบหน้าแทนชัยชนะ ทำให้พวกเขาหยุดเล่นเกม แล้วเปิดภาพยนต์นั่งดูกันแทน จนเผลอหลับกันตอนไหนก็ทันไม่รู้ตัว


     

    เมื่อย้อนนึกถึงก็ทำให้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะใช้น้ำล้างหน้าอีกครั้ง แล้วจึงหยิบผ้าขนหนูที่แขวนประจำในห้องน้ำขึ้นมาเช็ดหน้าเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะสวมเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้เป็นเสื้อยืดสีขาวธรรมดา และกางเกงวอร์มสีดำ แล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำ พร้อมด้วยสติที่กลับมาครบเรียบร้อย


     

    สภาพสหายของเขายังหลับไม่ได้สติเช่นเดิมเหมือนก่อนเขาจะเข้าไปล้างหน้าเรียกสติ แต่มีสิ่งเพิ่มเติม คือขาเอกที่ย้ายจากพื้น ขึ้นไปพาดเกี่ยวหลังของคินไว้


     

    ซึ่งมันทำให้คินที่หลับอยู่กำลังแสดงสีหน้าอึดอัดราวกับกำลังฝันร้ายก็ไม่ปาน เทพจึงรู้สึกขำกับตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยกขาของเอกออกด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เผลอไปปลุกเพื่อนของเขา


     

    ส่วนสองสาวที่นอนบนโซฟาก็ยังนอนกันเรียบร้อยดี ยกเว้นรินที่สภาพกำลังจะไหลตกโซฟา เขาจึงเดินไปหาผ้ามารองไว้กันกระแทก เพราะเขายังไม่คิดจะขยับตัว หรือปลุกเพื่อน ๆ ของเขาในเวลาเช่นนี้


     

    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาก็เช็คเวลาซึ่งตอนนี้จวนจะตี 3 ครึ่งแล้ว เขาจึงนำโทรศัพท์ไปชาตพลังงานไว้เผื่อ ก่อนจะสวมเสื้อแขนยาวสีเทาทับอีกชั้น แล้วเดินออกไปด้านนอก เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ


     



     

    “เหมือนเคยมีอะไรคล้าย ๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วเลยแฮะ” ท่ามกลางบรรยากาศวังเวง และเงียบสงบ เทพก็ออกมายืนอยู่หน้าบ้านตนเอง แล้วมองรอบข้างซึ่งก็พบเพียงความมืดมิด และแสงไฟจากเสาไฟตามทางที่ให้ความสว่างยาวมืดค่ำเท่านั้น


     

    “รีบตื่นจังนะ” เสียงที่คุ้นเคยได้กล่าวกับชายหนุ่ม เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับปิ่น ซึ่งเหมือนจะล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว อยู่ในชุดตัวเดิมดั่งเช่นตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ ซึ่งกำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนข้างบ้านของเขา ที่มีไฟสลัว ๆ พอให้มองเห็นทางบ้าง เมื่อเธอนั่งลงแล้ว จึงหันกลับมามองเทพอีกครั้ง


     

    “ไม่ค่อยมีเวลาที่เราอยู่กันสองต่อสองเท่าไหร่ว่าไหม?” ปิ่นเอ่ยถาม ทำให้ชายหนุ่มหลับตานึกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพราะเขามักจะเจอปิ่นพร้อมกับรินเสมอในทุกโอกาส คนละเรื่องกับรินที่มักเจอกันบ่อย ๆ จึงแทบนับครั้งที่เทพและปิ่นคุยกันสองต่อสองได้ด้วยมือข้างเดียว


     

    “รู้ไรป่าว… เมื่อตอนเย็นตอนมึงเล่าเรื่องคุณเซียอ่ะ รินมันก็หน้าหม่นลง มึงรู้ใช่ไหม? ว่าเพราะอะไร…” เพียงปิ่นกล่าวเกริ่น ก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มเข้าใจทุกเรื่องราวที่หญิงสาวต้องการจะสื่อ ทำให้เทพย้ายจากการยืนหน้าบ้าน มานั่งอยู่ตรงกันข้ามกับปิ่น


     

    “และกูเดาว่ามึงก็รู้ว่ากูคิดยังไง ใช่ไหม?” เทพที่นั่งลงก็เอ่ยตามที่คิด แล้วเอ่ยถามกลับหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งแววตามีประกายความหนักใจเล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน


     

    “เฮ้ออ… แล้วมึงจะทำไงต่อ มึงก็รู้ว่ารินมันเป็นยังไง ละมึงดันมาเป็นโรคนี่เวลานี้อีก” ปิ่นถอนหายใจ แล้วมองมาทางเทพที่นั่งหันข้างให้ ซึ่งตัวของชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที


     

    บรรยากาศรอบด้านดูหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การที่จู่ ๆ ก็เกิดการเงียบจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนหนึ่งกำลังรอคำตอบ อีกหนึ่งก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม มันทำให้ดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก และเราคงคุ้นชินกับบรรยากาสเช่นนี้ในชื่อของ ‘เดธแอร์’ นั่นเอง ก่อนที่เทพจะเป็นคนกล่าวออกมา เพื่อทำลายบรรยากาศนี้


     

    “กู… จะเคลียร์ให้มันจบก่อนแน่ ๆ ไม่ต้องห่วง” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยถ้อยคำที่จริงจัง ส่วนหญิงสาวคู่สนทนาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แล้วทั้งสองก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสา


     



     

    จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ทั้งสองก็กลับเข้าไปในบ้าน เนื่องจากต้องหนีจากบรรดาแมลงสัตว์กัดต่อยยามราตรี ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีที่จะต้องมาทายาย้อนหลัง หากโดนพวกมันกัดต่อยเข้า


     

    “งืม…” เสียงร้องละเมออย่างน่ารักออกมาจากหญิงสาวจอมกวนที่นอนบนโซฟาด้วยท่าที่ใกล้ตกพื้นมากกว่าเดิม ส่วนด้านสองหนุ่มที่นอนอยู่ ก็ยังคงสภาพเดิม เพิ่มเติมคือผ้าที่ห่มคนละผืน ต่างก็พันไปทั้งตัวจนเหมือนจะขยับไม่ได้


     

    เห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปก่อกวนความสุขยามหลับไหลของบรรดาเพื่อน ๆ แต่อย่างใด เช่นเดียวกับปิ่นซึ่งเดินตรงไปยังตู้เย็น และหยิบขวดน้ำเย็นออกมา พร้อมเปิดขวด แล้วรินน้ำใส่แก้วบนโต๊ะทานอาหารก่อนจะยกดื่มเพื่อแก้กระหาย เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่เดินตามมาเทน้ำใส่แก้วอีกใบ


     

    “ว่าก็ว่าเถอะ นอกจากเรื่องกู เรื่องมึงก็มีไม่ใช่รึไง กับไอ่เอกน่ะ หึหึ” เทพเอ่ยเท่านั้น หญิงสาวก็ลุกพรวดจากเก้าอี้อย่างร้อนรน และใบหน้าที่ขึ้นสี ก่อนจะกล่าวเบา ๆ อย่างเกรงกลัวว่าจะถูกได้ยิน


     

    “หุบปากน่า เรื่องกูจัดการเองได้ พ่อหนุ่มบริสุทธิ์ประจำแก้ง” ปิ่นเอ่ยแซวแก้เขิน ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ


     

    “เถียงไม่ออกก็อย่าบูลลี่ดิว้า ทำร้ายจิตใจว่ะ แย่ ๆ ” ชายหนุ่มเอ่ยราวๆตัดพ้อทำให้หญิงสาวหลุดขำออกมาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้หนึ่งในสองหนุ่มตื่นขึ้นมาจากนิทราอย่างงุนงงกับเสียงสนทนายามค่ำคืน


     

    “หืม? กี่โมงวะเนี้ย ทำไมมืดไปหมดเลยวะ” เป็นคินนั่นเองที่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะดันตัวขึ้นมานั่งแบบงง ๆ แล้วหันมองรอบ ๆ จนพบกับเทพ และปิ่นที่โซนห้องครัว ซึ่งทั้งคู่ก็มองกลับมาที่คินเช่นกัน


     

    “อะไร? มองกูทำไม?” เอ่ยจบก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา ซึ่งทางฝั่งเทพ และปิ่น ก็แสดงสีหน้าโล่งอกออกมา ยังดีที่เป็นคินที่ตื่นขึ้นไม่ใช่เอก แล้วชายหนุ่มผู้ตื่นจากนิทราก็ลุกขึ้น แล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าเพื่อไล่ความง่วงที่หลงเหลืออยู่


     

    “นี่ก็จวนจะเช้าแล้วนี่ พวกนั้นจะเริ่มตื่นก็ไม่แปลกนะ” เป็นหญิงสาวตรงข้ามกับเทพที่เอ่ยขึ้นมา ก่อนจะเทน้ำแล้วดื่มอีกหนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเช็คข่าวสาวอัพเดท


     

    ทางด้านของเทพก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ เพียงแค่นั่งเฉย ๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงน้ำจากในห้องน้ำถูกสาดกับบางสิ่งดังออกมา แล้วคินจึงออกมาในสภาพเปียกทั้งหัวและตัว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่านั่นคือการไล่ความง่วง หรือเล่นเทศกาลสงกรานต์กันแน่


     

    และอาจเป็นเพราะเสียงจากในห้องน้ำ ไม่นานก็มีเสียงจากชายหนุ่มที่ตื่นจากการหลับไหลเป็นคนสุดท้ายอย่างเอกนั่นเอง ซึ่งเขาก็เหมือนจะรู้สภาพตัวเองดี จึงลุกขึ้นด้วยท่าทีง่วงเล็กน้อย แล้วเดินสวนกับคินเข้าห้องน้ำไป


     

    “หาวว… ตกลงกี่โมงละวะ? ตื่นมาทำหอกไรตั้งแต่เช้ามืดเนี้ย” คินหาวเล็กน้อยแล้วนั่งบนพื้นที่เดิม แล้วหันมาถามปิ่นที่ถือโทรศัพท์ในมือ แล้วเหยียดร่างกายเล็กน้อย ปิ่นที่ได้ยินจึงเปิดเวลาขึ้นมาก่อนจะกล่าวตอบอย่างไม่คิดอะไร


     

    “ตี4นิด ๆ จริง ๆ มึงจะนอนต่อก็ได้ ไม่มีใครไปเหยียบให้มึงตื่นสักหน่อย” จบประโยคของหญิงสาวก็ทำให้เทพหลุดขำเล็กน้อย ก่อนจะนึกย้อนไปสภาพตอนคินโดนเอกเอาขาทับใส่ทำให้มีสีหน้าที่ไม่ดีนัก


     

    “เออ เอาเหอะ หิวยัง?” ปิ่นที่เอ่ยบ่นก็ถามสามหนุ่มขึ้นมา ทำให้เอกที่เดินมานั่งเล่นกับคิน เป็นคนแรกที่แสดงปฏิกิริยากับเรื่องนี้


     

    “ไม่เป็นไรปิ่น! พวกกูโอเคดี! ไม่ต้องลงมือลงแรงทำอาหารหรอก!” เอกเอ่ยอย่างหนักแน่น เช่นเดียวกับคินที่พยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะโดนมองค้อนจากหญิงสาว แล้วจึงพูดออกมาอย่างหงุดหงิด


     

    “ยุคนี้แล้วมันก็มีบริการส่งอาหารไหมล่ะ กูถามจะสั่งเผื่อพวกมึงเนี้ยและอาหารฝีมือกูมันก็แดกได้ กรุณาจำไว้ด้วย” สิ้นเสียงของปิ่น ก็มีเสียงความโล่งอกออกมาจากสามหนุ่มไม่เว้นแม่แต่เทพเอง


     

    เหตุผลที่ไม่อยากทานอาหารปิ่นไม่ใช่เพราะรสชาติอาการหญิงสาวที่ทำหรอก แต่สภาพหน้าอาหารแต่ละอย่างที่ถูกรังสรรค์ต่างหากที่ทำให้กินไม่ลง ซึ่งก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าโดนสอนการทำอาหารมาอย่างไร จึงทำให้อาหารออกมาในสภาพที่น่าหวั่นเกรงขนาดนั้นได้


     

    “งั้นกูเอาข้าวผัดละกัน” เทพกล่าวเป็นคนแรก และอีกสองหนุ่มก็กล่าวเมนูอาหารตามที่ต้องการ ก่อนจะกดสั่งผ่านแอพพิเคชั่นในโทรศัพท์ ซึ่งก็ใช้เวลารอประมาณ 30 นาที ซึ่งปิ่นก็ทำการสั่งอาหารเผื่อรินที่ยังนอนอยู่เช่นกัน


     



     

    ระหว่างรอกลุ่มเพื่อนก็นั่งสนทนาเรื่อยเปื่อยเพื่อรออาหาร ก่อนที่จะได้ยินเสียงกริ่งจากหน้าบ้าน เทพจึงเป็นคนอาสาเดินไปเปิดประตูบ้านเอง ซึ่งพวกเขาก็คิดว่าเป็นคนส่งอาหารที่พวกเขากำลังรอนั่นเอง


     

    เมื่อเปิดมาก็พบกับคนส่งอาหารตามคาด เทพยื่นเงินให้กับชายส่งอาหาร แล้วจึงรับอาหารมา ยืนส่งเขาออกไปครู่หนึ่ง ก็กะจะกลับเข้าไปทานอาหารกับบรรดาเพื่อน ๆ แต่ก็พบกับบางคนที่เดินเล่นกับแมวอยู่ไกล ๆ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของชายหนุ่มไปได้ และทำให้เผลอเรียกทักออกไปแบบไม่ทันคิด


     

    “อ้ะ! เซีย!” สิ้นเสียงของเขาก็ทำให้หญิงสาวเจ้าของชื่อมองมา บรรดาเพื่อนในบ้านก็หันออกมามอง เนื่องจากเทพไม่ได้ปิดประตูไว้ และรินก็ตื่นขึ้นมาพอดีในสภาพงัวเงีย


     


     


     


     


     

    เวลาเหลืออีก 4 วัน 18 ชั่วโมง 40 นาที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×