ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Life In 7 Day] 7 วันในช่วงชีวิตสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #3 : วันที่ 1.2 : ชีวิตก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 66


    วันที่ 1.2 : ชีวิตก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง


     


     


     


     


     

    “ยะ… ยัยพวกนั้นมันปีศาจ!” เสียงครำครวญของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นขณะที่นั่งพักอยู่บนม้าในสวนสาธารณะแห่งเดิม ด้านข้างก็มีชายอีกคนนั่งคู่ด้วย ที่ในตอนนี้กำลังทำหน้าเศร้าอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ชายคนแรกคือเอก และคนที่นั่งทำหน้าเศร้าคือคินนั่นเอง


     

    “ฮะฮะ พวกมึงนี้มันตลกชะมัด ก็รู้ดีนี่หว่า ถึงความพิศวงของกระเพาะที่ใช้ในการกินอาหารของยัยพวกนั้นน่ะ” ชายอีกคนที่ยืนมองทั้งคู่หัวเราะเบาๆ และเอ่ยปลอบกับเพื่อนรักทั้งสองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้


     

    “กูกับปิ่นซื้อน้ำมาให้อ่ะ” ซักพักสองสาวก็กลับมาพร้อมกับกระป๋องน้ำอัดลมอีกสามกระป๋องในมือ แล้วโยนให้ชายหนุ่มทั้งสาม ซึ่งสีหน้าคินดูจะดีขึ้นเล็กน้อย ยกเว้นเอกที่รับกระป๋องที่ถูกโยนมาไม่ทันจนมันลอยมากระแทกหัวของเขาจนต้องลุกขึ้นโวยวาย ทำให้คนอื่นๆต่างก็หัวเราะให้กับเขา


     

    “ขอบใจ แล้วเราจะไปไหนกันต่อดีล่ะ?” เทพเป็นคนแรกที่เอ่ยหลังดื่มน้ำอัดลมเข้าไปจนหมด แล้วจึงถามถึงกำหนดการถัดมา ซึ่งรินหันไปปรึกษากับปิ่นครู่หนึ่งแล้วจึงหันมาถามฝั่งของชายหนุ่มทั้งสามแทน


     

    “แล้วพวกมึงอยากไปไหนกันล่ะ? พวกกูว่างทั้งวันจนถึงทุ่มนึง เพราะบอกพ่อกับแม่ไว้แล้ว” รินกล่าว ทำให้เทพก้มมองดูนาฬิกาซึ่งปรากฎตัวเลข 13.39 นาฬิกา แล้วเอกก็ได้ยกมือเสนอให้ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็ได้รับการยินยอมจากคนทั้งกลุ่ม แล้วจึงนั่งรอเอกอีกพักหนึ่ง ค่อยเริ่มออกเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าโดยใช้รถของคินไปในการเดินทาง


     



     

    “อืมม… ถึงซักที วันธรรมดาแท้ๆทำไมรถติดกันนักวะ” คินเอ่ยอย่างเบื่อๆเมื่อก้าวออกมาจากรถมาหากลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้า หลังวนหาที่จอดจนเจอ รินที่ได้ยินก็เอ่ยออกมาแบบเบื่อหน่ายไม่ต่างกัน


     

    “กูได้ข่าวว่าช่วงนี้มีงานไรซักอย่างในห้าง คนเลยเยอะแบบนี้อ่ะ” รินเอ่ยขณะมองห้างสรรพสินค้าซึ่งมีขนาดกว้างพอๆหรือมากกว่าสนามฟุตบอล มีทั้งหมด 4 ชั้น แล้วจึงเดินเข้าไปพร้อมกับพ้องเพื่อนอีก 4 คนหลังขอแวะไปห้องน้ำมา เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็ปรึกษากันว่าจะไปไหนที่แรก ซึ่งรินเสนอร้านไก่ทอด…


     

    “ “พอแล้วโว้ย!” ” คินและเอกเอ่ยพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย นั้นทำให้เทพ และสองสาวหัวเราะอย่างร่าเริง


     

    “ล้อเล่นน่า ไปดูหนังกัน! พอดีหนังใหม่เข้าโรง กูกับปิ่นอยากดูพอดีเลยน่ะ!” รินกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ทำให้สองหนุ่มดูใจชื่นขึ้นมาก แล้วคินก็ได้เอ่ยออกมาอย่างพอใจ


     

    “ขอแค่ไม่ใช่อะไรเกี่ยวกับของกินก็พอแล้ว” คินเอ่ยทำให้เอกพยักหน้าเสริม เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มเพื่อนทั้ง 5 ก็ได้ขึ้นบันไดขึ้นไปยังชั้น 4 เพื่อไปซื้อตั๋วภาพยนตร์เรื่องที่หมายตาไว้ ราคาตั๋วจ่ายกันเองของใครของมัน ซึ่งเวลาฉายภาพยนตร์คือเวลา 15.30 นาฬิกา เมื่อดูนาฬิกาก็พบว่ายังเป็นเวลา 14.47 นาฬิกาเท่านั้น ทำให้ต้องเดินเล่นเพื่อรอเวลาภาพยนตร์ฉาย


     

    “ไปไหนดีอ่ะปิ่น” รินหันไปปรึกษากับเพื่อนรักอย่างร่าเริงตามประสาสาววัยรุ่น โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังโซนเครื่องประดับที่กำลังลดราคา ณ ชั้น 3 สุดท้ายแล้วสองสาว และสามหนุ่มก็ได้แยกย้ายกันไป โดยสองสาวเดินดูเครื่องประดับด้วยกันใกล้ๆบันไดทางขึ้น


     

    ส่วนทางด้านสามหนุ่มก็ได้เดินเล่นหาสิ่งที่สนใจ และส่องสาวๆที่มาเดินห้างสรรพสินค้านี้ภายในตัว ซึ่งคนที่ได้รับความสนใจจากสาวๆมากที่สุดคือ เทพนั่นเอง เนื่องจากรูปร่างและหน้าตาของเขา ซึ่งอีกสองหนุ่มก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่โดนรัศมีของเทพมากกว่าก็เท่านั้นเอง


     

    “เหอะ! ไอ้หล่อเอ้ย! เดินกับมึงสาวไม่เคยแลกูเลยว่ะ!” เอกบ่นเล่นๆ ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกพาดพิงหัวเราะออกมา แล้วในตอนนั้นหางตาของเทพก็เหลือบไปเห็นโซนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ จึงได้ชวนอีกสองหนุ่มที่กำลังส่องสาวไปเดินดู


     

    “เฮ้ยเทพ! เม้าส์รุ่นที่มึงส่งให้ดูวันก่อนลดว่ะ!” คินเรียกเทพที่กำลังดูคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง ซึ่งเมื่อได้ยินคำของเพื่อน เทพก็ได้หันกลับมาดูอย่างสนใจ เช่นเดียวกับเอกที่เดินเข้ามาดู


     

    “เออว่ะโครตถูก เอาป่ะ? เดี๋ยวกูกับคินหารเงินซื้อให้ พวกกูยังไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดมึงเลย” เอกกล่าวขณะที่จับเม้าส์ดังกล่าวพลิกดู มันเป็นเม้าส์สีดำ-แดง ขนาดพอดีมือ เนื้อสินค้าค่อนข้างแข็งแรง เมื่อเทพได้ยินก็เพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยแบบขำๆเท่านั้น


     

    “ผ่านมา 2 เดือนละ มึงพึ่งนึกออกเหรอ?” กล่าวจบมั้งสามก็ได้หัวเราะออกมาพร้อมกันจนคนรอบข้างสะดุ้งอย่างช่วยไม่ได้ จนทั้งสามต้องลดเสียงที่ใช้พูดคุยกันลงเล็กน้อย


     

    ระหว่างที่ทั้งสามกำลังยืนเปรียบเทียบอุปกรณ์ที่สนใจ โดยคินยืนดูการ์ดจอใหม่ซึ่งอยู่ห่างถัดไปหนึ่งแถว เอกที่ยืนพิงกำแพงรอก็ได้หันหน้ามาถามเทพที่ยืนดูอุปกรณ์บนชั้นวางของที่ดูน่าสนใจข้างๆกัน


     

    “มึงจะทำยังไงต่อวะ?” เมื่อได้ยินคำถามคินที่ยืนอีกด้านก็ชะโงกหน้ามาดูเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปเลือกต่อ เทพก็ทำท่านึกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก


     

    “คงกลับบ้านนั่นแหละมั้ง? แล้วก็ไปหาอะไรกิ…” ไม่ทันที่จะได้พูดครบประโยค คินที่เดินมาก็ได้พูดขัดขึ้นมาก่อน


     

    “หมายถึงชีวิตมึงต่อจากนี้ต่างหาก” เมื่อได้ยินดังนั้น เทพก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแห้งๆแล้วกล่าวออกมา


     

    “กู… ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ…” เทพกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูหมองลง ทำให้เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงเดินดูของกันซักพัก ก่อนจะนำเม้าส์และอุปกรณ์แต่งอีกเล็กน้อยไปจ่ายเงิน แล้วจึงเดินกลับไปหาสองสาว


     

    เมื่อเดินมาถึง ก็ยังคงเห็นสองสาวเลือกซื้อของกันเช่นเดิม เพิ่มเติมคือฝูงคนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปทัก สองสาวก็เห็นพวกเขาเสียก่อน จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาทั้งสามคน


     

    “มากันพอดีเลย!” ริยเอ่ยอย่างดีใจขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามเดินมาหา ก่อนจะได้ทำอะไร คินก็เป็นคนแรกที่เอ่ยถาม


     

    “มีเรื่องไรกันวะ?” คินถาม เช่นเดียวกับอีกสองคนที่ทำหน้าสงสัย แต่แล้วก็ได้รู้คำตอบเมื่อสองสาววิ่งมายัดถุงที่ใส่ข้าวของเครื่องใช้ ประมาณ 5 ถุงใส่ในมือของพวกเขาคนละ 2 ถุง ยกเว้นเทพที่ได้ถือแค่ถุงเดียว แต่มืออีกข้างถืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของเขาและเพื่อนไว้แทน ก่อนที่สองสาวจะวิ่งกลับเข้าไปต่ออย่างเร่งรีบ


     

    “อะไรวะ?” เอกหันมาถามแบบสีหน้ามึนๆ กับอีกสองคนที่ทำหน้าตาไม่แตกต่างกัน


     

    “กูก็ไม่รู้ ไม่ต้องถามกู” คินกล่าวอย่างเซ็งๆ แล้วจึงเดินตามสองสาวเข้าไป เมื่อเห็นดังนั้นเพื่อนหนุ่มอีกสองคนจึงเดินตามเข้าไป


     



     

    “ไม่ได้รู้สึกสนุกขนาดนี้ในรอบปีเลยนะเนี้ย!” รินหันไปคุยกับปิ่นด้วยหน้าตาชื่นบาน แต่ก่อนที่จะได้คุยอะไรกันมากไปกว่านี้ ชายคนด้านหลังก็ได้พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน


     

    “พวกกูดิต้องเหนื่อย! ต้องมาแบกของให้พวกมึงเนี้ย!” ชายคนดังกล่าวคือคิน ผู้ที่ได้รับสัมภาระมากที่สุดจากทั้งสามคน ซึ่งกำลังถือถุงสินค้าหลายถุงในมือทั้งสองข้าง


     

    “น่าๆ เดี๋ยวพวกกูเลี้ยงป๊อปคอร์นนะ” รินพูดด้วยรอยยิ้ม เช่นเดียวกับปิ่นที่ยิ้มแห้งๆให้


     

    “เออๆ แล้วนี่กี่โมงแล้ววะ?” เมื่อคินเอ่ยทักทำให้เทพต้องก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือของตน ทำให้เห็นว่าขณะนี้เป็นเวลา 15.24 นาฬิกาใกล้จะครึ่งแล้ว ทำให้กลุ่มพ้องเพื่อนที่รู้ ก็ได้เร่งรีบวิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ก่อนที่จะเริ่มฉาย


     

    เมื่อเดินเข้ามาแล้วทั้ง 5 ก็ได้เดินไปนั่งตามที่ๆตกลงกันไว้ โดยกลุ่มของเขาอยู่แถวกลางๆ โดยเอก คิน เทพ ริน และปิ่นนั่งเรียงกันตามลำดับ ซึ่งข้าวของที่สองสาวซื้อมาก็วางไว้บริเวณด้านหน้าของพวกเขา ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง


     

    ภาพยนตร์เรื่องที่พวกเขาเข้ามาชมกัน มีชื่อเรื่องแปลไทยออกมาว่า ‘ชีวิตหนึ่งกระดาษ’ เป็นแนวรักดราม่าฝีมือคนต่างชาติ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เฉพาะทางทำให้คนเลือกดูน้อย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่เป็นคู่รักกันตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกัน


     

    เมื่อเรียนจบแล้วทั้งสองก็ได้หาที่ทำงาน โดยชายหนุ่มเป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อยครั้ง ส่วนหญิงสาวเป็นพนักงานบริษัทที่ต้องรับความกดดันทุกวันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างตกต่ำ ซึ่งทำให้ทั้งสองคนไม่ได้พบกันบ่อยนัก จนความสัมพันธ์เริ่มห่างกัน


     

    และด้วยฝ่ายชายที่เดินทางบ่อยทำให้พบผู้คนมากมาย ทำให้นอกจากความรู้สึกกดดันที่ฝ่ายหญิงสาวต้องพบ ยังทำให้เกิดความไม่พอใจจนเกิดเรื่องทะเลาะกันบ่อยครั้งแม้แต่เรื่องเล็กน้อย จนกระทั่งวันหนึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้พังลง เนื่องจากฝ่ายชายหนุ่มทนไม่ไหว


     

    ฉากสุดท้ายเป็นตอนที่ทั้งคู่ตกลงนัดกันเพื่อที่จะจัดการปัญหาซึ่งกันและกัน แต่กลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับหญิงสาวระหว่างเดินทางจนถึงแก่ชีวิต มันทำให้ชายหนุ่มสะเทือนใจอย่างมาก จนเกิดความเสียใจที่เขาไม่ดูแลเธอให้ดีกว่านี้ก่อนที่เธอจะจากไป…


     

    หลังจบภาพยนตร์ก็ได้มีประโยคหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าก่อนที่จะเริ่มเอ็นเครดิต


     

    ‘ชีวิตก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง...’ ซึ่งมีเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่แสดงขึ้นมาก และไม่มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นนอกจากเอ็นเครดิต


     



     

    “เนื้อเรื่องเศร้าจังเลยอ่าา” รินกล่าวขณะที่เช็ดน้ำตาจากความอินในภาพยนตร์ เช่นเดียวกับปิ่นที่เช็ดหยดน้ำตาออก ก่อนจะชวนเพื่อนทั้งกลุ่มให้เข้าไปนั่งพักร้านกาแฟด้านนอกเพื่อเปลี่ยนอารมณ์


     

    มันเป็นร้านเล็กๆที่ไม่มีคนนิยมมากนักตามนิสัยแปลกๆของกลุ่มที่ชอบเลือกร้าน ภาพยนตร์ หรือสิ่งของที่ไม่เป็นที่นิยมเช่นนี้ เมื่อสั่งเครื่องดื่มกันแล้วก็ได้เดินไปหาที่นั่งบริเวณโต๊ะที่ว่างๆแล้วจึงเข้าไปนั่งคุยกันเรื่องภาพยนตร์ที่พึ่งดูมา


     

    “เนื้อเรื่องค่อนข้างดีล่ะนะ แต่ที่อยากชมคงจะเรื่องคนแสดงนั่นแหละ ที่แสดงให้คนบางคนร้องไห้ได้ขนาดนี้” คินพูดแซวก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย ทำให้รินที่รู้ตัวว่าตกเป็นหัวข้อสนทนาก็ได้หันมามองตาขวาง


     

    “อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะ! ที่ตอนจบเรื่องมึงแอบเช็ดน้ำหูน้ำตาเหมือนกันน่ะ!” รินเอ่ยทำให้คินเงียบลงไปทันที ทำให้กลุ่มของเขาก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ผ่านไปครู่เดียวทุกคนก็ได้รับเครื่องดื่มของแต่ละคนจนครบ


     

    “แต่คนแสดงก็ดีอย่างที่ไอ้คินมันพูดนะ แม่งเข้าถึงอารมณ์จริงๆ แต่ส่วนตัวกูชอบเรื่องสถานที่มากกว่า จัดได้โครตจะลงตัวเลย มึงล่ะปิ่น?” เอกได้กล่าวสมทบออกมาหลังที่ฟังคินพูดแล้ว เนื่องจากชื่นชมกันจัดวางนำแหน่งสถานที่ในภาพยนตร์ แล้วจึงยกชาเขียวของตนดื่ม ก่อนจะหันไปถามหญิงสาวอีกคนที่กำลังยกดื่มชาเย็นแบบช้าๆ


     

    “กูชอบเนื้อเรื่องนะ มันค่อนข้างให้ข้อคิด แถมยังอิงกับความจริงไม่ได้สวยงามอะไรขนาดนั่นน่ะนะ แล้วมึงอ่ะ?” ปิ่นกล่าวออกมา มันให้ทุกคนคิดตามไปด้วย ก่อนจะหันมาถามเทพที่นั่งดื่มกาแฟดำอย่างสบายใจ เขาทำท่านึกเล็กน้อย


     

    “ชอบความสัมพันธ์ตัวละครล่ะมั้ง? เพราะรู้สึกชอบนั่นแหละ” เทพเอ่ยเรียบๆแล้วดื่มกาแฟดำต่อ ก่อนจะหันไปสั่งต่ออีกแก้ว ทำให้คินที่กำลังดื่มอเมริกาโน่ และรินที่ดื่มชานมไข่มุกหันมามองอย่างตะลึง


     

    “มึงกินกาแฟดำขนาดนั้นได้ไงเนี้ย?” เนื่องจากเป็นผู้หญิงซึ่งชื่นชอบของหวาน การจะสงสัยเทพที่ดื่มกาแฟดำเข้ม ที่สุดแสนจะขมนั่นจึงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับคินที่ไม่สามารถดื่มกาแฟที่เข้มขนาดนั้นได้ มันทำให้เขายิ้มอ่อนๆ


     

    “กูก็ยังสงสัยอยู่เลยว่ามึงกินชานมไข่มุกขนาดนั้นได้ยังไง?” เทพกล่าว ทำให้คินหัวเราะออกมาตามด้วยเอก และปิ่น เนื่องจากรินเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชานมไข่มุก ถึงขนาดที่เคยเกือบจะติดจนเลิกไม่ได้เลยทีเดียว


     


     


     


     


     

    เหลือเวลาอีก 6 วัน 6 ชั่วโมง 52 นาที

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×