คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : แผนการร้ายของแซม
ความสงบสุขจอมปลอมกำลังครอบงำซางตานีโอ เมืองท่องเที่ยวที่ยังคงดูมีสีสันต์ทั้งในยามกลางวันและยามกลางคืน เมืองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ยังได้ยินเสียงพูดคุยสนุกสนานของผู้คนอย่างมีความสุข โดยไม่มีใครคาดคิดเลยว่า อีกเพียงไม่กี่วัน ภัยสงครามจะย่างกรายเข้ามาทำลายล้างทุกสิ่ง!
ชายเร่ร่อนนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นบริเวณซอกตึกแคบๆ เขาเหม่อลอยออกไปข้างหน้า เฝ้ามองผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ผ่านหน้าไปคนแล้วคนเล่าด้วยความลำบากใจ และใบหน้าซีดๆอิดโรยนั้น ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวบางคน ถึงกับขว้างเหรียญเงินเล็กๆมาให้ด้วยความสงสาร
“ขอบคุณท่านมากครับ”
ชายเร่ร่อนเอ่ยขึ้นแล้วค่อยๆคลานไปหยิบเหรียญเงินด้วยมือสั่นเทา เขาไม่ได้ขาดอาหารจนตัวสั่น แต่กำลังหวาดกลัว ดวงตาสีฟ้ายิ่งสั่นสะท้าน เมื่อได้มานั่งพิจารณาหาทางออกของศึกสงคราม เพื่อช่วยผู้คนทั้งเมืองก็ยังไม่อาจหาหนทางใดได้
“คงเหลือแค่ทางเดียวเท่านั้น”
เขาเปรยกับตนเองแล้วลุกขึ้น ชายเร่ร่อนสวมเสื้อผ้าเก่าๆขาดรุ่งริ่ง เดินหายลับไปในซอกตึกมืดสนิทของซางตานีโอ เขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงหน้ามหาวิหารพร้อมกับก้าวเท้าออกมาจากความมืดในซอกแคบๆนั้น ด้วยรูปลักษณ์ของอาร์คบิชอปผู้สูงศักดิ์ บัดนี้เขาตัดสินใจเอาไว้แล้ว เขาต้องช่วยซางตานีโอ
“ท่านคิดบ้าอะไร กาเบรียล!”
เคนิสยกกำปั้นฟาดเปรี้ยงบนโต๊ะทำงานของอาร์คบิชอปดังลั่น ดวงตาสีดำของเธอจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจไปยังอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอที่เพิ่งเดินเข้ามายังที่ทำการมหาวิหารเงียบๆกลางดึก
“ท่านก็น่าจะรู้สาเหตุที่ฉันต้องมาอยู่ซางตานีโอ แล้วนี่มันอะไรกัน!”
เคนิสโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า เธอขว้างหนังสือคำสั่งที่เพิ่งได้รับมาหยกๆไปเบื้องหน้าอาร์คบิชอป
“เกิดบ้าอะไรถึงจะส่งฉันไปซิลเทียเรสเอาตอนนี้!”
“ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเคนิส ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป”
กาเบรียลเอ่ยเสียงเรียบตอบเคนิส ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายจริงจังและปะปนไปด้วยความตึงเครียด
“แต่ฉันไม่ยอมให้ท่านอยู่เมืองนี้คนเดียว ! พร้อมกับ ลูซิเฟอร์ และหนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจนั่นหรอกนะ ! กรุณาทบทวนคำสั่ง ! ท่านกาเบรียล!”
เคนิสระเบิดอารมณ์ออกมา เธอกำหมัดแน่น เมื่อไม่อาจจะยอมรับคำสั่งที่เพิ่งได้มาหยกๆนี้ได้ คำสั่งที่เหมือนกับการเปิดช่องโหว่อันตรายเอาไว้ คำสั่งที่เหมือนกับหมากตัวหนึ่งที่กำลังเดินตามแผนของใครบางคนที่กำลังจ้องมองมาในความมืดเสมอ
“แล้วจะให้ฉันทิ้งนัวร์ และเมืองนี้หรือไง”
น้ำเสียงเรียบๆของอาร์คบิชอปเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกลัดกลุ้ม ดวงตาสีฟ้ายิ่งสั่นสะท้านเมื่อเขาพูดถึงนัวร์ โครวิส เจ้าเมืองซางตานีโอ
“นัวร์รับมือสงครามนี้คนเดียวไม่ไหวหรอกเคนิส ซางตานีโอในตอนนี้ทำอะไรซิลเทียเรสไม่ได้ ต่อให้ตั้งรับกองทัพทมิฬ หรือแม้แต่ให้พลเมืองทั้งหมดลี้ภัยก็ยังทำไม่ได้”
เคนิสยืนค้างนิ่งเมื่อได้ยินเรื่องสงคราม เธอเบิกตากว้างทันทีเมื่อได้ยินคำว่ากองทัพทมิฬ กองทัพอมนุษย์ที่ไร้เทียมทานที่สุดในซิลเทียเรส และกำลังจะเข้าจู่โจมซางตานีโอในไม่ช้า
“ เคนิส ! ฉันจะบอกเรื่องนี้กับนัวร์ทีหลัง ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้ คือการตัดกำลังฝ่ายซิลเทียเรส หาจุดอ่อนหรือแนวทางรับมือ และยิ่งดีที่สุดถ้าหากเรายุติสงครามได้ก่อนจะมีการยกทัพมาจริงๆ นี่ไม่ใช่สงครามธรรมดา ฉันไม่อยากให้เจ็ดนครสุดท้ายต้องล่มสลายเหมือนดินแดนเชล”
อาร์คบิชอปผมทองยิ่งดูตึงเครียดกว่าเก่า ใบหน้างดงามดูอิดโรยลงมาก เขาค่อยๆนั่งลงที่โต๊ะแล้วยกมือกุมขมับ
“พวกเราประชุมกันลับๆทางเฮฟเว่นพาสเมื่อวานนี้ ข่าวสารไม่สู้ดีนัก ไม่มีลู่ทางอพยพผู้คนทั้งเมืองเพราะรีแบร์ก็เข้ากับซิลเทียเรส ลอร์แซมเบิร์กก็ยังมีปัญหาโรคระบาดร้ายแรงจนปิดพรมแดนไปแล้ว เกาะซอร์ก็เล็กเกินไป ซาเวียร์เองก็กำลังเผชิญกับสงครามศาสนา และสุดท้ายเมืองทางใต้อย่างอาโรนก็ยังเกิดภัยแล้งจากลมนรกที่พัดเข้ามาเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้หัวเมืองทั้งหมด ไม่มีเมืองใดสามารถรองรับผู้อพยพป็นแสนๆคนได้”
ข่าวคราวเพียงไม่นานหลังจากเพิ่งประชุมอาร์คบิชอบในร้านสังฆภัณฑ์ ตอนนี้ภัยร้ายแรงกำลังโหมกระหน่ำเข้าสู่มหานครทั้งเจ็ด ภัยร้ายที่ดูเงียบๆมานาน ภัยร้ายที่เหมือนกับเป็นความขัดแย้งทั่วๆไปที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย แต่เบื้องหลังนั้นมักมีผู้คอยชักใยความขัดแย้งอยู่เงียบๆ
เจ็ดขุนพลปีศาจ!
เคนิสกำหมัดแน่น หากก้าวพลาดแม้เพียงก้าวเดียวก็จะพ่ายแพ้ต่อกลลวงของมารร้าย เธอจะทำยังไงดี ทิ้งอาร์คบิชอปไว้ที่นี่ แล้วก้าวเท้าตามแผนการ หรือจะขัดคำสั่งเพื่อไม่เปิดช่องว่างให้ฝ่ายนั้นรุกเข้ามาได้ แล้วปล่อยให้ซางตานีโอเป็นไปตามยถากรรม
“เคนิส นี่ไม่ใช่สงครามสวรรค์ แต่นี่คือเกมศึกสงครามที่กำลังใช้โลกทั้งใบเป็นเดิมพัน พวกเราพยายามกันมนุษย์จากสงครามนี้แล้ว แต่ปีศาจนั้นไม่ ดังนั้นถ้าฉันต้องตายก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ซางตานีโอยังต้องอยู่”
ดวงตาสีฟ้าเข้มดูจริงจังจนเคนิสต้องถอนหายใจ เธอสงบสติอารมณ์แล้วยิ้มแห้งๆขณะมองหน้าอาร์คบิชอป
“กาเบรียล ท่านต้องตายเยี่ยงมนุษย์มากี่ครั้งกี่หลแล้วละ”
อาร์คบิชอปผมทองเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดของเคนิส เขาค่อยๆขยับยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบกลับมาง่ายๆโดยไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“มันเป็นหน้าที่ของฉัน”
“หึ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปซิลเทียเรส”
เคนิสเอ่ยขึ้นเรียบๆแล้วถอยออกมาพิงผนัง ก่อนจะลืมตามองอาร์คบิชอปผู้งามสง่าตรงหน้าชัดๆอีกครั้งหลังจากนี้เธออาจจะไม่ได้เห็นเขาอีก หรือถ้าโชคดีเขาก็จะปลอดภัย แต่ถ้าไม่!
ทันใดนั้นก็มีเสียงประตูเปิดเข้ามา ใครคนหนึ่งสวมชุดนักพรตก้าวฉับๆตรงเข้ามาหากาเบรียล เขาสวมฮูดคลุมศีรษะเอาไว้ แต่แสงเรืองรองแดงฉานจากดวงตาทั้งสองข้างในความมืด ทำให้หญิงสาวผมดำทราบใดทันทีว่านี่คือเจตภูต
“อาร์กัส ?”
เคนิสเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเขาสวมเกาะอ่อนราวกับอัศวินภายใต้เครื่องแบบนักพรตซางตานีโอแบบเก่า เข้ามาในมหาวิหารกลางดึก
“มาแล้วหรืออาร์กัส”กาเบรียลยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นเขา
“ขอรับ” อาร์กัสตอบเบาๆแล้วค่อยๆดึงฮูดคลุ่มศีรษะออก
“ไม่ได้พบกันตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน ครั้งนี้ฉันต้องขอความร่วมมือกับเธออีกครั้ง”
กาเบรียลเอ่ยขึ้นพลางยื่นเอกสารชุดหนึ่งให้อาร์กัส
“ฉันจะแต่งตั้งคณะนักพรตไปเข้าเงียบในซิลเทียเรสอย่างลับๆ โดยให้เธอเป็นหัวหน้าคณะเดินทางในครั้งนี้”
พรตหนุ่มรับเอกสารจากมืออาร์คบิชอป แล้วค่อยๆก้มลงอ่าน ในนั้นเขาเห็นรายชื่อนักพรตของซางตานีโอประมาณสิบคนรวมทั้งตัวเขาเอง และมีผู้ช่วยด้านเครื่องอาคมที่จะติดตามไปด้วยอีกหนึ่งคนคือเคนิส เอกสารนั้นมองเผินๆก็เหมือนกับโครงการเข้าเงียบประจำปีของคณะนักพรตสองหัวเมืองอย่างซิลเทียเรสและซางตานีโอ การเข้าเงียบที่เป็นการรวมตัวกันเพื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของการเป็นนักพรต และไตร่ตรองชีวิตกับพระเจ้าของแต่ละคน แต่เบื้องหลังนั้นทั้งหมดมีภารกิจอื่นแอบแฝง ภารกิจที่ต้องยุติสงครามระหว่างซางตานีโอและซิลเทียเรส ไม่ก็ผ่อนหนักให้เป็นเบา
“มิคาเอล รอพวกเธออยู่ที่นั่น รีบเดินทางกันคืนนี้ ฉันเตรียมเรือไว้เทียบท่าแล้ว”
พวกเคนิสโค้งคำนับให้อาร์คบิชอปแล้วเดินจากห้องไปเมื่อสิ้นสุดคำสั่ง หล่อนหันมามองเขาครู่หนึ่งด้วยความกังวล ดวงตาสีดำจับจ้องไปยังบุรุษดวงตาสีฟ้าที่ยังพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มมาให้
“ท่านรักษาตัวด้วยก็แล้วกัน”
ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องรีบตรงดิ่งไปที่ท่าเรือ ทั้งสองเดินลัดเลาะผ่านซอกซอยแคบๆตรงไปยังท่าเรือเล็กๆของมหาวิหาร ท่าเรืออันเปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด แต่ก็ยังมีเงาตะคุ่มของกลุ่มคนเก้าคนที่กำลังรออยู่ พวกนั้นถือตะเกียงหลอดไฟประดิษฐ์ แล้วยกขึ้นลงเป็นสัญญาณให้พวกเธอรีบตรงไปหา
“เร็วๆเข้าทั้งสองท่าน เราต้องเร่งออกเรือแล้ว”
พวกเคนิสรีบตรงไปยังกลุ่มคนทั้งเก้า ทั้งหมดเป็นนักพรตที่สวมชุดสีน้ำตาลเข้มตามธรรมเนียมโบราณของซางตานีโอ แต่ละคนสวมเกราะอ่อนไว้ด้านในเช่นเดียวกับอาร์กัส นี่คือคณะนักพรตของซางตานีโอ นักพรตสายพิฆาตความมืดของอาร์คบิชอปกาเบรียลในยุคปัจจุบัน นักพรตที่กาเบรียลให้ความไว้วางใจที่สุด ทั้งด้านฝีมือ และความซื่อสัตย์
อาร์กัสมองดูนักพรตเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น เขาคิดถึงเหลือเกิน เหล่านักพรตชุดสีน้ำตาล ที่เหมือนกับเขา เหมือนกับเพื่อนพ้องในคณะนักบวชเมื่อพันปีก่อน
“พวกเรายินดีที่ได้ร่วมเดินทางกับบุคคลในตำนานของซางตานีโอ ท่านเคนิส จากตระกูลบริสตั้น และท่านนักพรตเจตภูตอาร์กัส”
พวกนั้นยื่นมือมาจับทักทายทั้งสอง แล้วรีบขึ้นไปบนเรืออย่างรีบเร่ง แต่ละคนทำหน้าที่บนเรือใบขนาดใหญ่ได้ดีเยี่ยม แยกย้ายกันกางใบเรือ แล้วเริ่มแล่นใบออกจากท่า แสงตะเกียงเล็กๆจากหลอดไฟประดิษฐ์ทุกดวงถูกดับลง ทุกสิ่งมืดสนิททันที เมื่อพวกเขาออกไปยังแม่น้ำเชลแล้ว เรือสีดำที่แล่นเร็วจี๋ตามกระแสลมก็ดูราวกับล่องหนได้
“พวกท่านถนัดการเดินทางแบบลับๆล่อๆดีนะ”
เคนิสว่าพร้อมกับยิ้มออกมา เมื่อนักพรตของกาเบรียลแต่ละคน ดูราวกับจะเป็นผู้คุมเรือเดินสมุทรชั้นเยี่ยม
“ครับ พวกเราเป็นนักพรตที่ต้องออกแพร่ธรรมอยู่เสมอ บางทีก็ต้องเเล่นใบผ่านเขตหวงห้าม ต้องออกมหาสมุทรเพื่อเข้าเขตนครอื่นบ่อยๆครับ ท่านเคนิส”
นักพรตที่คุมเรืออยู่เอ่ยตอบเคนิสอย่างสุภาพ ชายคนนั้นหันไปมองอาร์กัสอย่างสนใจเพราะยังเผลอมองเห็นดวงตาสีแดงฉานเรืองรองออกมา
“และพวกผมก็เพิ่งจะเคยเห็น นักพรตที่เป็นเจตภูตครั้งแรกในชีวิต”
อาร์กัสหันมามองนักพรตอื่นๆที่ยังจ้องมองมาทางตน พรตปีศาจที่เลือกจะเงียบเสียนานจึงค่อยๆขยับปากพูด
“ขอรับ ข้าเองก็ดีใจที่ได้ร่วมงานกับนักพรตซางตานีโอในยุคนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเพิ่งเคยเดินทางมาซิลเทียเรส”
“อะไรนะ! ท่านอยู่มาตั้งพันกว่าปีแต่ยังไม่เคยไปซิลเทียเรส”
“ขอรับ ปกติงานของข้า คือดูแลชายแดนป่าเดียวดายทางเหนือของซางตานีโอ นานๆครั้งจึงจะได้มีโอกาสเข้ามาในเมืองขอรับ”
“หายาก ! ท่านเป็นดั่งของหายากจริงๆ”
แล้วนักพรตทั้งเก้าก็เริ่มพูดคุยกับอาร์กัส พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในยุคพันปีก่อนและในยุคปัจจุบันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับหญิงสาวผมดำอีกคนกำลังยืนนิ่งด้วยความกังวล สัพเสียงรอบกายราวกับอยู่ห่างออกไปแสนไกล เคนิสหันกลับไปมองแสงไพเป็นจุดเล็กๆของซางตานีโอที่เริ่มไกลขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ลับหายไปจากสายตา
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปละ กาเบรียล!”
สายลมรุนแรงราวกับจะหอบเอาเสียงที่ดังขึ้นในจิตใจกลับไปยังซางตานีโอ มันพัดรุนแรงสวนทางกับสายลมจากป่าเดียวดายที่พัดลงใต้ กระแสลมแปลกๆที่พัดมาครู่เดียวแล้วหายไป เคนิสเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในซางตานีโอ เธอรู้สึกถึงการจับตามองของผู้อยู่ในความมืดจากเมืองที่เพิ่งจากมา หล่อนได้แต่กัดฟันกรอด เมื่อไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมุ่งไปซิลเทียเรสเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ท่ามกลางความมืดในคืนดึกสงัด ชายผู้หนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง พร้อมกับกล้องส่องทางไกล เขาส่องกล้องอยู่เช่นนั้นมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้นแล้วอยู่ๆรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏออกมา เมื่อดวงตาสีทองได้พบความเคลื่อนไหวแปลกๆในเมืองเข้าโดยบังเอิญ
“แซม! นั่นคุณทำอะไรลับๆล่อๆ”
เด็กหนุ่มผมขาวโพลน วิ่งขึ้นกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว เกรย์ ฟีเดอาโก้ ตัดสินใจที่จะยังไม่รายงานอาร์คบิชอปกาเบรียลถึงเรื่องที่เขาสืบมาได้ เขายังไม่อยากเป็นเบี้ยของปีศาจตนนี้ เพราะถ้าหากเจ้าเมืองซางตานีโอต้องมาขัดแย้งกับอาร์คบิชอปในช่วงที่สงครามจะเกิดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่เขาควรทำคือจับตามองปีศาจตนนี้เอาไว้ และขัดขวางมันให้ได้มากที่สุด
“หืม? นี่หรือ ฉันแค่ลองของเล่นใหม่ที่ได้จากท่านนัวร์ นายจะลองเอาไปส่องดูเมืองสวยๆยามค่ำคืนดูหน่อยมั้ยละ”
แซมว่าแล้วโยนกล้องให้ฟีเดอาโก้
“คุณกำลังวางแผนอะไรอยู่แน่ๆ!”
เด็กหนุ่มจ้องมองบุรุษผมสีเงินจากลอร์แซมเบิร์กอย่างไม่ไว้วางใจ
“แผน ? ฉันยังไม่ได้คิดแผนอะไรสักหน่อย”
แซมบอกปัดอย่างสบายอารมณ์แล้วเดินลงจากกำแพงเมือง
“ผมไม่เชื่อคำพูดปีศาจ!”
“ใช่ ! นายไม่เชื่อ แต่เจ้าเมืองซางตานีโอเชื่อ! แค่นั้นก็พอแล้ว”
อยู่ๆแซมก็หัวเราะกึกๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่วิ่งตามตนเสมอนั้นทำตาเหลือกออกมา
“ฉันไม่ได้จะทำอะไรเมืองนี้สักหน่อย ฉันแค่ทำในสิ่งที่เจ้าเมืองร้องขอ มนุษย์นั้นไม่สนใจหรอก ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือปีศาจ พวกนั้นสนแค่ว่าฝ่ายไหนให้ผลประโยชน์ได้มากกว่ากันเท่านั้น ช่างเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว สักวันหนึ่งนายจะได้รู้ ว่าบางทีปีศาจอย่างฉันอาจจะยังน่าคบกว่ามดปลวกพวกนั้นเป็นไหนๆ”
“ปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างคุณ ผมไม่คบด้วยหรอก”
“นั่นสิ ถ้าเรื่องเจ้าเล่ห์ฉันไม่เถียงนาย แต่จะเรียกว่าเจ้าเล่ห์ได้มั้ย เพราะฉันก็แค่รู้เท่าทันเกมพวกนายเท่านั้น”
บุรุษผมสีเงินหัวเราะร่า เขาหันขวับไปมองยังทิศใต้ของซางตานีโอ มองไปยังทิศทางที่เหล่านักพรตทั้งสิบ และดาร์ค บริสตั้น ได้แล่นใบจากไป บราเดอร์แซมยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ดวงตาสีทองเปล่งประกายเมื่อต้องแสงจันทร์
“คิดจะเดินหมากแข่งกับฉันแล้วหรือ กาเบรียล”
อยู่ๆแซมก็เอ่ยชื่ออาร์คบิชอปออกมา จนเด็กหนุ่มอีกคนสะดุ้งโหยงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“คุณคิดจะทำอะไร!”
ฟีเดอาโก้รีบขวางหน้าแซมพร้อมกับหยิบหน้าไม้ออกจากกระเป๋าเล็งมาที่ปีศาจผมเงินมากเล่ห์ด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องไปยังดวงตาสีเดียวกันของปีศาจร้าย ที่ยังทำหน้าทำตาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“เอ้า! อยากยิงฉันให้ตาย ก็ยิงสิ แต่นาย.........ทำไม่ได้หรอก”
ปีศาจว่าแล้วยิ้มเยาะ
“ทำไมผมถึงทำไม่ได้”
“นั่นเพราะว่านายมันไม่มีปัญญาทำอะไรฉันได้ยังไงละ”
“อะไรนะ!”
“วาจาสิทธิ์ของนายก็ใช้ไม่ได้แล้วนี่ คิดว่าของอย่างนั้นจะทำอะไรฉันคนนี้ได้เหรอไง เก็บหน้าไม้นั่นลงซะ เรื่องประเมินกำลังฉันคิดว่านายเองก็น่าจะฉลาดพอ และขอบอกให้รู้ไว้ด้วยว่าฉันคนนี้ จงใจมองข้ามเกรย์ บริสตั้น อย่างนาย เพราะว่านายมันกระจอก!”
เด็กหนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง รู้สึกเจ็บใจจนทำอะไรไม่ถูก ใช่แล้ว เขาทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา มนุษย์ธรรมดาที่จะถูกปีศาจระดับนายพลกำจัดทิ้งไปง่ายๆ ที่นี่ไม่มีเคนิส ไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากกาเบรียล!
“นายต้องการอะไรกันแน่ !”
“หมากขวางทางเกะกะฉัน ก็ออกจากเมืองนี้ไปแล้ว นายเองก็กระจอกเกินไป แต่ละหัวเมืองลูกน้องของฉันก็กำลังเล่นงานอยู่ คงไม่มีพวกอาร์คบิชอปหน้าไหนว่างมายุ่งหรอก ตัวเกะกะขวางทางตอนนี้มีแค่หมากตัวนั้นเท่านั้น”
แซมว่าขณะมองไปยังมหาวิหาร บุรุษผมเงินยิ้มเยาะก่อนที่จะหันหลังกลับมาก็ไม่เห็นเด็กหนุ่มอีกคนยืนอยู่อีกแล้ว เกรย์ ฟีเดอาโก้ บริสตั้นรีบจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้หนี แต่กำลังไปหาอาร์คบิชอป ตัวหมากที่ขุนพลปีศาจตนนั้นหมายตาอยู่ มันจะเป็นแผนหรืออะไรก็ช่าง แต่เขาต้องรายงานทุกอย่างกับอาร์คบิชอปอย่างไม่มีทางเลือก และเขาไม่ยอมให้ปีศาจตนนั้นเข้ามาทำอะไรได้อย่างเด็ดขาด
“น่าเสียดาย ทั้งๆที่ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนายแท้ๆ ”
แซมบ่นแล้วถอนหายใจ
“อ้า ใช่ ยังมีหมากอีกตัว ที่ต้องเดินให้เรียบร้อย”
เขารีบก้มหยิบกระเป๋าเอกสาร แล้วเดินตรงดิ่งหายไปในความมืด และพริบตานั้นเขาก็ก้าวเข้ามายังห้องว่าราชการของซางตานีโอ ปีศาจแซมไม่ปกปิดตนเองอีกแล้ว เขาเข้ามายังห้องที่ล็อคปิดสนิทจากทางใดไม่ทราบ และในนั้นมีเพียงเจ้าเมืองซางตานีโอที่ยังทำหน้าเคร่งเครียดอยู่เพียงลำพัง
“ข้ากำลังรอเจ้าอยู่พอดี”
เจ้าเมืองที่คุ้นเคยกับปีศาจ เขาไม่หวาดกลัวกับการปรากฏกายอย่างลึกลับของแซมอีกต่อไปแล้ว บุรุษผมดำสูงศักดิ์เหลือบตาสีม่วงเข้มมองบุรุษผมสีเงินตรงหน้าอย่างยินดี
“สนธิสัญญาที่ท่านนัวร์ให้ผมแปลให้ อยู่นี่แล้วครับ”
“ขอบใจ”
“แล้วผมยังมีอีกเรื่องที่จะรายงานท่านด้วยครับท่านนัวร์”
เจ้าเมืองซางตานีโอรับเอกสารจากมือของแซม ก่อนจะมองหน้าเขาด้วยความกังวล ชายผู้นี้มักมีข่าวแปลกๆมารายงานเขาได้เสมอและมักไม่ใช่เรื่องที่สู้ดีนักสำหรับเขาและซางตานีโอ แต่สิ่งที่แซมรายงานนั้นก็ไม่เคยเป็นข่าวเท็จ
“ว่ามา”
“ตอนนี้อาร์คบิชอปกาเบรียล ได้ส่งคนของเขาไปยังซิลเทียเรส”
“ซิลเทียเรส!”
“ครับ เพิ่งไปเมื่อครู่นี้เห็นจะได้”
นัวร์เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก เขาค่อยๆทิ้งตัวเองนั่นลงกับเก้าอี้ราวกับกำลังได้ยินเรื่องร้ายแรงจนขยับเขยื้อนไม่ได้ไปครู่หนึ่ง แล้วทันได้นั้นดวงตาสีม่วงเข้มก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เจ้ารู้มั้ย ว่ากาเบรียลส่งคนไปที่นั่นทำไม”
แซมรีบส่ายหน้า ก่อนจะรีบตอบ
“ทำไมท่านไม่ไปถามอาร์คบิชอปดูเองละครับ”
“ไม่ต้องถามอะไรให้มากความแล้ว ! ชายคนนั้นนำผีร้ายมาจากลอร์แซมเบิร์ก ปกปิดข้าทุกอย่างตั้งแต่เรื่องกล่องอีทูลัส แอบซื้อตัวทาส แล้วยัง.....แอบส่งคนไปซิลเทียเรส เขาเป็นภัยต่อซางตานีโอแน่ๆ แล้วเจ้ารู้หรือไม่แซม ว่าซิลเทียเรสส่งสารเฮ็งซวยนี่มาถึงข้ากี่ฉบับแล้ว”
นัวร์โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาหยิบแฟ้มหรูหราออกมา แล้วขว้างทิ้งไปเบื้องหน้าแซมอย่างเกลียดชัง มือไม้สั่นเทาไปหมด เมื่อยิ่งได้รู้ว่า อาร์คบิชอปที่ตนไว้ใจกำลังหักหลังก็ยิ่งเริ่มฉุนเฉียว
“ซิลเทียเรสส่งสารมาหาข้าทุกปี พวกมันส่งมาบอกว่าให้ข้ายกซางตานีโอให้มัน! พวกสารเลวนั่นอ้างสนธิสัญญาบ้าบอตั้งแต่เมื่อ ห้าพันปีก่อนเพื่อจะมายึดที่นี่ แล้วขับไล่ชาวเมืองซางตานีโอให้เป็นทาส คิดว่าเรื่องบ้าๆนี่ข้าจะยอมรับได้ยังไง!”
นัวร์โมโหจนเลือดขึ้นหน้าเมื่อยิ่งเห็นข้อความเหยียดหยามจากซิลเทียเรส ถูกส่งมาถึงซางตานีโอบ่อยครั้ง
“สนธิสัญญาที่ท่านให้ผมแปลให้นี่หรือครับ”
แซมก้มมองเอกสารบนโต๊ะที่ตนเพิ่งแปลมาแล้วยิ้มเหยียด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ค่อยๆปรากฏขึ้นแล้วหายไปทันที ก่อนที่เขาจะปั้นหน้าเป็นร่าเริงเช่นเคย
“ใช่! มันแนบมาพร้อมสารทุกครั้ง เมื่อก่อนตอนที่เจ้ายังไม่ปรากฏตัว ข้าก็โยนทิ้งในเตาไฟบ้าง เพราะใครจะไปเข้าใจภาษาบ้าบอนั่นได้”
“ภาษาปีศาจครับท่านนัวร์ อย่าเรียกว่าบ้าบอสิครับ เพราะผมจะกลายเป็นปีศาจบ้าเอา ”
แซมเอ่ยแทรกพลางหัวเราะ เขาค่อยๆก้มหยิบสารที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมาไว้บนโต๊ะเช่นเดิม
“ท่านสงบสติอารมณ์ลงก่อนดีกว่า สนธิสัญญานี่ไว้ค่อยอ่านตอนท่านอารมณ์ดีเถอะครับ ตอนนี้ก็ทานข้าวพักผ่อนเสียบ้างเถอะ คนรับใช้ของท่านยืนรอด้านนอกเสียนานแล้วด้วย”
แซมหลิ่วตาไปยังคนรับใช้จำนวนสี่ห้าคน ที่นัวร์ไม่ยอมให้เข้ามาในห้อง พวกนั้นเตรียมอาหารรอเจ้าเมืองเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้อง
“นั่นสิ งั้นเจ้าก็มาทานข้าวพร้อมข้าเสียเลย”
“ท่านนัวร์ ท่านจะร่วมโต๊ะกับปีศาจได้หรือท่าน”
“แล้วทำไมจะไม่ได้”
แซมยืนหน้าตาตื่น แล้วเริ่มขำกับการกระทำของเจ้าเมือง ที่กล้าเรียกปีศาจให้ร่วมโต๊ะอาหาร
“แซมขอรับแค่น้ำใจของท่านก็พอครับ”
ว่าแล้วเขาก็ถอยหลังหายไปในความมืด แซมหายไปในชั่วพริบตาก่อนที่คนรับใช้จะนำอาหารเข้ามาในห้อง เจ้าเมืองนัวร์ก็ได้แต่ถอนหายใจกับนิสัยชอบผลุบๆโผล่ๆของแซมก่อนจะเริ่มกินมื้อค่ำเป็นปกตินิสัย
“ท่านนัวร์ ท่านคงยังได้นั่งทานอาหารเช่นนี้อีกไม่กี่วันเท่านั้น และผมขอประกาศเปิดศึกอย่างเป็นทางการนับจากนี้ ”
แซมเองก็ยังไม่ได้ไปไหนไกล เขาอยู่ด้านหน้าปราสาทซางตานีโอ เงยหน้ามองไปยังห้องบนสุดที่เจ้าเมืองนัวร์ยังนั่งทานอาหารอยู่เมื่อครู่ เขายิ้มเริงร่า แล้วก้าวเท้าเงียบๆไร้เสียงฝีเท้าเข้าสู่ตัวเมืองซางตานีโอ บัดนี้ปีศาจ จะเรืองอำนาจขึ้นอีกครั้ง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END / Chapter 28 : แผนการร้ายของแซม
ความคิดเห็น