ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #20 : บุรุษต้องคำสาปแห่งสุสานโบราณ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 81
      1
      2 ธ.ค. 61

     

                  ท่ามกลางโถงสุสานที่อ้างว้างวังเวง เต็มไปด้วยความเงียบสงัด แต่กลับมีจิตสังหารรุนแรงโพยพุ่งเข้าปะทะด้วยความเร็วดุจมัจจุราช พรตหนุ่มตั้งตัวไม่ทัน  เขามองไม่เห็นอาวุธ  ไม่อาจมองเห็นผู้ปองร้าย  แต่ในชั่วพริบตาเดียวเลือดสีแดงฉานก็สาดกระเซ็น ออกมาจากบาดแผลที่แขนขวาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  

    “โอ้ยยยย!

                    “ปฏิกิริยาต่อจิตสังหารถือว่าไม่เลว  แต่นายยังช้าเกินไป!

    เสียงของเคนิสดังขึ้นข้างๆราวกับภูตผี  หญิงสาวผมดำที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเข้ามาประชิดข้างตัวเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ  มีดสั้นลงอาคมของเธอกำลังสั่นสะท้าน เมื่อมันกำลังเสียดสีกับบางอย่างใกล้ๆลำคอของเขา  อาร์กัสเบิกตาค้างอย่างตื่นตระหนกในทันที เมื่อพบว่าต้นตอที่สร้างบาดแผลให้เมื่อครู่ คือใบเคียวคมกริบที่เกือบจะกระชากศีรษะเขาร่วงลงจากบ่าไปแล้ว  เคียวขนาดใหญ่สีแดงฉาน กำลังปล่อยรังสีอำมหึต ออกมาข่มขวัญ เลือดในกายเพิ่งสัมผัสมันได้  แล้วเริ่มเดือดปุดๆร้องเตือนถึงอันตราย

                    “ยมทูต!

     พรตหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง  รีบถอยกรูดออกมาลูบต้นคออย่างใจหายใจคว่ำ แม้เขาจะไม่ตาย แต่เพราะตายไม่ได้นั่นเองเขาจึงยิ่งหวาดผวาเข้าไปใหญ่ 

    “เออ สงสัยนายคงชะตาขาดวันนี้มั้ง  ผู้คุมวิญญาณจากนรกถึงได้มาเยี่ยมถึงที่”

    คำตอบของเคนิสทำให้อาร์กัสยิ่งตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาไม่เข้าใจว่าพวกที่ควบคุมวิญญาณในแดนนรก เหตุใดจึงมาอยู่ในปราสาทหลังนี้ได้  ผู้คุมวิญญาณผู้มีร่างกายเป็นโครงกระดูกภายใต้ชุดคลุมดำ   แม้สวมฮูดเอาไว้แต่ก็ยังเห็นจุดแสงสีแดงเล็กๆเรืองรองออกมาจากบริเวณเบ้าตา   แล้วทันใดนั้นความกลัวก็เริ่มครอบงำ  ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน ลมหายใจเริ่มติดขัดเหมือนคนใกล้ตาย  ร่างกายสิ้นกำลังวังชา ก่อนที่เขาจะล้มตึงลงไปที่พื้นในทันที

    “นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรอีก”

    อาร์กัสร้องลั่นอย่างเสียขวัญ  อยู่ๆเขาก็ไร้กำลังสิ้นเรี่ยวแรงไปเฉยๆอย่างไร้สาเหตุ

                    “มันสูบพลังชีวิตของทุกสิ่ง ทำได้แม้กระทั้งช่วงชิงลมหายใจ  จะมนุษย์หรือปีศาจล้วนเสียเปรียบเมื่ออยู่ตรงหน้ามัน”

    หญิงสาวผมดำเอ่ยขึ้น พร้อมกับปัดใบเคียวด้วยมีดสั้นที่อยู่ในมือ ก่อนจะขว้างอีกเล่มใส่ยมทูตผู้ใช้เคียว  แต่มีดสั้นลงอาคมก็ทำได้เพียงแค่ทะลุผ่านไปปักติดกับผนังด้านหลัง

                    “อาวุธอาคมก็ใช้กับมันไม่ได้”

    เธออธิบายพร้อมกับหลบการโจมตี  เสียงมีดสั้นปะทะเคียวดังลั่น  คนที่ไม่เคยถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานจนเสียท่ามาก่อน ก็ถูกปัดกระเด็นแล้วทรุดฮวบลงกับพื้นในสภาพไร้เรี่ยวแรงเช่นเดียวกันกับเขา  

                อาร์กัสเบิกตาโพลง พยายามง้างหน้าไม้แต่ก็ทำได้แค่เล็ง! เพราะเป้าหมายนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก จนเล็งเป้าหมายไม่ได้  นี่หรือคือความร้ายกาจของผู้คุมวิญาณจากนรก  เขาไม่มีวันที่จะต่อกรได้แม้แต่น้อย  มันถูกสร้างมาเพื่อควบคุมวิญาณผู้ร่วงหล่นสู่นรกไปแล้ว ทั้งที่ควรจะอยู่ในนรก แต่ทำไมมันจึงมาอยู่ในปราสาทหลังนี้ได้   อาร์กัสเริ่มใจคอไม่ดี  เพราะผู้คุมวิญญาณกำลังยกเคียวขึ้นหมายจะฟันเคนิส ที่นอนนิ่งสนิทอยู่ที่พื้น 

                    “พอได้แล้วมั้ง อลิซาเบธ ไปกระชากวิญญาณออกจากกล่องอีทูลัสเดี๋ยวก็ได้งานเข้าหรอก”

    น้ำเสียงเยือกเย็นลากยาว ฟังดูติดตลก ดังมาจากความมืด   ผู้คุมวิญญาณลดเคียวลงแล้วหันไปมองต้นเสียง

    “เข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ยอมขออนุญาต  ไม่แม้แต่จะกดกริ่งที่ประตู ก็ย่อมสมควรจะถูกหมาในบ้าน.....กัด”

    เสียงเนิบๆของบุรุษผู้นั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  ก่อนที่ไม่นานนักบุรุษผมดำผู้เป็นเจ้าของปราสาทจะปรากฏกายออกจากเงามืดของโถงสุสาร  ดวงตาของเขาเป็นสีทองขอบตาคล้ำดำปี๋  เขาสวมเสื้อกาวน์ขาดรุ่งริ่งและมีกลิ่นตัวฉุนรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ

                    “ทำยังกับบ้านนายมีกริ่งกดเหมือนบ้านคนอื่นเขางั้นแหละวาเลเรียส ”

    เคนิสบ่นออกมาด้วยโมโห

                    “หึ ยัยตัวจุ้นจ้าน ตัวน่ารำคาญ ตัวหางาน   เหยียบมาทีไรมีแต่ทำให้ข้าเดือดร้อนทั้งชาติ”

    บุรุษผู้มาใหม่เริ่มบ่นบ้างเช่นกัน ก่อนที่จะหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นผู้มาเยือนทั้งสอง นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นอย่างไร้ทางสู้

                    “มานี่สิ อลิซาเบธ”เขาพูดพลางฉีกยิ้มเยาะแล้วตบมือเบาๆอย่างชอบใจ

                    “นายท่าน.....วาเลเรียส”

    ผู้คุมวิญญาณร้องเรียกวาเลเรียสด้วยเสียงแหบแห้ง  มันหยุดโจมตีผู้มาเยือนแล้วลอยละล่อง ไปหาผู้เป็นนายอย่างว่าง่าย    ร่างโครงกระดูกในผ้าคลุมสีดำค่อยๆกลายเป็นกลุ่มควันดำคล้ำ กลับไปสิงสถิตในร่างตุ๊กตาเด็กผู้หญิงเก่าๆ ในอ้อมแขนของวาเลเรียส    เมื่อดูเผินๆก็เหมือนตุ๊กตาของชนชั้นสูงในยุคโบราณ  สวมชุดกระโปรงฟูพองตัดด้วยผ้าไหมอย่างดี  แต่เพราะกาลเวลายาวนาน เสื้อผ้าของอลิซาเบธจึงคล้ำดำปี๋ มีรอยแมลงกัดแทะเป็นรูพรุน เส้นผมสีทองที่น่าจะเคยเป็นลอนงดงาม กลับพันรุงรังฟูกระเจิงเหมือนรังนก 

                    “คืนกำลังวังชาให้พวกโง่นั่นด้วย  แม้จะน่าเบื่อ แต่ก็ไม่ใช่ศัตรู”

    วาเลเรียสเอ่ยขึ้นพลางลูบหัวมันเบาๆ อลิซาเบธหันไปมองผู้มาเยือนอย่างไม่พอใจ  แต่ก็ยอมคืนพลังชีวิตที่สูบมานั้นกลับไปให้ดังเดิม 

    บุรุษผู้เกลียดชังการต่อสู้อย่างไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น ไปทำอย่างไรจึงมีผู้คุมวิญญาณคอยรับใช้  เขาไม่ได้ถูกผู้คุมจากแดนนรกนั่นขังไว้ในสุสารโบราณ   แต่กลายเป็นชายคนนั้นตั้งหากที่สั่งให้ขังตัวเขาเองเอาไว้ด้วยเขตแดนแน่นหนาทรงพลัง   พรตปีศาจยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ชายคนนั้นทำอย่างนี้ทำไม แถมยังซ่อนปราสาททั้งหลังเอาไว้อีก

                    “เจ้า.....ที่อยู่ตรงนั้น”

    วาเลเรียสชี้มาที่อาร์กัส แล้วทำหน้าผากย่นพลางครุ่นคิดบางอย่าง

                    “ขอรับ?”

                    “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าคือไอ้เด็กต้องสาปจากดินแดนเชล”

    หมอปีศาจวาเลเรียส มองไปยังนักพรตในชุดสีน้ำตาลที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าที่จ้องตอบกลับมา ทำให้เขาคิดถึงบุรุษอีกคน ที่ได้จากไปแล้ว  เด็กที่มันเก็บกลับมาจากเชลในวันนั้น กลายเป็นกุญแจสำคัญที่หยุดยั้งภัยร้ายจากนรก และยังช่วยเจ็ดหัวเมืองไม่ให้พินาศอีก

                    “ใช่ขอรับ  ขอบคุณมากที่ตอนนั้น ท่านช่วยถอนคำสาปให้ข้า  และยังช่วยข้าเอาไว้เมื่อไม่นานนี้”

                 อาร์กัสเอ่ยขึ้นเบาๆ  เมื่อมีเรี่ยวแรงกลับมาจึงค่อยๆยืนขึ้น แขนขวาเจ็บปวดกว่าเดิมมากเมื่อลุกขึ้นมา ครั้นพอหันไปมอง ก็เห็นเลือดยังไหลนองไม่หยุด 

                    “หึ นั่นสิ  แกมันก็ตัวหางานอีกคน แผลนั่นไปให้ผู้ช่วยข้าเย็บให้ก็แล้วกัน”

    คำแนะนำของหมอปีศาจวาเลเรียสทำให้อาร์กัสคิดถึงพวกพยาบาลซากศพตัวสีเขียวคล้ำขึ้นมาในทันใด   พรตหนุ่มทำหน้าซีดแล้วยิ้มแห้งๆ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปให้พวกหล่อนเย็บแผลให้

    “ไปทำแผลที่กระท่อมนายมันก็ดีหรอก  แต่ฉันก็ได้แค่หวังว่านี่คงไม่ใช่แผนตอแหล จับหมอนั่นไปวิจัยหรอกนะ วาเลเรียส”

    เคนิสเอ่ยขัดในทันที เรี่ยวแรงทั้งหมดกลับมาแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปหาบุรุษผมดำตัวปัญหาตัวจริง ที่นานๆทีจะได้พบเจอกันสักครั้ง ดวงตาสีดำของเธอฉายแววหงุดหงิดไม่พอใจ ที่เมื่อครู่ถูกเล่นงานจนแพ้ราบคาบ

                    “ข้าจะไม่เซ้าซี้เรื่องนี้หรอกนะเคนิส  เพราะถ้ามันอยากหายจากคำสาป ก็ให้มาเข้าร่วมวิจัย  แต่ถ้าอยากทรมานไปเรื่อยๆ  ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ”

    วาเลเรียสพูดตัดบทแล้วต่อด้วยเรื่องอื่นแทน ส่วนอาร์กัสได้แต่มองทั้งคู่ตาปริบๆ

                    “เจ้าด้วยเคนิส  เข้าสุสารโบราณโดยใช้เส้นทางนี้ได้ แสดงว่า จำเรื่องเก่าๆได้แล้วเหรอ”

    ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้าของเพื่อนร่วมตระกูลอีกคนเปลี่ยนไปทันที ดวงตาสีทองที่เคยดูเยือกเย็นโหดเหี้ยมไร้ความเมตตาเริ่มดูหม่นหมองผิดปกติ  น้ำเสียงเย็นๆที่มักจะบ่นอยู่เสมอกลับฟังดูอ่อนลงอย่างเหลือเชื่อ

                    “เปล่า ฉันแค่ฟังเรื่องของรุ่นก่อนจากอาร์กัส  แล้วบังเอิญเข้ามาที่นี่ได้  เกิดอะไรขึ้นหรือไง วาเลเรียส! เคนิสถามขึ้นด้วยความกังวล

                    “มีเรื่องนิดหน่อย  ข้าว่าจะปรึกษาเจ้าอยู่พอดี”

    ไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น มีท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด และที่ผิดปกติอย่างมากที่สุด นั้นคือดวงตาสีทองของเขาซีดลงไปมากเมื่อเทียบกับเมื่อเดือนก่อนตอนเข้ามาในสุสารโบราณ  บุรุษผู้ที่แทบจะไม่ออกจากกระท่อม คร่ำเคร่งกับการศึกษาวิจัยบางอย่าง ไม่แม้แต่จะอาบน้ำ ไม่แม้แต่จะกินอาหารให้เพียงพอจนรูปร่างผอมแห้ง  เขาแทบไม่อยากจะเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวละออกจากการศึกษาค้นคว้า  แต่นี่ถึงกับเดินออกมาต้อนรับผู้มาเยือนอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อน  แสดงว่าคงมีเรื่องสำคัญจริงๆ

                    “เข้าใจแล้ว”

    เคนิสตอบสั้นๆ แต่ในใจนั้นร้อนรน เธอและอาร์กัสได้แต่เดินตามหมอปีศาจไปยังกระท่อมเก่าๆของเขาที่อยู่ห่างจากปราสาทไปทางทิศใต้  ทั้งสามเดินไปตามถนนคอนกรีต  แม้อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่เสียตรงนี้  แต่สิ่งที่อยู่ข้างทางนั้นทำให้ผู้มาเยือนเริ่มสะอิดสะเอียนจนต้องเปลี่ยนคำถามไปเป็นอีกเรื่องที่น่าจะสมควรถามยิ่งกว่า

                    “ขอร้องเถอะนะวาเลเรียส  ฉันไม่ได้อยากยุ่งเรื่องรสนิยมซากศพของนายหรอกนะ แต่ถ้าใช้เสร็จแล้วก็ช่วยฝังกลบให้ดีๆหน่อยไม่ได้หรือไง  ถามจริงเถอะนายขนซากศพมาทำปุ๋ยหมักเหรออะไรกันแน่ นี่มันเยอะเกินไปแล้วนะ! ไอ้ปีศาจคลั่งซากศพ”

                    เคนิสร้องด่าก่อนที่จะรีบยกมือปิดจมูกตนเอง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยบรรเทากลิ่นเหม็นอย่างเหลือเชื่อนี้ลงได้แม้แต่น้อย  อาร์กัสเองก็รีบเอาแขนเสื้อยาวของตนขึ้นมาอุดจมูกไว้  ไม่เช่นนั้นคงจะถูกกลิ่นเหม็นอันร้ายกาจนี้เล่นงานจนน็อคไปก่อนจะถึงกระท่อมทำแผล 

                       สุสารโบราณนั้นไม่ได้มีแค่โครงกระดูกขาวๆอย่างที่เห็นเมื่อมองลงมาจากยอดปราสาท   เพราะยังมีกองภูเขาซากศพทั้งใหม่ทั้งเก่ากองพะเนินไปทั้งสุสาน บางร่างกำลังบวมเขียวคล้ำ บางร่างเริ่มเน่าเปื่อย บางร่างก็แห้งแล้ว แต่ยังมีผิวหนังติดอยู่กับซีกโครงบ้าง  กลิ่นก๊าซพิษรุนแรงที่เกิดจากการย่อยสลายซากโพยพุ่งฟุ้งกระจายไปทั่ว  ยิ่งทำให้บรรยากาศในสุสารโบราณเลวร้ายลงเข้าไปอีกจนถึงขั้นไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดทนอยู่ได้ 

                   ต้นไม้ต้นใหญ่ทั้งหลายต่างมีรูปลักษณ์คดงอบิดเบี้ยวเพราะบรรยากาศเลวร้าย  ไม่มีต้นใดผลิใบ  ไม่มีต้นใดมีชีวิตรอด ต่างยืนต้นตายเหลือแต่กิ่งโกร๋น เหมาะสำหรับเป็นที่แขวนซากศพใหม่ๆ เมื่อพื้นด้านล่างนั้น ไม่เพียงพอจะวางซากศพได้อีกแล้ว

    “เอะอะ ก็ข้า  วาเลเรียส วาเลเรียส  อะไรก็ข้าวาเลเรียส  ช่วยเอาศพพวกนี้ไปที  ถ้าอยู่ข้างนอกศพคนตายเพราะโรคระบาดจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ   วาเลเรียสตอนนี้ฉันคุมไม่อยู่แล้ว   วาเลเรียสช่วยเอาซากศพพวกนี้ไปทีสิด่วนเลย   วาเลเรียสผลวิจัยเป็นไงยังบ้าง  วาเลเรียส แอนตี้ไวรัสพัฒนาได้แล้วยัง วาเลเรียสยาที่ฉันสั่งไว้ต้องเสร็จคืนนี้นะ ไม่งั้นพวกที่โคม่าอยู่ต้องตายกันหมดแน่   อะไรก็ข้า อะไรก็ข้า วาเลเรียส  วาเลเรียส    เจ้าราฟาเอลนั่น ขนศพมาทั้งลอร์แซมเบิร์กเอามาทิ้งในบ้านข้า   แล้วยังมีไอ้ศพแปลกๆจากซินเทียเรสนั่นอีก  บ้าเอ้ย ไอ้พวกมนุษย์สารเลว  ยามเป็นก็ทำให้ข้าเดือดร้อน ยามตายเป็นซากศพแล้วก็ยังทำให้ข้าแทบยังไม่มีที่ซุกหัวนอน”

    บุรุษนามไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น ถึงจุดระเบิดจนได้  เจ้าตัวทั้งบ่นทั้งด่าเป็นชุดอยู่นาน  จนคนที่ไปจุดระเบิดเมื่อครู่เริ่มทำหน้าจืดและเริ่มเสียใจที่ไปด่าเขาเรื่องซากศพในสุสาน   เคนิสไม่รู้อะไรเกี่ยวเวเลเรียส มากนัก  นอกจากเขาคือกล่องอีทูลัสอีกใบ   เขาเป็นชายผู้ขังตัวเองเกลียดชังมนุษย์ เป็นปีศาจที่ไม่ไว้ใจผู้ใดนอกจากว่ามันผู้นั้นจะกลายเป็นศพ 

    “ท่านวาเลเรียส ! ท่านกำลังจะบอกว่า ศพทั้งหมดในนี้  ถูกนำมาจากลอร์แซมเบิร์กที่กำลังเกิดโรคระบาดงั้นหรือขอรับ”

    อาร์กัสกำลังตื่นตกใจกับจำนานซากศพที่มีมากมายราวกับเกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ข่าวลือที่ว่าเกิดโรคระบาดอันน่ากลัวที่ยังหาทางรักษาไม่ได้ ดูจะอยู่ในภาวะอันตรายเกิดคาด   และนอกจากศพใหม่ๆแล้วยังจะมีโครงกระดูกที่เก่ากว่านั้น รวมทั้งพวกที่หลับอยู่ในสุสารก็มีมากพอๆกัน  ศพมากมายเป็นภูเขาเลากานี้ไม่น่าจะมาจากโรคระบาดในเมืองลอร์แซมเบิร์กเมื่อเร็วๆนี้เป็นแน่

    “ก็เฉพาะศพใหม่ๆเท่านั้นแหละ”วาเลเรียสตอบ

    “แล้วศพที่เก่ากว่านะ.........”

    อาร์กัสถามไม่ทันจบคำถาม เคนิสก็พูดแซกขึ้นมาพลางกระทืบเท้านักพรตที่ถามเรื่องต้องห้ามสำหรับวาเลเรียส   หมอปีศาจแห่งตระกูลบริสตั้นนั้นเกลียดการถูกถามถึงอดีตเป็นที่สุด   หมอปีศาจที่จะกลายเป็นปีศาจจริงๆถ้าหากยังมีใครพยายามเซ้าซี้ ขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับตัวตนของเขา

    “สถานการณ์ตอนนี้เป็นไงบ้าง ลอร์แซมเบิร์กมีสถาบันการแพทย์ชั้นยอดที่สุดแล้ว ยังเอาไม่อยู่หรือไง  อาร์คบิชอปราฟาเอลเพิ่งบอกว่าควบคุมโรคอยู่ในวงจำกัดได้แล้วนี่”

    เคนิสถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

    “ที่บอกว่าควบคุมโรคได้นั่นก็แค่ชั่วคราว  เผลอๆคงได้ระบาดเข้าซางตานีโอตายห่ากันเร็วๆนี้แน่”วาเลเรียสตอบด้วยใบหน้าเฉยเมย

    “นายว่าไงนะวาเลเรียส !เคนิสร้องลั่น

    “เจตภูตไวรัสนั่นยังมีใครบางคนพัฒนามันอยู่เรื่อยๆ  ศพจากลอร์แซมเบิร์กยังไม่เท่าไหร่  แต่ไอ้

    พวกที่มาจากซิลเทียเรสนี่สิตัวปัญหา บางวันลุกขึ้นมาวิ่งวุ่นเต็มสุสาร!

    ผู้มาเยือนทั้งสองสะดุ้งเมื่อรู้ว่าวาเลเรียสต้องเจอกับอะไรบ้างในสุสารของเขา

    “ข้าพยายามเอาศพพวกนี้ออกไปทิ้งห่างๆกระท่อมให้มากที่สุดแล้วนะ แต่บางทีก็ยังพากันลุกฮือมาที่บ้านข้า  โชคดีที่มีอลิซาเบธช่วยสับพวกมันจนเละเป็นเยลลี่ ”วาเลเรียสบอก

    พวกเคนิสทำหน้าพะอืดพะอมเมื่อเห็นเยลลี่ที่ว่านั่นกองสุมอยู่ไม่ห่างนัก  ส่วนวาเลเรียสเดินไปพูดไปแล้วยิ้มโหดเหี้ยมขณะลูบหัวอลิซาเบธเบาๆอย่างเอ็นดู  ตุ๊กตาในอ้อมแขนตัวสั่นกึกๆเมื่อมันหัวเราะ  ผู้คุมวิญญาณที่น่ากลัวขนาดนั้นกลับเชื่องและว่าง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าวาเลเรียส สองผู้มาเยือนต่างก็สงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถาม ทำไมวาเลเรียสถึงเกลียดมนุษย์ ทำไมถึงต้องมาขังตัวเองในสุสารโบราณ

    “เข้ามาสิ”

    เมื่อทั้งหมดมาถึงหน้ากระท่อมเก่าๆหลังหนึ่งแม้มันจะเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ และเถาวันเลื้อยปกคลุมกระท่อมทั้งหลัง  แต่บรรยากาศรอบๆก็ดีกว่าบริเวณอื่นๆในสุสารโบราณมาก  นี่เป็นกระท่อมที่หมอปีศาจเรียกมันว่าบ้าน และเลือกอาศัยอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นปราสาทสีดำหลังนั้น 

    นี่เป็นครั้งแรกที่อาร์กัสเห็นด้วยกับวาเลเรียส  เพราะกระท่อมที่ดูไม่ต่างกับบ้านโบราณโซมๆ ก่อด้วยหินและอิฐเก่าๆ แต่ก็ยังดีซะกว่าอยู่ปราสาทหลังใหญ่แต่อุดมไปด้วยจิตอาฆาตพยาบาท  เพียงแต่ความคิดนั้นก็แทบจะหายไปทันที เมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของวาเลเรียส

    “อืมมม  กลิ่นเหม็นสาบในบ้านยังไงก็ยังดีกว่าข้างนอกนั่นแหละนะ”

    เคนิสว่าพลางทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น  ครั้งพอกวาดตามองไปรอบๆบ้าน ก็เห็นโหลดองอวัยวะถูกตั้งเรียงรายไว้บนชั้นจนแน่นขนัด  นอกนั้นยังมีศพตัวอย่างผู้เสียชีวิตเพราะไวรัสเจตภูตอีกสี่ห้าร่าง  ถูกแหวกท้อง แหวกช่องอก นอนแผ่ไส้ทะลักอยู่บนเตียงยาวๆโดยไม่มีเซ็นเซอร์   และนี่คือห้องทำงานของไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น!

    “....ขอร้องเถอะวาเลเรียส นายมีห้องอื่นรับแขกมั้ย”

    เคนีสสุดทนแล้วทำท่าจะอาเจียน  ส่วนอาร์กัสแม้จะทำเป็นยืนนิ่งๆอยู่ได้แต่ความจริงแล้วเขามีอาการคลื่นไส้ตั้งแต่ได้กลิ่นซากศพที่เหม็นอย่างร้ายกาจตั้งแต่ย่างเท้าเข้าบริเวณสุสารโบราณแล้ว

    “มี....”

    วาเลเรียสบอกเสียงห้วน แล้วเปิดประตูอีกบานให้ผู้มาเยือนอย่างไม่พอใจ  นี่เขาวุ่นวายกับศพก็น่าจะเกินพอแล้ว ยังจะต้องมีผู้มาเยือนจอมจุ้นจ้าน เรื่องมากมาวุ่นวายเรื่องห้องรับแขกอีกหรือเนี่ย

    “ค่อยยังชั่ว”

    เคนีสว่าพลางถอนหายใจเพราะอย่างน้อยๆ ห้องเล็กๆอีกห้องก็ไม่มีซากศพตั้งโชว์เหรอหรา แม้จะอับชื้นไปบ้างแต่ก็ยังพออยู่อาศัยได้

    “แล้วก็นะวาเลเรียส ถ้านายมีธุระจะคุยกับฉัน  ขอความกรุณา....ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียด้วย เพราะนายตัวเหม็นมากพอๆกับศพพวกนั้นเลย”

    เรื่องวุ่นวายยังไม่จบไม่สิ้นสำหรับวาเลเรียส  เขาเริ่มโมโหจัดจนเริ่มจะคุมสติไม่อยู่  ดวงตาสีทองหรี่ลง แล้วพริบตาห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บเต็มไปด้วยจิตสังหารมหาศาลที่ระเบิดมาจากบุรุษผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้าน

    “ข้าพยายามอดทนกับเจ้ามาหลายครั้งแล้วนะเคนิส  อย่ามาวุ่นวายอะไรกับข้าให้มันมากนัก”

    เคนีสไม่ใส่ใจหมอปีศาจที่กำลังสติแตก เธอยิ้มน้อยๆ แล้วพิงผนัง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

    “ก็ไม่ได้อยากยุ่งกับไอ้บ้าอย่างนายหรอกนะ  แต่กี่เดือนกี่ปีแล้วละที่นายสวมแต่เสื้อตัวเดิมโดยที่ไม่ยอมซัก”

    ว่าแล้วเคนีสก็ระเบิดจิตสังหารออกมาเช่นกัน พลังมืดมหาศาลแผ่ปกคลุมทั้งห้องอย่างรวดเร็ว  จิตสังหารของสองบริสตั้นที่กำลังปะทะกันนั้นทำให้  อาร์กัสต้องรีบถอดกรูไปติดมุมห้อง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

    ดวงตาเจตภูตของเขาเริ่มทำงานอีกครั้ง บางอย่างที่มองด้วยตาของมนุษย์ไม่เห็น แต่สัญชาตญาณร้องเตือนถึงอันตรายเหลือแสนได้ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก  เขามองเห็นอักขระและวงเวทย์จำนวนมากซ้อนกันอยู่ที่พื้นไม่รู้กี่ร้อยกี่พันวง   มันน่าจะเป็นมหาเวทย์ยุคโบราณที่หายไป กำลังปรากฏที่แทบเท้าของไลท์ วาเลเรียส

    “มองเห็นด้วยใช่มั้ยอาร์กัส นี่แหละความสามารถของ ไลท์ บริสตั้น  ผู้ครอบครองกล่องอีทูลัสอีกใบ กล่องใบนี้ผนึกอำนาจแห่งแสงสว่าง หรือก็คือภูมิปัญญาทั้งหมดของลูซิเฟอร์ในครั้งที่ยังเป็นทูตสวรรค์  สิ่งที่นายเห็นไม่ใช่ตราวงเวทย์ที่มนุษย์ทั่วไปใช้ได้   แต่มันเป็นอักขระและสัญลักษณ์ในการควบคุมสรรพสิ่ง  ทั้งในโลก  ในจักรวาล ในนรก หรือแม้แต่ในสวรรค์  จอมปีศาจลูซิเฟอร์ในครั้งยังเป็นทูตสวรรค์ถูกสร้างให้มีภูมิปัญญาสูงส่งมากกว่าทูตสวรรค์ใดๆ  รองลงมาก็แค่ผู้สร้างเท่านั้น เขาทำได้ทุกอย่าง ทั้งสาปแช่ง อวยพร ทำลายล้าง หรือสร้างสรรค์  กล่องใบนี้จึงมีอันตรายมาก เพราะมีภูมิปัญญาของจอมปีศาจสถิตอยู่ในนั้น”

    เคนิสอธิบายแล้วยิ้มไส่วาเลเรียส  สิ่งที่เรียกว่าภูมิปัญญาก็เป็นเหมือนดาบสองคม หากใช้ให้ถูกทางก็จะเป็นคุณประโยชน์มหาศาล  ในทางกลับกันหากนำไปใช้ไม่ถูกไม่ควร ภูมิปัญญาก็จะกลายเป็นภัยมหันต์ ได้เช่นกัน

    “ไลท์ วาเลเรียส  บริสตั้นก็คือกล่องที่ว่านั่น   เขาคือชายผู้ที่จะไม่ลุ่มหลง ยอมให้ภูมิปัญญาของจอมปีศาจมาบงการได้  และที่สำคัญ เขาใช้ภูมิปัญญาของตนเองถอดรหัสภูมิปัญญาของลูซิเฟอร์มาใช้รูปของอักขระและสัญลักษณ์ แล้วผนึกภูมิปัญญาของจอมปีศาจด้วยภูมิปัญญาของเขาเอง  นี่คือกลไกลของกล่องใบนี้ไงละอาร์กัส    แล้วที่นายเห็นนั่นเป็นคำสาปร้ายแรงที่จะระเบิดสสารให้พินาศ  ถูกมั้ยละ   วาเลเรียส”

    หญิงสาวอีกคนก็ไม่น้อยหน้า ระเบิดพลังมืดออกมาข่มขวัญเช่นกัน   ความมืดต่างจากภูมิปัญญา คือมันลบทุกสิ่ง  ดูดกลืนทุกสิ่ง ทำลายล้างทุกสิ่ง  แต่กลับสร้างสรรค์สิ่งใดไม่ได้    ทั้งสองต่างกันคนละขั้ว  แต่ถ้าหากทั้งคู่อยู่รวมกัน ก็จะกลายเป็นความสมบูรณ์แบบที่แทบไร้เทียมทาน  ที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมันเคยเป็นของทูตสวรรค์ตนเดียว  เขาผู้นั้นจึงได้รับฉายาว่าตราแห่งความสมบูรณ์แบบ

    “หึ  รู้ถึงเพียงนั้น แสดงว่าเจ้าอ่านอักษรสวรรค์ออกแล้วใช่มั้ยเคนิส”

    เปล่า!  ฉันแค่เดาเอา จากสีหน้าห่วยๆของนาย”

    “ถ้างั้นก็รีบๆจำให้ได้เร็วๆเถอะ  เพราะถ้าไม่รีบตื่นขึ้นมาจริงๆสักที  เจ้านั่นแหละที่จะต้องแย่”

    เวเลเรียสบอกด้วยสีหน้าจริงจัง  ดวงตาสีทองอำมหิตจับจ้องไปยังดวงตาสีดำของหญิงสาวตรงหน้า  ผู้ใช้ความมืด กับผู้ใช้ภูมิปัญญาที่กำลังจะปะทะกันด้วยสาเหตุงี่เง่า อย่างการไม่ยอมอาบน้ำ ก็หยุดอยู่แค่นั้น  ทั้งสองยุติสงคราม แล้วบรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม 

                    “หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าฉันต้องแย่” เคนิสถามอย่างกังวล

                    “ที่ข้าอยากคุยกับเจ้า ก็คือเรื่องนี่แหละ”วาเลเรียสตอบ

                    “งั้นก็รีบบอกมาสิโถ่  อ้าวนั่นจะไปไหน วาเลเรียส!

    เคนิสมองวาเลเรียสตาปริบๆ  เมื่อบุรุษผมกระเซิงกลับเดินหนีจากไปเฉยๆโดยไม่ยอมตอบอะไร เขาอุ้มอลิซาเบธแล้วเปิดประตูกลับไปห้องเดิมของเขา ก่อนจะถอยออกมาบอกว่า

                    “อาบน้ำ....”

    แล้ววาเลเรียสก็หายไปเสียนาน จนคนที่รอจะฟังเรื่อง “ทำไมฉันต้องแย่” เริ่มหงุดหงิดจนปล่อยพลังมืดออกมาโดยไม่รู้ตัว   อาร์กัสเห็นเคนิสเดินไปเดินมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ  จนตัวเขาเริ่มคิดว่าคนตระกูล บริสตั้นทุกคนต้องพิลึกแน่ๆ เพราะเมื่อครู่ยังเกือบจะฆ่ากันตายด้วยสาเหตุคือการไม่ยอมอาบน้ำ  และดูท่าจะเกิดสงครามที่สองขึ้นตามมาติดๆด้วยสาเหตุสุดจะงี่เง่าไม่แพ้กัน คือการอาบน้ำนานของอีกคน  ผ่านไปเป็นชั่วโมง วาเลเรียสจึงกลับเข้ามาด้วยสภาพหัวเปียก พร้อมกับเสื้อผ้าตัวใหม่

                    “นายแต่งตัวเหมือนคนปกติได้มั้ยเนี่ย”

    เคนิสบ่นอีกครั้งจนได้ เมื่อชุดที่วาเลเรียสสวมมานั้นน่าจะเป็นชุดชนชั้นสูงยุคโบราณสุดๆทั้งเก่า และขาด รวมทั้งมีรอยเปื้อนเป็นดวงๆไปทั้งตัว  แขนเสื้อของเขามีระบายลูกไม้ยาวไปจนถึงพื้น ที่คอเสื้อก็มีเช่นกัน ระบายลูกไม้ซ้อนกันเป็นชั้นๆจนเขาดูเหมือนมีดอกไม้สีขาวล้อมรอบศีรษะไว้  

                    “เจ้าจะเอาอะไรกับข้าอีก ให้ตายสิ ”

    วาเลเรียสบ่น เขาไม่เคยออกจากสุสารโบราณมาหลายพันปีแล้ว  อย่าว่าแต่เสื้อผ้าเลยเพราะแม้แต่อาหารและเครื่องใช้ต่างๆเขาก็ไม่เคยออกไปหาจากข้างนอก

            อาร์กัสตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น  แล้ววาเลเรียสใช้ชีวิตอยู่มาได้อย่างไรกัน เขากินอะไรเป็นอาหาร เพราะที่นี่บรรยากาศก็เลวร้ายเกินจะปลูกพืชได้ และสิ่งมีชีวิตให้จับกินก็ไม่มีสักตัว    แต่ทุกอย่างถูกเฉลยเมื่ออลิซาเบธบอกว่า มันจะไปจับสัตว์ต่างๆจากภายนอกมาและยังบอกอีกว่าเจ้านายของมันกินอาหารที่สดๆและเป็นๆเท่านั้น  

                    “เอาละชั่งเรื่องเสื้อผ้าเถอะ มีอะไรจะคุยกับฉันกันแน่วาเลเรียส”

                    “ตามมาสิ”

    บุรุษผมดำบอกเคนิสให้ตามเขาไปและหันมาหาอาร์กัส ที่ยังยืนเอ๋อมองทั้งคู่อย่างงงๆ

    “เจ้า......รออยู่นี่ไปก่อน สักพักผู้ช่วยของข้าจะมาเย็บแขนให้”

      พรตหนุ่มถูกเจ้าของบ้านทิ้งให้รอในห้องที่น่าจะเคยเป็นห้องรับแขก  มีโซฟาที่เคยดูหรูมาก่อนตั้งอยู่  แต่ตอนนี้มันเก่าจนผ้าหนังขาด ทั้งสปริงและปุยนุ่น ทะลักออกมาข้างนอกจนนั่งไม่ได้ ห้องทั้งห้องมืดสลัว มีหลอดไฟประดิษฐ์ให้ความสว่างดวงเล็กๆอยู่ที่มุมห้อง และไม่ห่างกันนั้นก็มีเตียงสำหรับผู้ป่วย  และอุปกรณ์ทางการแพทย์บางส่วนอยู่ใกล้ๆ   ทันใดนั้นเขาก็เริ่มจำได้   ว่าห้องนี้เองที่เขาเกือบจะถูกหมอปีศาจนั่นแล่เนื้อออกมาวิจัย  อาร์กัสมองไปหาเคนิสอย่างตื่นตระหนก  แต่หญิงสาวคนนั้นได้แต่ยิ้มตอบกลับแล้วตามไลท์ บริสตั้น ไปอีกห้องหนึ่ง  ทันทีที่ประตูของอีกห้องปิดลง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน  ห้องที่ว่าสลัวแล้ว ยิ่งมืดจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น  และเพียงไม่กี่อึดใจเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนล้อรถเข็นดังเอี๊ยดเอี๊ยดเข้ามาใกล้เรื่อยๆพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนหลายคนกำลังตรงมาที่ประตู

    พรตปีศาจเริ่มหน้าซีดไม่ใช่เพราะเสียเลือด แต่เพราะกำลังขวัญกระเจิงกับบางอย่างที่กำลังตรงมาหา  เขาเดาได้เลยว่า ผู้ช่วยของหมอปีศาจวาเลเรียสไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าพยาบาลซากศพ  พวกหล่อนตัวเขียวคล้ำ ดวงตาเน่าแฟะปลิ้นออกมาจากเบ้า  อาร์กัสกลัวพวกเธอมากจนเริ่มคิดว่า  วิ่งหนีออกจากสุสารโบราณตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า    แต่ไม่ทันที่จะหนีประตูห้องก็เปิดออกเสียแล้ว  พรตหนุ่มถอยกรูดไปติดผนังด้วยความตกใจ  เขาไม่กล้าแม้แต่เงยหน้ามองอะไรก็ตามที่เข้ามาหา   แต่ถึงเขาจะก้มหน้ายังไง ก็ยังเห็นเงาสะท้อนของร่างสองร่างทอดลงมาที่พื้นอยู่ดี  พร้อมกับมีเสียงร้องด่าด้วยความไม่พอใจดังลั่นห้อง

    “คราวนี้เป็นอะไรมาอีกละ  ไอ้พรตห่วย”

    ด้วยน้ำเสียงที่ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด  อาร์กัสสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบเงยหน้ามองไปที่ต้นเสียงนั้นทันที ดวงตาสีฟ้าเบิกค้างนิ่งเพราะตื่นตระหนกยิ่งกว่าได้เห็นพยาบาลซากศพเป็นไหนๆ  หัวใจของเขาเต้นโครมๆเมื่อเห็นผู้ช่วยแพทย์ทั้งสองยืนตรงหน้า  พร้อมกับรถเข็นยาและอุปกรณ์ทำแผล

                    “คาอิน ! ลอเรนโซ!

    ยิ่งกว่าเห็นผีตัวเป็นๆ  ไม่สิ นี่ก็ผีแน่ๆ ไม่มีทาง   สองคนนั่น ตายไปตั้งแต่พันปีก่อนแล้ว แต่ทำไมยังมีตัวมีตนยืนอยู่ตรงนี้ได้! หรือว่าพวกนักรบเจตภูตจะทำอะไรกับพวกเขากันแน่

    ดวงตาเจตภูตเริ่มทำงานทันที มันตรวจสอบเป้าหมายตรงหน้า แล้วภาพสะท้อนที่มองเห็นนั้น ระบุชัดเจนว่าทั้งสองไม่ใช่มนุษย์  แต่เป็นเพียงวิญญาณที่สถิตอยู่ในร่างกายไร้ชีวิต!

                    “พวกทางเหนือนั่นใช่มั้ย  ที่ทำให้พวกเจ้าเป็นแบบนี้”

    อาร์กัสร้องลั่นในทันทีแม้อีกใจหนึ่งจะดีใจที่ได้มองเห็นพวกพ้องอีกครั้ง  แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป หลายครั้งหลายคราที่ได้รู้ว่าผู้ที่หายไปในสงครามทางเหนืออาจจะถูกนำไปดัดแปลงกลายเป็นนักรบเจตภูตหรืออะไรสักอย่าง แล้วถูกส่งมาสังหารพวกเดียวกันอีกครั้ง

                    “ใจเย็นๆเราไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะเว้ยอาร์กัส ถึงเราจะเป็นผีดิบไปแล้วก็เถอะ”

    แม้บุรุษผมดำนามคาอินจะบอกเช่นนั้น  แต่อาร์กัสก็ยกหน้าไม้ขึ้นมาเล็งไปที่เขา ถ้าหากต้องลงมือฆ่าเพื่อให้พวกพ้องคนสำคัญได้หลุดพ้นจากคำสาปร้าย ไม่ต้องเป็นคนตายเหมือนอย่างเขาไปชั่วนิรันดร์ เขาก็จะทำ

                    “การมีตัวตนของเราในครั้งนี้เป็นความต้องการของเราเอง”

    ลอเรนโซว่าพลางเข็นรถเข็นเข้ามาหา โดยไม่ใส่ใจหน้าไม้ที่อาร์กัสกำลังเล็งมาแม้แต่น้อย

                    “หมายความว่ายังไง” อาร์กัสถามลอเรนโซอย่างกังวล

                    “สันตะปาปาอนุญาตให้พวกเราใช้ร่างกายดัดแปลงนี้ได้ชั่วคราว  เพื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งในฐานะผู้ช่วยวิจัยและพัฒนาแอนตี้ไวรัสเจตภูตร่วมกับ ดร.ไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น  แห่งศูนย์วิจัยลับเมืองซางตานีโอ”

    อาร์กัสลดหน้าไม้ลงในทันทีเมื่อได้ยินชื่อไลท์วาเลเรียส  สหายทั้งสองกลับมาที่อารามอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วเหมือนคนอื่นๆ คาอินเล่าให้ฟังว่าพอเป็นวิญญาณทำอะไรก็ยาก จึงจำเป็นต้องมีร่างกายเพื่อง่ายต่อการปฏิบัติงานใหม่  อาร์กัสเองก็ลืมไปเสียสนิทว่าสองคนนี้ยังไงก็เป็นอัจฉริยะแห่งชั้นปี แม้ตายไปแล้วจะถูกเรียกมาช่วยงานก็ไม่แปลกอะไร  เพราะอย่างไรเสียนักพรตคนอื่นๆก็กลับมากันหมดทั้งอารามเหมือนกัน  แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั่นคือ สุสารโบราณที่มีเขตแดนอำพรางแน่นหนาจนหายไปจากประวัติศาสตร์เหลือแค่ตำนานเรื่องเล่า จะกลายเป็นศูนย์วิจัยลับแห่งเมืองเล็กๆอย่างซางตานีโอ

                    “ตอนเรามาที่นี่ก็ตกใจเหมือนกัน คิดว่าตกนรกไปแล้วเพราะเห็นผู้คุมวิญญาณมาหา เห็นหลุมศพเต็มไปหมดทั้งเนินปราสาท ข้าที่ยังไม่คุ้นกับความตายนี่กลัวจนฉี่ราดเลยละจะบอกให้ ใครจะรู้ละว่าสุสารขนาดใหญ่นี่ จะเป็นศูนย์วิจัยลับ แถมยังแอบได้งบการสนับสนุนจากซิลเทียเรส และลอแซมเบิร์กด้วย”

    คาอินบอกทำท่าขนลุกก่อนจะโดนย้อนจากเพื่อนอีกคน

    “นั่นสิ ถ้าตอนนั้นยังเจ้ายังฉี่ราดได้ละนะ คาอิน”

    วาจาเรียบๆของลอเรนโซทำให้คาอินยิ้มเหยียดออกมา แล้วหัวเราะกลบอาการเขิน

    “หึ เจ้าก็เหมือนกันนะบุตรชายเจ้าเมือง   ตอนที่ไอ้ห่วยถูกสับเป็นชิ้นๆอยู่ในกระสอบแล้วถูกส่งมานี่นะ  ข้าก็เพิ่งรู้ว่าผีเองก็เป็นลมได้”

    บุรุษผมสั้นสีดำจากซิลเทียเรสเอ่ยแซวเพื่อนอีกคน ที่กำลังล้างแผลและฉีดยาชาให้อาร์กัส  บุรุษผมเงินจากลอร์แซมเบิร์กนามลอเรนโซ ก็ยังคงหน้าตาเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากคือฝ่ามือที่เย็นเฉียบไร้ชีวิต และสีผิวที่ดูซีดมากกว่าเดิม

    “ผีเองพอมีร่างกาย ก็สิ้นเรี่ยวแรงเป็นนะ”ลอเรนโซตอบเสียงเรียบ

    “อ๋อ งั้นเองสิเนี่ย  เจ้าก็เลยให้ข้ากับท่านวาเลเรียส ซ่อมยกเครื่องร่างไอ้ห่วยจนเกือบได้คางเหลืองตาย”

    คาอินกับลอเรนโซเถียงกันอยู่อย่างนั้น  แต่อาร์กัสไม่ได้สนใจ เพราะกำลังก้มมองลอเรนโซเย็บแผลให้ พริบตาเดียวเขาก็เย็บแผลเสร็จ  และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแผลลึกลากยาวเมื่อครู่ดันหายไปเฉยๆ

    “เจ้าทำได้ยังไงเนี่ย”อาร์กัสร้องอย่างตกใจ

    “เรียนรู้จากไลท์ วาเลเรียสไงละ  ชายคนนั้นไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าภูมิปัญญาระดับเขา บางทีแม้แต่คำสาปของเจ้า สักวันเขาอาจจะหาทางลบล้างได้”

    ลอเรนโซว่าแล้วอยู่ๆใบหน้าเรียบๆของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นกังวล แล้วหันไปทางประตูที่วาเลเรียสกับเคนีสเข้าไปเมื่อครู่ ด้านหลังประตูนั้นคือบันใดที่นำลงไปชั้นใต้ดินของสุสาร

    “ถ้าหากชายคนนั้นไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน...”ลอเรนโซว่า

    เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไงลอเรนโซ !

    “เขา......ถูกคำสาปที่ร้ายแรงกว่าเจ้าเสียอีกอาร์กัส  ซ้ำยังถูกสูบเลือดออกจากร่างกายไปจนหมด  แล้วก็....ถูกใครบางคนถ่ายเลือดปีศาจเข้าไปให้  ชายคนนั้นถูกทำให้กลายเป็นปีศาจทั้งกายและวิญญาณอย่างสมบูรณ์”

    “อะไรนะ!

    อาร์กัสตื่นตระหนกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนแม้แต่จากเคนิส เกิดอะไรขึ้นกับไลท์ วาเลเรียสกันแน่

    “เขาฝืนไม่ยอมรับเลือดปีศาจตนนั้นมานานแสนนานแล้ว ปฏิเสธแม้กระทั้งเลือดของมนุษย์”

    ลอเรนโซตอบเบาๆแล้วถอนหายใจ

    “ใช่  หมอนั่นบอกพวกข้าแค่ว่า  ต่อให้ต้องกินสัตว์โสโครกเป็นๆ ก็ยังดีว่าเลือดของสารเลวนั่นกับเลือดเชื้อสายคนทรยศ  ข้าก็ไม่เข้าใจนัก  และก็ไม่กล้าถามหรอก แต่..เพราะฝืนสังขารไม่รู้กี่พันปีมาแล้วเขาก็เลย....ไม่รู้สิ  เขาอ่อนแอลงมาก เมื่อไม่กี่วันมานี้ คิดว่าคงทนได้ไม่นานหรอก  ”

    คาอินเอ่ยขึ้นอย่างกังวน ก่อนจะอธิบายง่ายๆอีกครั้งเมื่ออาร์กัสยังตามเรื่องตามราวไม่ทัน พรตหนุ่มจากเชลได้แต่ทำหน้าเครียด

    “พูดง่ายๆก็คือ เขากำลังจะตาย!

    บุรุษผมดำสรุปตรงๆให้เข้าใจง่ายและกระชับที่สุด   

                    “ไม่มีทางช่วยเขาได้หรือไง”

    อาร์กัสถาม แต่ลอเรนโซส่วยหัวแทนคำตอบแล้วเงียบไป  

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                   อีกด้านหนึ่งเคนิสกับวาเลเรียสเดินลงมาที่ชั้นใต้ดินของสุสารโบราณ มีห้องแคบๆห้องหนึ่งอยู่ใกล้ๆทางเดิน นั่นเป็นห้องนอนของเขา   ข้างในไม่มีอะไรมาก นอกจากที่นอนเก่าๆมีราขึ้นเต็มไปหมด  ข้างๆที่นอนยังมีโลงศพโลงใหญ่เปิดฝาอยู่  นั่นก็เป็นเตียงนอนอีกเตียงของวาเลเรียสเช่นกัน เขาได้มันมาตอนที่มีศพติดเชื้อบรรจุส่งมาภายในโลงด้วยเมื่อหลายปีก่อน  ส่วนเจ้าของโลงตัวจริงน่าจะถูกกองรวมที่ไหนสักแห่งในสุสารโบราณไปแล้ว

                    “อืมเรื่องโลงศพ เป็นเรื่องเดียวที่ฉันคิดว่าเข้ากับหมอปีศาจแวมไพร์อย่างนายแล้วละนะวาเลเรียส”

    เคนิสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นโลงภายในห้องนอนของเขา นอกจากนั้นยังมีหยากไย่และฝูงพิกซีกินซากตัวสีดำสีแดง บินว่อนไปทั่ว  วาเลเรียสจึงไล่พวกมันออกไปแล้ววางอลิซาเบธไว้ที่เตียงนอนของเขา ก่อนจะยืนขึ้นแล้วหันมามองเคนิส

                    “นายอยากคุยอะไรกับฉันวาเลเรียส”

    ไลท์ วาเลเรียส ยังไม่ทันจะตอบ อยู่ๆเขาก็ล้มตึงกับพื้นไปเสียเฉยๆ   ตลอดเวลาที่อยู่นอกห้องนี้เขาฝืนทำเหมือนตนเองเป็นปกติ  ทั้งที่ความจริงแล้วเขาแทบไม่มีแรงจะเคลื่อนไหวได้  บุรุษผมดำค่อยๆดันตนเองขึ้นมา แต่ก็ล้มลงไปอีก จนเคนิสต้องรีบไปพยุงแล้วให้เขานอนพักฟื้นที่เตียงขึ้นราของเขา

                    “นายอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    วาเลเรียสตัวเย็นชืด เมื่อมองดีๆแล้วร่างกายของเขาผอมซูบลงไปมากจนใกล้เคียงกับหนังหุ้มกระดูกใน เวลาเพียงไม่กี่นาทีที่พวกเขาใช้ลงมาในชั้นใต้ดิน บุรุษตรงหน้าผอมแห้งจนน่ากลัว

                    “วาเลเรียส!

    แต่ละวินาทีผ่านไป วาเลเรียสก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายทีละเล็กทีละน้อย  เขาหายใจเริ่มติดขัด พลังชีวิตเริ่มถดถอย พร้อมกันนั้นก็มีประกายสีดำออกมาจากผิวหนัง คำสาปอันเลวร้ายหนักหน่วงเมื่อนานแสนนานมาแล้วกำลังทรมานเขาให้ตายอย่างช้าๆ  ขอเพียงแค่เขายอมแพ้แล้วยอมคุกเข่ายอมรับการเป็นข้าทาสของปีศาจตนนั้น ขอเพียงเท่านั้นเขาก็จะได้รับทุกสิ่งกลับมา

                    “ไฟชำระ รีบเรียกมาสิ! หากเป็นอย่างนี้นายจะตายนะวาเลเรียส”เคนิสตะคอกใส่

                    “ไฟชำระในร่างของข้ามันหมดไปแล้วเคนิส  มันหมดไปนานแล้ว”

    วาเลเรียสเริ่มร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ทำสาปมรณะยิ่งทวีกำลังรุนแรงขึ้น ความเจ็บปวดมหาศาลกำลังเข้าเล่นงานเขา  ไลท์ บริสตั้น กำลังจะตายในอีกไม่ช้า 

                    “อลิซาเบธ เชื่อมเฮฟเว่นพาสของเธอไปหาอาร์คบิชอบราฟาเอล”

    หญิงสาวผมดำสั่งผู้คุมวิญญาณ

                    “ข้าไม่ทำตามคำสั่งของใครนอกจากนายท่าน”อลิซาเบธเถียง

                    “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้เจ้านายของแกตายไปก็ได้ใช่มั้ย”

    อลิซาเบธเรียกเคียวกระชากวิญญาณเข้ามือในทันที เฮฟเว่นพาสของผู้คุ้มวิญญาณเปล่งประกายสีทองออกมา พริบตาที่ใบเคียวนั้นก็ปรากฏอักษรสวรรค์คำว่า “ราฟาเอล”

                    “สวัสดีวาเลเรียส”

    ทันใดนั้นก็มีเสียงของราฟาเอลตอบกลับมาในทันทีเช่นกัน

                    “นี่ฉันเคนิสเอง ท่านราฟาเอล”

                    “อ้าววว เคนิส เกิดอะไรขึ้น!

                    “วาเลเรียสกำลงจะตายแล้ว”

    พริบตานั้นบุรุษในคราบนักเดินทางก็ปรากฏกายขึ้นภายในห้องทันที  เขาถอดจิตมาปรากฏตัวตามพิกัดที่ตรวจจับได้ในเฮฟเว่นพาส  เมื่อราฟาเอลมองเห็นวาเลเรียสที่กำลังจะตายก็กัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด    เคนิสไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน

                    “พยาบาล!

    ว่าแล้วพยาบาลซากศพก็กรูกันเข้ามา  พวกนั้นรีบขยับตามคำสั่งของราฟาเอล พวกนางพยาบาลวิ่งวุ่นเข็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้ามาวุ่นวาย

                    “ฉันมีเรื่องขอความร่วมมือจากเธอด่วนเลยเคนิส”

    ราฟาเอลว่าใบหน้าตื่น  เคนิสผงกศีรษะรับแล้วเดินเข้ามาหา

                    “เข้าใจแล้ว ฉันต้องทำอะไร”

                    “เปล่า...ไม่ต้องทำอะไร แค่ขอบริจาคเลือด”

    เคนิสได้ยินก็ยิ้มออกมา ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาวาเลเรียส  ไม่มีทางที่เขาจะลุกขึ้นมาฝังคมเขียวที่คอของเจ้าหล่อนเหมือนในตำนานแวมไพร์พวกนั้นเด็ดขาด  บุรุษผมดำที่นอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ เเละเริ่มแสดงท่าทีไม่ยอมรับเต็มที่ เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายกลิ้งลงมาจากเตียงแต่ก็ถูกนางพยาบาลจับเอาไว้  เขาถูกพวกหล่อนมัดไว้กับเตียงเสียแน่นหนา และที่สำคัญอลิซาเบธไม่คิดที่จะออกมาช่วยเพราะมันเห็นแก่นายของมันที่กำลังจะตาย

                    “เลือดของเธอใกล้เคียงกับคนของความมืดที่สุด แต่....ฉันก็ไม่รู้ว่าจะใช้แทนได้มั้ย  คงต้องลองดูพักหนึ่ง  อาจต้องขอมากหน่อยนะ”

    เคนิสยื่นมือให้ราฟาเอลใช้เข็มเจาะเลือดแทงที่เส้นเลือดดำในทันที  ทันใดนั้นเลือดสีแดงเข้มก็ไหลไปตามสายลงไปในถุงเก็บเลือด หมอปีศาจกัดฟันกรอดเมื่อเห็นดังนั้น แต่เขาก็ไม่มีทางขัดขืนอะไรได้ นอกจากปล่อยให้เลือดของหญิงสาวอีกคนไหลเข้าร่างกายของเขา

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                     ท่ามกลางห้องทดลองขนาดใหญ่ หญิงสาวสูงศักดิ์สวมชุดขาวฟูพองแบบขุนนางชั้นสูงกำลังเดินตรวจงานในห้องแล็ป  เชื้อไวรัสที่เธอพัฒนาให้รุนแรงที่สุดเสร็จสมบูรณ์และมากเพียงพอแล้ว เจ้าหล่อนจึงยิ้มร่าแล้วเดินเฉิดฉายออกมานั่งเล่นนอกปราสาท  หล่อนล้วงตลับแป้งขึ้นมาแล้วเริ่มแต่งหน้าตามนิสัยของเธอ

                    “นี่ มาร์ติน ทางฉันเสร็จแล้วนะ”

    อยู่ๆหล่อนก็เอ่ยขึ้นมา เมื่อรับรู้ว่ามีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาในสวนดอกไม้ที่เธอกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่

                    “ขอร้องเถอะ เฮลเลน่า  อย่าเอาเวลางานมานั่งเล่นสิ เดี๋ยวท่านซามาเอลก็โกรธหรอก”

                    “ก็ฉันเบื่อนี่ ! อยากไปหาวาเลเรียสที่น่ารักใจจะขาดอยู่แล้ว”

    อยู่ๆเธอก็บิดตัวไปมา ก่อนที่จะเริ่มแต่งหน้าต่ออีกครั้ง

                    “วาเลเรียส?

                    “ใช่ ทาสผู้น่ารัก ที่ฉันถึงขนาดยอมหลั่งเลือดมอบชีวิตนิรันดร์ให้เลยแหละ  นี่มาร์ตินฉันฝากดูแลแล็บหน่อยสิ”

    เฮลเลน่าเอ่ยขึ้นขณะทาลิสติกสีแดงสดที่ริมฝีปากของเธอ ก่อนจะโอบแขนมาร์ติน

                    “อย่ากร้านไม่เข้าท่า   ข้าไม่ได้ว่างเฝ้าแหลบให้ใครหรอกนะ  แล้วก็....ถ้าถึงขนาดยอมลงทุนหลั่งเลือดให้ขนาดนั้น  เดี๋ยวมันก็ออกมาหาเองนั่นแหละ ทาสไม่มีทางขาดเลือดเจ้านายได้หรอกไม่งั้นมันก็ต้องตาย  แต่ถ้าใจร้อนนักก็เรียกมันมาหาสิ”

                    เฮลเลน่าได้ยินก็ฉีกยิ้มกว้าง   นั่นสินะทำไมเธอถึงไม่เรียกเขามาหากันละ  เฮลเลน่าถอยออกมาแล้วถือกระจกออกมาส่องใบหน้าตนเองอีกครั้ง เมื่อดูงดงามตามที่ต้องการแล้วเธอก็ขยับปากเรียกหาข้าทาสคนสำคัญ

                    “วาเลเรียส  วาเลเรียส วาเลเรียส”

    เธอกระซิบแผ่วเบาอยู่อย่างนั้นได้เพียงสามคำ  กระจกที่กำลังส่องใบหน้าก็ระเบิดแตกกระจุยอย่างแรง  ปลายกระจกแหลยมคมกริบพุ่งเฉือนใบหน้าของเจ้าหล่อนจนเป็นแผลลากยาวบนใบหน้า  เลือดไหลซิบๆหยดบนชุดกระโปรงสีขาวของเธอ

                    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เลว  แสดงว่า ทาสของเธอคนนั้น คงมีผู้คุ้มกันที่ร้ายไม่เบาแน่ หึไม่ธรรมดาเสียแล้ว  เจ้าวาเลเรียส มันเป็นใครกัน?

    มาร์ตินที่กำลังหัวเราะอยู่นั้น ต้องรีบหยุดกึกในทันที  ดวงตาสีมรกฎของเฮลเลน่ามีประกายแห่งความกราดเกรี้ยวอันรุนแรงเกิดขึ้น  เธอยกมือลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลก่อนจะกรีดร้องด้วยความเจ็บแค้นสุดบรรยาย

                    “ฉันจะฆ่าแกแน่ไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น !

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    END / บุรุษต้องสาปแห่งสุสารโบราณ

              

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×