ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #8 : ประชุมอาร์คบิชอป

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 65


                        ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาแล้วถึงสามวัน นับตั้งแต่นักพรตอาร์กัสกลับไปยังป่าเดียวดาย  มันเป็นช่วงเวลาสามวันที่เงียบเชียบจนผิดปกติ ราวกับก่อนจะเกิดพายุใหญ่ บุคคลทั้งสามในร้างสังฆภัณฑ์เริ่มอึดอัดกับความสงบเกินจริงแต่แฝงเร้นไปด้วยแรงกดดันและความน่าสะพรึงกลัว ไม่มีข่าวคราวของเหล่าผู้มาจากความมืด  ไม่มีแม้แต่เหตุการณ์ผิดปกติต่างๆจากทั้งเจ็ดหัวเมือง  ทางมหาวิหารเองก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร นอกจากสั่งระดมนักบวชสายพิฆาตความมืดไปประจำการทุกหมู่บ้าน   ช่างน่าแปลกใจเสียจริง

     

    “ขอเหล้าแรงๆผมหน่อย”

    อยู่ๆก็มีชายผิวขาวผมทองร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง  เดินตรงดิ่งเข้ามาในร้านสังฆภัณฑ์พร้อมกับสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เขาเข้ามานั่งตรงเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์  โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ไส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เต็มไปด้วยเครื่องใช้ทางศาสนพิธี

                                    “คุณเข้าผิดร้านแล้ว”

    พนักงานสาวเมดที่กำลังทำงานอยู่นั้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบๆ   เมื่อมองเห็นชายขี้เมาที่น่าจะเข้าผิดร้าน  เขาสวมเสื้อบางๆสีขาวมีรอยปะชุนไปทั่ว อีกทั้งยังสวมกางเกงขาสั้นขาดเป็นรู มองไปแล้วไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อนแม้แต่น้อย    ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นแดงช้ำราวกับผ่านการร้องให้มาอย่างหนัก  แล้วเอาแต่ชี้ไม้ชี้มือไปที่เหล้าองุ่นบนชั้น  ซ้ำยังร้องตื้อสั่งมาดื่มให้จงได้  การกระทำที่แสนน่าปวดหัว ในช่วงเวลาที่เธอกำลังมีเรื่องให้คิดตั้งมากมายนั้น  ทำให้ในที่สุดสาวเมดก็ต้องจำใจหยิบเหล้ามิสซาชนิดแรงสุดในร้าน  ออกมารินใส่แก้ว แล้วยื่นให้ไป

                                   “ขอบคุณครับ”

    ชายผมทองเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ ผิดกับรูปลักษร์อย่างเหลือเชื่อ   จากนั้นเขาก็เอาแต่ยกแก้วซดเหล้าพรวดๆ จนหมดทั้งขวด

    ดื่มของแบบนั้นได้ยังไงกัน

    สาวเมดยืนอึ้งเมื่อเหล้าองุ่นชนิดแรงสุดที่ทำเอาลูกค้ารับมือยากทุกรายต้องสลบไปในแก้วแรก  แต่กลับถูกชายคนนี้ซดรวดเดียวหมดขวดแล้วยังนั่งเฉยได้  มันน่าแปลกเกินไปแล้ว   ปีศาจอย่างเธอได้แต่มองค้างแล้วถอนหายใจ    เพราะนั่นก็ไม่ใช่เรื่องสุดรับมือยากของวันนี้เพียงอย่างเดียว เพราะทันใดนั้นเองประตูร้านก็เปิดขึ้นอีกครั้งมีบุรุษผิวขาวผมสั้นสีดำ   แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มนักศึกษาของมหาวิหารเต็มยศ  ใบหน้าดูอ่อนวัยสวมแว่นหนา  ในมือหอบหนังสือพะรุงพะรังเดินเข้ามาในร้าน แล้วจากนั้น................

                                    “ขอกาแฟ กับเค้กช็อกโกแลต”

    วาจาห้วนๆเอ่ยสั่งเครื่องดื่มและของหวาน  ทำให้แมรี่ถึงกับยืนเอ๋อ   คราวนี้แม้แต่นักศึกษาของเมืองซางตานีโอเองก็ยังเข้าผิดร้าน!   สาวเมดผมทองจึงพยายามบอกกลับไปว่า  ที่นี่ไม่ใช่ร้านขนมหรือร้านกาแฟ  เพียงแต่คำพูดนั้นก็ราวกับทะลุผ่านหูชายหนุ่มคนนั้นไปเฉยๆ ชายคนแก่เรียนไม่มีท่าทีจะใส่ใจ  เขานั่งลงที่โต๊ะตัวริมสุดกางหนังสือเล่มใหญ่ออก   แล้วเริ่มเขียนอะไรสักอย่าง ดังกรุกกรัก ด้วยท่าทางเคร่งเครียด

                             มาร้านสังฆภัณฑ์แต่ดันสั่งกาแฟกับขนมเค้ก มันจะมีให้ได้ยังไงกัน

    แมรี่บ่นในใจแล้วนั่งลงเพราะเริ่มปวดหัวกับเรื่องงี่เง่าตรงหน้า   เธอนั่งกอดอกมองชายผมดำสลับกับอีกคนที่ยังนั่งดื่มเหล้าตรงหน้าด้วยความรู้สึกอยากเป็นบ้าตายไปให้รู้แล้วรู้รอด   เธอได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อๆ   จากนั้นก็รีบจัดของที่เคาน์เตอร์อย่างปลงตก    และในตอนนั้นเองเธอก็พบบางอย่างในลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์     บางอย่างในนั้นก็คือถุงใส่กาแฟร้อนและขนมเค้กช็อกโกแลต!  มันเป็นของที่เด็กหนุ่มผมขาวพนักงานอีกคนซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำ

                                    แล้วเจ้านั่นมันรู้ได้ยังไงว่ามีของพวกนี้อยู่

    ทั้งที่ของเหล่านี้เก็บไว้อย่างมิดชิด  ไม่น่าจะมีใครเห็น  แต่ชายผมดำคนนั้นรู้ได้อย่างไร  แมรี่หรี่ตาลงมองไปที่ชายผมดำคนนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ  เขาดูเยือกเย็น  แต่ก็ไม่รู้สึกถึงพลังปีศาจหรืออำนาจชั่วร้ายใดๆ 

                                    “นี่กาแฟกับขนมเค้กของคุณ"  แมรี่ตัดสินใจยกขนมและกาแฟไปให้

                                    “.................................................”

    ชายผมดำไม่พูดอะไรสักคำ  เขายื่นเงินค่ากาแฟและขนมให้แมรี่โดยที่ตาของเขายังจ้องมองไปที่หนังสือแปลกๆเช่นเดิมราวกับว่ามันมีความสำคัญนักหนา  สาวเมดฉวยโอกาสนี้เหลือบดูตำราเล่มนั้น แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก่อนที่จะถูกเจ้าของมันปิดลงแทบจะทันที  แต่เธอก็ได้รู้แล้วว่านั่นไม่ใช่หนังสือธรรมดาที่มนุษย์ทั่วไปจะมีครอบครองได้   ชายหนุ่มหันมาจ้องสาวเมดด้วยสายตาดุดันคมกริบเป็นเชิงว่า อย่ายุ่งเด็ดขาด เหตุการณ์แปลกๆเหล่านี้ แม้จะดูธรรมดาแต่ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเสียแล้ว 
     

                                    “ผมเอาเค้กแบบหมอนี่” 

     แล้วทันใดนั้นชายอีกคนสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มเก่าๆ ถือไม้เท้า แบบนักเดินทางเข้ามาสั่งขนมในร้านเพิ่มอีกคน เขามีผมสีเงินเกือบขาวแบบฟีเดอาโก้ดวงตาสีเขียวสดใส  เดินตรงดิ่งมานั่งตรงข้ามกับชายผมดำสวมยูนิฟอร์มนักศึกษา

                                    “ที่นี่ไม่ใช่ร้านขนม”

    แมรี่ตอบเสียงแข็งเพราะเริ่มหมดความอดทน    และที่ดูแย่ไปกว่านั้นก็ยังมีชายอีกสามคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้าน พวกเขาดูเหมือนพ่อค้าต่างเมือง มีกระเป๋าหอบหิ้วข้าวของมานั่งนิ่งที่โต๊ะตรงกลางร้าน ไม่ยอมพูดยอมจาใดๆ  เอาแต่นั่งนิ่งเงียบราวกับหุ่นปั้นปูน เรื่องแปลกประหลาดที่ดูท่าจะไม่ใช่การเข้าร้านผิดธรรมดาๆแบบที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง  สาวเมดจึงต้องตัดสินใจกดกริ่งเรียก ผู้ดูแลร้านอีกคนจากชั้นสอง
     

                                    “นี่มันหมายความว่ายังไง!”

                    ดาร์ค   เคนิส  บริสตั้น ที่รีบลงมาชั้นล่างร้องลั่นด้วยความตกใจ    เมื่อพบว่ามีผู้ชายท่าทางแปลกๆนั่งหัวโด่อยู่ในร้านถึงหกคน  ชายคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มเหล้ามิสซาที่เคาน์เตอร์ อีกคนกำลังนั่งอ่านหนังสือ อีกคนนั่งกินขนมและดื่มกาแฟ  ส่วนอีกสามคนนั่งนิ่งราวกับถูกสตาฟไว้   ดูท่าทางชายทั้งหกคนนั่นดูยังไงก็น่าจะเข้าร้านผิด แถมออกปากไล่ยังไงก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย โดยเฉพาะชายผมทองที่ยังนั่งดื่มสุราหน้าเคาน์เตอร์คนนั้น

                                    “นี่คุณ  ที่นี่ไม่ใช่ร้านเหล้า!”

                    เคนิสตะคอกออกมาทันทีพร้อมกับดึงทั้งแก้วทั้งขวดเหล้าองุ่นนั้นออกจากมือเขา

                                    “เธอ..ม่ายยย เข้าใจโผม หรอกกกกก”

    น้ำเสียงของเขาปะปนไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ชายผมทองยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตา ก่อนที่จะเงยหน้ามองหญิงสาวผมดำที่เพิ่งแย่งเครื่องดื่มย้อมใจออกไปจากมือเขา   แต่เมื่อเคนิสมองใบหน้าบวมๆของชายขี้เมาคนนั้นดีๆแล้ว  ดวงตาสีดำก็เบิกกว้างออกมาด้วยความตกใจ

                                    “อาร์คบิชอปกาเบรียล!”

    หญิงสาวผมดำร้องลั่น เมื่อพบว่าชายผมทองคนนั้น แท้จริงแล้วก็คือ อาร์คบิชอปผู้นำศาสนาตำแหน่งสูงสุดแห่งซางตานีโอ ผมหยักศกของเขาฟูกระเจิง ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาสีฟ้าช้ำไปหมด ราวกับผ่านการร้องให้อย่างหนักแถมเสื้อผ้าที่สวมมานั้นดันไม่ต่างจากคนเร่ร่อน 

                                    “เค....นีส  ฉานเป็นอาร์คบิชอปที่ไม่เอาหนาย”

    อาร์คบิชอปกาเบรียลเริ่มร้องคร่ำครวญ  ด้วยความโศกเศร้าอย่างหนัก  อาร์คบิชอปกาเบรียลที่ดูยิ่งใหญ่ สุขุม และเป็นที่เพิ่งพิงทางจิตใจให้แก่ชาวเมืองเสมอ แต่ในยามทุกข์ใจนั้นตัวเขาเองกลับไม่สามารถหาที่เพิ่งพิงที่ไหนได้   ซากศพของมนุษย์ที่ถูกลากเข้ามามหาวิหารศพแล้วศพเล่าเมื่อห้าวันก่อนนั้น ยังหลอกหลอนจิตใจเขา มันเป็นเพราะเขาเอง เป็นเพราะตัวเขาที่ไร้ความสามารถ

                                    “กาเบรียล นายหยุดร้องโหวกเหวกเสียที  น่ารำคาญ!”

    ชายผมสั้นสีดำที่กำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างในหนังสือเล่มใหญ่นั้น เงยหน้าขึ้นต่อว่าอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอด้วยวาจาแข็งกร้าว  ชายหนุ่มที่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นแค่นักเรียนสวมแว่นเท่านั้น แต่กลับกล้าใช้วาจาสามหาว ซึ่งทำให้เคนิสเริ่มไม่พอใจ  ซ้ำยังเรียกชื่ออาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอห้วนๆอีกตั้งหาก  เมื่อพยายามพิจารณาใบหน้าภายใต้แว่นหนานั้นก็รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน  และในทันทีที่ชายผมดำคนนั้นถอดแว่น ดวงตาสีม่วงคมกริบคู่นั้นก็ทำให้เธอจำได้ทันที  ว่าเขาคืออาร์คบิชอปจากเมืองรีแบร์

                                    “อาร์คบิชอปยูริเอล! ท่านแต่งตัวแบบนั้นทำไมกัน!”

                    หญิงสาวผมดำร้องด้วยความตกใจ อาร์คบิชอปยูริเอลที่เธอเคยเห็นหลายครั้งในงานฉลองสถาปนาเมือง หรือแม้แต่ตอนนำกล่องอีทูลัสไปซ่อมแซมที่เมืองรีแบร์ทางตะวันออกของซางตานีโอ กลับแต่งกายด้วยชุดนักเรียนสวมแว่น

                                    “ประชุมอาร์คบิชอปยังไงละ ดาร์ค เคนิส บริสตั้น”

    เสียงทุ้มดุดันตอบกลับมาทันที มันเป็นเสียงของชายผมดำร่างสูงกำยำคนหนึ่ง ผิวของเขาดูเข้มกร้านแดด สวมชุดโคทหนังสีดำ สะพายกีตาร์ราวกับนักดนตรีเพลงร๊อคผลักบานประตูดังโครมแล้วเดินเข้ามาในร้าน เคนิสจำชายคนนี้ได้ดีแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องยอมลงทุนแต่งกายเป็นนักดนตรีเช่นนั้น เพราะตัวตนแท้จริงแล้ว ชายคนนี้เป็นถึงนักบวชตำแหน่งสูงสุดจากเมืองซิลเทียเรส

                                    “อาร์คบิชอปมิคาเอล!  ท่านเป็นบ้าอะไรของท่านเนี่ย  ไม่สิพวกท่านนั่นแหละ เกิดอยากแต่คอสเพลย์ขึ้นมา แล้วมาแอบพบปะกันในร้านฉันเนี่ยนะ!”

    เคนิสแทบลมจับ เหตุการณ์ที่อยู่ๆอาร์คบิชอปทั้งเจ็ดผู้เคร่งครัด เกิดอยากลองแต่งตัวเพี้ยนๆขึ้นมากระทันหัน ทำให้เธอยืมมองด้วยความแปลกใจ

                                    “เงียบทีได้มั้ย  ฉันก็ไม่ได้อยากทำเรื่องบ้าอย่างนี้นักหรอก”
    อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยตอบแล้วขยับยิ้มเหยียดใส่หญิงสาวผมดำที่ยังทำหน้าตื่น  เขาวางกีตาร์ไว้ข้างผนัง แล้วก้าวฉับๆมารวมกลุ่มกับอาร์คบิชอปคนอื่นๆ ที่เริ่มพากันขยับเขยื้อนรีบลุกขึ้นลากโต๊ะเก้าอี้ จัดเป็นที่ประชุมอย่างง่ายๆ  เคนิส กับแมรี่ได้แต่ยื่นมองตาปริบๆ เมื่ออยู่ๆ คนแปลกๆเหล่านั้นแท้จริงแล้วคืออาร์คบิชอปจากหัวเมืองทั้งเจ็ดที่ปลอมตัวเข้ามาในร้านสังฆภัณฑ์เพื่อประชุมกันด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง สาวเมดผมทองถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย   เธอจำใจเดินไปหน้าร้านแล้วแขวนป้ายว่า "ร้านปิด"

                               

                    “นี่มัน หมายความว่ายังไง”

    เคนิสเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ  อาร์คบิชอปกาเบรียลที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินดังนั้นจึงกระซิบบอกเบาๆที่ข้างหู

                    “ตอนนี้พวกเราไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้ว  ประชุมที่นี่ปลอดภัยที่สุด”

    ชายผมทองหยักศกตอบ เขายกเสื้อที่สวมอยู่ออกมาเช็ดหน้า และในพริบตานั้น ใบหน้าบวมๆจากการร้องให้ฟูมฟายและดื่มหนักจะหายไปอย่างกับเรื่องโกหก กลายเป็นใบหน้าสงบนิ่ง งดงาม ที่เคนิสคุ้นเคย เป็นอาร์คบิชอปกาเบรียลที่ดูน่าเลื่อมใสคนเดิม

                    “มันเกิดอะไรขึ้น ถึงขนาดต้องปลอมตัวมาแอบประชุมลับๆกันด้วย”

    เคนิสรู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์นี้มันคงเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว  ถึงขนาดที่ไม่สามารถเปิดประชุมอาร์คบิชอปอย่างเปิดเผยได้   อีกทั้งแต่ละคนยอมลงทุนแปลงโฉม แฝงเร้นเข้ามานัดพบกันเงียบๆในเมืองยามค่ำคืนเสียขนาดนี้  แสดงว่าต้องประชุมอะไรสักอย่างที่เป็นความลับสุดยอด

                    “มีบางเรื่องที่เอาไปประชุมในสภาบิชอปไม่ได้นะสิ บริสตั้น”

    ชายหนุ่มนักเดินทางผมสีเงินเอ่ยตอบ เขานั่งข้างๆอาร์คบิชอปยูริเอล คนที่เคนิสพอมองพิจารณาครู่หนึ่งก็จำได้ทันทีว่า เขาคือ อาร์คบิชอปราฟาเอลจากเมืองลอร์แซมเบิร์ก

                    “พวกเรามีหนอนบ่อนไส้ !”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลพูดเสียงแข็ง ดวงตาสีแดงเพลิงโชนแสงด้วยแรงแห่งอารมที่ดูท่าทางเหมือนโกรธจัดจนหลอดไฟประดิษฐ์บางหลอดในร้านถึงกับระเบิดแตกเพล้ง

                    “ใจเย็นลงหน่อย มิคาเอล”

    อาร์คบิชอปซีลเทียลปรามด้วยเสียงเรียบๆ เขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายเครื่องหอมจากเมืองซาเวีย ผมยาวสีฟางของเขาถูกเจ้าตัวผูกรวบไว้

                    “นายจะโมโหจนระเบิดที่นี่ทิ้งไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”

    ชายผู้ดูร่างเล็กที่สุดในกลุ่มเอยขึ้น อาร์คบิชอปบาราเชียล ผู้มีผมสีม่วงเข้ม  สวมหมวกทรงสูง แต่งกายเป็นของพ่อค้าเมล็ดพืชจากเมืองซอร์  กำลังถอนใจอย่างเบื่อๆ

                    “เปิดประชุมกันดีกว่ามั้ย”

    ชายผิวเข้มผมยาวสีน้ำตาลเสนอขึ้นมาหลังจากที่เงียบมานาน เขาคืออาร์คบิชอปจูเดียลจากเมืองอาโรน เมืองทางตอนใต้ที่ลือเลื่องด้านเครื่องเทศ กระเป๋าของเขาเต็มไปด้วยเครื่องเทศหายาก เขาปลอมตัวมาขายของได้อย่างแนบเนียนจนเคนิสแทบจะจำไม่ได้

                    “ก็ดี”

    เจ้าภาพกาเบรียลเห็นด้วยทีเดียว เขาเชิญอาร์คบิชอปทั้งหกนั่งประจำที่  แล้วยังให้ดัลลาฮันกับสองบริสตั้นมาร่วมฟังการประชุม    ฟีเดอาโก้ที่กำลังหลับอยู่นั้นถูกปลุกมารับฟังการประชุมทั้งที่ยังหาวหวอดๆ

                    “ขอบคุณสหายทุกท่านที่มาร่วมประชุมกันในวันนี้  เนื่องด้วยพวกเราในแต่ละเขตปกครอง   ต่างมีเหตุสำคัญเร่งด่วนต้องการปรึกษาหารือโดยเร็วที่สุด”

                    อยู่ๆบรรยากาศที่แสนธรรมดาเมื่อครู่จะกลายเป็นเคร่งเครียดในทันที  เมื่ออาร์คบิชอปยูริเอลส่งเอกสารให้อาร์คบิชอปแต่ละคน  มันคือเอกสารเกี่ยวกับหัวข้อในการประชุมวันนี้ เป็นเพียงหัวข้อสั้นๆที่แต่ละเขตจะนำมาหารือแต่แค่นั้นก็ทำให้ผู้เข้าประชุมทั้งเจ็ดหน้าถอดสี

                   

                    “เราขอแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับเมืองซางตานีโอ ซึ่งคิดว่าพวกท่านคงจะพอทราบกันแล้ว เรื่องอิสซาเบลล่า หนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจ   โชคยังเป็นของเรา ที่ปีศาจตนนั้นได้ร่างสถิตเป็นแค่เด็ก  เหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น  ถ้าหากไม่มีมนุษย์อยู่เบื้องหลัง  ปีศาจระดับนายพลไม่มีวันขึ้นมาบนโลกนี้ได้ถ้าไม่มีมนุษย์เรียกมันขึ้นมา  เราไม่รู้ว่ามันเป็นใคร  แต่ที่แน่ๆคนคนนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญด้านศาสตร์มืดสูงส่ง”

                    อาร์คบิชอปทั้ง 6 เมื่อได้ยินปัญหาแรกจากทางซางตานีโอต่างก็พยายามรีดข้อมูลในความทรงจำเกี่ยวกับมนุษย์ที่พอจะมีปัญญาเรียกปีศาจระดับนายพลขึ้นมาบนโลก  มันเป็นเรื่องที่ฟังดูน่าขำ  แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว  อีกทั้งมีผู้คนล้มตายไปมากมายจากการกระทำของมัน

                    ผู้ที่จะเรียกปีศาจระดับนายพลขึ้นมาได้ต้องเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดขั้นสูงที่ไม่น่าจะพบได้ในยุคปัจจุบันแล้ว  อีกทั้งตำราศาสตร์มืดโบราณก็ถูกเผาทำลายไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนจนหมด  หรือต่อให้มีเหลืออยู่จริง ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทั่วไปจะมีปัญญาควบคุมอำนาจมืดขนาดเรียกปีศาจระดับสูงจากนรกนั่นขึ้นมาได้ 

                  

                    “ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน  เอกสารในหอเอกสารลับของที่ทำการมหาวิหารถูกขโมยไป  น้ำเสกในแท็งเกือบทั้งหมดกลายเป็นสีดำสนิท  ไม้เท้าในคลังถูกทำให้แปดเปื้อนความชั่วร้าย จนใช้การไม่ได้กว่าครึ่ง”

                ฟีเดอาโก้ที่นั่งหลับ  แอบขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับมหาวิหาร ที่แท้คทามากมายขนาดนั้นบนห้องของเขา ก็มาจากแผนชั่วของใครบางคน ที่ยังจับตัวไม่ได้

                    “เรื่องที่หอเอกสารถูกค้น  ทั้งน้ำเสก  ทั้งไม้กางเขนถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยอำนาจมืด  จะเกี่ยวกับมนุษย์ที่เรียกอิสซาเบลล่าขึ้นมานั่นมั้ยกาเบรียล  นายแน่ใจนะว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกัน”

                      อาร์คบิชอปราฟาเอลถามด้วยความสงสัย กาเบรียลหันไปมองหน้าอาร์คบิชอปผมเงินตาสีเขียวในคราบนักเดินทางคนนั้น

                    “เอกสารที่หายไป  เป็นข้อมูลของกล่องกักปีศาจโบราณที่ผนึกสิ่งชั่วร้ายในสมัยก่อน”

    อาร์คบิชอปกาเบรียลตอบ พร้อมกับให้สาวเมดนำกล่องไม้เก่าๆที่เพิ่งกล่าวถึง ออกมาวางบนโต๊ะประชุม  และสิ่งนั้น  ก็ทำให้อาร์คบิชอปยูริเอลที่กำลังเขียนบันทึกการประชุม ถึงกับทำปากการ่วงจากมือ  ดวงตาสีม่วงเบิกค้าง เมื่อกล่องไม้ใบนั้นคือกล่องกักปีศาจในตำนานที่เมืองรีแบร์ของเขาเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยเต็มขั้นกันการโจรกรรมอย่างแน่นหนา   แต่กลับเป็นว่า  “กล่องเจเฮลน่า” เพิ่งถูกขโมยออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนอย่างไม่น่าเป็นไปได้

                    “นายรู้จักมันเหรอยูริเอล”

    อาร์คบิชอปซีลเทียลถามจากฝั่งตรงข้าม    เขาไม่เคยเห็นยูริเอลตื่นตกใจขนาดนั้น    ชายผมดำในชุดนักศึกษาสีน้ำเงินเข้ม ค่อยๆสงบใจตนลงก่อนที่จะเริ่มขยับปากพูด

                    “ใช่ ฉันรู้จักมันดี”

    กล่องเจเฮลน่าเป็นกล่องที่กักปีศาจระดับนายพลที่ชื่ออิสซาเบลล่าเมื่อพันปีก่อน  ปีศาจตนนั้นสร้างไอพิษจากนรกทำลายทุกชีวิต   เหล่านักบวชพิฆาตความมืดในสมัยนั้นได้พยายามช่วยกันกักขังอำนาจชั่วร้ายของมันลงในกล่องใบนี้  ส่วนวิญญาณนั้นถูกส่งกลับลงนรกด้วยฝีมือของพรตอาร์กัส  พวกเขาทำสำเร็จก็จริง  แต่ไอพิษที่เหลืออยู่ก็ได้ทำลายล้างโลกไปสามในสี่ส่วน   แผ่นดินส่วนใหญ่ของโลกไม่สามารถปลูกพืชหรืออาศัยอยู่ได้  อากาศก็เป็นพิษร้ายแรง มนุษย์ต้องแออัดกันอยู่ในหัวเมืองเล็กๆเพียงเจ็ดหัวเมืองทางตอนใต้ของทวีป  โดยมีป่าเดียวดายเป็นกำแพงธรรมชาติกันไอพิษไว้ 

                      ในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นโชคอย่างยิ่งที่อิสซาเบลล่าได้ร่างสถิตเป็นแค่เด็กธรรมดา   แม้เคยร้ายกาจ แต่ร่างสถิตไม่แข็งแกร่งก็ทำให้มันอ่อนแอลงอย่างมาก   แต่แค่นั้นมนุษย์ก็รับมือได้ยากลำบากแล้ว

    “จิตชั่วร้ายเป็นประตูชั้นดีในการคืนชีพของปีศาจ  บางทีผู้ที่ขโมยกล่องใบนี้  คงอยากให้คนอื่นเปิดกล่องเจเฮลน่าได้มากกว่าเด็กนั่น แต่คงจะทำพลาดเข้า”

     อาร์คบิชอปจูเดียลในคราบพ่อค้าขายเครื่องเทศกล่าว   เขามองไปที่กล่องไม้นั้นอยู่นาน มันเป็นกล่องที่ออกแบบมาพิเศษเสียจนเขายังอดแปลกใจไม่ได้ กล่องไม้ที่ไม่มีแม้แต่รูกุญแจ  ไม่มีฝากล่อง  ถูกสร้างแบบแปลกๆจนเขายังไม่รู้ว่ามันเปิดยังไง  อีกทั้งมีรอยขูดรอยถลอกหลายที่ดูเหมือนจะเคยมีการพยายามงัดกล่องมาแล้ว

    “กล่องใบนี้ถูกพบหน้าบ้านของเด็กที่ถูกสิงคนนั้น พร้อมๆกับของเก่าอื่นๆ  ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าพวกเขาเห็นรถม้าคันหนึ่งทำร่วงไว้พร้อมกับวัตถุโบราณและของที่ระลึกที่น่าจะนำไปขายยังเมืองซาตานีโอ เราเพิ่งไปตรวจสอบเมื่อวานนี้เอง แต่ว่า............ผู้ที่ขนสินค้านั้นถูกวางยาพิษตายเมื่ออาทิตย์ก่อน”

    อาร์คบิชอปกาเบรียลเอ่ยขึ้น  เขาแน่ใจทีเดียวว่ามีคนพยายามขโมยกล่องกักปีศาจเจเฮลน่า เข้าไปในเมืองซางตานีโอแน่ๆ   เพียงแต่ว่าการจะเอากล่องนั่นผ่านด่านออกจากเมืองรีแบร์ได้  ก็ต้องซ่อนมันไว้กับสิ่งของอื่นๆในรถขนสินค้า เพื่อจะแอบเอาไปให้ใครบางคนในเมืองซาตานีโอ แต่กลับกลายเป็นว่ากล่องกักปีศาจกล่องนั้นดันร่วงหล่นกลางทางเสียก่อน นี่ยังถือว่าโชคยังเข้าข้างพวกเขามากนัก ถ้าหากกล่องเจเฮลน่าสามารถเข้าไปในเมืองและได้ร่างสถิตที่แข็งแกร่ง ถ้าหากเป็นไปตามแผนที่คนคนนั้นวางเอาไว้  เมืองซางตานีโอคงได้พินาศเป็นแน่

    “นายควรหาสายสืบดีๆ สักคนนะกาเบรียล ท่าทางอาจเป็นคนภายในมหาวิหารซางตานีโอจริงๆ”

    ราฟาเอลเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ คนร้ายที่พยายามคืนชีพอิสซาเบลล่าคนนั้น ต้องเป็นบุคคลภายใน  หอเอกสารลับไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าถึงได้ นอกเสียจากนักบวชบางตำแหน่งในฝ่ายตรวจสอบเอกสารโบราณและกักกันวัตถุอัปมงคลเท่านั้น นอกนั้นยังต้องสามารถเข้าไปในสถานที่หวงห้ามของเมืองรีแบร์   โจรกรรมกล่องเจเฮลน่าได้อย่างไม่มีใครสงสัยเหรอผิดสังเกต  แสดงว่าคนคนนั้นต้องเป็นใครสักคนที่สามารถเข้าออกสถานที่ต้องห้ามในเมืองนั้นเมืองนี้ได้ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอำนาจชั่วร้าย  เข้าใจอักขระที่ใช้บันทึกในหอเอกสารโบราณ  

                     ข้อจำกัดเหล่านี้เองทำให้อาร์คบิชอปทั้งหมดแน่ใจว่า  คนผู้นั้นต้องเป็นนักบวชสายพิฆาตความมืดฝ่ายตรวจสอบเอกสารโบราณและกักกันวัตถุอัปมงคลแห่งซางตานีโอ   นักบวชที่อยู่ฝ่ายนี้มีทั้งบิชอป ทั้งผู้พิฆาตความมืด และพวกนักบวชฝึกหัดที่กำลังศึกษาอยู่อีกไม่รู้กี่ร้อยคน

                                    “ยูริเอล  ท่านสนใจเป็นนักศึกษาเข้าไปสอดแนมในมหารวิหารซางตานีโอมั้ยละ”

    ราฟาเอลเอ่ยแซวอาร์คบิชอปยูริเอลที่แต่งชุดนักศึกษาเมืองซางตานีโอเต็มยศ  ชายหนุ่มผมดำหันขวับมามองบุรุษผมเงินด้วยสายตาโกรธจัด  เขาไม่ชอบที่ถูกล้อเล่นแบบนี้   แต่พอมองสภาพตัวเองแล้วก็เริ่มถอนใจ  ถ้าหากว่ามันไม่มีทางเลือกจริงๆคงต้องรับหน้าที่สอดแนม

                    “อย่าดีกว่า ถ้าอาร์คบิชอปอย่างพวกเราเข้าไปสอดแนมจริงๆจะไม่แนบเนียนนัก  นักบวชแทบทุกคนรู้จักพวกเรา  ต่อให้ปลอมตัวเข้าไปไม่นานความก็แตก  จะเคลื่อนไหวเองก็ยากและถูกจับตามอง”

    อาร์คบิชอปบาราเชียลกวาดตามองอาร์คบิชอปทุกคนที่นั่งประชุมอยู่  พวกเขาทุกคนล้วนเป็นที่รู้จัก   เรียกว่าแทบจะเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นที่จับตามอง   แต่ว่านอกจากพวกเขาทั้ง 7 แล้ว  ก็ไม่อาจเชื่อใจใครได้อีก  ไม่รู้ว่าใครคือมิตรหรือศัตรู พวกเขาไว้ใจใครไม่ได้

     

                    “บอกไว้เลยว่า   ฉันไม่เชื่อใจคนอื่นนอกจากพวกเราในนี้  ถ้าอาร์คบิชอปเคลื่อนไหวไม่ได้......”

     

    อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยขึ้นพลางยิ้มแล้วหันขวับไปที่ ผู้ร่วมฟังการประชุมทั้งสาม  หนึ่งยมทูตดัลลาฮัน กับสองบริสตั้น ที่นั่งฟังอยู่ไม่ห่างนัก  แม้เจ้าหนูผมขาวคนนั้นจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว

                    “ก็ให้ คนอื่นที่อยู่ในนี้ไปทำแทน”

    สตรีทั้งสองภายในที่ประชุมสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อรู้ว่างานกำลังจะเข้าตัวพวกเธออีกแล้ว

                    “นั่นสิ  ถ้าอย่างนั้น ฟีเดอาโก้”

    เสียงเรียกชื่อจากอาร์คบิชอปกาเบรียลทำให้พวกเธอทั้งสองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  แต่เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งแล้วกลิ้งตกลงมาจากเคาน์เตอร์ที่เอนตัวนอนอยู่

                    “พรุ่งนี้ไปเข้าเรียนวิชาตรวจสอบเอกสารโบราณและกักกันวัตถุอัปมงคลได้เลย”

    เด็กหนุ่มได้ยินเสียงคำสั่งแว่วๆของอาร์คบิชอปที่ตนสังกัดอยู่    เขายังอยู่ในอาการง่วงซึม วิงเวียนศีรษะ จนต้องค่อยๆคืบคลานกับพื้นไปที่เก้าอี้ ก่อนจะร้องค้าน

                    “แต่ผมเพิ่งเข้าเรียนคลาสพิเศษแค่ไม่กี่วันเองนะครับ”

    เด็กหนุ่มผมขาวตอบอย่างงัวเงีย

                    “ความสามารถของเธอเกินระดับคลาสพิเศษของชั้นเบื้องต้นแล้ว  ฉันจะออกหนังสือรับรองให้พรุ่งนี้เข้าเรียนคลาสระดับโปรได้เลย”

                    อาร์คบิชอปพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งเมื่อเห็นหน้ายิ้มๆแบบนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่กล้าขัด  ฟีเดอาโก้พยายามหาเหตุผลมาอ้างแต่ดูเหมือนที่ประชุมจะไม่แยแสและประชุมต่อทันที  

                    “จบเรื่องแจ้งจากซางตานีโอ   ต่อไปเรื่องแจ้งจากรีแบร์ ท่านยูริเอลเชิญท่านชี้แจง”
     

    สิ้นคำกาเบรียลผู้เป็นประธาน  อาร์คบิชอปยูริเอลในคราบนักศึกษาหนุ่มก็ยืนขึ้น  ชายหนุ่มผมสั้นสีดำสนิท ดวงตาสีม่วงคมกริบภายใต้แว่นตาหนาเตอะ  ที่เจ้าตัวเอามาใส่ปลอมตัว มันทำให้ดูแปลกตามากเมื่อเทียบกับในยามปกติ

                        อาร์คบิชอปยูริเอลก่อนปลอมตัวนั้น เป็นอาร์คบิชอปผู้เคร่งครัด  ดวงตาสีม่วงคมกริบของเขาดูเยือกเย็นโหดเหี้ยมเชือดเฉือนถึงวิญญาณ เขาเป็นบุคคลที่ดูลึกลับน่ากลัว นิสัยค่อนข้างหงุดหงิดง่าย  แต่เพราะแว่นตานั่นทำให้ตาของเขาดูกลมโตอย่างประหลาด   จนมีเสียงหัวเราะของบุรุษผมเงินที่นั่งอยู่ข้างๆ   เจ้านั่นทำให้เขาหงุดหงิดจนอยากจะวางมวยกันตรงนี้ถ้าไม่ติดว่าเป็นที่ประชุม   เขาเลือกที่จะข่มอารมแล้วถอดแว่นออก รีบแจ้งเรื่องสำคัญกับที่ประชุม

                    “คิดว่าเรื่องกล่องเจเฮลน่าคงไม่ต้องชี้แจงกับทุกท่านอีกครั้ง  แต่คราวนี้ฉันมีเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบ  พวกท่านทุกคนคงรู้จักสิ่งนี้ดี”

    ยูริเอลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชูหนังสือขนาดใหญ่ปกสีดำสนิทให้ทุกคนในที่ประชุมดู   ทั้งหมดเริ่มใจคอไม่ดี เมื่อเห็นหนังสือเล่มนั้น

                    “เกิดอะไรขึ้นกับหนังสือแห่งชีวิตเหรอไง ยูริเอล!”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลถามด้วยความตกใจ  และยิ่งเห็นผู้ถือหนังสือทำหน้าเครียด  พวกเขาทุกคนในที่ประชุมนั้นก็แทบไม่มีใครหายใจได้ทั่วท้อง  ต่างมองหนังสือเล่มนั้นหน้าตาตื่น ราวกับมันเป็นวัตถุอันตราย

                    “ฉันจะไม่อธิบายอะไรมาก  นอกจากขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ฉันตรวจพบสิ่งผิดปกติและแก้ไขปัญหาในนี้ไม่ได้" ยูริเอลว่า

                    “หมายความว่ายังไง ที่ว่าผิดปกติและแก้ไขไม่ได้”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลเริ่มเสียงแข็ง   เมื่อการไม่อธิบายอะไรมากของยูริเอล ไม่ต่างจากการไม่อธิบายอะไรเลยสักนิด อีกทั้งยังสร้างความวิตกกังวลอย่างรุนแรงให้กับทุกคนในที่ประชุม

                     “เกิดปัญหาขึ้นกับรหัสวิญญาณ”

    มันเป็นคำตอบสั้นๆ แต่เล่นเอาคนฟังทั้งหมดแทบสติแตกกระเจิง

                    “ฉันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง   แต่ที่แน่ๆมีรหัสวิญญาณเพิ่มเข้ามาในหนังสือถึงห้าหมื่นรหัสเมื่อวานนี้และทั้งหมดไปซ้ำกับรหัสวิญญาณอื่นๆที่มีมาก่อนแล้ว  บางรหัสมีซ้ำกันถึง 30 สำเนา  และขอ บอกตามตรงว่าฉันแยกแยะของจริงกับสำเนาไม่ออก”

                    ยูริเอลเอ่ยขึ้นด้วยความเครียด เขาค่อยๆนั่งลง เอาฝ่ามือปิดหน้าอย่างคนสิ้นหวัง  เขาไม่กล้าจะลบรหัสวิญาณแปลกๆที่โพล่เข้ามาในหนังสือแห่งชีวิตในการดูแลนั่น  เพราะถ้าหากผิดพลาด ย่อมหมายความว่าดวงวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นก็จะถูกลบหายสาปสูญไปเช่นกัน

                    “ลางร้ายกำลังปรากฏ หนังสือเล่มนั้นเป็นดั่งสิ่งสะท้อนแผนการชั่วร้าย”

    ซีลเทียลบุรุษผมสีฟางว่าพลางมองไปที่หนังสือแห่งชีวิต  อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ได้เปิดเผยแผนการบางอย่างของฝ่ายนั้นให้พวกเขารู้ตัว  บางอย่างแฝงตัวเข้ามาปะปนกับมนุษย์อย่างเงียบเชียบ  สิ่งนั้นแฝงเข้ามา ปลอมแปลงลักษณะรูปกายภายนอก ข่มจิตชั่วร้ายได้อย่างแนบเนียน  กระทั่งแม้แต่รหัสวิญญาณก็สามารถตกแต่งปลอมแปลงได้เหมือนมนุษย์ทุกประการ  เขตอาคมทุกเมืองที่พวกเขากางเอาไว้ไม่อาจแยกแยะคัดกรอง  เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ถูกบางอย่างเข้ามาเหยียบย่ำถึงหน้าบ้าน  มันเหมือนเป็นการประกาศสงครามกลายๆว่า ถ้าพวกมันจะเข้ามาโจมตีเมื่อใด  ก็สามารถทำได้ทุกเมื่อ

                    อาร์คบิชอปมิคาเอลกำหมัดแน่นด้วยความโมโหจัด  เขารู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างตีแสกหน้า แต่หาตัวตนคนลอกทำร้ายไม่พบ  ความรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำนี้ ทำให้เจ้าตัวโกรธจัดจนเริ่มคุมอารมไม่อยู่   ไฟในร้านเริ่มติดๆดับๆ และทันใดนั้นหลอดไฟประดิษฐ์ทั้งหมดในร้านก็ระเบิดตูม ด้วยแรงแห่งอารมณ์ของใครบางคน

                                    “มีคาเอล”

    ชายผมสีฟางต้องร้องเตือนออกมาอีกครั้ง  แม้น้ำเสียงจะเบาและราบเรียบ แต่ดวงตาสีเขียวซีดๆนั้นเริ่มดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก

                                    “เข้าใจแล้ว”

    คนที่เริ่มคุมอารมตัวเองไม่อยู่พยายามสงบอามรมตัวเอง   แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะห้องประชุมนั้นมืดสนิทแหล่งกำเนิดแสงเพิ่งถูกทำลายด้วยเพียงเพราะบุรุษเดียวในห้องรู้สึกโกรธจัด   พวกเคนิสจึงต้องหาเทียนในร้านมาจุดให้ความสว่างแทนไปก่อน

                    “ถือว่ายังโชคดีมาก  ที่หนังสือแห่งชีวิตยังให้เบาะแสสำคัญกับเรา   การปลอมแปลงที่ปลอมแปลงได้แม้กระทั่งรหัสวิญญาณนั้น   มนุษย์ไม่สามารถทำได้”

                    อาร์คบิชอปกาเบรียลพูดเสียงเบาพลางครุ่นคิด  บัดนี้พวกเขารู้แน่ทีเดียวว่า  สิ่งใดอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายนี้   เพราะมันมีปีศาจตนหนึ่ง  ที่มีความสามารถในการปลอมแปลงรหัสวิญญาณได้ดีเยี่ยม  ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทูตสวรรค์ มีหน้าที่นำพาดวงวิญญาณมนุษย์ที่สิ้นชีวิตไปสู่ภพภูมิหลังความตาย

                    “นายรู้จักปีศาจที่ครอบครองหนังสือวิญญาณอีกเล่มเหรอเปล่า ยูริเอล”

    ราฟาเอลเอ่ยถามเพื่อนข้างๆ  ชายหนุ่มผมดำค่อยๆหลับตาลง   เขาจดจำเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เมื่อนานมาแล้วยังเคยทำงานร่วมกันได้ดี

                    “แน่อยู่แล้ว  ฉันจำได้ดีทีเดียว  ผู้ครอบครองหนังสือวิญญาณอีกเล่ม  หนังสือแห่งความตาย”

     

                    ทั้งหมดพากันเงียบสนิทเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนดำดิ่งสู่นรก  ยูริเอลบีบหนังสือของเขาด้วยมือที่สั่งระริก   ชายหนุ่มหลับตาลง  เขายังจำได้ดีความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกหักหลังจากเพื่อนร่วมงานคนสำคัญ  เจ้านั่นทรยศเขา  หันหลังให้พระเจ้า  และเลือกที่จะอยู่เคียงข้างลูซิเฟอร์

                                    “ซามาเอล”

       ชื่อของเทวดาตกสวรรค์ตนนั้นดังขึ้นจากปากของยูริเอล   อาร์คบิชอปหลายคนต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนก   บ้างก็ทำปากการ่วงจากมือ   ต่างพากันนั่งนิ่งแข็งทื่อด้วยความตกใจเมื่อได้ยินชื่อนั้น

                                    “ หมายความว่า 7 ขุนพลปีศาจ คืนชีพแล้วใช่มั้ย”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลร้องถามออกมา  ทุกคนในที่ประชุมต่างพากันทำหน้าเครียดแต่ผู้เข้าร่วมฟังการประชุม 3 คน ที่นั่งใกล้ๆ  แม้จะไม่ได้ตกใจกับข่าวนี้มากนัก  แต่พวกเธอกำลังหนักใจกับบางอย่างที่ดูจะรับมือยากกว่าซามาเอลหลายเท่า   เคนิสหันไปมองเด็กหนุ่มผมขาวที่นั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆ  

                                         แสดงว่าเรื่องที่ลูซิเฟอร์บอกเป็นความจริง

    เธอรู้ข่าวเรื่อง 7 ขุนพลปีศาจก่อนพวกอาร์คบิชอปจะรู้ตัว มันเป็นข่าวที่หลุดออกจากปากของฟีเดอาโก้   เขาถูกคาดคั้นจนต้องยอมบอกแหล่งข่าวซึ่งไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นวิญญาณลูซิเฟอร์  นายเหนือหัวของปีศาจทั้งมวลในร่างของเด็กหนุ่มนั่นเอง   วิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น  จนรับรู้ถึงพักพวกของตนข้างนอกได้แล้ว

                                    “นายยังไหวนะ  ฟีเดอาโก้”

                                    “ครับ”

                                    “งั้นก็ดี”

    พวกเขาสองคนสื่อสารผ่านจิต  อย่างน้อยๆเรื่องนี้ก็ยังไม่อยากให้รั่วไปถึงอาร์คบิชอปคนไหน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายผมดำในคราบนักดนตรีเพลงร็อคคนนั้น   ถ้าหากข่าวรั่วออกไปมีหวังเด็กหนุ่มคนนี้ คงถูกผนึกด้วยหมุดลงอาคมขังไว้ในถ้ำใต้ดินเมืองซิลเทียเรสเป็นแน่  เธอขอให้นั่นเป็นวิธีสุดท้ายถ้าหากว่าพวกเธอสู้ไม่ไหวจริงๆ

                    “จบการชี้แจงจากรีแบร์  เมืองอื่นๆมีสิ่งใดจะรายงานเหรอไม่”

    อาร์คบิชอปกาเบรียลตัดสินใจพูดทำลายความเงียบ  นำทุกคนเข้าสู่การประชุมอีกครั้ง  อาร์คบิชอปประจำเมืองอื่นๆเริ่มรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองของตน  แม้จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ร้ายแรงเหมือนซางตานีโอกับรีแบร ์ แต่ก็เกิดเรื่องวุ่นวายไม่แพ้กัน อย่างเช่นเมืองซาเวียภายใต้การดูแลของอาร์คบิชอปซีลเทียล

                  "อืม..... ทางฉันไม่มีอะไรมาก ตอนนี้แก้ปัญหาได้แล้ว"

                   แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น  แต่เหตุการณ์ที่มีใครบางคนบุกทำลายมหาวิหาร ซ้ำยังปล่อยข่าวลือเรื่องปีศาจร้ายข่มขวัญชาวเมือง  นอกนั้นยังมีข้อความสาปแช่งถูกเขียนติดไปทั่วทั้งเมือง

      
     

                                    “สมกับเป็นซีลเทียลนะ”

    อาร์คบิชอปบาราเชียลเอ่ยชม  เมืองซอร์ของเขาเองก็มีปัญหาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก ปัญหาเรื่องพืชจากแดนนรกเติบโตแทบทั่วทั้งเกาะนั้น  แม้ประชาชนพากันแตกตื่นแต่ก็ช่วยกันเผาทำลายจนน่าจะหมดทั้งเกาะแล้ว  แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงคือป่าเดียวดาย   เขาเองต้องไปที่นั่นดูสักครั้ง  ผู้พิทักษ์คนเดียวอาจจะรับมือไม่ไหว    ส่วนเมืองอาโรนของอาร์คบิชอปจูเดียลนั้น มีปัญหาเดียวกันกับเมืองซาเวียของอาร์คบิชอปซีลเทียล  มีข้อความแนวเดียวกัน พร้อมกับมีการปล่อยข่าวเรื่องปีศาจจนแทบเกิดโกลาหล  แต่ทุกอย่างยุติลง เมื่อชาวเมืองเกิดการเชื่อมั่นและอุ่นใจ  เมื่อพวกเขาพบเห็นนักบวชสายพิฆาตความมืดออกลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยทั่วทั้งเมือง   แต่สิ่งที่จูเดียลกำลังหนักใจอยู่นั้น คือสายลมพิษร้ายที่เริ่มพัดขึ้นมาจากทางใต้โดยไม่ทราบสาเหตุ
     

                    "อา......ทางเมืองฉังเองก็เต็มที่เลย  วุ่นวายสุดๆ"ราฟาเอลบอกด้วยใบหน้าเครียด

    เมืองลอร์แซมเบิร์กของเขานั้น แม้จะไม่ถูกปีศาจโจมตี  ไม่มีข้อความป่วนเมือง แต่กลับมีโรคระบาด คร่าชีวิตผู้คนไปหลายหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน   อาร์คบิชอปราฟาเอลร่วมกับสถาบันทางการแพทย์ของเมืองลอร์แซมเบิร์กกำลังวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง ขณะนี้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว

                    “ยังไงท่านก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน ท่านหมอราฟาเอล”

    อาร์คบิชอปยูริเอลเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง  เขาได้ข่าวว่าตลอดสองวันมานี้ ราฟาเอลแทบไม่ได้พัก  นอกจากจะเร่งหาสาเหตุของการเกิดโรคระบาดแล้ว  ยังต้องหาวิธีป้องกันการแพร่เชื้อโดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคือเชื้อโรคอะไร  ทุกวันเขาขังตัวเองอยู่กับซากศพ  วิเคราะห์หาวิธีทำลายภัยคุกคามนี้  ในขณะที่เจ้าเมืองทั้ง 7 ส่งสารมากดดันให้เร่งหยุดยั้งการแพร่ระบาดโดยเร็ว  อีกทั้งงานในฐานะอาร์คบิชอปก็รัดตัวไปหมด

                    “ไม่ต้องห่วงหรอกนะยูริเอล  ตอนนี้ฉันโยนงานวิเคราะห์ซากศพให้ผู้ช่วยแล้ว  ถึงได้ว่างมาประชุมกับนายนี่ไง”

                      ชายหนุ่มนักเดินทางผมเงินตอบอย่างร่าเริง  แม้จะเจอเรื่องกดดันเพียงใดก็ตาม เขามักจะดูร่าเริงยิ้มแย้มเป็นนิสัยเสมอ  แม้จะทำตัวเล่นๆไร้สาระไปวันๆ แต่เมื่อใดที่เขาเริ่มเอาจริงเอาจัง ไม่ว่าจะเป็นปราบปีศาจ หรือการแพทย์ ก็ล้วนอยู่ในระดับชั้นเซียน ยากที่จะมีใครต่อกรได้

                    “ก็ขอให้มันเป็นแค่โรคระบาด เพราะถ้ามันเกี่ยวข้องกับ 7 ขุนพลนรกนั่นเรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่ๆ”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจ  เมืองซิลเทียเรสของเขาเองมีเขตอาคมทรงพลัง  ที่เขากางเอาไว้ปกป้องชาวเมืองจากปีศาจอย่างดีแล้ว   แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อสามวันก่อน อยู่ๆก็มีรายงานว่ามีคนถูกผีสิงไม่ต่ำกว่าร้อยราย ศพในสุสารถูกขโมย  อีกทั้งยังมีข่าวลือว่ามีคนพบซากศพคนตายเดินเพ่นพ่านกลางเมือง

                    “ซิลเทียเรสเอง ก็มีไส้ศึกในเมืองเหมือนกับซางตานีโอ”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลกัดฟันกรอดด้วยความโมโห  ตลอดสามวันมานี้เขาตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์ผิดปกติในเมืองซิลเทียเรส  และยิ่งแน่ใจทีเดียวว่ามีมนุษย์ในเมืองบางคนใช้มนตร์ดำ   ซ้ำร้ายยังพบเบาะแสว่าผู้อยู่เบื้องหลังแฝงตัวอยู่ในเมืองนั้นเอง มันแอบลอกกัดจากข้างหลัง  แม้ฝูงผีร้ายเหล่านั้นจะถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย  แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บใจที่มีสาวกของปีศาจแฝงตัวอยู่ในเขตปกครองของเขา  เดือนก่อนนั้นก็มีคนพบเหรียญของผู้ใช้ศาสตร์มืด  อีกทั้งยังพบร่องรอยการใช้มนตร์ดำภายในชั้นใต้ดิน และอีกหลายๆจุดในเมืองซิลเทียเรส ราวกับจงใจทิ้งร่องรอยไว้เย้ยหยัน

                    “ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม  รับรองว่าได้เจอดีแน่!”

    อาร์คบิชอบแห่งซิลเทียเรสกัดฟังกรอดอย่างโมโห  เขาจงใจพูดคำว่า  “อะไรก็ตาม”  เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก ว่าผู้อยู่เบื้องหลังใช่มนุษย์หรือไม่  หนังสือแห่งชีวิตของยูริเอลให้คำตอบเด่นชัด  มีบางอย่างปลอมแปลงตนเป็นมนุษย์ ได้แนบเนียนจนถึงระดับปลอมแปลงรหัสวิญญาณหลอกตาพวกเขาได้   หัวเมืองทั้ง 7ถูกโจมตีพร้อมกัน  แม้จะไม่ได้รับความเสียหายในระดับหายนะ  แต่ก็เป็นดังการประกาศสงครามจากฝ่ายศัตรู

                    “ฉันจะนำรายงานการประชุมวันนี้ ไปเสนอพระสันตะปาปา  ทุกท่านเองหากเกิดเรื่องเร่งด่วนจริงๆช่วยแจ้งข่าวสารผ่าน เฮฟเว่นพาส แล้วนัดรวมประชุมกันอีกครั้ง" กาเบรียลกล่าวจบการประชุมกลายๆ

                             เคนิส แมรี่ และฟีเดอาโก้ มองดูเครื่องมือสื่อสาร ที่ชื่อว่า เฮฟเว่นพาส ที่พวกอาร์คบิชอปแต่ละคนนำออกมา  พวกเธอดูไม่ออกจริงๆว่านั่นเป็นเครื่องมือสื่อสารได้อย่างไร  เฮฟเว่นพาส ของ อาร์คบิชอปยูริเอลดูจะเข้าท่าที่สุดเพราะมันก็คือ หนังสือที่เขาพักติดตัวไปมาตลอดเวลา อีกทั้งมันยังลดขนาดลงเป็นเล่มเล็กกระจิ๋วไส่กระเป๋าเสื้อได้อย่างแนบเนียน  ส่วนของอาร์คบิชอปคนอื่นๆนั้น พวกเธอได้แต่มองตาปริบๆด้วยความงุนงง      
                                นั่นเหรอ เฮฟเว่นพาส!

     เฮฟเว่นพาสของอาร์คบิชอปกาเบรียลเป็นดอกลินลี่สีขาว พวกเคนิสแอบสงสัยยว่าเจ้าตัวเอาออกมาจากตรงไหน สำหรับของอาร์คบิชอปราฟาเอลนั้น มีเฮฟเว่นพาสเป็นไม้เท้า  ซีลเทียลเป็นเต้ากำยานใส่เครื่องหอม  บาราเชียลเป็นดอกกุหลาบ   และจูเดียลเป็นมีดสั้น   ส่วนของอาร์คบิชอปมิคาเอลก็สุดแปลกประหลาดนัก  บุรุษร่างบึกบึนลุกขึ้นจากที่นั่งไปหยิบกระเป๋า ที่ดูภายนอกน่าจะเป็นหีบใส่กีตาร์ แต่พอเจ้าตัวเปิดไปเท่านั้นแหละ มันกลับมีดาบขนาดใหญ่ซุกซ่อนเอาไว้  เขาเอามันออกมาแล้วบันทึกรหัสวิญญาณของเพื่อนอาร์คบิชอป

                    “กาเบรียล  นี่พวกเราถึงขนาดต้องติดต่อกันผ่านเฮฟเว่นพาสเลยเหรอ!”มีคาเอลถาม

                    “วิธีนี้ดีที่สุดแล้ว  เพื่อรับรองว่าเรื่องที่พวกเราคุยกันจะได้ไม่รั่วไปถึงอีกฝ่ายไง”

    การสื่อสารผ่านจิตก็ไม่ปลอดภัย เพราะฝ่ายนั้นเองก็อาจดักฟังได้  อีกทั้งจะใช้เครื่องสื่อสารอื่นๆก็ยิ่งไม่ปลอดภัย        เฮฟเว่นพาสเป็นวัตถุพิเศษเฉพาะตน  มันเชื่อมโยงด้วยวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของ   การสื่อสารผ่านสิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารเจาะจงถึงวิญญาณของผู้รับสารโดยตรงยากที่จะดักฟังได้

                    “ขอยุติการประชุมเท่านี้”

                  ประชุมจบลงเท่านั้น  ผู้มาเยือนทั้งเจ็ดต่างลุกขึ้นลากโต๊ะเก้าอี้ไว้ที่เก่าแล้วพากันเดินออกไปจากร้านสังฆภัณฑ์  โดยทำเป็นซื้อของติดไม้ติดมือออกไปไม่แตกต่างจากลูกค้าปกติ พวกเขาเดินปะปนกับผู้คนบนถนนหน้าร้าน กลมกลืนกับฝูงชนแล้วแยกย้ายออกจากเมืองซางตานีโอ  ผู้คนทั้งหลายที่เดินสวนผ่านไปมานั้นไม่มีใครรู้เลยว่า  พวกเขาคืออาร์คบิชอป ที่แฝงเร้นเข้ามาประชุมลับกันหมาดๆ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




    END  / ประชุมอาร์คบิชอป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×