ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #2 : ศีรษะของนักพรต

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 61



                      “เงามืด  กลืนกิน  ทุกชีวิต

    ดวงจิต  เคียดแค้น  เป็นหนักหนา    สาปแช่ง  ทุกสิ่ง  สิ้นชีวา
    ทุกวิญญา   ร่วงสู่  อเวจี”

    ใครคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งบนกำแพงเมืองซาตานีโอยามค่ำคืน   ใครคนนั้น สวมชุดหนังเข้ารูป และสวมฮูดคลุมใบหน้าเอาไว้  เสียงเพลงที่เปล่งออกมา แม้จะห้าวหาญแต่ก็ฟังออกว่า เป็นเสียงของสตรี    และ พริบตานั้น  สายลมก็พัดเอากลิ่นคาวเลือด  โหมกระหน่ำเข้ามาราวกับสารท้ารบ  พร้อมกับของแถมเป็นศีรษะหนึ่งที่ลอยละลิ่วขึ้นมาจากเบื้องล่าง
     

    “เพลงฮิตประจำเมืองนี้ กำลังจะเป็นจริงอีกครั้งจนได้  ตำนานกล่องอีทูลัส......   ”
     

    เธอเอ่ยขึ้นเสียงเรียบพร้อมกับคว้าศีรษะนั้นเอาไว้   เจ้าหล่อนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ  พร้อมกับปล่อยรังสีอำมหึตออกมาข่มขวัญอีกฝ่ายเช่นกัน   ปีศาจตนนั้นพยายามจะเข้ามาในเมือง คงเป็นเพราะตำนานชื่อดังของเมืองซางตานีโอ   กล่องอีทูลัส!ที่เชื่อว่าเป็นของจริง กล่องกักจอมมารในตำนาน ที่ลือกันไปทั่วว่า มันถูกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในเมืองซางตานีโอ  จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังทางด้านวรรณกรรมโบราณและประวัติศาสตร์ มีผู้คนพลุกพล่านตลอดแม้จะเป็นในยามค่ำคืน และนอกจากนั้น ยังมีสถาบันการศึกษาทางด้านอักษรศาตร์และวรรณคดีโบราณที่โด่งดังที่สุดในเจ็ดหัวเมือง   แต่อย่างไรเสียก็ไม่อาจโด่งดังเท่ากับการที่มหาวิหารซางตานีโอเปิดหลักสูตรผู้พิฆาตความมืดระดับผู้เชี่ยวชาญขึ้น   ทำให้มีนักบวชผู้พิฆาตความมืดแห่กันมาศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก

     

    แต่ว่ามี  ผู้มา  จากสวรรค์
    อีกหนึ่งนั้น  ตระกูลกล้า เลิศราศี   ผนึกมาร  ซาตาน  มากฤทธี”
    กักขังที่  อีทูลัส  กล่องสามใบ”

      หญิงสาวคนนั้นร้องเพลงต่อจนจบ เจ้าหล่อนมีดวงตาและผมสีดำสนิทเช่นเดียวกับยามกลางคืน  เมื่อมองเผินๆแล้ว ก็เหมือนกับผู้หญิงชาวเมืองซางตานีโอทั่วไป   แต่ภายใต้เครื่องแบบองค์รักษ์ของมหาวิหารนั้น  หล่อนคือผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบปีศาจพิฆาตความมืดอันดับต้นๆของเมืองซางตานีโอ  ซ้ำยังได้รับความไว้วางใจจากอาร์คบิชอปกาเบรียลที่ 23  ให้เป็นผู้ดูแลเครื่องอาคมสำหรับพิฆาตความมืดทั้งหมดในคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ

    “ จะว่าไปแล้ว .....ตำนานของกล่องกักปีศาจมันก็เกิดขึ้นในเมืองนี้ 

    เธอกอดศีรษะนั่นไว้แน่น พร้อมกับยืนขึ้นมองไปยังด้านนอกกำแพงเมืองขนาดใหญ่   บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ด้านนอกนั่น  ต้องไม่ธรรมดา เพราะเลือดในกายของเธอก็เดือดพล่าน เมื่อสัมผัสถึงจิตชั่วร้ายที่อยู่ใกล้ๆ  ได้อย่างชัดเจน มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอยู่ตรงนั้น  มันคือสิ่งที่พวกชาวเมืองหวาดกลัวกันนักหนา   และเรียกมันว่า ปีศาจ!
     

                                       “จับกุมผู้บุกรุกได้หรือเปล่า  แมรี่!”
     

    หญิงสาวผมดำเอ่ยถามผู้มาใหม่ ที่เพิ่งปรากฏตัวจากเงามืดพร้อมกับม้าปีศาจดำสนิท   แมรี่บีบเคียวในมืออย่างแรงด้วยความเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ปีศาจดัลลาฮันในคราบพนักงานสาวเมดผมทอง ที่เพิ่งกลับมาจากการทำความสะอาดร้านสังฆภัณฑ์ให้มหาวิหาร  กำลังวิตกกังวลถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่  ก่อนจะส่ายหน้าแล้วรายงาน เมื่อปีศาจตนนั้นได้ลบจิตแล้วหายตัวไป

                                       “เป้าหมายได้จากไปแล้ว  และดิฉันตรวจจับไม่ได้ค่ะ  ท่านเคนิส!”
    เคนิสเบิกตากว้าง หันไปมองแมรี่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดพอๆกัน

                                       "แทบไม่มีเลยสักครั้งที่ไนท์แมร์ ม้าของเธอจะไล่ตามพวกปีศาจไม่ทัน  และแทบไม่มีเลยสักครั้งที่ดัลลาฮันจะทำเป้าหมายหลุดมือไป" เคนิสว่าอย่างผิดหวัง 

                              “นั่นเพราะมันไม่ใช่ปีศาจทั่วไปท่านเคนิส  !  นั่นนะ  ถ้าดิฉันจำไม่ผิด  มันคือปีศาจระดับนายพล   ”

    สิ้นคำตอบของแมรี่  เคนิสก็ตื่นตระหนกจนร้องลั่น

                                “อะไรนะ ! ”เคนิสแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

                               “มันฆ่าพวกนักพรตสายพิฆาตความมืดที่อาร์คบิชอปกาเบรียลส่งไปประจำการที่หมู่บ้านทางเหนือเสียเรียบ  แล้วที่โยนหัวเข้ามาในเมืองก็เพื่อข่มขู่พวกเราที่อยู่ข้างใน  เพราะมันเข้ามาในเมืองไม่ได้ค่ะ”

    คนฟังได้ยินก็ถึงกับหน้าถอดสี ตาเหลือกออกมาด้วยความตกใจสุดขีด   ปีศาจระดับนายพลตนนั้นยังเข้ามาในเมืองไม่ได้   หาใช่เพราะหวาดกลัวรังสีอำมหิตของเธอ  แต่เป็นเพราะเขตแดนศักดิ์สิทธิ์อารักขาเมืองที่สร้างขึ้นโดยอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอ

                                “นี่มันตลกร้ายชัดๆ ! ยุคสมัยนี้มันจะมีปีศาจระดับนั้นข้ามขอบเขตมาได้ยังไง  แถมยังมีปัญญาฆ่านักบวชสายพิฆาตความมืดระดับยอดฝีมือนั่นได้อีก  เป็นไปไม่ได้หรอก!”
     

                    หญิงสาวผมดำยังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นฝีมือพวกผู้ก่อการร้าย ไม่ก็โจนป่าอะไรพวกนั้น แต่นี่กลับหาว่าเป็นฝีมือปีศาจระดับนายพล  และจะให้เชื่อได้อย่างไร  ในเมื่อพวกมันทุกตนถูกส่งลงนรกไปในสงครามเมื่อพันปีก่อนหมดแล้ว  แต่เสียงลึกๆในใจกำลังร้องโหวกเหวกในห้วงคิดอย่างหนัก

                                    พวกมันโผล่มากันแล้ว !

     แม้เธอจะรู้ว่าแมรี่เป็นดัลลาฮัน แต่นั่นก็เป็นปีศาจท้องถิ่นที่คนทั่วไปรู้จัก  อีกทั้งยังเร่ร่อนอยู่ในโลกนี้มาช้านาน  และได้รับอนุญาติจากอาร์คบิชอปแล้ว  จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่นี่เป็นพวกใหม่ที่โผล่มาจากนรก !นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น


                             กึก กึก !

                                    ทันใดนั้นเคนิสก็ต้องหยุดคิดเรื่องปีศาจอย่างฉับพลัน เพราะชายผู้มีแต่หัวเริ่มขยับเขยื้อนอยู่ในอ้อมแขนของเธออย่างไม่น่าเป็นไปได้  คนคนนี้ ตายไปแล้วแน่แน่  เธอค่อยๆก้มลง พร้อมกับยกศีรษะอุ่นๆนั้นขึ้นมาในระดับสายตา  แล้วทันใดนั้นเอง  ชายผู้มีแต่หัวใบหน้าซีดขาวไร้ชีวิตนั้น ค่อยๆลืมตาขึ้น  ดวงตาสีฟ้าหม่นหมองจ้องมองตอบกลับหญิงสาวผมดำอย่างไม่น่าเป็นไปได้

                                      “แกมันปีศาจ หรืออะไรกันแน่!

    เพิ่งจะมารู้สึกเอาคราวนี้เองว่าความหวาดกลัวเป็นเช่นไร  เมื่อสมองไม่สามารถประมวลผลหาสาเหตุได้  ไม่มีคำบอกเล่า ไม่มีข้อมูลอะไรในหัวหรือข้อมูลในตำราเล่มไหนมาอธิบายสาเหตุของคนที่เหลือแต่หัว และลำตัวขาดออกไปแล้วจะสามารถเคลื่อนไหวใบหน้า  แลบลิ้นปลิ้นตาได้อย่างนี้  คำตอบเดียวที่เธอสรุปได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่าเจ้านี่ต้องเป็นผีดิบหรือศพที่เคลื่อนไหวได้อย่างไม่ต้องสงสัย  เมื่อหัวนั้นอยู่ๆก็เริ่มขยับปากอ้า พะงาบๆเหมือนปลาในตู้โชว์ เคนิสก็ตัดสินใจว่าควรขว้างหัวประหลาดนี้ออกไปไกลๆ แต่แมรี่ร้องห้ามไว้

                    “ท่านเคนิส ใจเย็นๆก่อนค่ะ ชายผู้นี้ยังไม่ตาย
    สาวเมดร้องปราม
    แต่การปราบนั้นก็ยิ่งทำให้คนสติแตกไปแล้วนั้นยิ่งขวัญกระเจิงไปไกลลิบ   เพราะชายคนนี้เหลือเพียงแค่ศีรษะแต่กลับยังไม่ตาย   แบบนี้ไม่ใช่คนแล้ว!

                    "เหลือแต่หัว  ....นี่นะ !

    เคนิสพยายามสงบสติลง ค่อยๆรวบรวมความกล้าขยับศีรษะนั้นมาดูใกล้ๆอีกที   เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด   ความกลัวเมื่อครู่อยู่ๆก็ถูกความสงสารครอบงำเสียแทนที่   ใบหน้าขาวซีดนั้นดูอิดโรย ทั้งบาดแผลทั้งคราบเลือดคราบดินเกรอะกรังไปทั่วใบหน้า
     

                                  “จะบอกอะไรฉันเหรอ”
    เคนิสถามหัวนั้น
    ชายผู้มีแต่หัวเองก็พยายามตอบกลับ   เขาพยายามพูดอะไรสักอย่าง  แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกจากปากเขาได้เลยแม้แต่น้อย   ชายผมทองยิ่งดันทุรัง อาปากพูดด้วยใบหน้าซีดขาดเลือดนั่นอยู่พักใหญ่  ราวกับจะบอกเรื่องสำคัญเร่งด่วน  เคนิสมองเขาด้วยความสงสารก่อนจะตอบกลับไป

                    “พอแล้ว! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทั้งคอ ทั้งหลอดลม ทั้งปอดของนายไม่ได้อยู่ที่นี่ นายพูดอะไรไม่ได้หรอกนะ  ฉันไม่ได้ยิน”

    คนถือหัวบรรยายเป็นฉากๆได้อย่างสยอดสยองมันทำให้ชายผมทองที่มีแต่หัวนั้น ตระหนักถึงสภาพของตนเอง   พร้อมกับมีสีหน้าสลดลงทันที  เขาหยุดอ้าปากพูดแล้ว   ได้แต่เปิดตาสีฟ้าซีดทรมานจ้องมาแทนที่ ทันใดนั้นดัลลาฮันในคราบสาวเมด ก็ลากถุงกระสอบออกมาจากเงามืด  ซึ่งสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือร่างของชายผมทองที่เหลือเพียงศีรษะนั่นเอง   สาวเมดผมทอง ได้รับศพนี้มาจากเหล่านักพรตผู้พิฆาตความมืดคนหนึ่งที่ถูกส่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในหมู่บ้านทางเหนือตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ
     

                                 “นี่น่าจะเป็นร่างของเขา”

    สาวเมดยื่นกระสอบนั่นให้เคนีส
      หญิงสาวผมดำจึงค่อยๆเปิดถุงกระสอบดู จากนั้นก็ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี  เมื่อเห็นว่าร่างนั้นมีสภาพแย่กว่าที่คิดไว้มาก เพราะร่างกายเขานั้นถูกสับจนเละ ทั้งตับไตไส้พุง หัวใจ ถูกตัดขาดออกมานอกร่างกาย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ   อวัยภายในที่ถูกตัดขาด ก็ยังทำงานตามหน้าที่ของมันอยู่ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะหัวใจ ที่ต่อให้ถูกตัดออกมาแล้วก็ยังเต้นตุบๆอยู่อย่างนั้น

                    “ทรมารมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม  แต่ก็ยังสาปแช่งไม่ให้ตาย  เธอรู้มั้ยแมรี่ ว่ามันเป็นใครที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้”

      มันเป็นใครที่กล้าล้อเล่นกับมนุษย์  ให้เจ็บปวดสาหัสแต่ก็ไม่ยอมให้ตายพ้นทรมาร

                    “ดิฉันไม่ทราบนามของมัน  แต่นั่นคือ   สมุนของลูซิเฟอร์”

    สิ้นทำตอบของแมรี่  เคนีสถึงกับเงียบและแทบทรุดกับพื้น  นี่มันเรื่องจริงหรือนี่  !ชายผู้มีแต่หัวได้ยินดังนั้นก็ยิ่งพยายามอ้าปากพูดเขาดูทรมารมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องบอกเรื่องสำคัญนี้ให้ได้  ปีศาจพวกนั้นมันพยายามจะขโมยกล่องอีทูลัส  

                  “ฉันบอกว่าพอแล้วไง ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! ”

    เคนิสบอกกับชายผู้มีแต่หัว 

                             “ฉันจะพาเขาไปหาหมอ”เคนิสเอ่ยขึ้นพลางแบกถุงกระสอบขึ้นมาไว้บนไหล่

                    “ตัวขาดกระจุยแบบนี้  จะมีหมอที่ไหนรักษาได้อีกหรือคะ  จากที่ดูไปแล้ว สาเหตุที่เขาไม่ตายน่าจะเพราะถูกสาป”สาวเมดว่าพลางมองไปที่หัวในมือของเคนิส

                              “ฉันรู้จักหมอปีศาจเจ๋งๆคนหนึ่ง   ส่วนเธอช่วยเปิดทางให้ทีเถอะแมรี่  ไม่สิดัลลาฮัน ฉันจะไปสุสารโบราณ”

    ว่าแล้วภายใต้ร่างสาวน้อยชุดเมดนั้นก็ปรากฏร่างโครงกระดูกของยมทูตในชุดคลุมดำสนิทซ้อนทับขึ้นมาแทนที่   จอมภูตดัลลาฮันเรียกเคียวเข้ามือแล้วฟันฉับไปในอากาศ  ก็ปรากฏบรรยากาศสีดำเป็นทางเข้าไปสู่สถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพ

                             “แล้วก็ขอยืมม้า”

                            “ก็ได้คะ”

    แมรี่เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะให้ม้าฝันร้ายกับเคนิส
      ไนท์แมร์สะบัดหัว ร้องลั่นอย่างดีใจเมื่อมันพบกับเคนิส ก่อนที่จะลูบหัวมันเบาๆเป็นเชิงทักทาย

                    “พาฉันไปสุสารโบราณ”

     

    สิ้นคำม้าฝันร้ายก็ห้อตะเบ็ง  พาเคนิสพร้อมกับชายหัวขาดหายวาบไปสู่สุสานโบราณทันที  พริบตานั้นสถานที่ลึกลับแห่งเมืองซางตานีโอ ที่ไม่มีใครเข้ามาถึงก็ปรากฏตรงหน้า  สุสารโบราณในตำนานเก่าแก่ที่มีเขตแดนอำพรางรักษาความปลอดภัยสูงสุดกันเอาไว้ 

    หญิงสาวผมดำลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินลากกระสอบไปบนถนนคอนกรีต โดยที่มืออีกข้างกอดหัวชายผมทองเอาไว้แน่น   บรรยากาศภายในสุสารโบราณนั้นไม่น่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดทนอยู่รอดได้เนื่องจากอากาศเสียอย่างรุนแรงจากการย่อยสลายซากศพอันไม่ธรรมดา    เธอมองเห็นป้ายหลุมศพขาวโพลนไปทั้งเนินฝังศพรอต้อนรับราวกับข่มขวัญ  มีทั้งกระดูกเก่าๆของมนุษย์ที่ตายแบบผิดปกติพิสดาร  ทั้งที่เป็นโรคระบาดร้ายแรงจนไม่อาจฝังในสุสารทั่วไปได้ รวมทั้งซากของปีศาจก็ถูกนำมากำจัดที่นี่  แต่สภาพที่เห็นเคนิสรู้สึกว่า  เจ้าของสุสารคงจะไม่ได้กลบฝังหรือเผาทำลายศพแม้แต่น้อย   เขาเพียงแค่นำศพมากองๆทิ้งไว้ปล่อยให้เน่าเปื่อยไปเอง  ทำให้ทั้งสุสารโบราณมีกลิ่มเหม็นคลุ้ง  และก๊าซพิษที่เกิดจากการเน่าเปื่อยนั้นถึงกับทำให้ต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นยังยืนต้นตาย ด้วยรูปร่างบิดเบี้ยวผิดปกติเพราะไอพิษ นี่เองคงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เจ้าของสุสารสร้างเขตแดนรักษาความปลอดภัยอันทรงพลังกันเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ใดๆก็ตามหลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้

          “มาที่นี่ทีไร รู้สึกแย่ทุกที” เคนิสบ่น

    เธอเดินลากกระสอบไปบนทางคอนกรีต ที่เต็มไปด้วยกระดูกขาวโพลนเกลื่อนกลาดไปทั่ว เมื่อเดินเหยียบก็ดังกรอบแกรบ ราวกับย้ำเตือนถึงอันตราย เพราะถ้าหากยังฝืนเข้าไปลึกกว่านี้  เธออาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพวกที่ทอดร่างเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งเนินสุสารนี้เป็นแน่

      และที่ตรงหน้าไกลลิบนั้นมีบ้านโบราณหลังเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง ผู้ดูแลสุสารอาศัยอยู่ในนั้นโดยไม่ยอมออกมาข้างนอกนับร้อยๆปีแล้ว  บริเวณข้างๆบ้านของเขายังเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ยืนต้นตาย มีโครงกระดูกมนุษย์แขวนโตงเตง เบียดเสียดกันบนต้นเต็มไปหมด  ไม่มีสรรพเสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากสายลมเหม็นๆ ที่เมื่อพัดกระทบโครงกระดูกบนต้นไม้แห้งเหี่ยว ก็ทำให้เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง แต่ละโครงโยกเยกกระทบกันไปมาราวกับมีชีวิต

                    “นานวันเข้ายิ่งรสนิยมห่วยแตก”

    เคนิสเริ่มบ่นอย่างเหลืออด  
    เธอถอนหายใจแล้วรีบเดินไปจนถึงหน้าประตูบ้าน  ทั้งหยักใย ทั้งเถาวัลย์ม้วนตัวขึ้นเลื้อยไปมาพันรอบตัวบ้านเต็มไปหมดแล้ว  ทั้งรา มอส เฟิร์น ขึ้นจนบานประตูเขียวคล้ำดำปี๋  ที่นี่แทบไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิต  แต่เธอรู้แน่ๆว่าชายคนนั้นยังสิงสถิตอยู่ข้างใน   เคนิสวางถุงกระสอบลงแล้วตัดสินใจเคาะประตูบ้านเก่าๆหลังนั้น

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    บุรุษผิวขาวซีด นั่งบนโต๊ะทำงาน ที่มีกองเอกสาร และโหลใส่อวัยวะต่างๆเต็มไปหมด  เขามีโหล ดองดวงตามนุษย์มากมายหลากสีสัน พวกมันกลอกไปมา แล้วกลอกมาจ้องมองที่เขาเป็นตาเดียว  ชายผิวซีดขาวสนิท ดวงตาสีทอง สะท้อนแสงในความมืด เขามีผมยาวสีดำหยักโสก  สวมเสื้อโคทสีขาวเก่าๆ รอบตัวนั้นมีพิกซีกินซากบินว่อนไปทั่ว  และยังมีตุ๊กตาผู้หญิงเก่าๆตัวหนึ่งนั่งนิ่งบนโต๊ะอยู่ใกล้ๆ   เขาทำตัววุ่นตลอดเวลาเหมือนกับว่าจะหมกมุ่นศึกษาอะไรบางอย่าง

                    “เฮ้ย ! วาเลเรียส”

    เสียงตะโกนของหญิงสาวคนหนึ่งดังลั่นพร้อมกับเสียงทุบประตูรัวๆดังโคมๆ มันทำลายสมาธิของเขาอย่างหนัก  ทำให้บุรุษที่กำลังนั่งพิจารณาเอกสารบางอย่าง  ต้องถอนหายใจกัดฟันกรอดๆแล้วลุกไปยังต้นเสียงที่ก่อความรำคาญนั่นอย่างหงุดหงิดสุดทน

                    “มีธุระอะไร! เคนีส”

    เขาแหงมประตูเล็กน้อยเพื่อคุยกับผู้มาเยือน เขากางเขตแดนป้องกันเอาไว้แล้ว  แต่เธอคนนี้ยังมักเข้ามาก่อกวนเสมอ แม้ว่าจะเป็นคนจากตระกูลเดียวกัน แต่เขาก็ไม่อยากพบมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น

                    “ช่วยเขาที!
    หญิงสาวผมดำ ยื่นหัวของชายผมทองให้เขา พร้อมกับเปิดถุงกระสอบบรรจุร่างกายที่ถูกสับเป็นชิ้นให้วาเลเรียส

                    “ชำแหละมาแล้วก็ดี   ถ้าเป็นซากศพก็เอาไปโยนทิ้งข้างนอกนั่น ” วาเลเรียสตอบก่อนจะปิดประตูไล่

                    “เดี๋ยว ! เคนิสร้องปราม

                    “เขายังไม่ตาย!

                    “อะไรนะ!

                    “เขาถูกคำสาป ที่ทำให้ตายไม่ได้!”

    วาเลเรียสถึงกับรีบเปิดประตูบ้านออกมาอีกครั้ง  เขาเหลือบมองไปยังศีรษะของชายผมทองในมือของเคนิสแวปหนึ่ง ก่อนที่จะขยับยิ้มออกมา นานแล้วที่เขาไม่เคยเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้  สำหรับเขาที่เป็นหมอปีศาจ   การได้พบเเจอผู้ป่วยต้องคำสาปในลักษณะใกล้เคียงกับเขาถือว่าเป็นโชคดีอย่างเหลือเชื่อ

                   "ถ้าอย่างนั้น ก็เข้ามาสิ"

      วาเลเรียสว่าพลางฉีกยิ้มโหดเหี้ยม  เขายอมให้เคนิสเข้ามาในบ้านของเขาและเริ่มทำการรักษาชายผมทองคนนั้น

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


     END / ศีรษะของนักพรต

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×