คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : การทักทายของโอรสแห่งรุ่งอรุญ และเส้นทางปริศนาสู่ปราสาทสีดำ
เรื่องราวในอดีตอันนานแสนนานมาแล้ว ถูกเล่าขานใหม่อีกครั้งโดยนักพรตผมทองผู้เป็นตำนานมานับพันปี เขาอยู่ข้ามกาลเวลามาได้ราวกับเป็นฟอสซิลมีชีวิต และเหล่าวิญญาณพวกพ้องในยุคก่อนก็ได้พร้อมใจกันปรากฏกายจนทั้งห้องโถงแน่นขนัดไปหมด
“ป่าเดียวดายไม่ได้เดียวดายเหมือนชื่อเสียหน่อย ใช่มั้ยละพรตปีศาจอาร์กัส”
แม้แต่เคนิสก็ยังแปลกใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อวิญญาณนักพรตผู้ล่วงลับรุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่อาร์กัสรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง บางตนก็เป็นรุ่นเดียวกัน หรือเป็นรุ่นพี่ บางตนก็ตายตั้งแต่ยังเป็นพรตฝึกหัด หรือแม้แต่อธิการคณะนักบวช ทั้งผู้คุมกฎทั้งสอง พวกเขาทุกคนกลับมาอีกครั้ง มารวมกันในห้องโถงนี้
“ระเรื่องนั้น.....”
อาร์กัสทำได้เพียงอ้าปากค้าง มองผู้มาเยือนที่มีมากจนไม่อาจจินตนาการได้ อารามเก่าแก่นี้มีผี คาอินมักเล่าให้ฟังเสมอตั้งแต่เป็นพรตฝึกหัดใหม่ๆ รู้มานานนักหนา กระทั่งยังเคยเห็นด้วยตาตนเอง แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีมากมายขนาดนี้ ตลอดชีวิตที่ราวกับถูกหยุดเวลาไว้นับพันปีนั้น เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เพราะนักบวชทั้งคณะได้กลับมาสู่อารามหลังเดิมอีกครั้งแม้จะสิ้นชีพไปแล้ว ทั้งหมดมาฟังเรื่องเล่าของเขา
“คาอิน กับลอเรนโซ จะกลับมาด้วยมั้ย?”
สิ้นคำถามของเคนิส อาร์กัสก็รีบลุกพรวด วิ่งตามหาเพื่อนเก่าทั่วห้องโถง กวาดตามองหา จับจ้องท่ามกลางหมู่วิญญาณอย่างมีความหวัง แต่ก็ยังไร้วี่แวววิญญาณของสองสหาย คาอินกับลอเรนโซได้จากไปแล้วไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว แม้อยากจะเจอะเจออีกครั้งแทบขาดใจ แต่เขารู้สึกยินดีมากกว่าที่ทั้งคู่ได้ไปสู่สุขติ ไม่ได้กลายเป็นเจตภูตที่ไม่มีวันลิ้นรสความตายเฉกเช่นเขา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงวกกลับมายังเก้าอี้ตัวเดิม ที่มีเคนิสนั่งรออยู่
“พวกนั้นไม่อยู่แล้ว” เขายิ้มแห้งๆบอกเธอ
อาร์กัสไม่ได้พบคาอินกับลอเรนโซอีกเลยนับตั้งแต่แยกจากกันหลังจบการศึกษา แต่ดวงตาต้องสาปก็ยังเมตตาเขา มันทำให้มองเห็นทั้งคู่อีกครั้งในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่จะถูกปลิดชีพ ได้มองเห็นความตายของพวกพ้องในมุมมองของปีศาจ ในใจมีแต่เจ็บปวดทรมานโดยไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้
“จากนั้นเป็นยังไงต่อ เรื่องของพวกนาย”
อาร์กัสรีบเอาฮูดคลุมศีรษะออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผมดำที่ยังรอฟังเรื่องเล่ายาวเหยียดของเขา เธอ คือ ดาร์ค บริสตั้น คนปัจจุบัน ภายใต้คราบผู้ดูแลร้านสังฆภัณฑ์ แต่ความจริงแล้วหล่อนคือยอดฝีมือด้านการต่อสู้สุดร้ายกาจไม่แพ้รุ่นก่อนที่เขาเคยรู้จัก
“พวกเราออกเดินทางสู่สงครามทางเหนือ แต่ดาร์ค บริสตั้นพาข้ากลับมาซางตานีโอกะทันหัน เรามาซื้อเครื่องแบบ”
เคนิสไม่อยากจะเชื่อเช่นนั้น แต่มีหลักฐานสำคัญเป็นใบสั่งตัดเครื่องแบบจริงๆในเอกสารซื้อขายของร้านสังฆภัณฑ์เมื่อพันปีก่อน
“หมอนั่นมาซื้อหรือขายอะไรอีกหรือเปล่า”
เคนิสไม่ปักใจเชื่อเหตุผลบ้าๆอย่างเรื่องการมาสั่งตัดเครื่องแบบในช่วงเวลาสงครามนั่นเด็ดขาด
“เออ....ใช่ขอรับ เขายังมาซื้อลูกดอกทมิฬด้วย ”
ชื่อลูกดอกในตำนานที่พิฆาตเจ็ดขุนพลปีศาจตามบันทึกทางประวัติศาสตร์นั้น เป็นคำตอบสำคัญที่ทำให้ เคนิสเข้าใจถึงสาเหตุว่าทำไมดาร์ค บริสตั้นต้องทิ้งเพื่อนพ้องมาร้านสังฆภัณฑ์กะทันหัน ชายผู้นั้นไม่ได้เพียงมาตัดเครื่องแบบ แต่มาหาอาวุธโบราณเพื่อพิฆาตความมืด
“ตอนนี้ลูกดอกทมิฬดอกสุดท้ายอยู่นั่น มันอยู่ในความครอบครองของนาย อย่าเอาออกมายิงมั่วซั่ว”
เคนิสเตือนทำหน้าเคร่ง พลางชี้ไปที่ลูกดอกสีดำเพียงดอกเดียวในกล่องบรรจุลูกดอกอีกห้าสิบลูก
มันเป็นลูกดอกทมิฬที่ทำให้อาร์กัสต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใช่แล้ว เมื่อครู่เขาเพิ่งหยิบหน้าไม้แล้วยิงลูกดอกใส่เคนิส ลูกดอกเสียบทะลุฝ่ามือของเธอ เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมา ดาร์ค บริสตั้น รุ่นปัจจุบันที่ได้ช่วยเหลือเขา แต่กลายเป็นว่าเขาตอบแทนหล่อนด้วยการหันอาวุธเข้าใส่
อาร์กัสทำตาปริบๆแล้วรีบกล่าวขอโทษอีกครั้ง เขามองฝ่ามือของเธอ
“เคนิส! มือเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง”
เคนิสเพียงยิ้มเหยียดตอบกลับ พลางซ่อนฝ่ามือที่เพิ่งถูกลูกดอกเสียทะลุเมื่อครู่ไว้ข้างหลัง อาร์กัสเป็นคนยิงมันใส่เธอ และเห็นเต็มสองตาตอนที่เธอกระชากลูกดอกออกจากฝ่ามือด้วยตนเอง ฝ่ามือนั้นกลายเป็นแผลฉกรรจ์ฉีกขาด เลือดไหลทะลักเปื้อนเสื้อเต็มไปหมด หัวลูกดอกปราบปีศาจที่ใหญ่มากกว่าลูกดอกทั่วไป ทำให้ฝ่ามือของเธอได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ดีเหลือเกินที่เขาไม่คว้าลูกดอกทมิฬมาใช้
“หึ เรื่องจิ๊บจ๊อย”
เคนิสเอ่ยตอบอย่างเบื่อๆ และที่สำคัญฝ่ามือที่ควรจะเป็นแผลฉกรรจ์นั้น กลับเป็นฝ่ามือหยาบกร้านไร้บาดแผลที่ควรจะมี
“เป็นไป ......ไม่ได้”
อาร์กัสเบิกตาค้างร้องด้วยความตกใจ เขาคว้ามือเธอมาดูแต่ทันใดนั้นเอง เสียงที่ตอบกลับมาดันเป็นเสียงของคนอื่น ที่ทำให้เขาร่างสั่นสะท้าน เปลวไฟในตะเกียงกำลังสั่นไหว จนสิ่งต่างๆที่มองเห็นขมุกขมัวไปชั่วครู่ พร้อมกับที่มีบางอย่างเปลี่ยนไป อำนาจมืดทรงพลังเหลือแสนกำลังปกคลุมทั้งห้องโถงใหญ่ในชั่วพริบตา ต่างกันเหลือเกิน น่ากลัวเกินกว่าเจตภูตอื่นใดที่เขาเคยพบทั้งหมดในชีวิต
นี่มันเรื่องบ้าอะไร
อาร์กัสได้แต่ก้มหน้าลงมองพื้นอาราม หัวใจเต้นแรงโครมๆจนแทบจะหลุดออกมานอกซีกโครงแล้ว ทั้งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า เอาแต่หลับตาปากสั่นฟันกระทบกันด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต เขาอยากลุกหนีออกไปให้เร็วที่สุด ใช่แล้ว! ต้องรีบหนี แต่ทำไมกัน ทำไมร่างกายมันขยับไม่ได้ ! เอาแต่สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ มันออกมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ ใครบางคนที่ทรงอำนาจมากมายนัก ซึ่งเขาไม่อยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สอง
“สายัณห์..........สวัสดิ์..........”
หัวใจของเขาแทบถูกกระชากออกไปทันที เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นแทนที่เสียงของเคนิส น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยน แต่มันทำเอาวิญญาณของเขาแทบหลุดจากร่าง มันมาแล้ว คนที่เขาไม่อยากเจออีกเลยคนนั้น
ห้องโถงอารามถูกปกคลุมด้วยไอเย็นจัดในทันที เลือดในกายของอาร์กัสเย็นแข็งไปหมด พรตหนุ่มได้แต่เบิกตามองพื้น ไม่กล้าเงยหน้ามองผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนั้น
“กลัว.....ข้า....เช่นนั้นหรือ......นักบวช”
น้ำเสียงเย็นยะเยืองนั้นเอ่ยถามเขาอีก อาร์กัสไม่อยากได้ยินเสียงของชายคนนั้น มันกำลังทำให้เขาเป็นบ้า ใช่แล้วเขาไม่อยากได้ยิน ไม่อยากจะเห็นอีกเลย ตาของเขาเบิกค้างแข็งทื่อ ถึงจะพยามเอาแต่ก้มจ้องมองพื้น แต่ใครคนนั้นก็ยื่นมือขาวซีดมาสัมผัสที่ใบหน้าของเขา
“!............”
มือนั้นเสยคางอาร์กัสขึ้นมา และดวงตาสีฟ้าของเขาแลเห็นใครคนหนึ่ง นั่นไม่ใช่เคนิส !
“ละ ลู.....ซิ.....”
พรตหนุ่มเอ่ยชื่อนั้นไม่จบ เพราะปากของเขาสั่นสะท้านจนไม่อาจเปล่งเสียงอะไรได้อีก ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้าสู่จิตใจ เมื่อชายที่เขาไม่อยากพบเจอที่สุดได้ปรากฏตัวมาพูดคุยด้วยต่อหน้าต่อตา บุรุษที่พรตหนุ่มเคยเห็นนั่งหลับใหลบนบัลลังก์ภายในกล่องอีทูลัส
“.....รู้ว่าข้าเป็นใครหรือ.....น่ายินดีจริง......เป็นอย่างไรเล่า ชอบหรือเปล่า.....ชีวิตนิรันดริ์ที่พวกเรามอบให้ สหาย......”
น้ำเสียงเยือกเย็นชวนขนลุก ลากยาวเย้ยหยันดังตอบกลับมา บุรุษผู้มีดวงตาสีดำเหมือนเคนิส กำลังจ้องมองดวงตาสีฟ้าของเขาพลางฉีกยิ้มชั่วร้ายมอบให้ แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม ลูซิเฟอร์หายไป กลายเป็นเพียงเคนิสที่กำลังนั่งทำหน้าไม่สบอารมแทนที่ บรรยากาศกลับมาเป็นปกติ แต่ก็แน่ใจว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ฝันไป
“ขอโทษทีนะ นับวันฉันเริ่มจะคุมมันยากขึ้นทุกที อย่าพยายามมาแตะต้องฉันอีก ไม่เช่นนั้นตาของนายจะเห็นเขา บุรุษผู้เป็นรูปลักษณ์ความมืดของจอมมารนั่น อาจหลุดมานอกกล่องอีทูลัสเมื่อใดก็ได้ ฉันอาจทนได้ไม่นานแล้ว อ้าว !เป็นอะไรมากหรอเปล่า หมอนั่นทำอะไรนายรึไง”
เคนิสเห็นอาร์กัสหน้าซีดเหงื่อโชกเต็มไปทั้งตัว
“ไม่เป็นไร......”
อาร์กัสรีบปาดเหงื่อของตนออกจากใบหน้า แล้วพยายามหายใจลึกๆ ลูซิเฟอร์จากไปแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกลัว เคนิสกดมันไว้ได้แล้ว แต่จะอีกนานเท่าไหร่กัน หากวันใดวันหนึ่งกล่องอีทูลัสพังทลาย แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร เขาเห็นมาแล้วด้วยตา ระดับชั้นมันต่างกันเกินไปที่เขาจะรับมือไหว
“ไม่เป็นไรก็ดี แล้ว.... ว่าไงต่อละเรื่องของพวกนาย”
เคนิสถามเข้าเรื่องทันที
“เอ่อ......พวกเราออกจากร้านสังฆภัณฑ์ แต่ไม่ได้ตรงดิ่งไปเชล ดาร์ค บริสตั้นคนนั้นพาข้ากลับ
มาที่นี่แล้วขังไว้ ”
พรตหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ พยายามปั้นหน้าให้ปกติที่สุด แล้วนำทางเคนิสไปยังสถานที่กุมขังเขาเมื่อพันปีก่อน ทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นสามของอารามเก่าแก่ ตัวอาคารทางตะวันออกได้พังทลายเหลือเพียงทางเดินกับตัวอาคารกึ่งหนึ่งซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์ แม้ระยะเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายพันปี แต่อารามที่เกิดจากการดัดแปลงป้อมปราการเก่าแก่หลังนี้ กลับยังตั้งตระหง่านข้ามกาลเวลามาได้อย่างน่าทึ่ง ความแข็งแกร่งของตัวอาคาร รวมทั้งความสามารถทางสถาปัตยกรรมของผู้คนในอดีตที่ไม่ธรรมดา หากว่านี่เป็นป้อมปราการของอาณาจักรเก่าแก่ ก่อนที่เจ็ดนครจะแยกการปกครองกันอย่างอิสระแล้ว อาณาจักรอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในตำนานนี้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน มันไม่มีทางที่เชลหรืออาณาจักรใดๆจะตีแตกได้แท้ๆ แต่ทำไมจึงล่มสลายลง ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริง บ้างก็ว่านครรัฐต่างๆอยากแยกตัวกันไปเอง บ้างก็ว่าเกิดการแตกแยกภายในจนล่มสลายไปเอง ประวัติศาสตร์ที่คลุมเครือ เหมือนอยู่ๆก็ถูกลบทิ้งไปเฉยๆ สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับนักประวัติศาสตร์ยุคแล้วยุคเล่า เพราะไม่มีใครทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆกับอาณาจักรเก่าแก่นี้กันแน่
“ตรงนั้นไง”
ในที่สุดอาร์กัสก็ชี้ไปเบื้องหน้า ทั้งสองคนเดินมาหยุดตรงสุดทางเดินติดผนังหินชั้นสาม บริเวณที่อากัสยืนยันว่า ดาร์ค อ. บริสตั้นขังเขาเอาไว้
“ทางตัน”เคนิสบอกได้ชัดเจนทีเดียว
“ไม่หรอกข้าถูกพาเข้าไปในนี้จริงๆ เคยมีทางเชื่อมขนาดใหญ่อยู่ตรงนี้”อาร์กัสยังยืนยัน
แม้ว่าหลังผนังหินไม่มีทางเชื่อมอะไรอย่างที่เขาพูด แต่เป็นด้านนอกอาราม มองเห็นต้นไม้สูงใหญ่ของป่าเดียวดายอย่างชัดเจน
“มันเป็นเรื่องจริงนะ เคนิส ข้าถูกขังไว้จริงๆ แต่ตอนนี้ทางมัน.... พอข้าออกมาแล้วข้าก็หาทางเข้าไปอีกไม่เจอ”
“นายกำลังจะบอกว่าหลังจากนั้น ทางเส้นปริศนาก็ถูกแทนที่ด้วยฝาผนังและไม่อาจหาทางเข้าห้องลึกลับนั่นเจออีกเลย”
“ใช่”อาร์กัสตอบชัดถ้อยชัดคำ
“งี่เง่า” แต่เคนิสด่ากลับ
หญิงสาวผมดำกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันหลังพิงฝาผนัง
“นี่แนะท่านนักพรต ดูให้ดีนะ ที่นี่ไม่มีอะไรนอกจากผนังหิน นายอาจนอนละเมือ หรือคิดเองเออเองก็ได้ ดูให้ดีๆสิ”
เคนิสบอกอีกครั้ง แต่อยู่ๆสิ่งแปลกปลอมก็เกิดขึ้น เพราะทันใดนั้น ตรงทางเดินเบื้องหน้าก็ปรากฏ นักพรตยุคโบราณสวมฮูดคนหนึ่ง กำลังเดินเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เขาหยุดลงที่ผนังข้างๆเธอ โดยไม่มีท่าทีจะใส่ใจสิ่งรอบข้าง
“หมอนี่ใคร!”เคนิสถามอาร์กัส
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่นี่ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว”อาร์กัสเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ก็หมอนี่ไง ยืนอยู่ทนโท่เนี่ย”
อาร์กัสเริ่มตื่นตระหนก หันหลอกแหลกมองโดยรอบ แต่เขาก็ไม่เห็นใครคนนั้นที่เคนิสพูดถึง
“เจ้าพูดอะไร เคนิส! เจ้าเห็นใครกันแน่”
อาร์กัสมองไม่เห็นนักพรตคนนั้น แต่เคนิสมองเห็นเต็มสองตา นักบวชยุคโบราณคนนั้นกำลังเดินเข้าไปในฝาผนัง! นี่มันผีชัดๆ แต่พริบตานั้นสิ่งที่ทั้งสองได้เห็นก็สร้างความตกตะลึง ทางปริศนาลึกลับได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า แทนที่จะเป็นผนังอารามทึบตัน
“เป็นไปได้ยังไง”
หญิงสาวเบิกตาค้าง เพราะบริเวณที่เคยมีฝาหนังหินของอารามเก่าแก่อยู่นั้น ได้ปรากฏทางเดินภายในอาคารขนาดมหึมา ทางเดินปริศนาดำสนิทคล้ายอุโมงค์ยักษ์ที่อยู่ๆก็ปรากฏต่อกับอารามเก่าแก่อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งที่ด้านนอกอารามยังคงเป็นป่าเดียวดายตามปกติ ไม่ได้มีอาคารแปลกๆมาตั้งติดๆอารามอย่างที่มองเห็นจากด้านใน ความจริงที่ทำให้ยิ่งเชื่อไม่ลง ดูเหมือนว่าทางเดินอุโมงค์ลึกลับในความทรงจำของอาร์กัสจะไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเสียแล้ว
“เคนิส! อย่าเข้าไปในนั้นนะ ถ้าเข้าไปเธออาจจะออกมาไม่ได้”
พรตหนุ่มที่เคยมีประสบการณ์โดนขังจึงรีบห้ามเธอไว้
“แล้วนายออกมาได้ยังไงละ”เธอถามอย่างสงสัย
“เด็กคนนั้นเองก็อยู่ที่นั่น เขาอนุญาตให้ข้าออกมา”
เด็กชายตัวน้อยอายุประมาณขวบกว่าๆ เดินเตาะแตะลากรถของเล่นไปมาทั่วอาราม เด็กน้อยปริศนาที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากอาร์กัสก็อยู่ภายในนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ บัดนี้ความอยากรู้อย่างเห็นเกิดขึ้นมากมายในใจของเคนิส เธอไม่ใส่ใจคำเตือนของอาร์กัสแล้วเดินเข้าไป
ไอเย็นเฉียบเข้ามาปะทะร่างกายในทันที พอกวาดตามองรอบๆก็ยิ่งรู้สึกว่านี่ไม่ใช่อุโมงค์อย่างที่เห็นจากข้างนอก แต่มันเป็นโถงใต้ดินขนาดใหญ่ยักษ์
“อาร์กัส! ”เคนิสเรียกเขา
“เคนิสข้าอยู่นี่ นั่นเจ้าเห็นอะไร”
แต่อาร์กัสยังยืนอยู่ด้านนอก เขาไม่กล้าย่างเท้าเข้าไป พรตหนุ่มยกตะเกียงขึ้นมาเพื่อให้เคนิสเห็นว่าเขายังยืนอยู่ที่เก่าภายในอารามเช่นเดิม
“ที่นี่มีคนอื่นนอกจากเรามั้ย”เคนิสถามด้วยความระแวง
“นอกจากวิญญาณแล้วไม่มีใครอื่นหรอกแต่ในนั้นข้าไม่รู้ เคนิสรีบออกมาเร็วเข้า ที่นั่นเป็นที่ใดข้าก็ไม่อาจล่วงรู้แต่รีบออกมาเถอะ”
อาร์กัสร้องบอกอย่างร้อนรน แต่เคนิสยังยืนอยู่ตรงนั้น อาร์กัสจึงตัดสินใจก้าวเท้าตามเธอเข้ามาพร้อมกับถือตะเกียงมาด้วย
“เคนิส! ”
อาร์กัสร้องลั่นแล้วพยายามพาเธอออกไป
“นายถูกขังในนี้ใช่มั้ย?”
“ใช่ เป็นที่นี่เองที่ดาร์คบริสตั้นคนนั้นขังข้าเอาไว้กับเด็กตัวจ้อยที่ข้าหวาดกลัวมาตลอด”
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ห้องเล็กๆอย่างที่เคนิสคิดไว้เลย แต่มันเป็นโถงใต้ดินขนาดใหญ่ ที่เมื่อใช้ตะเกียงส่องดูแล้วก็ยิ่งเห็นถึงความโอ่อ่า เงียบเงาวังแวง และน่าหวาดกลัว ในนี้มีโลงหินอ่อนอยู่หลายร้อยโลง แต่ละโลงนั้นมีรูปสลักนูนต่ำสวยงามจนทำให้เธอพอจะเดาได้ว่าผู้ที่นอนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะคนสามัญชน
“น่าจะเป็น สุสารของพวกราชวงศ์ยุคโบราณ”
เคนิสกล่าวออกมาขณะที่ก้าวฉับๆสำรวจห้องโถงนั้น มีบางอย่างก่อตัวขึ้นในจิตใจ สถานที่แห่งนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดในความทรงจำ
“เคนิส ข้าคิดว่าเราต้องรีบออกไป”
“อาร์กัส นายเห็นผู้ชายคนนั้นมั้ย”
เคนิสไม่ใส่ใจแล้วถามไปอีกเรื่อง เธอชี้ไปข้างหน้าเขา แต่อาร์กัสไม่เห็นใครเลยจึงได้แต่ทำตาเหลือกหันมาบอกว่าเขาไม่เห็นใครทั้งนั้น พรตหนุ่มเริ่มจะตกใจ เพราะเขาไม่เห็นใครจริงๆ แม้แต่ดวงตาเจตภูตก็ยังไม่อาจมองเห็นใครคนนั้นได้เลย
“นั่นใคร!”
เคนิสร้องถามใครสักคนที่อาร์กัสมองไม่เห็น บุรุษผมดำคนหนึ่งยังคงเดินนำหน้าเธออยู่อย่างนั้นและไม่หันมาตอบสิ่งใด เคนิสจึงวิ่งตามเขาไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนห้ามอย่างเสียขวัญของอาร์กัส เธอตามบุรุษผมดำคนนั้น จนทันในที่สุด
“แกเป็นปีศาจ หรืออะไรกันแน่”
เคนิสร้องถาม บุรุษผมดำดวงตาสีฟ้าคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมคล้ายนักบวชสายพิฆาตความมืด ที่อกเสื้อมีตราไม้กางเขนหนามเหมือนกับของเธอ เขาไม่ยอมพูดอะไรแต่กลับเดินทะลุผ่านไปราวกับภูตผี
“นั่นนาย........ใช่มั้ย”
ความทรงจำเลือนรางที่ราวกับเป็นความทรงจำของอีกคน อยู่ๆก็ทำให้เธอจำเขาได้ในทันทีที่พบหน้า แม้จะตกใจในช่วงแรกแต่เธอก็จำเขาได้แล้ว
“ดาร์ค อ. บริสตั้น!”
อาร์กัสได้ยินชื่อนั้นก็ถึงกับวิ่งมาหาเคนิสด้วยอาการตื่นตระหนก ชายคนนั้นตายไปแล้ว ดาร์คบริสตั้นตายไปต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว บุรุษที่เคนิสเห็นนั้นไม่มีทางที่จะเป็นหัวหน้าหน่วยพิฆาตไปได้ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นใคร
“เคนิส! ข้าไม่รู้นะว่าเจ้าเห็นอะไร แต่ บริสตั้นคนนั้น ได้ตายไปแล้ว! นั่นไม่ใช่เขา”
นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้เคนิสหันกลับมามองพรตปีศาจพลางยิ้มเหยียดออกมา เธอเอาแต่วิ่งตามดาร์ค อ.บริสตั้น ออกจากโถงใต้ดินแล้วขึ้นไปภายในอาคารขนาดใหญ่จนเธอคิดว่า ที่นี่ไม่มีทางเป็นอารามนักพรตไปได้
“เคนิส!”
อาร์กัสวิ่งตามเธอมาติดๆ ทั้งสองวิ่งขึ้นบันไดเวียนไปสู่ชั้นบนเรื่อยๆจนในที่สุดก็ไปโผล่ที่ยอดสูงสุดของปราสาทสูงใหญ่สีดำมืดสนิททั้งหลัง ด้านนอกปราสาทนั้นปรากฏวิวทิวทัศเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา แต่มันเต็มไปด้วยสุสานขาวโผลนทั้งเนินเขา ไอพิษรุนแรงที่ทำให้ต้นไม้ทั้งหมดคดงอ บิดเบี้ยว และยืนต้นตาย มันเป็นสถานที่ที่เคนิสกับอาร์กัสจำได้ทันทีว่าด้านนอกปราสาทคือที่ใด
“สุสารโบราณ!”
สถานที่ที่เชื่อมต่อกับอารามเก่าแก่ในป่าเดียวดาย กลับเป็นปราสาทหลังยักษ์ดำทมิฬภายในสุสารโบราณ และที่ไกลลิบนั้นมีแสงไฟเป็นจุดเล็กๆมาจากกระท่อมของ ไลท์วาเลเรียส
“เข้าใจแล้ว ดาร์ค อ. บริสตั้นคนนั้นเป็นแค่ความทรงจำ หมอนั่นเคยมาที่นี่ ฉันแค่มองเห็นภาพเงาในอดีต”
เคนิสเอ่ยขึ้นพลางมองไปเบื้องหน้า เธอมองไปยังกระท่อมของวาเลเรียส
“อะไรนะ!”
แต่นั่นเป็นคำตอบที่ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับพรตหนุ่ม
“ดาร์คบริสตั้นน่าจะเคยพานายตอนยังเด็ก มาหาไลท์วาเลเรียส โดยใช้เส้นทางนี้แน่ๆ ความจริงแล้ว อารามของนายนั่นน่าจะเป็นป้อมปราการของปราสาทหลังนี้ด้วย”
เคนิสวิเคราะห์แล้วเริ่มมองดูรอบๆ ปราสาทปริศนาอยู่ในความมืดทมิฬของสุสารโบราณ เต็มไปด้วยไอพิษดำมืด จนไม่อาจมองเห็นตัวปราสาทใหญ่ขนาดนี้เลย แม้จะแวะมาหาวาเลเรียสหลายครั้งหลายคราแล้วก็ตาม ปราสาทกว้างใหญ่ ทั้งเนินเขาหลุมศพนี้ซ่อนอยู่ในซางตานีโอได้อย่างไร จริงสิไม่ได้ซ่อนไว้แต่มันมีเขตแดนบิดเบือนเวลาและระยะทางไว้ตั้งหาก เขตแดนที่ทำให้ไม่มีผู้ใดเข้ามาได้ นอกจากคนในตระกูลบริสตั้น
“เคนิส อย่าบอกนะว่าความจริงแล้วที่นี่!”
“ใช่ ที่นี่ก็คือบ้านของไลท์ วาเลเรียส นายถูกดาร์ค บริสตั้นคนนั้น ขังไว้ในนี้ยังไงละ เขตอาคมทรงพลังของที่นี่ไม่มีทางที่ทั้งปีศาจและมนุษย์จะเข้ามาได้หรอก”
เวลาผ่านไปนับพันปีทุกอย่างจึงถูกเฉลย เขาไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นสถานที่ซึ่งเขาถูกขังไว้เมื่อพันปีก่อน บ้านของไลท์ วาเลเรียส หมอปีศาจผู้เกลียดชังมนุษย์แต่กลับยังให้การช่วยเหลือนักพรตอาร์กัสถึงสองครั้งสองครา ทั้งยังถอนคำสาปเจตภูตให้เมื่อเขายังเด็ก และเมื่อไม่นานนี้ก็ยังเป็นผู้รักษาร่างกายของเขาที่ถูกสับจนเละให้อีกด้วย
“หมอนั่นคงจะไม่อยากให้นายตายในสงคราม การขังนายไว้ในนี้ถือว่าปลอดภัยมาก เพราะว่าถ้านายอยู่ข้างนอกละก็”
ใช่แล้ว ถ้าในตอนนั้นเขายังอยู่ข้างนอก ยังอยู่ในสนามรบ เขาคงจะตายไปในสงครามไม่ต่างจากคาอินกับลอเรนโซ แต่ความรู้สึกย่ำแย่เหลือแสนที่เขาได้รับมันยิ่งกว่าถูกฆ่าตายเป็นไหนๆ เมื่อเพื่อนพ้องทั้งหมดไม่มีใครรอดกลับมาได้แม้แต่คนเดียว ในทันทีที่เขาออกจากกำแพงนั้นไปได้ สิ่งที่เขามองเห็นนั้นคือ ซากศพและกลิ่นคาวเลือด
“ที่น่าแปลกคือนายออกไปได้ยังไง ถึงมันจะมีทางออกก็เถอะแต่ถ้าไม่ใช่บริสตั้น หากเข้ามาแล้วก็ไม่มีทางออกไปได้นะ”เคนิสถามด้วยความแปลกใจ
“เด็กนั่นพาข้าออกไป”
เด็กผู้ชายร่างจ้อยที่อาร์กัสมองเห็นเพียงผู้เดียว มาหาบ่อยๆในขณะที่ยังเรียนอยู่ในอาราม และที่สำคัญยังน่าจะรู้จักมักคุ้นกับดาร์ค บริสตั้น แถมยังเข้าออกบ้านไลท์ วาเลเรียสได้อย่างอิสระ เด็กนั่นมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลบริสตั้นกันแน่
“ช่วยเล่าเรื่องเด็กน้อยคนนั้นทีสิ ฉันรู้สึกว่าเขามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับพวกเราบริสตั้น”
เคนิสบอกอาร์กัส ทั้งที่ความจริงแล้วเธออยากจะบุกไปยังกระท่อมที่อยู่ไกลลิบ เข้าไปถามความจริงทั้งหมดกับไลท์วาเลเรียส แต่หมอแวมไพร์นอกจากจะไม่ยอมบอกอะไรแล้ว ยังเอาแต่ศึกษาวิจัยอะไรบางอย่างระดับเอาเป็นเอาตาย จนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขาไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือแม้แต่อาบน้ำ และถ้าหากเจ้าตัวคิดว่าการเล่าเรื่องยาวเหยียดนั้นไม่คุ้มค่าพอกับการเสียเวลา ไลท์ บริสตั้น ก็ไม่คิดที่จะปริบปากพูดแม้แต่คำเดียว และถ้ายังถูกถามเซ้าซี้อยู่เรื่อยๆจนเจ้าตัวรำคาญหรือหงุดหงิดขึ้นมา บุรุษผู้ไม่ชอบการต่อสู้ จะกลายเป็นปีศาจร้ายกาจไม่แพ้ขุนพลปีศาจ และเมื่อรวมผู้คุมวิญญาณอลิซาเบทนั่นแล้ว ทำให้ชายคนนั้นอันตรายสำหรับเธอเหลือแสนหากต้องปะทะกันจริงจัง
“ตัวตนของเด็กคนนั้น เป็นใครข้าก็คาดเดาไม่ได้จริงๆเคนิส เขาปรากฏตัวในห้องโถงที่เราเพิ่งจากมาเมื่อครู่ และข้าว่าเราควรรีบออกไปจากที่นี่จะดีกว่า”
สำหรับอาร์กัสแล้วต่อให้รู้ว่าปราสาทกว้างใหญ่นี้จะอยู่ในอาณาเขตสุสารโบราณของไลท์วาเลเรียส แต่เขาก็ไม่ไว้ใจสถานที่ที่เต็มไปด้วยไอทมิฬ ทั้งจิตอาฆาตพยาบาท รวมทั้งความเจ็บปวดทรมานมหาศาลที่แซกซึมอยู่ในตัวปราสาท จนทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าของเขาย่างเหยียบไป รู้สึกถึงแรงอาฆาตได้อย่างชัดเจน
ที่นี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
อาร์กัสรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นสุสารขนาดใหญ่ครอบคลุมบริเวณทั้งเนินเขา พรตหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ทั้งโครงกระดูกขาวโพลนที่ยังไม่ได้ฝังก็มีเกลื่อนกลาดไปทั่ว นี่แสดงว่าเมื่อนานแสนนานมาแล้วคงจะมีผู้คนล้มตายด้วยสาเหตุบางอย่างแทบไม่ต่างกับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับปราสาทหลังนี้กันแน่
ทั้งสองคนเดินกลับไปทางเก่า แม้จะมีหลายจุดในปราสาทที่อยากสำรวจแต่ตอนนี้พวกเขามีจุดหมายอื่น คือห้องโถงที่อาร์กัสถูกขังไว้นั่นเอง
“นายเจอเด็กนั่นในนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ เขาอยู่ตรงนั้น”
อาร์กัสชี้ไปตรงมุมมืดของห้องโถงใหญ่ มีซอกเล็กๆระหว่างผนังสีดำสนิทกับโลงหินอ่อน ซึ่งเป็นที่ที่เด็กน้อยนั่งขดตัวร้องให้อย่างทุกข์ทรมาน
“มีบางอย่างจะฆ่าเด็กนั่น!”
“อะไรนะ!”
เคนิสร้องลั่น หรือว่านี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไลท์ วาเลเรียส พาเด็กน้อยเข้ามาอยู่ในสุสารโบราณเพื่อความปลอดภัย จากบางสิ่งบางอย่าง ที่หมายจะเอาชีวิต
“ช่วยเล่าเรื่องราวของเด็กคนนี้อย่างละเอียดทีนะ”
เคนิสบอกเขาแล้วนั่งลงตรงใกล้ซอกที่เด็กน้อยเคยนั่งอยู่ แต่อาร์กัสยังคงพยายามจะพาเธอออกไปให้ได้ แต่เมื่อรู้ว่าเปลาประโยชน์ ก็ได้แต่ต้องถอนใจแล้วนั่งลงบนโลงหินอ่อนใกล้ๆนั้น พร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องราวของเด็กน้อยปริศนาที่มีเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END /ตอนที่ 18 การทักทายของโอรสแห่งรุ่งอรุญ และเส้นทางปริศนาสู่ปราสาทสีดำ
ความคิดเห็น