คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : เฮฟเว่นพาส (Heaven's Pass)
ยิ่งนานวันฝันร้ายก็ยิ่งจะกลายเป็นจริง ผู้คนจำนวนมากกำลังถูกไล่ล่าสังหาร เสียงหวีดร้องก้องระงมดังลั่นมาจากทางเหนือ พร้อมกับหลายสิ่งหลายอย่างกำลังเปลี่ยนไป เขาเริ่มสัมผัสถึงสิ่งชั่วร้ายที่อยู่อีกดินแดนหนึ่งได้ราวกับมันเกิดขึ้นตรงหน้า สิ่งเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบเจ็ดปี นับตั้งแต่ปฏิญาณตนเป็นนักพรต นับตั้งแต่ได้เลื่อนขั้นจากการเป็นพรตฝึกหัด เข้าสู่การฝึกฝนในระดับที่สูงขึ้นไปอีกเพื่อเป็นผู้พิฆาตความมืดอย่างเต็มตัว กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ใกล้วันสำเร็จการศึกษา
“อาร์กัส!”
ลอเรนโซร้องลั่นด้วยความตกใจ กาลเวลาที่ผ่านไปวันแล้ววันเล่ากำลังเปลี่ยนแปลงคนตรงหน้าด้วยคำสาปชั่วร้าย จนในที่สุดอาร์กัสก็ไม่สามารถถือไม้กางเขนได้อีกต่อไป คทาไม้กางเขนทองเหลืองเก่าๆที่นำมาตั้งแต่เข้าสมัครเรียนเมื่อนานมาแล้วนั้น ได้ลุกเป็นไฟแผดเผามือข้างที่กำลังถืออยู่อย่างไม่น่าเป็นไปได้
“คำสาปมัน......แข็งแกร่งขึ้น”
อาร์กัสจำต้องปล่อยกางเขนลงพื้นไป มือของเขาแสบร้อนอย่างรุนแรงจนไม่สามารถถือไว้ในมือได้ เขานึกอยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน วันที่วัตถุที่ผ่านการเสกและอวยพร จะต้องพยายามทำลายสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในตัวเขา ไม่สิแต่เป็นตัวเขาเองเลยตั้งหาก เขากำลังกลายเป็นหนึ่งในผู้มาจากความมืดแม้ร่างกายจะยังเป็นมนุษย์อยู่ก็ตาม
“แค่นี้ใส่ยาไม่นานก็หาย”
ลอเรนโซไม่สนใจว่าคนตรงหน้ากำลังเปลี่ยนไปเป็นอะไร แต่สนใจแค่เพื่อนตรงหน้ากำลังบาดเจ็บ และต้องสอบสำเร็จการศึกษาเป็นผู้พิฆาตความมืดให้ได้ในวันพรุ่งนี้ เขารีบใส่ยาและพันแผลให้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรื่องปกติ
“อีกเดี๋ยวก็จะจบแล้วแท้ๆ เจ้ายังไหวแน่นะอาร์กัส”คาอินเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
พวกเขานัดรวมตัวกันที่ห้องของลอเรนโซ เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบวันรุ่งขึ้น แต่แล้วสิ่งที่พวกเขากังวลที่สุดก็มาเยือนจนได้ เจ้าของห้องเพียงถอนหายใจแล้วรีบปิดประตูหน้าต่างจนมิดชิด ก่อนจะหันมาพูดกับคาอิน
“เจ้ามีวิธีให้อาร์กัสถือคทาได้อย่างปลอดภัยมั้ย คาอิน”ลอเรนโซถามเสียงราบเรียบ
“เอาแค่ให้ถือคทาสอบได้ใช่มั้ย”คาอินถามต่อ
“ใช่!”
“ก็ยังพอมีวิธี ถ้าสวมถุงมือป้องกันเครื่องอาคมที่พวกเล่นศาสตร์มืดใช้”
นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ลอเรนโซถึงกับสะดุ้ง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคาอินจะแนะนำเรื่องผิดกฎร้ายแรงนี้ขึ้นมาได้ และที่เขากำลังแปลกใจมากที่สุดนั่นก็คือ ตัวจริงของชายผมสั้นสีดำจากซิลเทียเรสผู้นี้ มีภูมิหลังเป็นอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงรู้ว่ามีอุปกรณ์สำหรับผู้แปดเบื้อนความมืด หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต้องห้ามใช้ในการแตะต้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
“รีบไปหามาให้เร็วที่สุด ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้องหามาให้ทันสอบพรุ่งนี้”
นี่ไม่ใช่เวลาจะมาถามที่มาที่ไป แต่พวกเขาจะต้องได้ถุงมือนั่นมาให้เร็วที่สุด
“สั่ง สั่ง สั่ง เสียจริง ท่านบุตรชายเจ้าเมือง ของนอกรีตแบบนั้นหายากแล้วยังแพงบรรลัย ต่อให้รู้แหล่งขาย ถ้าอยากได้ด่วนขนาดนั้น เจ้าไปปล้นบ้านเจ้าเมืองซางตานีโอ หาเงินมาให้ข้าก่อนเถอะ”
คาอินบ่น แต่เมื่อสิ้นเสียงบ่น ลอเรนโซก็ยื่นกุญแจเก่าๆมาให้ ก่อนที่จะบอกว่าเขาได้ฝากเงินส่วนตัวบางส่วนไว้ที่ร้านเหล้าข้างร้านสังฆภัณฑ์เมืองซางตานีโอ
“เข้าใจละ แต่ถ้าเจ้ามีเงินเหลือใช้มาก ข้าน่าจะหาได้มากกว่าถุงมือ ยังมีอุปกรณ์ปลอมแปลงจิตปีศาจให้เนียนเป็นปกติได้ อย่าว่าแต่ถือคทาเลย ต่อให้กลายเป็นปีศาจจริงๆก็ยังไม่มีใครรู้”
คำพูดต่อมานั้นทำเอาคนที่กำลังจะกลายเป็นปีศาจกับคนที่กำลังให้งบสนับสนุนของนอกรีต ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ บัดนี้พวกเขารู้แน่แล้วว่า บุรุษจากซิลเทียเรสผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดแน่นอน แต่ยามนี้ความรู้ต้องห้ามของคาอินกลับกำลังมีประโยชน์อย่างไม่น่าให้อภัย จนลอเรนโซต้องจ้องมองคาอินอย่างรู้สึกทึ่งเป็นครั้งแรก
“ร้ายกาจไม่เบาคาอินแห่งซิลเทียเรส จากที่ฟังมา ข้าเดาได้เลยว่าเจ้า แอบศึกษาศาสตร์มืดอยู่แน่ๆ กล้าหาญชาญชัยใช่ย่อย”
คนถูกชมได้แต่ทำหน้าบิดเบี้ยวแล้วรีบรับกุญแจจากเพื่อน
“ในซิลเทียเรสยังมีพวกที่ใช้อาคมต้องห้ามอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากอยากรู้เท่าทันก็ต้องศึกษาไว้บ้างเผื่อรับมือยังไงเล่า ”
แล้วประโยคแก้ตัวของคาอินก็ถูกโต้กลับแทบจะทันที
“ศาสตร์มืดนั้นถ้าหากรู้มากเกินไปก็จะกลายเป็นความลุ่มหลง จนถอนตัวไม่ขึ้น แม้เมื่อก่อนเจ้าอาจจะแอบศึกษาศาสตร์มืด แต่ในยามนี้จงอย่าลืมว่าถ้าหากเจ้ายังยุ่งกับมันอยู่แล้วถูกจับได้ ตามกฎของนักพรตแล้วโทษคือประหาร”
คำขู่นั่นทำให้คาอินยิ้มเหยียดก่อนจะตอบกลับ
“งั้นเจ้าที่ให้งบสนับสนุนผู้ใช้ศาสตร์มืดจะเรียกว่าอะไรดีละ นอกนั้นยังให้ที่หลบซ่อนแก่ปีศาจ นั่นโทษหนักกว่าข้าอีกนะ”
ลอเรนโซได้แต่เงียบไปครู่หนึ่ง เพื่อนสนิทของเขาจากซิลเทียเรสที่เป็นพวกหวาดกลัวปีศาจ หวาดกลัวมนตร์ดำอย่างมาก กลับกลายเป็นผู้คลั่งไคล้ศาสตร์มืด แม้จะเลิกศึกษามันแล้วตั้งแต่มาสมัครเป็นนักพรต ส่วนอีกคนที่ดูเหมือนคนเร่ร่อนห่วยแตก น่าเวทนานั้น กลับเป็นปีศาจที่แฝงกายมาเป็นนักบวช แล้วอย่างนี้ เขาที่เป็นคนสนับสนุนผู้ใช้ศาสตร์มืดและซุกซ่อนปีศาจไว้ในห้องจะเรียกว่าอะไร
“คนทรยศต่อชาติมั้ง” ลอเรนโซว่ายิ้มๆอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ดีจริง ผู้ใช้ศาสตร์มืด ปีศาจ คนทรยศต่อชาติ ถ้าถูกจับได้เนี่ยรับรองได้เลยว่า ตายทรมานสุดๆ”
คาอินพูดพลางสวมฮูดเตรียมแอบหลบหนีออกจากอาราม เจ้าตัวเอากุญแจของลอเรนโซซ่อนไว้ในอกเสื้อ แต่ก็ถูกปีศาจเดียวในห้องร้องห้ามไว้
“พวกเจ้าอย่ามายุ่งดีกว่า”
ยังไม่ทันที่คาอินจะเปิดประตูออกจากห้องไปได้ ร่างกายของเขาก็ถูกความรู้สึกกดดันบางอย่างตรึงไว้กับที่ ตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นก็ดับลงพร้อมกับไอเย็นหนาวจัดแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องทันที บรรยากาศที่ทำให้เลือดเดือดพล่านนี้ ถึงกับทำให้คาอินยืนค้างนิ่งด้วยความตกใจ นักพรตจากซิลเทียเรสจำความรู้สึกนี้ได้ดี มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาอยู่ใกล้ๆคนของความมืด
ไม่ทันแล้ว
คาอินกำหมัดแน่น พลางหันกลับไปมองเพื่อนอีกคน
“ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องพัวพัน กับคนของความมืดมากไปกว่านี้ พวกเจ้าเป็นนักพรต แต่ข้าไม่ และที่สำคัญข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องผ่าผืนกฎ จนต้องโทษประหาร ทางของพวกเรามันเป็นคนละทางแล้ว ข้าจะหนีออกไปจากที่นี่”
อาร์กัสเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด เมื่อไร้สิ้นแสงสว่างจากตะเกียง ความมืดจึงปกคลุมรอบกาย แม้จะมีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาได้บ้าง แต่ก็ยังมองเห็นสิ่งใดไม่ชัดเจนนัก แต่กระนั้นสหายทั้งสองก็มองเห็นดวงตาสีแดงฉานเรืองรองที่ กำลังจ้องมาได้อย่างชัดเจน
“อาร์กัส เจ้าเป็น เจตภูต!”
คาอินร้องลั่น ส่วนลอเรนโซได้แต่ยืนนิ่งเงียบ พวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนไปของเพื่อนตรงหน้าอย่างไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ เมื่อบัดนี้อาร์กัสกลายเป็นเจตภูตไปแล้ว บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงของปีศาจรวมถึงพลังมืดชั่วร้ายกำลังแผ่ซ่านออกมา
“! คาอิน เจ้ารีบออกไปซื้อของที่จำเป็นมาให้เร็วที่สุด! ข้าจะสร้างเขตอาคมพรางจิตเจ้าห่วยนี่ไว้ก่อน เร็วเข้า! ถ้ามีใครจับจิตเจตภูตในอารามได้ พวกเราแย่แน่ๆ”
ลอเรนโซเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรน เขารีบพรางจิตของอาร์กัสแล้วไล่คาอินไป หากมีใครสักคนจับจิตปีศาจในอารามได้ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาคงต้องปะทะกับผู้พิฆาตความมืดทั้งอารามเป็นแน่
“เข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้นอยู่ๆหน้าต่างที่ถูกล็อกสนิทแน่นหนาก็ระเบิดดังสนั่น ทั้งเศษไม้เศษกระจกพุ่งเข้ามาพร้อมกับผู้จู่โจมสองร่าง เป้าหมายของพวกเขาคืออาร์กัสที่ยืนตกตะลึงอยู่กลางห้อง หน่วยพิฆาตของอารามบุกมากำจัดเขาทันทีที่รู้สึกถึงจิตปีศาจ ดามคู่คมกริบนั้นพุ่งจู่โจมรวดเร็วดุจฟ้าแลบ
“ต่อให้เอาของพวกนั้นมา เจตภูตก็ย่อมเป็นเจตภูต”
น้ำเสียงราบเรียบที่อาร์กัสจำได้ดีว่าเป็นใคร ทั้งสองคือผู้คุมกฎที่หมายตาจะกำจัดเขาตั้งแต่เข้าอารามมาแล้ว คมดาบเงาวาววับสะท้อนแสงจันทร์ที่ไม่เคยโจมตีเป้าหมายพลาดมาก่อน กลับหยุดลงแค่เบื้องหน้าปีศาจร้ายเท่านั้น มีบางอย่างหยุดดาบคู่ของผู้คุมกฎเอาไว้ได้ ซึ่งผู้ที่มีฝีมือระดับรับการโจมตีของสองผู้คุมกฎได้นั้น แทบจะไม่มีอยู่ในอารามแล้ว
“พวกเจ้า!”
อาร์กัสเบิกตาค้างด้วยความตกใจ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้คุมกฎเองก็ตื่นตกใจด้วยเช่นกัน ทำไมยังจะมีอีก ผู้ที่สามารถรับการโจมตีอันรวดเร็วที่สุดของพวกเขาได้ เพราะว่านอกจากอธิการกับแปดนักพรตชั้นแนวหน้าของคณะแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครอีกแล้ว แต่นี่พวกมันเป็นใคร
“หึ อารามนี้ดีจริงนะ ชุบเลี้ยงปีศาจไว้ แถมยังมีนักบวชที่เก่งกาจที่สุดในรุ่นมาเป็นสาวกให้เสียด้วย ผลผลิตปีนี้ช่างดีเสียจริง”
หนึ่งในผู้คุมกฎเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะขยับยิ้มโหดเหี้ยมออกมา เมื่อเพวกเขาเห็นว่านักพรตที่กำลังจะจบการศึกษาอีกไม่นานนัก กลับสามารถรับมือผู้คุมกฎได้ คมดาบทั้งคู่ถูกคาอินกับลอเรนโซกันเอาไว้ ด้วยไม้กางเขนโลหะเท่านั้น จะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ หากคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะไปเป็นฝ่ายศัตรู ต้องกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดเท่านั้น
“อย่าล้อเล่นดีกว่าขอรับ ใครจะไปเป็นสาวกของ......ไอ้ห่วยนี่”
คาอินตะคอกออกไปด้วยความไม่พอใจข้อกล่าวหา พร้อมกับที่โต้กลับผู้คุมกฎไปทันที
“ไม่คิดว่าพวกท่านจะ.....เลือกกระทำเรื่องที่เป็นภัยต่อกฎระเบียบ แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่ทางเรา จะได้มีเหตุผล ในการกำจัดพวกนอกรีตออกไป”
พูดเสร็จด้วยวาจาสุภาพ ผู้คุมกฎอีกคนก็เปลี่ยนเป้าหมายจากเจตภูตตนนั้นมาที่ลอเรนโซ ในทันที การปะทะกันอย่างดุเดือดนั้น ทำให้อาร์กัสได้เห็นศักยภาพของสหายทั้งสองที่เขาไม่มีวันเทียบติด ทั้งรวดเร็ว ทรงพลัง และน่ากลัว แต่ทั้งสองไม่ได้กำลังต่อสู้กับปีศาจแต่กำลังสู้กับพวกเดียวกันเอง ลางบอกเหตุบางอย่างในใจลึกๆทำให้เขาเริ่มหวาดกลัว ปีศาจไม่มีวันเป็นนักพรตไปได้ ซ้ำยังจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเดือดร้อน และที่สำคัญอาจเป็นภัยร้ายแรงต่อมวลมนุษย์
“หยุด! พวกเจ้าได้ยินเหรอไม่ คาอิน ลอเรนโซ”
อาร์กัสเห็นท่าไม่ดีจึงร้องออกไป อย่างไรเสียต่อให้ทั้งคู่เก่งกาจเพียงใด แต่พวกเขาก็กำลังเอาคทาไปสู้กับดาบ ซ้ำยังได้แผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง หากว่าพวกเขาแพ้ ก็คงจะถูกฆ่าเสียตรงนี้ และต้นเหตุก็คือเขา
จะให้พวกนั้นมาเกี่ยวข้องมากกว่านี้ไม่ได้
พลังมืดเริ่มกล้าแกร่งและรู้สึกว่ามันควบคุมง่ายขึ้น ราวกับทุกสิ่งเป็นดั่งใจนึก ความมืดขานรับทุกคำของเขา และมันก็ควบคุมเพื่อนทั้งสองได้ดั่งใจ ลอเรนโซกับคาอินถูกเงาดำๆราวกับสิ่งมีชีวิตโสโครกจากนรก ตรึงไว้กับที่ พวกเขาทิ้งอาวุธลง พร้อมกับถูกผู้คุมกฎจ่อคมดาบเข้าที่ลำคอ
“พวกนั้นไม่เกี่ยวข้องด้วย มีข้าเท่านั้นที่เป็นปีศาจ พวกท่านละเว้นได้เหรอไม่”
อาร์กัสต่อรองกับผู้คุมกฎ
“เสียใจด้วยเจตภูตอาร์กัส ทั้งสองทำผิดกฎร้ายแรงและเป็นภัยต่ออารามของเรา ข้าละเว้นพวกเจ้าไม่ได้”
“เท่าที่ข้าเห็นพวกเขายังไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะขอรับ”
ปีศาจเดียวในห้องยังคงต่อรองต่อไป เขาต้องทำ อย่างน้อยๆจะให้คาอินกับลอเรนโซตายไม่ได้ หรือถ้าไม่ตายสถานะของพวกเขาจะกลายเป็นคนทรยศ เป็นพวกที่ต้องหันเหไปสู่ความมืด หักหลังพวกพ้อง เป็นภัยต่อมนุษย์ในที่สุด
“ใช่ แค่กำลังจะทำ”
อยู่ๆคาอินก็พูดแทรกขึ้น พวกเขายังไม่ได้ทำผิดกฎแค่กำลังจะทำ เขาไม่ได้ศึกษาศาสตร์มืดขณะที่เป็นนักพรตในอารามนี้แม้แต่ครั้งเดียว แม้บอกว่าจะไปซื้อของนอกรีตนั่นแต่ก็ยังไม่ได้ไป แต่มีข้อหาร้ายแรงกว่านั้นมาก นั่นคือพวกเขาให้ที่หลบซ่อนปีศาจ ซ้ำยังสมรู้ร่วมคิด และพร้อมจะแหกกฎทุกอย่างเพื่อมัน
“เท่าที่เห็นพวกเจ้าเป็นภัย และมีความผิดร้ายแรง ข้าไม่ใส่ใจเรื่องศึกษาศาสตร์มืดอะไรนั่น แต่มีสาเหตุสำคัญ เรื่องพวกเจ้ามีแนวโน้มจะเอนเอียงทัศนคติไปเป็นคนของความมืด ให้ที่หลบซ่อนแก่ปีศาจ สมรู้ร่วมคิดให้ปีศาจปลอมแปลงเป็นนักพรต”
ทุกอย่างมันเป็นเพราะว่าเขาเป็นปีศาจ และคงไม่อาจฝืนเป็นอย่างอื่นไปได้
“ถ้าอย่างนั้นไม่มีวิธีใดเหรอ ที่พวกเขาจะไม่ถูกตัดสินโทษ”
อาร์กัสถามกลับไปอีกครั้ง ดวงตาสีแดงของเจตภูตจ้องมองกลับไปยังผู้คุมกฎสวมฮูดที่กำลังจ้องมองตอบกลับอยู่เช่นกัน
“มีสิ มีอยู่แค่ทางเดียว นั่นคือเจ้าต้องไม่ใช่ปีศาจเท่านั้น”
ความจริงที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ทำเอาเจตภูตเดียวในนั้นกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ ขอเพียงอย่างเดียวของเพียงแค่เขาไม่ใช่ปีศาจ
“เข้าใจแล้วขอรับ พรุ่งนี้ในการสอบครั้งสุดท้าย ข้าจะพิสูจน์ให้พวกท่านเห็น ว่าข้าเป็นนักพรตไม่ใช่ปีศาจ”
คำพูดของปีศาจที่ทำให้ผู้คุมกฎประหลาดใจ จนต้องยิ้มเหยียดออกมา ปีศาจก็ย่อมเป็นปีศาจไม่มีทางเป็นนักพรตไปได้ แต่บางสิ่งบางอย่างในตัวของเจตภูตตรงหน้านั้นก็ทำให้พวกเขาอยากพิสูจน์ความจริง ว่ามนุษย์ที่ตกต่ำลงจนกลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้น จะโผล่ขึ้นมาจากความมืดกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งได้หรือไม่ หรือจะมีก็แต่มนุษย์ที่เลวร้ายลง ตกต่ำลง จนราวกับเป็นปีศาจร้ายเข่นฆ่าและทำลายล้างชีวิตผู้อื่นเท่านั้น
“ได้สิ ข้าก็อยากจะเห็นด้วยตาเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นการทดสอบสุดท้ายของเจ้า ในการสอบวันพรุ่งนี้ พวกเราจะรับหน้าที่นี้เองเตรียมตัวตายให้ดีๆ เจตภูตผู้ทำตัวเป็นนักพรต”
ว่าแล้วสองผู้คุมกฎก็จากไป ปล่อยให้หนึ่งเจตภูต หนึ่งคนทรยศ หนึ่งผู้ใช้ศาสตร์มืด นั่งนิ่งอยู่ในความมืด แม้ความหวังมันจะมีแค่น้อยนิด แต่ในความหวังอันน้อยนิดนั้นมันก็แทบเป็นไปไม่ได้
“อาร์กัสเจ้ารีบหนีออกจากที่นี่ซะ ถ้าหากเจ็ดหัวเมืองไม่ปลอดภัย เจ้าก็ไปเข้ากับทางเหนือนั่นเลยก็ได้ ส่วนพวกข้าจะหาทางหนีเอาตัวรอดเอง”
อยู่ๆลอเรนโซก็เสนอทางหนีให้เขา อาร์กัสมองหน้าลอเรนโซแล้วส่ายหัวปฏิเสธทันที ถ้าเขาไปทางเหนือคงต้องกลายเป็นอะไรสักอย่างที่เลวร้ายกว่านี้ เขาคงเป็นนักรบเจตภูตไล่เข่นฆ่ามนุษย์เหมือนพวกที่เคยเห็นในวัยเด็ก ซ้ำร้ายพวกลอเรนโซยังต้องกลายเป็นนักโทษประหารหนีการจับกุม จะให้มันเลวร้ายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“ข้าจะไปสอบพรุ่งนี้”
“ล่อเล่นใช่มั้ย ห่วยๆอย่างเจ้าถูกผู้คุมนั่นฆ่าทิ้งแน่ๆ นั่นนะแค่ดูก็รู้แล้ว ว่าไปตาย”
คาอินเอ่ยขึ้นเขายังไม่เลิกความตั้งใจที่จะซื้ออุปกรณ์กดจิตปีศาจให้อาร์กัส แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน
“หยุดเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ตอนสอบครั้งสุดท้าย”
สิ้นคำคนพูดก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาคาอินกับลอเรนโซ เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่อยากคาดคิด ถ้าหากสู้ในฐานะเจตภูตยังมีโอกาสรอดได้บ้าง แต่ถ้าหากต้องสู้ด้วยสภาพเช่นนั้นในฐานะนักพรตคงจะมีแต่ถูกฆ่าตายอย่างเดียวโดยไม่ต้องสงสัย
“พวกเราช่วยอะไรเจ้านั่นไม่ได้อีกแล้ว มาเตรียมลุ้นกันดีกว่า ว่าพรุ่งนี้เราจะถูกประหารจริงๆมั้ย”
คาอินว่าพลางถอนหายใจแล้วเดินลงไปห้องโถงชั้นล่าง ที่นักพรตในรุ่นเดียวกันกับเขายังคงนั่งเล่นและเตรียมตัวสอบกันอย่างเอาเป็นเอาตายเป็นปกติ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อครู่นั้นมีการปะทะกันดุเดือดอยู่ด้านบน ทุกอย่างถูกควบคุมโดยเขตแดนอำพรางของลอเรนโซ ซึ่งตอนนี้บุตรชายขุนนางยังคงยืนนิ่งภายในห้องของตนเพียงลำพัง สายตาทั้งคู่ยังคงจ้องตรงที่เจตภูตตนนั้นได้หายไป ผ้าพันแผลที่เขาเพิ่งพันฝ่ามือของใครบางคนไว้ร่วงหล่นอยู่ตรงนั้น คราบเลือดเกรอะกรังที่เห็นว่ามันเคยมีสีแดงฉาน บัดนี้กลายเป็นสีดำสนิท เลือดพิษดำคล้ำนั้นค่อยๆกัดกร่อนผ้าจนกลางเป็นฝุ่นผงไป ทั้งๆที่เขาพยายามช่วยหมอนั่นมาตลอด ทั้งๆที่ทำทุกอย่างแล้วแท้ๆ แต่ในที่สุดมันก็ไร้ความหมาย ทุกสิ่งไร้ค่าและสูญเปล่า เขาค่อยๆทรุดลงแล้วเอนตัวพิงกับผนังหิน ดวงตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง แม้จะพอเดาได้ว่าเจตภูตตนนั้นหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่คิดจะตามไปหา เพราะรู้ว่าไม่อาจช่วยอะไรได้อีกแล้ว
ลอเรนโซยกมือขึ้นปิดหน้า และตอนนั้นเองเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนกำลังร้องให้ โดยไม่รู้ตัว ไม่มีทางที่คนเย่อหยิ่งอย่างเขาจะร้องให้เพื่อผู้อื่น บุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์กผู้หยิ่งผยองได้ตัดสินใจเข้าอารามนักพรตเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง และในตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีไม่ใช่เหรอ เพราะเขาได้พยายามเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งๆที่เมื่อก่อนคนอย่างเขาไม่มีทางทำเช่นนั้น
ลอเรนโซฉีกยิ้มออกมาในความมืด ก่อนจะดึงสายประคำที่เก็บไว้ข้างกายเสมอออกมาสวดภาวนา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสวดเพื่อผู้อื่นอย่างจริงใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปีศาจไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้ เฉกเช่นเจตภูตก็ไม่มีวันเป็นนักบวช หรือจะมีเพียงมนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจ และมีแค่นักบวชเท่านั้นที่จะกลายเป็นเจตภูต !
อาร์กัสหัวเราะเสียนานราวกับคนเสียสติ เมื่อพยายามฝืนทำลายจิตชั่วร้าย เพื่อกลับเป็นมนุษย์ดังเดิมแต่แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมา คือการปฏิเสธอย่างโหดร้ายจากคทากางเขนทองเหลืองที่ได้ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จนฝ่ามือของเขาเป็นแผลฉีกขาด เพราะจิตชั่วร้ายภายในกายของเขาเข้มข้นรุนแรงเกินกว่าจะเยียวยาได้แล้ว
“บ้าบอสิ้นดี!”
อาร์กัสร้องลั่นอย่างทุกข์ทรมาน เขาทิ้งตัวเองนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังอาราม ปล่อยให้ความสิ้นหวังเริ่มเข้าครอบงำ เพราะไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้กับผู้คุมกฎในฐานะผู้พิฆาตความมืดก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ และเรื่องเลวร้ายที่สุดนั้นก็คือ คาอินกับลอเรนโซจะต้องถูกประหารชีวิต ตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี จะหนีออกไปหรือจะดึงดันเข้าสอบก็ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรสองคนนั้นได้ทั้งนั้น
“มีสิ มีอยู่แค่หลทางเดียว นั่นคือเจ้าต้องไม่ใช่ปีศาจ”
คำพูดของผู้คุมกฎยังคงหลอกหลอนจิตใจเพราะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้
“บัดซบ!”
ต่อให้เขาฆ่าตัวตายจบชีวิตลงที่นี่ พวกลอเรนโซก็ยังไม่อาจพ้นโทษ จึงได้แต่กำหมัดแน่น แล้วฟาดลงกับพื้นดินด้วยความเจ็บใจ แม้ฝ่ามือทั้งสองข้างจะเจ็บปวดสาหัส แต่เขาก็ไม่สน หากมันสามารถบรรเทาความทุกข์นี้ลงไปได้บ้าง
“ช่างน่ารำคาญเสียจริง !”
ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงแสดงความโมโหจัด ดังมาจากบนต้นไม้ พร้อมทั้งมีวัตถุบางอย่างถูกปล่อยร่วงลงมาเกือบจะโดนศีรษะเขา อาร์กัสรีบหลบอย่างหวุดหวิด แล้วเห็นบางอย่างหล่นตุบที่พื้น สิ่งนั้นมีลักษณะยาวประมาณเกือบสองเมตรถูกห่อด้วยผ้าไว้อย่างดี
“อยากฝึกซ้อมก่อนสอบก็ไปต้นไม้ต้นอื่นไป บ้าเอ้ย!”
คนบนต้นไม้ยังร้องด่าด้วยความโมโห
“ท่านเป็นใคร!”
อาร์กัสหวาดระแวงใครคนนั้นขึ้นมาทันที หากมีใครพบตัวเขาตอนนี้ คงต้องปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ ยุ่งจริง หืม? แก......เจตภูต!”
สิ้นคำผู้ที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้นั้นก็พุ่งโจมตีลงมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าเองก็พุ่งเข้ามือชายผู้นั้น มันไม่ใช่สิ่งใดแต่เป็นดาบใหญ่ ยาวเกือบสองเมตร อาวุธสังหารทรงพลังที่ทำให้อาร์กัสถึงกับขวัญหนี บางทีชายคนนั้นอาจไม่ได้มาแค่แอบงีบบนต้นไม้ แต่น่าจะมาสังหารเขาแต่แรกแล้ว
อาร์กัสจำต้องเริ่มต่อสู้ด้วยความสามารถของเจตภูต เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร แต่ถ้างอมืองอเท้าไม่สู้ก็คงต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่ เขาจึงเริ่มก้าวสู่หลทางของผู้อยู่ในความมืด และมันช่างง่ายดายเหลือเกินที่จะควบคุมอำนาจชั่วร้ายให้ทำลายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้สึกฝืนทรมานเหมือนตอนใช้กางเขนที่เพิ่งหักไป เพราะจิตโสโครกจากนรกนั้น ต่างขานรับแล้วพุ่งเข้าหาผู้ใช้ดาบคนนั้นทันที เขาสั่งให้กัดกินชายตรงหน้า อย่าให้มันมาขวาง ทำลายมันให้สิ้นซาก เพียงแต่จิตชั่วร้ายที่ส่งไปกลับไร้พิษสง ความมืดน่าสะอิดสะเอียนสูญสลายไปทันทีที่เข้าไปใกล้ดาบเล่มนั้น บัดนี้ไม่มีสิ่งได้ขวางกั้นคมดาบได้อีกต่อไป มันพุ่งตรงเข้ามาที่เขาอย่างจัง แต่เขาก็ยังหลบพ้นได้อย่างหวุดหวิด
“หลบได้ไว แต่อย่าได้คิดว่าแกจะรอดจากมือข้า”
มือใหญ่ของชายปริศนาอยู่ๆก็โผล่เข้ามาคว้าหมับเข้าที่ลำคอของเขาได้ก่อนที่จะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ อาร์กัสถูกยกร่างขึ้นจนเท้าลอยเหนือพื้นดิน มือทั้งสองข้างของชายคนนั้นเต็มไปด้วยอักขระอาคมที่ส่งผลร้ายแรงกับเจตภูต
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกก”
แม้พยายามแกะมือนั้นออกจากลำคอ และเรียกจิตชั่วร้ายออกมากำจัดชายตรงหน้า แต่ผลร้ายกลับยิ่งซ้ำเติม เพราะกลับทำให้อักขระนั้นยิ่งทวีความร้ายกาจจนรู้สึกเหมือนกำลังถูกเผาทั้งเป็น
“หึ กล้าดียังไงบุกเข้ามาในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ เจตภูต”
นี่เขากำลังจะถูกฆ่า ใช่แล้ว มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ แต่เขากำลังจะตายในฐานะเจตภูตไม่ใช่มนุษย์ มันน่าเจ็บใจยิ่งกว่า
“เจ้ามีทางเลือกอยู่สองทาง คือตายในฐานะมนุษย์หรือกลายเป็นเจตภูตแล้วค่อยถูกฆ่า”
คำพูดของใครคนหนึ่งดังขึ้นในห้วงคิด อย่างไรเสียเขาก็หนีความตายไม่พ้น ทุกอย่างก็แค่ยื้อเวลาออกไป และในที่สุด....................
“นั่น! เจ้าเองหรอกเหรอ!?”
อยู่ๆชายคนนั้นก็พูดด้วยเสียงอ่อนลง มือใหญ่ที่บีบแน่นบริเวณลำคอค่อยๆคลายออก ส่วนคมดาบที่หมายจะสังหารก็หยุดนิ่งแค่ตรงหน้า อาร์กัสไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนคนนั้นได้หยุดโจมตีกะทันหัน
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเมื่อเมฆที่บดบังนั้นเคลื่อนที่จากไป บุรุษผู้ใช้ดาบก็ปล่อยดาบใหญ่ลงกับพื้นพร้อมกับหยุดการพิฆาตเจตภูตตรงหน้าทันที การกระทำที่ผิดแผกจากผู้พิฆาตความมืดทั่วไป ทำให้อาร์กัสค่อยๆมองชายลึกลับคนนั้นอย่างจริงจัง พออยู่ในระยะใกล้ แม้จะไม่สว่างนักแต่ดวงตาของเจตภูตก็มองเห็นอย่างชัดเจน
“ดาร์ค บริสตั้น!”
อาร์กัสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบุรุษผมดำสีเดียวกับยามกลางคืน กำลังยืนมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าสีเดียวกัน ดวงตาคู่นั้นมีแววตื่นตระหนกและผิดหวัง บุรุษผู้เป็นตำนานที่เคยช่วยชีวิตเขามาจากเชลเมื่อนานมาแล้วและไม่เคยเห็นหน้าอีกตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน แม้ทั้งกลุ่มจะกลับมาตอนเขาปฏิญาณตนเป็นนักพรต แต่ดาร์ค บริสตั้นผู้นี้ก็จากไปอย่างรีบเร่งด้วยคำสั่งด่วนจึงไม่ได้เห็นหน้า
ดาร์ค บริสตันไม่แตกต่างจากเดิมแม้แต่น้อย แต่ผู้ที่เปลี่ยนไปมีเพียงเขาเท่านั้น จากเด็กมนุษย์กลายเป็นเจตภูต แม้คำสาปที่เปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นร่างเจตภูตโดยสมบูรณ์นั้นจะถูกลบออกไปได้ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็หลีกหนีชะตากรรมไม่พ้น
“ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย รีบทำลายจิตชั่วร้ายนั่นซะ หากปล่อยไว้ อีกไม่นานเจ้าจะกลับมาเป็นมนุษย์ไม่ได้ ”
ดาร์ค บริสตั้นสั่งด้วยแววตาเยือกเย็น เขาหยิบดาบขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะยั้งมือกับผู้ที่ควรถูกสังหารไปแล้วถึงสองครั้ง
“ข้าทำไม่ได้ขอรับ”อาร์กัสตอบอย่างจนปัญญา
“ทำไม”
“ข้าไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
นั่นเป็นคำตอบที่อัดอั้นในใจมานาน เขาบอกใครเรื่องคำสาปไม่ได้ หรือจะขอคำปรึกษาจากใครก็ไม่ได้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาก็กำลังจะถูกประหาร อาร์กัสพยายามข่มจิตชั่วร้ายมาตลอดนับตั้งแต่ออกมาจากเชล สิ่งที่ได้เรียนรู้ในอารามนี้ ช่วยได้เพียงแค่ทำให้คำสาปครอบงำเขาช้าลงเท่านั้น ไม่มีวิชาอะไรให้เรียนรู้สำหรับพวกที่ต้องคำสาปจากเจตภูตเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายสิ่งที่เขาได้รู้มาจริงๆนั่นคือไม่เคยมีใครรอดจากคำสาปได้แม้แต่คนเดียว
“เรื่องแค่นั้นก็น่าจะรับมือเองได้แท้ๆ ช่างโง่เขลานัก”
ดาร์ค บริสตั้น มองเจตภูตตรงหน้าพลางถอนใจ เขาวางดาบของตนลง
ก่อนจะก้มเก็บเศษไม้กางเขนทองเหลืองที่แตกกระจาย ร่วงหล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมาพิจารณา
“ไหม้เกรียมแทบไม่เหลือซาก กางเขนอาคมรุ่นนี้แม้จะรุ่นเก่าแต่ทนทานที่สุดแล้ว แย่จริงเชียว เจ้าฝืนยัดเยียดใส่จิตที่มีเจตภูตปนเปื้อนเข้าไปได้อย่างไรกัน”
อาร์กัสยืนฟังเงียบๆพูดอะไรไม่ออก เขารู้อยู่แล้วว่าไม้กางเขนนั้นไม่ยอมรับจิตชั่วร้ายที่ปลอมปนอยู่ และยังมีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงกับเขาเรื่อยๆ จากที่เมื่อก่อนแค่เริ่มหมองคล้ำ เริ่มแผดเผามือ และในที่สุดก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เพราะไม่อาจทนต่อจิตปนเปื้อนที่ทวีมากขึ้นนั้นได้อีกแล้ว แต่จะให้เขาทำอย่างไร เขาไม่อาจหยุดยั้งคำสาปร้ายนั้นได้
“ข้าไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรขอรับ ข้าพยายามใช้กางเขนนั่นขับไล่จิตชั่วร้ายแล้ว แต่มันก็ล้มเหลวทุกครั้ง”
อาร์กัสตอบอย่างจนปัญญา เขาก้มหน้าลงมองพื้นดิน และแอบยิ้มแห้งๆ พรตเจตภูตมองผู้พิฆาตด้วยสายตาทุกข์ทรมาน เขาค่อยๆถอยเท้าเมื่อเห็นคนตรงหน้าหยิบดาบขึ้นมาอีกครั้ง
“ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าเอง ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ และหากเจ้าเลือกข้อที่สอง เจ้าจะถูกข้ากำจัดเสียตรงนี้”
สิ้นคำของผู้พิฆาตความมืด คมดาบก็ปรากฏแนบชิดลำคอของเจตภูตตนนั้นในทันที เจตภูตที่พยายามหนีในตอนแรก เมื่อรู้ว่าไม่มาทางทำได้ ก็ได้แต่ ยืนนิ่งกับที่เท่านั้น ดวงตาสีแดงฉานเรืองรองยังคงมีความรู้สึกแบบมนุษย์ ยังคงเจ็บปวดได้ ทรมานได้
“ข้าเสียใจ ที่ปล่อยให้เจ้าทรมาน ที่จริงหากข้าสังหารเจ้าตั้งแต่วันนั้น คงเป็นการดีต่อเจ้ามากกว่า ข้าเสียใจด้วย อาร์กัส ข้าขอจบเรื่องบ้านี่ตรงนี้ มีอะไรจะพูดอีกเหรอไม่”
“.............................”
เจตภูตไม่ยอมตอบสิ่งใด นอกจากจ้องกลับด้วยดวงตาสีแดงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องถูกฆ่า ไม่ว่าจะเป็นจากคนรู้จักหรือแม้แต่คนที่เคยช่วยชีวิต สุดท้ายก็ยังกลับมาฆ่าเขา
“น่าเสียดายความพยายามในการเป็นนักบวชของเจ้า ข้าคงต้องทำลายความปรารถนานั้นเสียแล้ว”
ครั้งนี้ไม่มีแววตาสิ้นหวังเหมือนคนอยากจบชีวิตลงเมื่อครู่ ดวงตาสีแดงนั้นหรี่ลง ก่อนจะตอบอย่างไม่ค่อยพอใจออกมา
“ข้าเปล่าขอรับ ข้าไม่ได้อยากเป็นนักพรตนักบวชอะไรนั่น”
คำตอบนั้นทำให้ให้ดาร์ค บริสตั้น ทำหน้างง จนอดถามกลับไม่ได้
“ถ้างั้นเจ้ามาเข้าอารามนี่ทำไมกัน”
“เพราะข้าต้องการพิฆาตความมืด”อาร์กัสตอบ
ได้ยินเพียงเท่านั้น ดาร์ค บริสตั้น ก็หัวเราะลั่นจนตัวงอ เขาถึงกับต้องลดดาบลงเพื่อยันตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม
“อ่อนวะ ช่างอ่อนหัดนัก”
คำพูดดูแคลนเต็มที่ดังออกมาจากปากของผู้พิฆาตความมืดรุ่นพี่ ซึ่งฟังแล้วก็ไม่ต่างจากอธิการชราคนนั้น ที่เคยดูถูกเขาเช่นนี้เหมือนกันตอนมาสมัครเป็นนักพรตฝึกหัด
“ความคิดที่จะทำลายนั่น แค่นั้นมันไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าเป็นนักพรตได้หรอก ไม่เพียงพอให้เจ้าเป็นนักบวชที่ดีได้หรอก และสำหรับเจ้าเหตุผลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะเจ้ากำลังจะตายเพราะมัน จิตด้านลบไม่มีทางที่จะสามารถทำให้กางเขนเปล่งประกายขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้หรอก”
อาร์กัสมองคนพูดตาปริบๆ ไม่ใช่เพราะคำสาบเจตภูตที่กำลังจะฆ่าเขา แต่เป็นตัวเขาเองตั้งหากที่กำลังจะสังหารตนเองตาย นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ เขาก็แค่ทำตามที่เคยร่ำเรียนมา แค่ต้องกำจัดสิ่งชั่วร้ายให้หมดไป เพื่อช่วยคนอื่นที่กำลังจะถูกเข่นฆ่า นั่นคือเหตุผลของเขาไม่ใช่หรือ มีบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ เขาอยากจะปกป้องมนุษย์พวกนั้นแน่หรือ ก็ไม่ใช่ ตลอดมาเขาใช้คทานั่น ด้วยจิตใจคับแค้นมาตลอด เขาเกลียดชังเจตภูตที่กำลังกัดกินจากข้างใน และพยายามจะทำลายมันทุกครั้ง บัดนี้เขาเข้าใจแล้ว ตัวเขาไม่อาจหันหลังให้กับความมืดเหมือนมนุษย์คนอื่นได้ เขาไม่สามารถละทิ้งมันได้ คำสาปร้ายนั้นติดแน่นในจิตวิญญาณ และความคิดที่จะทำลายมันมาตลอดคือสารอาหารชั้นดีหล่อเลี้ยงจิตชั่วร้ายนั้นมานับสิบๆปี มันเจริญเติบโตวันแล้ววันเล่า จนครอบงำตัวเขาเองในที่สุด
เขาน่าจะรู้ตัวได้นานแล้ว ทั้งที่กางเขนนั่นพยายามเตือนมาตลอด แต่ก็ไม่ใส่ใจ เอาแต่ฝืนส่งจิตอาฆาตเข้าไปวันแล้ววันเล่า จนในที่สุดก็แตกละเอียดคามือพร้อมกับสะท้อนกลับจิตชั่วร้ายกลับมายังผู้ใช้ ถูกคำสาปเเช่งย้อนกลับมาหาตนเอง
“เจ้าไม่ได้ตายเพราะเจตภูต แต่กำลังจะตาย เพราะจิตมุ่งร้ายของตนอง และข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าต้องการเป็นนักพรตแค่เพียงคับแค้นเจตภูตแค่นั้นจริงเหรอ”
อาร์กัส มองหน้าผู้พิฆาตความมืดด้วยความสับสน ตอนนี้เขาต้องการเป็นนักบวชเพื่อทำลายนักรบเจตภูตจริงหรือ เขาพยายามจนฝ่ามือฉีกขาด จนร่างกายบาดเจ็บสาหัสเพื่อต้องการเป็นนักพรตจริงหรือ เปล่าเลย ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นเจตภูตไป เขาแค่ต้องการกลับมาเป็นนักพรตอีครั้ง เพื่อไม่ให้พวกลอเรนโซ กับคาอินต้องถูกประหาร ขอเพียงแค่กลับไปเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง ขอเพียงแค่กลับไปเป็นนักพรตได้เท่านั้น
“แอบมาฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งหมดนั่นเพื่อที่จะจบออกไปไล่ล่าพวกปีศาจทางเหนือนั่น ร่ำเรียนเป็นสิบสิบปีด้วยความเหนื่อยยากเพื่อจะได้ไปไล่ล่าเจตภูต น่าขำเป็นบ้า”
“ไม่ใช่ขอรับ”
อาร์กัสตอบดาร์คบริสตั้นกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง ด้วยแววตาไม่มีความลังเลหรือสับสน
“ข้าต้องช่วยพวกนั้น เพื่อนของข้าจะถูกประหารในวันพรุ่งนี้ หากข้าเป็นนักพรตไม่ได้”
ไม่ได้ต้องการเข่นฆ่าหรือทำลายอะไร แต่แค่อยากช่วยชีวิต เขาจึงพยายามจะเป็นนักพรตอีกครั้ง เพื่อสองคนนั้น
“งั้นหรอกเหรอ ก็สมควรอยู่ พวกที่พยายามปกป้องคนของความมืด เข้าข้างปีศาจ ตามกฎแล้วต้องถูกประหาร เพราะการกระทำนั้นมีแนวโน้มจะเป็นภัยต่อมนุษย์ ซ้ำยังสร้างอาคมพรางตัวยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ไม่งั้นข้าคงรู้ไปนานแล้วว่ามีเจตภูตอยู่แถวๆนี้”
เขตอาคมของลอเรนโซยังทำงานอยู่ มันปกป้องปีศาจอย่างเขาจากสายตาคนอื่น มันอำพรางจิตเจตภูตอย่างเขาจากการรับรู้ของนักพรตทั้งอาราม
“ท่านช่วยสองคนนั้นได้มั้ย”
อาร์กัสถามนักพรตรุ่นพี่ไปอย่างมีความหวัง แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างเลือดเย็น
“ถึงกับไปร่ำเรียนศาสตร์ต้องห้าม อีกทั้งยังมีฝีมือร้ายกาจไม่ธรรมดา แม้จะยังไม่ได้เป็นผู้พิฆาตความมืดเต็มตัว เจ้าเองก็มีสหายที่น่าฆ่าทิ้งไปเสียเหมือนกันนะ ทางรอดเดียวของเจ้าพวกนั้น คือคนที่มันกำลังช่วยนั้นต้องเป็นมนุษย์ เป็นนักพรต ไม่ใช่เจตภูตไม่ใช่ปีศาจ หากหันหลังให้พวกเดียวกัน และไปเข้าฝ่ายศัตรู ข้าเองก็จำเป็นต้องกำจัดทิ้งก่อนที่จะเป็นภัยเช่นกัน"
แม้แต่ดาร์ค บริสตั้นก็ยังยืนยันคำตอบเดียวกับผู้คุมกฎ เขาไม่มีทางช่วยพวกลอเรนโซได้เหรอ ต้องให้พวกนั้นตายจริงๆเหรอ
“ข้าช่วยอะไรไม่ได้หรอกทุกอย่างอยู่ที่ตัวเจ้าเองอาร์กัส เจ้าต้องทำให้ได้ ลองใช้ความรู้สึกที่อยากช่วยเหลือผู้อื่นกับกางเขนอาคมดูก่อนตายจะเป็นไรไป”
อาร์กัสหันหลอกแหลกเมื่อได้ยินขอเสนอ เขามองหากางเขนทองเหลืองเก่าๆที่เคยใช้มาตลอด แต่สิ่งนั้นก็แตกเป็นชิ้นๆ ไหม้เกรียมดำสนิทไปเรียบร้อยแล้ว หลทางสุดท้ายของเขาจึงไม่เหลือ และสารรูปเช่นที่เป็นอยู่นี้ขืนยังกล้าเข้าไปในอารามเพื่อหยิบยืมคทามาใช้ คงจะได้ถูกรุมสังหารตายก่อนเป็นแน่
“แย่จังนะ ในคลังวัตถุมงคลก็ไม่อนุญาตให้เอาออกมาใช้โดยไม่ทำเรื่องขออนุญาตด้วย ตอนนี้เครื่องอาคมหายากร่อยหรอ เพราะต้องใช้สู้ในสงครามทางเหนือนั่น”ดาร์ค บริสตั้นเอ่ยขึ้น
“ดาบเล่มนั่นละขอรับ”
อาร์กัสว่าพลางมองไปยังดาบในมือของดาร์ค บริสตั้น
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว นั่นไม่ใช่ของที่เหมาะกับเจ้าหรอก”
ดาบสีดำสนิทนั้นปล่อยรังสีอำมหิตข่มขู่ออกมาทันที ประกายทมิฬสีแดงฉานทำให้เลือดในกายของพรตเจตภูตเดือดพล่าน อีกใจหนึ่งก็กำลังถูกบางอย่างในนั้นดึงดูดใจ อีกใจหนึ่งก็กำลังร้องเตือนถึงอันตราย
“นั่นมันดาบอะไรกันแน่”
อาร์กัสหยุดจ้องทันที เมื่อรู้สึกว่า เจ้าของดาบกำลังทำหน้าดุดันด้วยความไม่พอใจจนต้องรีบเอาดาบใส่ห่อผ้าแล้ววางพิงกับต้นไม้
“น้ำหน้าอย่างเจ้าแค่นี้คงพอ”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บุรุษผมดำกำลัง เดินหาอะไรสักอย่างบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ อาร์กัสเห็นเขาเก็บกิ่งไม้สองท่อน ท่อนหนึ่งยาว อีกท่อนหนึ่งสั้นกว่ามาก มาผูกไขว้กันเป็นไม้กางเขนด้วยเชือกคาดเอว ก่อนที่มันจะถูกยื่นมาให้พรตเจตภูตที่ยังยืนงง
“นี่อะไรขอรับ”
“ถามโง่ๆ นี่ก็ให้เจ้าใช้สอบไง รับไปสิ”
ว่าแล้วก็ยื่นให้ทันที อาร์กัสรับไม้เท้ากางเขนยาวประมาณสองเมตร ที่เกิดจากการเก็บกิ่งไม้แห้งๆใต้ต้นคูนใหญ่มาไว้ในมือ เจ้าตัวทำตาปริบๆ ด้วยไม่แน่ใจว่า กิ่งไม้ทั้งสองนี้ จะใช้ต่อสู้กับปีศาจได้จริงหรือไม่ มันไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานใดๆ จากหน่วยงานเครื่องอาคม ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ความปลอดภัย อำนาจวิเศษใดๆก็ไม่มี อีกทั้งไม่ได้รับการเสก แต่มันเป็นแค่กิ่งไม้! และเขากำลังจะเอากิ่งไม้ไปสู้กับดาบคู่ของผู้คุมกฎในวันพรุ่งนี้ คนถือไม้เท้าได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ไม้เท้านี่ใช้สอบได้แน่หรือขอรับ”อาร์กัสถามอย่างไม่แน่ใจ
“แค่มีรูปลักษณ์แบบกางเขน ไม่ใส่อุปกรณ์ตุกติกอะไรก็ผ่านการตรวจสอบแล้ว”
อาร์กัสได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้งๆใส่คนพูด อย่าว่าแต่อุปกรณ์ตุกติกอะไรเลย เพราะที่เห็นๆก็แค่กิ่งไม้ที่ถูกผูกกับเชือกคาดเอว
“แล้วเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์ละขอรับ ข้าไม่แน่ใจว่ากิ่งไม้นี้จะสู้............”
“แล้วอะไรที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์” ดาร์ค บริสตั้นเอ่ยสวนใส่ทันที
“ความศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่รูปลักษณ์อย่างนั้นเหรอ อยู่ที่วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สร้างขึ้นมางั้นเหรอ หรืออยู่ที่ลวดลายวิจิตรบรรจง สิ่งใดกันแน่ที่ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์”
อาร์กัสก้มมองไม้เท้า เขาจับมันไว้แน่น แล้วหลับตาลง ถ้าหากความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่วัสดุที่ใช้ทำ ไม่ใช่เพราะว่ามีลวดลายงดงาม ไม่ใช่เพราะรูปร่างที่ปรากฏแก่สายตา แต่เพราะว่าได้รับการเสกอวยพร ด้วยจิตใจที่ปรารถนาดี ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นจะช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจที่หวังจะปกป้อง ด้วยความรักความเมตตา นั่นเองคือการอวยพร และการอวยพรนั้นเองคือสิ่งที่ทำให้วัตถุธรรมดาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ อาร์กัสเพิ่งเข้าใจความหมายนั้น
“กางเขนนั้นเป็นวัตถุที่ได้รับการเสกอวยพร และต้องใช้ความรู้สึกเดียวกันนี้ส่งไปไม่ใช่อาฆาตมุ่งร้าย”
อาร์กัสลองทำตามคำแนะนำนั้น เขาไม่ส่งจิตมุ่งร้ายจะทำลายความมืดลงไป แต่เขาเพียงแค่จะปกป้องสหายสองคนนั้น แค่ไม่ต้องการให้พวกเขาต้องตาย เพราะสิ่งชั่วร้ายที่เขาเป็นคนก่อ
“ขอแค่พวกเจ้าปลอดภัย”
เป็นคำขอสั้นๆแต่ส่งผลผิดคาด กิ่งไม้ที่ถูกทิ้งข้างทางนั้น กลายเป็นเครื่องอาคมทรงพลังขึ้นมาทันใด ความมืดและคำสาปร้ายที่กำลังกัดกินวิญญาณของเขามาตลอดถูกทำลายสิ้นในทันที อีกทั้งมันยังรักษาบาดแผลทั่วร่างกายจนหายสนิท อาร์กัสเบิกตาค้างด้วยความตกใจ แต่ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่ดาร์ค บริสตั้น ที่เป็นคนทำไม้เท้าให้ก็ถึงกับอึ้งมองตาค้าง และพอรู้สึกตัวก็ยิ้มกว้างออกมา เพราะคนตรงหน้ากลับมาเป็นมนุษย์อย่างที่ควรเป็น ไม่ใช่เจตภูตอีกต่อไปแล้ว
“ผู้พิฆาตความมืดที่ดี คือผู้ที่ไม่มุ่งร้ายสังหารใคร แต่จะต้องอวยพรผู้อื่น ต้องรู้จักสวดภาวนาเพื่อผู้อื่น”
“สวดภาวนา?”
“ใช่ เมื่อครู่นี้แหละที่เรียกว่าการสวดภาวนา อาร์กัส แห่งเชล ไม้เท้านั่นจึงตอบรับและช่วยเหลือเจ้ายังไงเล่า นี่แหละหนึ่งในวิถีของผู้พิฆาตความมืด เจ้าจงเริ่มต้นจากตรงนี้ สายต่อสู้ไม่เหมาะกับเจ้า เพราะเจ้าเป็นไม่ได้ แต่เจ้าคือผู้พิทักษ์”
สิ่งที่ไม่เหมาะกับตนเอง ถึงจะพยายามเลียนแบบผู้อื่นอย่างไรก็มีแต่ล้มเหลว เขาเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้เอง ว่าวิถีทางที่แท้ของเขาคืออะไร
“ขอบคุณท่านมากขอรับ ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไร ตั้งแต่ตอนที่ท่านช่วยข้าเอาไว้ จนถึงตอนนี้”
อาร์กัสอยากพูดสิ่งที่อยากพูดมานาน และก็ได้พูดไปในที่สุด หากไม่ได้พบดาร์ค บริสตั้นในตอนนั้นโชคชะตาของเขาคงต้องกลายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว อาจเกิดโศกนาฏกรรมในอารามนักพรตที่เขาไม่อยากจะคิด
“ไม่ต้องมาขอบคุณข้าหรอก แค่สวดให้ข้าก็พอ ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ โชคดีละ ไอ้พรตห่วย”
ว่าแล้วบุรุษผมดำก็หยิบดาบตนเองกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้ง อาร์กัสแหงนหน้ามองตามก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว ดาร์คบริสตั้นปีนไปเสียสูงชะลูดด้วยกะว่าจะต้องไม่ได้ยินไม่ได้เห็นอะไรที่วุ่นวายไปมากกว่านี้ แล้วเขาก็เอนตัวนอนหลับบนนั้น
อาร์กัสยิ้มกว้างให้แม้จะมองไม่เห็น ก่อนจะแบกไม้เท้าเข้าไปในอาราม ด้วยอารมที่ต่างจากขาออกมาโดยสิ้นเชิง แสงตะวันสาดส่องหลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่งโมง ก็ถึงเวลาเข้าสอบ จากลำดับทดสอบแล้วเขาคือคนสุดท้าย คาอินกับลอเรนโซสอบผ่านอย่างที่เขาคิด แต่ทั้งคู่ถูกจับล่ามโซ่ และติดเครื่องพันธนาการขังไว้ในห้องนักโทษในทันทีที่สอบเสร็จ
“พวกเจ้าสอบผ่านแล้วยินดีด้วย”
“ยินดีกับผีสิ ไอ้เวร”
คาอินด่ากลับอย่างเร็ว เมื่อเห็นอาร์กัสมาหานอกห้องขัง แม้จะร้องด่าแต่พรตผมสั้นชาวซิลเทียเรสก็ดีใจจนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขามาหา เจ้าตัวหัวเราะลั่นเมื่อเห็นกางเขนไม้เท้าที่ดูยังไงก็แค่กิ่งไม้แล้วรีบเสนอของตนเองให้
“เจ้าตายแน่วะ อาร์กัส ถ้าจะเอาไอ้นั่นไปสู้ เอาของข้าไปแทนก็ได้”
“ขอบใจ แต่ว่ากางเขนนี้เหมาะกับข้าที่สุดแล้ว”
อาร์กัสว่ายิ้มๆ ก่อนที่จะหันไปหาบุตรชายขุนนางที่ถูกล่ามโซ่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งได้แต่จ้องมองเขาหน้าตาตื่น
“สีหน้าดูดีกว่าเมื่อคืนลิบลับ”ลอเรนโซเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
เมื่อเห็นสหายที่เพิ่งกลายเป็นเจตภูตต่อหน้าต่อตา แต่ชั่วข้ามคืนเท่านั้นก็กลับมาเป็นปกติ ไม่สิต้องเรียกว่ากลับมาเป็นปกติอย่างที่ควรเป็น
“เกิดอะไรขึ้น กับเจ้ากันแน่”ลอเรนโซถามด้วยความแปลกใจ
“ฮะฮะ ก็นิดหน่อย อีกเดี๋ยวพวกเจ้าจะถูกปล่อยตัว อดทนอีกนิดนะ”
คนตรงหน้ากำลังหัวเราะเบิกบานอย่างที่ลอเรนโซไม่เคยเห็น อาร์กัสแห่งเชลเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่คนที่ถูกสาปเหมือนเมื่อก่อน แต่คือผู้พิฆาตคำสาปร้ายจนกลับมาได้เป็นปกติ ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“เข้าใจละ รีบๆหน่อยก็แล้วกัน”
ลอเรนโซว่า เขาแอบยิ้มบางๆอย่างยินดี เมื่อเห็นอาร์กัสเดินจากไปแล้ว ก่อนจะรีบเอาใบหน้านิ่งๆนั้นมาสวมทับไว้ เพื่อไม่ให้ใครเห็น ความจริงแล้วไม่ใช่แค่อาร์กัสที่เปลี่ยนไป แต่เขาเองก็ด้วย เขาสวดภาวนาและคำสวดนั้นก็เป็นจริง รวมถึงคาอินที่กล้าเผชิญหน้ากับผีร้ายจนสอบผ่าน พวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนไปภายในค่ำคืนเดียว ลอเรนโซเองก็แน่ใจว่าอาร์กัสต้องสอบผ่านเช่นกัน
และก็เป็นเช่นนั้น มนุษย์ที่กลายเป็นเจตภูตร้ายไปแล้ว กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งสร้างความแตกตื่นให้ผู้คุมกฎ ทั้งสองต่างตกใจแต่ก็ไม่ถามอะไรมากนัก เมื่อค้นตัว ตรวจสอบว่าไม่มีอุปกรณ์กดจิตปีศาจไว้ ตามที่คาด จึงให้สอบตามปกติ และเพียงไม่นานนัก อาร์กัสก็เดินกลับมาที่คุกอีกครั้ง พร้อมกับที่สหายทั้งสองได้รับการปล่อยตัว
“ยุ่งยากเป็นบ้า ให้ตายสิ นี่กะจะไม่ให้พักเลยใช่มั้ย”
คาอินสะบัดตัวแล้วบิดกายไปมาเมื่อได้ออกจากคุก เขาได้รับเครื่องแบบใหม่ พร้อมกับภารกิจออกศึกทางเหนือทันที ลอเรนโซเองก็เช่นกัน และไม่ใช่แค่อาร์กัส แต่เป็นทุกคนที่สอบผ่าน ทั้งหมดถูกจัดเข้ากลุ่มกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
“เพราะศึกเชลยิ่งหนักหนาขึ้นไงคาอิน ข้าเองก็ต้องไปเหมือนกัน”
ลอเรนโซรีบสวมฮูด แล้วจูงม้าเตรียมออกจากอาราม มีนักพรตกลุ่มใหญ่มารอรับเขาที่ลาน ทั้งหมดเป็นหน่วยแพทย์ที่ต้องไปประจำการแนวหน้า
“ช่วยไม่ได้ ก็ชื่อเสียงของเจ้าดังมากจนทางโน้นถึงกับจองตัวไว้เลยนะสิ”
คาอินพูดแล้วหัวเราะเบาๆ และทันใดนั้นนักพรตผมทองชาวเชลสหายอีกคนก็เดินตรงเข้ามาหา อาร์กัสจูงม้าสีดำเข้ามาสมทบกับเพื่อนๆที่ลานหน้าอาราม
“ว่าอย่างไรเล่า ห่วย”
คาอินเอ่ยแซวแล้วฉีกยิ้มกว้างใส่ เมื่อเห็นอาร์กัสที่ขอบตายังดำคล้ำเพราะอดหลับอดนอนก่อนสอบ ซ้ำร้ายพอสอบเสร็จก็ถูกไล่เตรียมตัวไปทางเหนือทันทีเช่นกัน
“รู้สึกดีมากๆ”
อาร์กัสพูดเสียงอ่อนเพลียพลางใช้ไม้เท้ายันตัวไว้แล้วเอนพิงกับลำตัวม้า
“คงจะไม่เป็นไรหรอก ลำดับผลการเรียนของเจ้า น่าจะได้อยู่ใกล้ๆซางตานีโอนี่แหละ คงพอมีเวลาพักบ้าง”
ลอเรนโซบอกอาร์กัส ที่ยังหลับตาพิงม้าอยู่ และในตอนนั้นเอง เสียงเรียกของคนคนหนึ่งก็ดังลั่น มันทำให้อาร์กัสสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว เพราะมีใครคนหนึ่งกำลังคนเรียกชื่อเขา ทั้งหมดหันขวับไปยังต้นเสียงอันคุ้นเคยนั้น ก็เห็นนักพรตกลุ่มหลักของอารามยืนรอกันพร้อมหน้าแล้ว นักพรตทั้งแปดผู้เป็นตำนานเอง ก็เข้ามารอรับสมาชิกใหม่เช่นกัน
“อาร์กัส อย่างบอกนะว่า เจ้าต้องเข้ากลุ่มหลักของหน่วยพิฆาต!”
คาอินร้องอย่างตกใจ ไม่ใช่เพราะความอิจฉาสหายที่ผลการเรียนต่ำสุด ที่อยู่ๆก็ได้เข้ากลุ่มหลัก แต่เขากำลังตื่นตระหนกถึงสิ่งที่พรตห่วยในสายตาของเขาต้องเจอในอีกไม่ช้า นี่อย่าบอกว่าไอ้ห่วยนั่นต้องปะทะกับนายพลนักรบปีศาจจากทางเหนือ นั่นมันหาเรื่องตายไม่ทันถึงวินาทีด้วยซ้ำ
“เจ้าไหวแน่นะ อาร์กัส”
ลอเรนโซถึงกับถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาของเขามีแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ต้องเดินหน้าลูกเดียวเท่านั้น”อาร์กัสตอบ
“สู้กับนายพลเจตภูตด้วยกิ่งไม้นั่นนะเหรอ ! บ้าไปแล้ว”คาอินว่าบ้าง
อาร์กัสยิ้มแห้งๆแทนคำตอบ แล้วรีบจูงม้าออกไป แต่เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดเดิน ก่อนจะหันมาหาสหายทั้งสอง เพราะเกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมาชั่วครู่เมื่อต้องจากเพื่อนพ้องที่ร่วมตายมานานนับสิบปี ดวงตาสีฟ้ามีแววอาวรณ์ อีกทั้งไม่กล้าแม้จะกล่าวอำลา
“แล้วเจอกันสนามรบสหาย”
ลอเรนโซเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ แล้วโยนขนมบังแห้งๆจากในคุกให้อาร์กัสเป็นที่ระลึก บุตรชายขุนนางแห่งลอร์แซมเบิร์กค่อยๆส่งยิ้มให้ ก่อนจะบอกว่ารู้สึกดีมากที่ได้ติดคุกครั้งแรกในชีวิต
“ที่จริงเดี๋ยวก็ได้ไปเจอกันที่สมรภูมิ แถบกราโดตอนเหนือของเชลอีกทีนั่นแหละ ทำเป็นดราม่าไปได้”
สิ้นคำพูดคาอิน ทั้งหมดต่างก็หัวเราะลั่นลานกว้าง
“แล้วเจอกันสนามรบสหาย”คาอินบอกอาร์กัสกับลอเรนโซแล้วโดดขึ้นหลังม้า
“แล้วเจอกันสนามรบ”
อาร์กัสบอกพวกเขาด้วยเช่นกัน ทั้งหมดแยกจากกันตรงนั้นต่างควบม้าไปยังกลุ่มของตน แล้วแยกย้ายออกจากอารามไป และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่อาร์กัสได้เห็นพวกเขา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ย้อนกลับไปอีกหนึ่งพันปีหลังจากเหตุการณ์นั้น เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลน ฉายาเกรย์ บริสตั้น กำลังหนักใจกับการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของแมรี่ จอมภูตดัลลาฮันที่ตัดใจเลือกข้างไปแล้ว หล่อนยกเคียวโจมตีเขาแล้วหายจากร้านสังฆภัณฑ์ไป หากเจอกันอีกครั้ง พวกเขาคงต้องเป็นศัตรูกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อาร์คบิชอปกาเบรียลยังอยู่ที่ห้องพักมั้ยนะ”
ฟีเดอาโก้จึงมาพบกาเบรียลอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอ มีหลายอย่างที่ต้องขอคำชี้แนะจากเขา รวมถึงเรื่องของใครบางคนที่ยังหลับใหลอยู่คนนั้น แต่ระหว่างทางก็มีบางอย่างพุ่งตัดหน้า บางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจจนต้องหยุดเดิน
“นกฮูก!”
นั่นไม่ใช่นกฮูกธรรมดา แต่เป็นนกฮูกที่สามารถบินได้อย่างคล่องแคล่ว แม้จะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม สายพันธุ์ของมันคือนกฮูกโบราณที่มักใช้ส่งสารกันอย่างแพร่หลาย แต่ในยุคนี้แทบไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว
ฟีเดอาโก้เดินไปหามันแล้วก็เห็นบางอย่างผูกติดกับเท้าเล็กๆ บางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มร้องอ๋อในทันทีเมื่อรู้ว่ามันถูกส่งมาจากป่าเดียวดาย ใบไม้สีทองห่อบางอย่างเอาไว้ด้วยเถาวัลย์เล็กๆผูกติดกับขานกฮูก บางอย่างที่อยู่ในนั้นคือเมล็ดต้นคูนยักษ์จากป่าเดียวดาย นักพรตอาร์กัสนั่นเองที่ส่งมันมาหาเขา พร้อมด้วยข้อความที่ถูกเขียนลงในใบไม้เป็นอักษรโบราณที่ฟีเดอาโก้พอจะแปลออกว่า “ขอบคุณ”
“เป็นของหายากเลยนะเนี่ย ต้องหาที่ปลูกเหมาะๆ”
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินออกนอกทางไปที่เรือนเพาะชำ หากระถางเล็กๆใส่ดิน สำหรับเพาะเมล็ดไว้ แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะฝังเมล็ดลงไป ก็มีเสียงร้องห้ามดังลั่นมาจากด้านหลัง
“อย่าปลูกมันในนั้นนะ!”
อาร์คบิชอปกาเบรียลร้องห้ามอย่างตื่นตระหนกในทันที ฟีเดอาโก้เองก็ตกใจเช่นกัน เมื่อบุคคลที่กำลังจะไปหา แต่อยู่ๆก็มาให้เห็นถึงในเรือนเพาะชำ ซึ่งกาเบรียลน่าจะกำลังรดน้ำพวกพืชหายากอยู่ในนั้น เพราะมือข้างหนึ่งยังถือบัวรดน้ำไว้คามือ
“ขอโทษครับที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน คือผมแค่จะปลูกต้นไม้”
เด็กหนุ่มบอกกาเบรียลที่สีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว อาร์คบิชอปผมทองเพียงถอนหายใจแล้วขอเมล็ดนั้นจากมือฟีเดอาโก้
“ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่เมล็ดนี้ไม่เหมาะที่จะปลูกตรงนี่หรอก”
กาเบรียลบอกแล้วยื้มเศร้าๆเมื่อมองเมล็ดนั้น และชั่วพริบตารอยยิ้มเศร้าๆก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย
“มาทางนี้สิ มีที่เหมาะๆจะปลูกมันอยู่พอดี”
ทั้งสองเดินออกไปยังสนามหญ้าโล่งๆร้อนจัด กาเบรียลพาฟีเดอาโก้เดินมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็ถึงกลางสนามหญ้าขนาดใหญ่ แล้วเริ่มขุดหลุมตื้นๆหยอดเมล็ดพืชที่อาร์กัสส่งมาให้ฝังกลบไป
“ต้องมาปลูกถึงกลางสนามเลยหรือครับ”
ฟีเดอาโก้ถามกาเบรียลอย่างแปลกใจ
“ใช่ เอาละถ้าฉันให้สัญญาณก็รีบวิ่งทันทีนะ หนึ่ง สอง”
กาเบรียลนับระหว่างรดน้ำจนดินรอบๆเมล็ดเริ่มชุ่ม และไม่ทันไรเจ้าตัวก็ปล่อยบัวรดน้ำทิ้งลงกับพื้น แล้วรีบวิ่งหน้าตาตื่นออกไปอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนว่า
“สาม!”
สิ้นเสียงคนนับก็วิ่งไปไกลแล้ว ฟีเดอาโก้ยืนงงกับการกระทำนั้น แต่ก็วิ่งตามไปเช่นกัน
“ทำไมเราต้องวิ่งด้วยครับ ท่านกาเบรียล! แค่ปลูกต้นไม้เนี่ย!”
ยังไม่ทันที่ฟีเดอาโก้จะถามต่อ เขาก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว แล้วเมล็ดที่เพิ่งหยอดไปในดินเมื่อครู่นั้น อยู่ๆก็ชูยอดอ่อนออกมาเพียงไม่กี่วินาทีเมื่อถูกฝังลงไปในดิน ก่อนที่ในพริบตาเดียวมันก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่น่าไปไปได้
“เหวอ!”
เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อด้านหลังเขากำลังมีต้นไม้ขนาดยักษ์โผล่พรวดออกมาจากพื้นดิน พร้อมกับลำต้นของมันก็กำลังขยายออกอย่างรวดเร็วจนเกือบจะมาถึงพวกเขาที่อุส่าวิ่งออกห่างไปได้ไกลแล้ว
“อะไรเนี่ยยยย!”
ทั้งสองวิ่งสุดชีวิตในขณะที่รากใต้ดินของมันก็แทงขึ้นมาบนพื้นพุ่งไล่หลังพวกเขามาติดๆ บัดนี้ทั้งสนามหญ้าของมหาวิหารถูกปกคลุมด้วยรากของต้นคูนยักษ์ขนาดมหึมา กิ่งก้านสาขาของมันนั้นกางแผ่ปกคลุมไปทั้งสนามโดยมีทั้งใบและดอกสีทองเหลืองอร่ามกำลังเปล่งประกายเรืองรองเจิดจ้า
“ตะ ต้นคูนยักษ์”
เด็กหนุ่มยืนมองต้นคูนจากป่าเดียวดายที่ตนเองเกือบปลูกในเรือนกระจก แม้จะรู้ว่าสายพันธุ์จากป่าเดียวดายนั้นใหญ่โตมาก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะโตรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อขนาดนี้ หากอาร์คบิชอปกาเบรียลไม่ได้อยู่ในเรือนกระจกด้วย เขาคงได้ทำลายมหาวิหารทิ้งไปในชั่วพริบตาเดียวเป็นแน่
“ใหญ่โต สวยงาม จริงๆเลยใช่มั้ย”
กาเบรียลเอ่ยขึ้นขณะเงยหน้ามองต้นไม้ที่เขาเพิ่งปลูก
“ครับ”
เด็กหนุ่มเห็นด้วยเลยทีเดียว ต้นไม้สายพันธุ์นี้งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น
“เห็นทีไรก็คิดถึงบ้านทุกที เธอคิดอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า”
อยู่ๆกาเบรียลก็หันมาถามฟีเดอาโก้
“บ้านหรือครับ ?”
“ใช่ บ้านที่พวกเราจากมาไง ต้นแบบนี้มีอยู่เยอะแยะในสวรรค์ เห็นแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้ ”
ฟีเดอาโก้เข้าใจความหมายนั้นในทันที อาร์คบิชอปผมทองผู้นั้นหมายถึงบ้านของเขาในฐานะอัครทูตสวรรค์เป็นดินแดนที่พวกเขาจากมาและต่างอยากกลับไปเสมอ
“ลำต้นสูงประมาณหนึ่งกิโลเมตร ถึง หกกิโลเมตร ความกว้างโคนต้นประมาณ 600 -800 เมตร สามารถดูซับอากาศพิษสารพิษในดินในน้ำได้ดีเยี่ยม อีกทั้งส่องประกายสีทองศักดิ์สิทธิ์ทำลายอำนาจชั่วร้ายอย่างเด็ดขาด พวกมันเป็นกำแพงกันสิ่งชั่วร้ายในสวนสวรรค์ ฟีเดอาโก้ มันไม่ใช่ต้นคูนหรอก แต่เป็นต้นไม้สวรรค์”
เขาว่าแล้วยิ้มออกมา เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาต้องรีบวิ่งขนาดนั้น เพราะที่แท้ลำต้นของมันก็กว้างถึง 6 ร้อยเมตร พวกเขาต้องวิ่งหกร้อยเมตรให้รวดเร็วก่อนต้นไม้นั้นจะโตไล่หลัง
“ทำไมต้นไม้สวรรค์ถึงมายืนต้นในป่าเดียวดายได้ครับ น่าแปลกจริงๆ”
“ฉันเป็นคนเอากิ่งของมันมาเอง”กาเบรียลตอบ
“เอ๊ะ ท่านเป็นคนเอามาปลูกเหรอครับ”ฟีเดอาโก้ถามด้วยความแปลกใจ
“เปล่าหรอก เจ้าสวรรค์มอบให้ฉันเพื่อเป็นที่ระลึกถึงบ้านก่อนจะมาที่นี่ แต่ฉันทำหายไปตอนที่เพิ่งมาถึง ฉันตามหาแทบแย่ หายังไงก็ยังหาไม่เจอ จนเมื่อ 1000ปีก่อนฉันก็เห็นมันอีกครั้ง น่าดีใจเหลือเกินที่คนชั่วร้ายไม่ได้มันไป ต้นไม้นี้ไม่ได้เติบโตเพราะดินและน้ำ แต่มันยืนต้นได้เพราะคำสวดภาวนาอย่างแรงกล้า”
อาร์คบิชอปอธิบายพลางเงยหน้ามองต้นไม้สวรรค์ แล้วยิ้มออกมา
“คำสวดภาวนาทำให้มันโตขึ้นหรือครับ”
เด็กหนุ่มถามต่ออย่างสนใจ เพราะเท่าที่เขาเห็นเมื่อครู่ ต้นไม้ต้นนี้ได้รับน้ำเพียงหนึ่งบัวรดน้ำ นอกนั้นก็ไม่ได้ไส่ปุ๋ยหรือพรวนดินอะไร แต่อยู่ๆกลับเจริญเติบโตขึ้นอย่างรอดเร็วจนเขาแทบวิ่งหนีไม่ทัน
“ใช่ ต้นไม้ในป่าเดียวดายทุกต้นคือคำสวดภาวนาของคนผู้หนึ่ง ที่นี่เป็นแดนมนุษย์ไม่มีทางที่ต้นไม้สวรรค์จะมาเติบโตได้หรอก ยกเว้นก็แต่มนุษย์ได้สวดภาวนาผ่านเฮฟเว่นพาส”
อยู่ๆชื่อแปลกๆก็ดังขึ้น! เด็กหนุ่มได้แต่มองอาร์คบิชอปกาเบรียลตาปริบๆด้วยความไม่เข้าใจ จนในที่สุดก็ต้องถามออกมา
“อะไรคือ เฮฟเว่นพาสหรือครับ?”ฟีเดอาโก้ถามด้วยความอยากรู้
“เฮฟเว่นพาส คือสิ่งที่เชื่อมโยงอาณาจักรสวรรค์กับโลกนี้ การสวดภาวนาของเขาคนนั้นรุนแรงพอที่จะส่งผ่านไปถึงพระเจ้า ผ่านทางกิ่งของต้นไม้สวรรค์ยังไงละ และป่าเดียวดายทั้งหมดนี้ก็คือเฮฟเว่นพาสของคนคนนั้น”
อาร์คบิชอปเอ่ยขึ้นพลางมองไปทางทิศเหนือ นานมาแล้วที่เขาได้ทำกิ่งของต้นไม้สวรรค์หายไป ก่อนที่มันจะมาปราฏกอีกครั้งในฐานะป่าศักดิ์สิทธิ์ที่กลายเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดมหานครสุดท้าย
“อาร์กัส”
ฟีเดอาโก้เอ่ยชื่อพรตปีศาจออกมาทันที กาเบรียลที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ
“ใช่ เป็นเขา ผู้ใช้เฮฟเว่นพาส กิ่งจากต้นไม้สวรรค์ที่เรานำมาจากบ้าน”
ของที่อยู่เกลื่อนกลาดข้างทางอาจดูไร้ค่าไม่สำคัญ แต่ถ้าหากมันได้ไปอยู่ในมือของผู้ที่เหมาะสมกับมัน สิ่งนั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งมีค่ามหาศาล อาจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อประโยชน์มากมาย หรืออาจกลายเป็นของอาถรรพ์หากตกไปอยู่ในมือของคนอธรรม
“ถ้าอย่างนั้นไม้เท้าเก่าๆที่เขาถือ ก็คือเฮฟเว่นพาส! กิ่งจากต้นไม้สวรรค์ของท่าน!”
ฟีเดอาโก้ทำตาเหลือก เพราะเพิ่งจัดการซ่อมยกเครื่องเฮฟเว่นพาสที่กำลังพูดถือนั้นเสียหมดคราบกิ่งไม้ เด็กหนุ่มทำหน้าแหงแก๋มองกาเบรียล ซึ่งเมื่ออาร์คบิชอปผมทองรู้ความจริงเข้าก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดเรื่องสำคัญอีกเรื่องออกไป
“เฮฟเว่นพาสไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุเสมอไป อาจจะเป็นในรูปของวาจา”
ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่ฟีเดอาโก้ เกรย์ บริสตั้นผู้ใช้วาจาสิทธิ์
“เช่นการสวดภาวนา การทำบุญให้ทาน การช่วยเหลือผู้อื่น รวมถึงวัตถุที่ได้รับการเสกอวยพร ทุกสิ่งนั้นก็สามารถเป็นเฮฟเว่นพาสได้เช่นกัน สิ่งที่เชื่องโยงโลกนี้กับสวรรค์ เพื่อให้พระประสงค์สำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์”
กาเบรียลว่าพลางก้มดูดอกลินลี่ขาวในมือของตน นั่นก็คือเฮฟเว่นพาสของเขา
“ช่างเป็นเรื่องราวที่เข้าใจยากนะครับ”
ฟีเดอาโก้ยิ้มแห้งๆ ส่วนกาเบรียลก็ยังทำหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย ทุกอย่างก็สุดแต่ใครจะเข้าใจหรือรับรู้ไหว บางทีเฮฟเว่นพาสอาจอยู่ใกล้ๆตัว หรือเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม
ทั้งสองคนต่างหันหน้าไปทางทิศเหนือ กลีบดอกไม้จากป่าเดียวดายหยุดพัดเข้ามาในเมืองแล้ว ละอองพิษร้ายแรงที่พัดเข้ามาเมื่อครู่ถูกผู้พิทักษ์คนนั้นทำลายจนสิ้นซากและเฮฟเว่นพาสคืออาวุธทรงพลังสำหรับต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่มองเห็นได้ และเห็นไม่ได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END / เฮฟเว่นพาส(Heaven's Pass)
ความคิดเห็น