คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ความหวังที่แสนริบหรี่
เค้าลางแห่งหายนะเริ่มปรากฏเด่นชัดจากดินแดนอันห่างไกล นักพรตชั้นแนวหน้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าออกจากอารามไปแล้วก็แทบไม่มีใครได้กลับมาอีก ทั้งคำร่ำลือต่างๆเกี่ยวกองทัพทมิฬจากทางเหนือ จนแม้แต่เมืองซางตานีโอก็ยังไม่อาจนิ่งเฉยได้
“พวกนั้นไปอีกแล้วเหรอ คราวนี้พวกปีสุดท้ายที่เพิ่งสอบผ่านหมาดๆเลยนะ!”
เหล่าพรตฝึกหัดออกันตรงระเบียง มองดูนักพรตรุ่นพี่ควบม้าจากไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า บางคนก็ไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็มีหลายคนกลับมาได้ พร้อมกับคำบอกเล่าที่ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อคู่ต่อสู้ที่พวกเขาต้องปะทะ คือเพื่อนพ้องและพวกนักรับฝ่ายเดียวกันที่เคยเสียชีวิตไปในสงครามแล้ว
“เขาว่าพวกนั้นต้องไปรบทางเหนือร่วมกับพวกอัศวิน ถ้าเชลถูกตีแตกเมื่อไหร่ ซางตานีโอเล็กๆนี่ก็คงไม่รอดหรอก เราจะรับมือไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เกิดความรู้สึกตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผ่านไปเพียงสี่ปีที่สงครามยังคงยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเห็นผู้คนอพยพลงมาเป็นอันมากจนศูนย์อพยพของเมืองซางตานีโอเริ่มรองรับไม่ไหวแล้ว
“ ฝีมือของพวกแนวหน้าร้ายกาจขนาดนั้น ทำไมยังสู้กับพวกทางเหนือไม่ได้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไม่กี่ปีพวกเราคงตายหมดทั้งอารามแน่ๆ”
หลายคนเริ่มหวาดกลัวจนลาออกไป โดยเฉพาะพรตฝึกหัดที่เมื่อแรกเข้านั้นมีจำนานหลายร้อยคน แต่ผ่านไปสี่ปีกว่าๆ ก็เหลือเพียงไม่ถึงห้าสิบคนเท่านั้น การร่ำเรียนในขั้นฝึกหัดที่ยากเย็น อีกทั้งกฎระเบียบมากมาย จนเริ่มทยอยลาออกกันตั้งแต่ปีแรกๆ และเมื่อยิ่งเห็นการตายที่น่าสยดสยองของนักพรตรุ่นพี่ ที่บางคนพอสอบผ่านเป็นผู้พิฆาตความมืดเต็มตัวแล้วก็ต้องออกรบในทันที ก่อนจะเหลือเพียงชิ้นส่วนของร่างกายถูกส่งหลับมายังอารามเท่านั้น เหล่าเด็กหนุ่มได้แต่ตัวสั่นงันงกอยู่ในหอพัก ด้วยกังวลว่าถ้าถึงช่วงเวลาคอขาดบาดตาย วิกฤตจริงๆพวกเขาเองก็ต้องถูกเรียกตัวไปสมรภูมิเช่นกัน
“รุ่นพวกเรา เผลอๆอาจเหลือไม่ถึง 20 คน ถ้าหากเป็นอย่างนี้”
พรตฝึกหัดผู้มีเส้นผมสีเงินแปลกตาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางมองเพื่อนนักบวชรุ่นเดียวกันเก็บเสื้อผ้าข้าวของออกจากอาราม
“ก็ที่จริงโควตาเขาให้มาแค่ 20 คนเอง บางปีสอบผ่านเป็นสายพิฆาตความมืดจริงๆแค่สามสี่คนเท่านั้น เห็นอย่างนี้แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมต้องเอามาตรฐานสูง เรียนเป็นสิบๆปี”
เพื่อนนักพรตอีกคนพูด แล้วก้มมองเหล่ารุ่นพี่ ควบม้าออกไปจากประตูอาราม ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนสำหรับพวกเขาแล้ว นักพรตชุดสีน้ำตาลที่ควบม้าผ่านหน้าไปดูสง่างามกว่าอัศวินเป็นไหนๆ หลายคนเข้ามาเป็นนักพรตเพราะถูกเครื่องแบบหลอกตา เพราะบัดนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าพวกที่ควบม้าจากไปนั้น แทบจะไม่มีใครได้รอดชีวิตกลับบ้าน
“นักรบแบบไหนกันนะ ที่แม้แต่พวกแนวหน้าก็ยังแพ้พ่าย”
“ไม่รู้สิ ส่วนใหญ่พวกที่เห็นมักไม่รอดกลับมาหรอก ถ้าอยากสืบนะ ลองไปถามพวกที่หนีตายมาซางตานีโอ อย่างเจ้านั่นดู”
นักพรตฝึกหัดคนนั้นบอกเพื่อนพลางชี้ไปทางพรตผมทองรุ่นเดียวกัน ที่ยังคงถูพื้นตรงทางเดินใกล้ๆระเบียงเป็นปกติ โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แต่ตาสีฟ้าคู่นั้นดูตื่นกลัวบางอย่าง จนเห็นได้อย่างชัดเจน
“นั่นคนดินแดนเชลติดสมรภูมิเลยนะ บางทีถามเจ้านั่นอาจรู้อะไรก็ได้ เฮ้ย !อาร์กัส”
“นี่แนะคาอิน อย่าไปถามอดีตของคนอื่นจะดีกว่า หมอนั่นลี้ภัยสงครามมาตั้งแต่เล็ก ได้ข่าวว่ากำพร้าเสียด้วย อย่าไปรื้อฟื้นความทรงจำแสนเศร้านั้นจะดีกว่า เห็นทำหน้าสลดตลอดเวลา แถมดูหวาดกลัวอะไรสักอย่างนั่นอีก เดี๋ยว!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ คาอินพรตหนุ่มผมสีดำสนิทก็เดินตรงไปหาพรตจากดินแดนเชลคนนั้นทันที เรื่องที่อาร์กัสเด็กลี้ภัยจากเชลเมื่อเกือบสิบปีก่อน ได้สูญเสียครอบครัวและญาติพี่น้องทั้งหมดระหว่างเดินทางมาซางตานีโอ เพราะถูกโจนป่าลอกสังหาร ส่วนตัวเขานั้นถูกดาบแทงที่อกแต่รอดชีวิตกลับมาได้ กลับเป็นเรื่องที่คนในอารามทุกคนรู้กัน แม้เจ้าตัวจะได้แต่อึ้งเมื่อได้ยินเรื่องราวที่ถูกใครสักคนแต่งขึ้น แต่เขาก็ได้แต่เออออไปด้วย เพราะจะให้ใครรู้ความจริงไม่ได้เด็ดขาด
“อาร์กัส ! เจ้าต้องรู้อะไรแน่ๆ พวกนักรบทางเหนือนั่น”
พรตนั้นรีบพาอาร์กัสมาพบเพื่อนอีกคนที่แอบไปยืนรอในหอตำราเพียงลำพังแล้ว ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากพวกเขาสามคน พรตผมสีเงินชนชั้นสูงจากลอแซมเบิร์กกับพรตผมดำจากซิลเทียเรส จงใจจะสอบถามข้อมูลอย่างลับๆ
“อย่ารู้เลยจะดีกว่า ข้าไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เพราะบางทีพวกเจ้าจะพลอยลาออกไปด้วย”อาร์กัสว่า
“อย่าดูถูกชาวซิลเทียเรสอย่างข้ากับบุตรเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์กเชียวนะ อาร์กัสแห่งเชล พวกเราไม่ได้ขี้ขลาดอย่างพวกไร้น้ำยานั่น”
อาร์กัสค่อยๆเบิกตาค้าง เมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันที่สนิทด้วยที่สุด จะเป็นถึงบุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์ก เขารู้แค่เพียงว่า ลอเรนโซ ผู้มีผมสีเงินและนิสัยเย่อหยิ่งแบบชนชั้นสูง ที่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนมาสมัครเป็นนักพรตนั่น จะกลายมาเป็นเพื่อนคนสำคัญที่ช่วยสอนไวยกรณ์ภาษาลาตินโบราณให้
“พวกมันคือ นักรบเจตภูต ข้ารู้เพียงเท่านี้ คนในเชลเรียกพวกที่ขี่ม้าดำปลอดมาจากทางเหนือว่าอย่างนั้น”อาร์กัสตอบ
“เจตภูตเป็นแค่จิตชั่วไร้รูปร่าง แม้มันจะเข้าสิงมนุษย์ได้ แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่า พวกมันจะร้ายกาจถึงกับสังหารพวกพรตชั้นแนวหน้าของอารามเราได้อย่างนั้น มันน่าแปลกเกินไป”
ลอเรนโซเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด ส่วนคาอินได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าขนลุกขนพอง แล้วเล่าว่าในซิลเทียเรสก็เคยมีตำนานเกี่ยวกับนักรบเจตภูตนี้เช่นกัน
“พวกมันฆ่าไม่ตาย พวกมันร้ายกาจ พวกมันลุกขึ้นมาจากหลุมศพ”
ทั้งหมดหันมามองหน้าคาอินทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเสียงสั่นเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านแห่งเมืองซิลเทียเรส กล่าวถึงเจตภูตปีศาจในสมัยโบราณที่ลุกขึ้นมาจากหลุมศพ
“ตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ อาร์กัส โอ้ยยให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าถ้าสงครามยังไม่สงบ พอเราสอบผ่านก็ต้องไปสู้กับพวกมันเลยสิเนี่ย ตายโหงชัดๆ”
คาอินนั่งตัวสั่นแล้วร้องโว้ยวายถึงสิ่งที่พวกเขาต้องรับมือในอนาคต มันทำให้ลอเรนโซหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นคนที่ไม่เคยกลัวสิ่งใดอย่างคาอิน ถึงกับหน้าซีดตัวสั่น แล้วเริ่มจะเปลี่ยนใจอยากเก็บข้าวของหนีไปจากอารามเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่ว่าพรตชาวซิลเทียเรสคนนั้นก็ไม่คิดจะทำจริงๆ เพราะต่อให้ลาออกจากการเป็นพรต หรือให้หนีอย่างไรก็ไม่แน่ว่าเขาจะรอดปลอดภัย สำหรับเขานั้นขอสู้แล้วตาย ดีกว่าวิ่งหนีแล้วถูกไล่ล่าจนสิ้นชีพเสียชื่อชาวซิลเทียเรส เมืองแห่งนักรบ
“อืม....น่าจะเหมือนตำนานนั้น”
อาร์กัสว่าแล้วทำหน้าลำบากใจ แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังถูกจับตามองอยู่ หากเขาพูดอะไรผิดสังเกตหรือส่อพิรุธออกไป ผู้คุมกฎสองคนที่ซุ่มดูอยู่นั้นคงไม่เอาเขาไว้
“ช่างเรื่องเจตภูตนั่นก่อนเถอะ ! ตอนนี้พวกเรายังมีเรื่องแย่กว่าเรื่องผีจากทางเหนือเสียอีก อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าลืมเรื่องสอบไปหมดแล้ว"
อยู่ๆลอเรนโซก็เปลี่ยนเรื่องกระทันหัน แล้วยื่นตารางสอบให้เพื่อนทั้งสองคน อาร์กัสกับคาอินยิ่งหน้าซีดเผือกเข้าไปอีก เพราะเรื่องการสอบเป็นนักพรตมันก็คือข่าวร้าย พอๆกับเรื่องสงครามทางเหนือ ความจริงแล้วพวกเขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเพราะตอนนี้ แค่เป็นนักพรตก็ยังเป็นไม่ได้ อย่าว่าแต่การไปรบในสงความทางเหนือเลย เพราะสำหรับพวกเขา แค่การสอบก็อาจจะเอาตัวไม่รอด!
"แล้วจะให้ข้าทำไง! สอบอาทิตย์หน้าเองนะเฮ่ย อย่างนี้ได้อับอายกลับซิลเทียเรสแน่"
คาอินร้องโวยวาย
"ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเจ้าไม่รีบอ่านหนังสือทบทวนตั้งแต่ตอนนี้"
ลอเรนโซเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแล้วเดินออกไปนั่งตรงเก้าอี้สำหรับอ่านตำรา เขาเลือกที่นั่งมุมสุดเพื่อที่จะหยิบจับหนังสือต่างๆได้ง่ายและไม่มีใครรบกวน หอตำราของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอดูกว้างใหญ่ขึ้นมากเมื่อไม่มีผู้ใดมาใช้บริการ ทั้งที่ช่วงใกล้สอบปีก่อนๆ จะมีผู้ใช้จำนวนมาก จนแทบไม่มีที่นั่ง แต่สำหรับปีนี้กลับเงียบเหงา เนื่องจากเหล่านักพรตฝึกหัดกำลังตื่นกลัวกับศึกสงครามมากกว่าที่จะตั้งสติมาอ่านหนังสือเตรียมสอบในหอตำราได้
"เข้าใจละ งั้นอ่านก็อ่าน"
คาอินว่า เขากับอาร์กัสรีบตรงดิ่ง ไปนั่งใกล้ๆกับลอเรนโซ ทั้งสามคนนำตาราออกมากางบนโต๊ะ และเริ่มทบทวนสิ่งต่างๆที่เคยร่ำเรียนไป
“อาร์กัส เจ้าต้องจำพวกนี้ให้หมด”
ลอเรนโซยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้อาร์กัส
“ตำรารวบรวมกล่องกักปีศาจในตำนาน เจ้าควรรู้ไว้ ปีที่แล้วก็ออกเรื่องนี้หลายข้อ”
อาร์กัสรับหนังสือจากมือของลอเรนโซ แล้วค่อยๆเปิดหนังสืออ่านดูตามคำแนะนำ ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นข้อความบางอย่างถูกเขียนหวัดๆใส่กระดาษสมุดที่ถูกฉีกสอดเอาไว้ภายในหนังสือเก่าๆเล่มนั้น
“เจ้าหวาดกลัวสิ่งใดกันแน่ อาร์กัส”
อาร์กัสตกใจที่เห็นข้อความนั้น เขาค่อยๆเงยหน้ามองสหายผมเงินด้วยความตกใจ
“นั่นนะ คือข้อสอบสำคัญที่เคยออกมาแล้ว ลองหาคำตอบแล้วส่งมาให้ข้า”
ลอเรนโซบอกเสียงเรียบแล้วทำเป็นก้มหน้าอ่านตำราต่อ แต่บัดนี้อาร์กัสรู้แล้วว่า บุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์กเริ่มสงสัยบางอย่างในตัวเขา ซ้ำยังรู้สึกตัวแล้วว่าพวกเขาทั้งสามกำลังถูกจับตามองโดยผู้คุมกฏจากระยะไกล
“ข้าเปล่า”
อาร์กัสเขียนคำตอบยื่นให้ลอเรนโซ ทั้งคู่ทำเป็นติวหนังสือด้วยท่าทีปกติ แอบสื่อสารกันได้อย่างแนบเนียน จนแม้แต่คาอินที่นั่งอ่านหนังสือใกล้ๆก็ยังไม่รู้
“ไม่ ! เจ้าต้องเห็นอะไรแน่ๆ เจ้ามองไปตรงทางเดินเมื่อครู่นี้เหมือนตื่นกลัวบางอย่าง ที่จริงแล้วข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ตั้งแต่เข้ามาปีแรกแล้ว อารามนี้มีอะไรกันแน่!”
ลอเรนโซเขียนข้อความตอบกลับอย่างรีบเร่ง
“ช่างมันเถอะ ข้าอาจตาฝ้าฟางไปเอง”
“ตาฝ้าฟางงั้นเหรอ แล้วเจ้าที่ตาฝ้าฟาง เห็นอากาศทาตุเป็นสิ่งใด จงบอกข้ามาตามตรง ”
อาร์กัสถอนหายใจออกมาทันที เมื่อรู้ว่าความแตกอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งที่พยายามปิดมาตลอด แต่ก็ไม่อาจรอดสายตาของลอเรนโซไปได้
ความจริงแล้วเขายังมองเห็นเด็กชายคนนั้น วิ่งเล่นไปทั่วอาราม ยังคงลากรถของเล่นดังครืดๆทุกค่ำคืนโดยที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเขา แม้เด็กน้อยจะเข้ามาทักทายอาร์กัส แต่เขาก็ไม่กล้าพูดกับเด็กนั้น เขาไม่กล้าทำสิ่งใดก็ตามที่ดูผิดปกติออกไป เพราะสองผู้คุมกฎยังเฝ้ามองเขาตลอดเวลา จึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น จนในที่สุดเจ้าหนูก็เลิกมายุ่งวุ่นวาย แต่ความหวาดกลัวในใจลึกๆนั้น สหายผมเงินก็ยังมองออกจนได้
“ข้าเห็นเด็ก..... ที่ดูเหมือนเพิ่งหัดเดิน วิ่งเล่นไปทั่วอาราม ”
คำตอบที่ถูกเขียนกลับมานั้น ลอเรนโซถึงกับตกใจเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นเด็กอย่างที่เพื่อนตรงหน้าเห็นในอารามแม้แต่ครั้งเดียว ความจริงแล้วก็ไม่มีเด็กวัยประมาณหัดเดินอยู่ในอารามนี้ พรตหนุ่มผมสีเงินจึงค่อยๆขยับยิ้มแล้วมองหน้าเพื่อนที่ยังหันหลอกแหลก กวาดตามองทั่วห้องด้วยความหวาดกลัว
“คาอิน เจ้าเคยได้ยินเรื่องผีในอารามนี้มาบ้างหรือไม่”
อยู่ๆลอเรนโซก็ถามคาอินเรื่องผี จนอาร์กัสสะดุ้งเมื่อได้ยิน เขาทำตาเหลือกมองลอเรนโซ
“ผี ? เอ้อ เคยได้ยินพวกรุ่นพี่เล่าให้ฟังอยู่บ้าง ก็อารามนี้ มันเคยเป็นป้อมปราการของซางตานีโอมาก่อน พวกอัศวินตายเกลื่อนเป็นหมื่นๆเชียว เรื่องผีนี่เล่ากันสิบวันสิบคืนก็ไม่จบหรอก เจ้านั่นแหละอยู่ๆถามทำไม ลอเรนโซ”
คาอินผู้มีความหวาดกลัวเรื่อง “ผี” มาตั้งแต่วัยเยาว์ กลับเป็นคนที่สนใจและค้นคว้าเรื่องผีอย่างจริงจัง ในตู้เก็บเสื้อผ้าของชายผู้นี้มีหนังสือเกี่ยวกับผีสาง มากกว่าตำราเรียนเป็นไหนๆ อีกทั้งยังมักจะชอบฟังประสบการณ์เรื่องผี จากผู้อื่น ทั้งที่ตัวเองก็กลัวจนแทบจะเป็นบ้า รวมทั้งเรื่องที่สหายผมเงินกำลังเล่านั้นทำให้คาอินทำตาเหลือกด้วยความตกใจ
“ข้าฝันเห็น และดูเหมือนมันจะติดตา จนในตอนนี้ข้าเห็นเด็กชายแก้ผ้า วิ่งไปมาจนทั่วอารามนะสิ”
ลอเรนโซเอ่ยเสียงเรียบ
“เฮ้ย! จริงเรอะ!”คาอินร้องลั่น
“ใช่ ตอนนี้ เจ้าหนูนั่นเกาะที่หลังของเจ้าไงคาอิน”
บุรุษผู้กล้าจากซิลเทียเรสเริ่มร้องลั่นเมื่อได้ยินสหายผมเงินกล่าวเช่นนั้น ข้อเสียร้ายกาจที่สุดของชายผู้ห้าวหาญไม่กลัวสิ่งใด กล้าลุยรบประมือกับศัตรูอย่างองอาจ กลับเป็นผู้ที่หวาดกลัวภูตผีปีศาจอย่างมาก เขาเริ่มตัวสั่นแล้วมานั่งเบียดอาร์กัส ที่สะดุ้งตามเช่นกัน
“เจ้าบ้า ลอเรนโซ บอกไว้เลยวันนี้ข้าจะอัดเจ้าแน่ อาร์กัส เจ้าเห็นเด็กบนหลังข้ามั้ย”
พรตผมดำหน้าซีด ถามอาร์กัส ที่ยังตกใจกับเรื่องโกหกของลอเรนโซ แต่นั่นก็ทำให้เขาเริ่มหัวเราะออกมา เมื่อรู้ว่าคาอินที่ห้าวหาญนั้น มีจุดอ่อนสำคัญคือกลัวผี และเหตุผลที่เขามาเป็นนักพรตก็คือเพื่อกำจัดความกลัวออกไปจากใจ
“ไม่เห็น”
อาร์กัสตอบจริงจัง เพราะเขาก็ไม่เห็นเด็กชายตัวน้อยคนนั้นจริงๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา โดยชายผมเงินที่พยายามทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกเบาสมอง และใครๆก็เป็นได้
“บางที นั่นอาจเป็นพวกวิญญาณผู้ล่วงลับ ที่เลือกปรากฏให้เห็นเฉพาะบุคคลก็ได้นะ ที่อารามนี้เก่ามาก พวกรุ่นพี่เล่าให้ฟังบ่อยๆเรื่องวิญญาณในอาราม”
คาอินเล่าก่อนจะ ร้องด่าสหายผมเงินที่หาเรื่องมาลั่นแกล้ง อาร์กัสมองพวกเขาตาปริบๆ แม้คำตอบที่ได้มาจากลอเรนโซ จะอธิบายว่าเขาคิดมากไปเอง หรือไม่อย่างนั้นเด็กน้อยที่เขาเห็นก็คงเป็นวิญญาณผู้ล่วงลับอย่างที่เขาลือกันก็เป็นได้
อาร์กัสค่อยๆยิ้มออกมา และอยากให้สิ่งที่เขาเห็นเป็นแค่ความฟุ้งซ่านเท่านั้นจริงๆ เพราะในใจลึกๆแล้ว เขารู้สึกได้ว่า เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ปีศาจ หรือเป็นแค่มโนภาพ
“เฮ้ย อาร์กัส เจ้ากลัวผีเหมือนข้าใช่มั้ย”
คาอินร้องถามเมื่อเห็นอาร์กัสเงียบไปนาน
“บางทีถ้าข้าเห็นก็คงกลัวเหมือกัน”
อาร์กัสตอบกลับแล้วเสแสร้งหัวเราะ เพราะว่าผีที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเขาเอง ตัวเขาที่กำลังกลายเป็นผีร้าย
“หยุดใส่ใจเรื่องผีสางเสียที หากไม่รีบอ่านตำหรับตำรา พวกเจ้าได้สอบตกกันจริงๆแน่"
ลอเรนโซเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย แต่กระนั้นเขาก็เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ คนหัวขี้เลื่อยทั้งสองคนหันมาหยิบจับตำราอ่านอย่างจริงจังตลอดระยะเวลาห้าปีเต็ม
อาร์กัสหยิบหนังสืออีกเล่มมาอ่านต่อ ก็เห็นข้อความที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษสมุดอีกแผ่นสอดเอาไว้ ลอเรนโซเขียนบางอย่างถึงเขาอีกครั้ง และนั่นเป็นข้อความที่ทำให้อาร์กัสหน้าถอดสี เขาไม่อยากให้สหายสองคนนั้นต้องมาติดร่างแหไปด้วย
“ผู้คุมกฎสองคนนั่นจับตามองเจ้าทำไมอาร์กัส ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ถ้าหากสองคนนั่นลงมือฆ่าเจ้าเมื่อไร พวกเราจะรับมืออย่างสุดกำลัง ถ้าต้องปะทะรับรองว่าไม่มีวันออมมือเด็ดขาด!”
อาร์กัสเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนพ้องสองคนที่ยังนั่งอ่านหนังสือเป็นปกติ แล้วยิ้มเหยียดออกมา สำหรับพวกเขาแล้ว แม้จะบอกความจริงก็ไม่เป็นไร ใช่คงไม่เป็นไร คิดแล้วก็รีบเขียนข้อความยื่นให้ทั้งสอง แม้ปากจะบอกว่าช่วยตรวจทานคำตอบให้ที แต่ข้อความนั้นกลับเขียนไปคนละเรื่อง
“อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเสียดีกว่า พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าเป็นอะไร เพราะอีกไม่นาน ข้าอาจต้องกลายเป็นเหมือนนักรบเจตภูตอย่างพวกทางเหนือนั่น”
สหายทั้งสองหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นข้อความนั้น ลอเรนโซร้องสบถออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ส่วนคาอินทำปากกาขนนกร่วงจากมือ ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ ขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า ข้าไม่ได้ถูกโจนป่าทำร้ายหรอก แต่เป็นนักรบเจตภูตที่ใช้ดาบแทงเข้ากลางหัวใจ ข้าควรตายไปนานแล้ว แม้ใครบางคนจะพยายามช่วยข้า ถึงคำสาปจะจางหายไป แต่.....ข้า ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องกลายเป็นผีร้าย สักวันข้าอาจเป็นภัย ต่อพวกเจ้า และต่ออารามนี้”
ผู้คุมกฎพวกนั้นแค่เฝ้ามอง หากเขามีแนวโน้มจะเป็นอันตรายก็จะถูกกำจัดในทันที
“เป็นข้อสอบที่ยากเอาเรื่องนะ แต่ของแค่นี้ห่วยไปสำหรับข้าหรอก”
ลอเรนโซเอ่ยขึ้นหลังจากสบถหลุดคำหยาบออกไปด้วยความตกใจ พอเรียกสติคืนมาได้ก็รีบแสดงสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะพูดเกี่ยวกับข้อสอบหน้าตาเฉย แต่คำพูดนั้นเพียงต้องการบอกว่า "แม้จะเป็นเรื่องที่ยอมรับยาก แต่เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา" ส่วนคาอินที่กลัวเจตภูตจนขึ้นสมองนั้น พอหายตกใจก็หัวเราะลั่น ก่อนจะตอบกลับมาว่า
“ข้อสอบที่เจ้าเอามาให้ดูนี่ ห่วยแตกจริงๆ สมกับที่เป็นไอ้พรตห่วย น้ำหน้าอย่างเจ้าจะเป็นอะไรได้ นอกจาก พรตห่วยๆ ”
คาอินว่าออกมาบ้าง ส่วนผู้ที่โดนด่าว่า"พรตห่วย"ได้แต่มองสหายตาปริบๆ สองคนนั้นไม่มีท่าทีต่างจากเดิม หรือพยายามจะฆ่าเขาเหมือนคนอื่นๆ และยังเขียนซ้ำเติมมาอีกว่า น้ำหน้าอย่างเขา ไม่มีทางเป็นอะไรได้นอกจากเป็นพรตโง่ๆ
“หยุดคิดข้อสอบห่วยๆ แล้วมาอ่านหนังสือแก้ห่วยเถอะ อากัสแห่งเชล เจ้าจะตกไม่ได้เชียวนะ”
คำหยอกล้อแบบดูแคลนของลอเรนโซนั้นทำให้อาร์กัสยิ้มออกมา เมื่อก่อนเขาไม่เคยถูกชะตากับชายคนนี้เลย แต่พอรู้จักกันจริงๆแล้ว คำพูดดูแคลนคือคำให้กำลังใจรูปแบบหนึ่งของบุตรชายเจ้าเมืองผู้เย่อหยิ่ง พวกเขามีเวลาไม่กี่วันเท่านั้น ในการเตรียมตัวเพื่อเป็นนักพรตอย่างแท้จริง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แล้ววันเวลาแห่งการสอบนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไม่อยากสอบเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าถึงเวลาสอบเร็วขึ้นเท่านั้น นักพรตฝึกหัดที่เหลือประมาณ 50 คน มาเข้าสอบกันตั้งแต่เช้าตรู่ และเมื่อผ่านไปสามวันหลังการสอบ ผลคะแนนก็ถูกนำมาติดอยู่บนประกาศที่ลานหน้าอาราม นี่อาจเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายของใครหลายคน เพราะแม้จะได้เป็นนักพรตเพื่อศึกษาต่อวิชาพิฆาตความมืดตามที่ใฝ่ฝันไว้ แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวเท้าไปบนเส้นทางแห่งความตายเลยทีเดียว
“นี่ข้า ฝันไปใช่มั้ย!”
คาอินร้องเสียงหลง นี่เป็นครั้งแรกที่คนผลการเรียนต่ำเสมออย่างเขา สอบได้คะแนนอยู่ในลำดับใกล้ท็อป แม้ดูจากคะแนนแล้ว ก็ยังห่างกันมากกับคนที่สอบได้อันดับ 1 ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากลอเรนโซ บุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์ก
“พากันจงใจสอบให้ได้คะแนนต่ำชัดๆ ช่างขลาดเขลา”
พรตหนุ่มผมเงินเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นผลคะแนนของผู้สอบผ่านทั้ง 20 คนที่น้อยอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะหลังจากอันดับสองไปแล้ว ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจนต้องร้องโวยวายออกมา แม้คะแนนจะผ่านเกณฑ์มาตรฐานไปแล้วก็ตาม แต่ยังถือว่าน้อยกว่าปีไหนๆ จนเขารู้สึกขายหน้า
“ช่างพวกมันเถอะ อย่างน้อยๆก็เป็นโชค ให้เจ้าพรตห่วยนั่น สอบผ่านกับเขาด้วย”
คาอินว่าแล้วชี้ไปยังประกาศผลคะแนนในลำดับท้ายสุด พวกเขามองเห็นชื่อของอาร์กัสจากดินแดนเชล ซึ่งคะแนนเฉียดตกเกณฑ์มาตรฐานอย่างหวุดหวิด หากเป็นการสอบในยามปกติทั่วไปคงจะเป็นการยากนักที่เขาจะสอบติดหนึ่งในยี่สิบคนได้
อาร์กัสมองไปที่ประกาศแล้วยิ้มแห้งๆ เขารู้ตัวเองว่าแทบจะไม่มีโอกาสสอบผ่าน เพราะรายวิชาที่ต้องศึกษาตลอดห้าปีนั้นยากเกินไปสำหรับเขา หากพวกลอเรนโซและคาอินไม่ช่วยติวให้อย่างหนัก เขาก็คงสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานไม่ได้ จากเด็กลี้ภัยสงครามที่ได้รับการศึกษาบ้างเล็กน้อยในศูนย์ผู้อพยพ และชั่วพริบตาต้องมาร่ำเรียนวิชาการอันแสนยากเย็น ความแตกต่างสุดขั้วนี้ ทำให้การสอบผ่านเป็นนักพรตคณะนักบวชแห่งซางตานีโอแทบเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา
“พวกเราสอบผ่านก็ดีแล้ว”อาร์กัสพูด
“เฮอะ! โคตรดีใจวะ”คาอินบ่นทั้งที่ตัวเริ่มสั่น
การสอบคราวนี้เป็นการสอบที่ เห็นกันอย่างชัดเจนว่าปลายทางข้างหน้าคือความตาย แต่กระนั้นต่อให้ได้คะแนนย่ำแย่เพียงใด พวกเขาทั้ง 20 คนก็ไม่ได้ถอยหนี เพราะว่าไม่อาจถอยได้อีกต่อไปแล้ว
“จากนี้ตั้งหาก คือความยากลำบากแท้จริง”
สิ้นคำพูดของลอเรนโซ ผู้ฟังทั้งสองก็ได้แต่ทำตาเหลือกด้วยความเครียด สำหรับอาร์กัสแม้จะตั้งใจร่ำเรียนอย่างหนัก แต่ผลการเรียนหวุดหวิดต่ำกว่าเกณฑ์มาตราฐานนั้น ก็ทำให้เขาลำบากใจ แม้แต่คาอินที่หวาดกลัวภูตผีปีศาจกลับต้องเข้าสู่เส้นทางของผู้พิฆาตผีร้ายทั้งกองทัพ พวกเขาแต่ละคนมีเหตุผลในการตัดสินใจเป็นนักบวชที่แตกต่างกัน สำหรับอีกคนคือการพิฆาตความมืด อีกคนคือการกำจัดความหวาดกลัวออกไปจากใจ และสำหรับอีกคนเพื่อกำจัดตัวตนที่หยิ่งผยอง ความเย่อหยิ่งที่สำคัญตนเองว่ายิ่งใหญ่เหนือคนอื่น ด้วยเหตุผลที่แตกต่าง อุดมการณ์ไปคนละเรื่อง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็เพื่อปกป้องผู้คนจากสิ่งช่วยร้ายที่มองเห็นและไม่อาจมองเห็นได้ ศึกทางเหนือยิ่งรุนแรงขึ้น จนเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่าดินแดนเชลจะแตกพ่ายเมื่อใด
“ลีกหน่อย เจ้าพวกเด็กใหม่”
อยู่ๆประตูอารามก็เปิดออก พร้อมกับที่นักพรตกลุ่มใหญ่ได้ควบม้า เข้ามาในลานกว้างที่เต็มไปด้วยพรตฝึกหัดที่กำลังดูผลสอบ เหล่าฝูงชนในลานกว้างต่างต้องวิ่งหลบออกเปิดทางให้โกลาหล
“พวกที่สอบผ่านจงก้าวมาข้างหน้า”
นักพรตกลุ่มหลักที่เพิ่งกลับมาจากทางเหนือร้องตะโกนสั่งลั่น การมาเยือนครั้งนี้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายในลานกว้างเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกที่ยังเรียนในอาคารต่างต้องออกมายืนดูผู้มาเยือนด้วยความตื่นตระหนก ต่างส่งเสียงพูดคุยดังลั่น กล่าวถึงกลุ่มนักพรตสายพิฆาตความมืดกลุ่มหลักที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นตำนาน อาร์กัสจำนักพรตในชุดน้ำตาลเข้มทั้ง 7 คนได้ พวกนั้นคือกลุ่มคนที่พาเขามาจากหมู่บ้านทางตอนเหนือของดินแดนเชล แต่อีกคนที่เคยไว้ชีวิตเขานั้น กลับไม่ได้อยู่ด้วย
เขาหายไปไหน!
อาร์กัสเริ่มใจคอไม่ดี แล้วรีบวิ่งออกไปรวมกลุ่มกับพวกที่สอบผ่าน จนพวกลอเรนโซยังนึกแปลกใจ แต่ก็รีบตามไปรวมกลุ่มเช่นกัน
“เจ้าสอบผ่านได้จริงๆเหรอ น่าตกใจนัก อาร์กัสเจ้าเด็กขัดพื้น”
พรตหนึ่งใน 7 คนนั้น เอ่ยทักเขาจากบนหลังม้า ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็จำได้ทันที ชายผู้นั้นคือนักพรตที่เคยถือคบเพลิงวิ่งออกมาตามเขาให้ไปสัมภาษณ์ และยังเป็นหนึ่งในแปดนักพรตที่ช่วยชีวิตเขาจากการโจมตีของนักรบเจตภูตเมื่อ 10 ปีก่อน
“ขอรับ เพราะข้าโชคดี ได้สหายสองคนนั้น ช่วยเหลือมาตลอด”
อาร์กัสว่าแล้วชี้ไปที่พวกลอเรนโซซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
“หืม? ชาวลอร์แซมเบิร์ก กับ ซิลเทียเรส มหาแพทย์กับยอดนักรบ มีเพื่อนไม่เลวนี่ ”
พรตผู้นั้นว่า ก่อนที่ลอเรนโซจะเอ่ยตอบกลับไป
“พวกข้ายังไม่ถึงระดับนั้น”
“งั้นหรอกเหรอ แต่ข้าขอบอกไว้ว่าต้องเป็นให้ได้ถึงระดับนั้น ทั้งพวกเจ้าทุกคนด้วย”
พรตนั้นกวาดตามองนักพรตฝึกหัดที่สอบผ่านจำนวนยี่สิบคน พลางชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง
“หาไม่แล้วอย่าได้หวังว่า จะมีปัญญารักษาชีวิตรอดกลับมาจากทางเหนือได้ บัดนี้พวกเจ้าได้เลือกก้าวเท้าเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายแล้ว หากใครอยากถอนตัวก็ยังทัน!”
น้ำเสียงหนักแน่นของพรตสายพิฆาตความมืดรุ่นพี่ ฟังดูรู้สึกดุดันทรงพลัง จนหลายคนในนั้นสะดุ้ง
บุรุษทั้ง 7 สวมชุดคลุมของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ แต่ภายใต้ชุดคลุมนั้นยังมีเกราะอ่อนสวมไว้ ยุทธพันธ์อาวุธครบมือ แม้แต่ม้าก็ยังสวมเกราะ มองดูเผินๆแล้วก็คล้ายๆกับพวกอัศวิน
“พวกเจ้ามีโอกาสถอนตัว แล้วถอดเครื่องแบบกลับไปขุดหลุมฝังศพตนเองที่บ้านไว้รอท่าซะ เพราะต่อให้หนีอย่างไร หากสงครามคราวนี้ไม่มีใครคิดอยากจะสู้ มีแต่พลเมืองขลาดเขลา ก็อย่างหวังว่าจะมีมนุษย์ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”
ทั้งลานกว้างเงียบสนิท หลายคนที่กำลังนึกดีใจเมื่อสอบไม่ผ่านกำลังทำหน้าซีดก้มมองพื้นเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ และยังมีอีกมากที่คิดจะลาออกเพราะความหวาดกลัว แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าถอดเสื้อคลุมแล้วลาออกไปจริงๆ พวกเขามีแต่ต้องสู้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องถูกไล่ล่าจนตายเช่นกัน
“ท่านขอรับ แล้วพวกท่านอีกคนหนึ่ง เขา.......”
อาร์กัสตัดสินใจถามนักพรตรุ่นพี่ คนที่เคยถือคบเพลิงมาไล่เขาไปสัมภาษณ์ ด้วยท่าทีร้อนรน
“เจ้าหมายถึงหัวหน้าพวกเราใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ”
“แย่หน่อยนะ หัวหน้าของเราเขาจากไปแล้ว......”
คนฟังได้ยินดังนั้นถึงกับยืนค้างนิ่ง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจหรือว่าบุรุษผู้เป็นตำนาน จะตายในสงครามไปแล้ว !
“ทั้งที่มหาวิหารซางตานีโออยู่ใกล้แค่นี้ จะรีบไปอะไรนักหนา เจ้าบ้านั่น ”
อยู่ๆ นักพรตอีกคนก็บ่นขึ้นมา ความโศกเศร้าที่แทบทำให้ใครบางคนเกือบจะร้องให้โฮตรงนั้น ถึงกับหายไปฉับพลัน
“มาคัส! เจ้าอย่าไปแกล้งเด็กมันสิ ให้ตายเถอะ”
สหายของมาคัสร้องด่า พลางถอนหายใจ
“ข้าแค่แก้แค้น เรื่องที่มันทำให้ข้าถูกอาร์คบิชอปต่อว่า แล้วต้องวิ่งขึ้นลงอารามกลางดึกตามตัวมาสัมภาษณ์ตั้งแต่ในวันรับสมัครนักพรตฝึกหัดนั่น แค่นี้ยังน้อยไป”
พรตมาคัสเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะชอบใจ ในขณะที่คนถูกหลอกได้แต่กัดฟันกรอดๆด้วยความโมโห ดาร์ค บริสตั้น คนนั้นไม่มีทางตายง่ายๆหรอก บุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดและเก่งกาจที่สุดในความคิดของเขานั้น แค่รีบไปส่งรายงานยังมหาวิหารซางตานีโอเท่านั้นเอง กองกำลังรบพิเศษของอาร์คบิชอปกาเบรียล กลุ่มหลักที่ทำให้คณะนักบวชในนครเล็กๆโด่งดัง มีเพียงกลุ่มนี้เท่านั้นที่ปลอดภัยกลับมาจากทางเหนือครั้งแล้วครั้งเล่า หากยังอยากรอดชีวิตละก็ ต้องอยู่ในระดับเดียวกับพวกนั้นให้ได้
คาอินทำสีหน้าเครียดเมื่อระดับความสามารถของพวกเขานั้นยังต่างจากพวกกลุ่มหลักอย่างลิบลับ หากยังอยากรอดชีวิตในศึกสงคราม หรือแม้แต่จะต่อสู้กับนักรบเจตภูตอย่างสมน้ำสมเนื้อ มีเพียงแต่ต้องเก่งขึ้น เก่งขึ้น ให้ทัดเทียมกับพวกเขาไม่ก็มากกว่านั้น
“จุดประสงค์ที่พวกเรากลับมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อร่วมงาน ปฏิญาณตนครั้งแรกของพวกเจ้า จงรีบไปเตรียมตัว แล้วออกเดินทางไปมหาวิหาร ท่านกาเบรียลรอพวกเจ้าอยู่ รีบๆกันหน่อย นี่จะเป็นก้าวแรกของผู้พิฆาตความมืด”
ทั้งหมดรีบแยกย้ายไปแต่งตัวเสียใหม่ ก่อนจะรีบไปยังท่าเรือนอกอารามเพื่อเดินทางไปยังตัวเมืองซางตานีโอ นักพรตฝึกหัดทั้ง 20 คนอยู่ในภาวะกดดัน แต่อีกใจหนึ่งก็เต็มไปด้วยความยินดีระคนตื่นเต้น เมื่อพวกเขาจะได้เป็นนักพรตเต็มตัวในวันนี้เอง
“อาร์กัส! เจ้าเป็นอะไรไป”
ลอเรนโซถามด้วยความตกใจ เมื่อทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากบริเวณอารามพ้นหลักศิลาแสดงอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าอาร์กัสหยุดเดินแล้วยืนค้างนิ่งกับที่ เอาแต่จ้องมองไปทางเหนือด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“เห็นเด็กน้อยคนนั้นอีกแล้วเหรอไง”
แต่ราวกับไม่มีเสียงใดไปถึงหูของสหายผมทอง เพราะพรตอาร์กัสเอาแต่ยืนเงียบเบิกตากว้างมองไปเบื้องหน้า ด้วยความตกใจสุดขีดกับอะไรบางอย่าง จนไม่อาจก้าวเท้าเดินต่อไปไหว มันเป็นความหวาดกลัวในระดับที่ทำให้ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน แต่กระนั้นก็ยังยกมือสั่นเทาชี้ไปเบื้องหน้า ลอเรนโซกับคาอินจึงค่อยๆมองไปยังทิศทางเดียวกันกับที่อาร์กัสชี้ไป พวกเขาไม่ได้เห็นเด็กน้อยลากรถของเล่น ไม่ได้เห็นภูตผีปีศาจ แต่สิ่งที่เห็นนั้นทำให้นักพรตฝึกหัดทั้งกลุ่มพากันหยุดขยับเขยื้อนกะทันหัน
“! นั่นอะไรเนี่ย”
หลายคนเริ่มร้องลั่น บางคนเริ่มร้องให้ และอีกหลายคนทิ้งตัวเองนั่งแหมะกับพื้น เมื่อเห็นบางอย่างปรากฏบนท้องฟ้า
“นรก นรก! นั่นนรกใช่มั้ย”
ในทันทีที่พ้นร่มเงาของหมู่เมฆไม้ในป่าทึบของอารามนักพรต ซึ่งพวกเขาใช้เวลาถึง5 ปีศึกษาเล่าเรียนไม่ได้ออกไปไหน เมื่อไร้ซึ่งเมฆไม้บดบัง ท้องฟ้ากว้างก็เปิดโล่ง ท้องฟ้าสีฟ้า อากาศบริสุทธิ์ ที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตาเมื่อห้าปีก่อน บัดนี้ไม่เหลืออีกแล้ว ศึกทางเหนือที่อยู่ไกลลิบ เคยคิดเสมอว่ามันห่างไกลจนไม่น่าจะคืบคลานมาถึงเมืองเล็กๆอย่างซางตานีโอ ทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือภัยร้ายที่เริ่มแผ่เข้ามาจนรับรู้ได้ด้วยตา
เมฆสีดำทมิฬปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศเหนือในดินแดนอันไกลลิบนั้น สามารถมองเห็นได้แม้จะยืนอยู่ในซางตานีโอ เมฆดำทมิฬพร้อมแสงจากฟ้าแลบแปลบๆสีแดงฉาน ทั้งเสียงฟ้าร้องคำรามแว่วมาข่มขวัญ สายลมเหม็นคลุ้งคาวเลือดพัดโหมกระหน่ำเข้ามาในทันที อากาศแสบร้อนจนรู้สึกเหมือนผิวหนังจะไหม้ได้ พิษร้ายที่ทำให้ผู้คนล้มตาย พร้อมกับภัยพิบัติ และสงคราม บรรยากาศเลวร้ายนั้นมาพร้อมกับความรู้สึกหวาดกลัว จนเลือดในกายของพวกเขาเริ่มเย็นแข็งไปหมด
“ความรู้สึกกดดัน และหวาดกลัวขนาดนี้คืออะไรกันแน่ พวกมันเป็นใครกัน”
แม้แต่ลอเรนโซก็เริ่มตัวสั่นเทาอย่างไร้สาเหตุ บางสิ่งบางอย่างจากส่วนลึกของจิตใจกำลังร้องเตือนเขา อันตรายจากเบื้องหน้านั้น ต้องหนี ต้องหนีไปให้ไกล
“ปีศาจยังไงละ นี่แหละความรู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจ”
คาอินเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองอาร์กัสที่ยังจ้องไปเบื้องหน้าอยู่เช่นนั้น ดวงตาสีฟ้ายังเบิกโพลงราวกับว่าเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ จนพวกคาอินต้องไปเขย่าแรงๆ
“เฮ้ย! ตื่นสิเว้ย ไอ้ห่วย”
คาอินร้องพร้อมกับชกหน้าไปเต็มแรง จนเมื่อโดนหมัดหนักๆนั้นไป อาร์กัสก็ค่อยๆลืมตาอีกครั้ง เนื้อตัวสั่นสะท้าน พร้อมพยายามขยับปากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ไหว เพราะฟันของเขานั้นกระทบกันกึกกัก ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวเหลือแสน
“ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆหายใจลึกๆ”
ลอเรนโซบอกเบาๆ แม้เขาเองจะยังไม่หายหวาดผวา แต่ก็สามารถเก็บอาการหวาดกลัวได้บ้าง อาร์กัสค่อยๆสงบจิตใจลงก่อนที่จะขยับลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
“บอกมาสิว่าเจ้าเห็นอะไร”ลอเรนโซถามทันที
“ข้าเห็นพวกทางเหนือนั่น พวกมันมีมากมายนัก ทุกอย่างดำสนิท”
“พอจะประมาณกำลังพลได้มั้ย”อยู่ๆคาอินก็ถามขึ้น
“ไม่ พวกมันมากมายจนประมาณไม่ได้ ไม่รู้กี่แสน ไม่รู้กี่พันล้าน มากมายจนข้านับไม่ได้จริงๆ”
อาร์กัสตอบพลางหันไปมองนักพรตทั้ง 7 ในใจของอาร์กัสกำลังหวาดกลัว นักรบที่เก่งกาจที่สุดมีอยู่แค่นี้โอกาสที่จะชนะแทบไม่เห็น นักรบที่ส่งไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างแพ้พ่าย ล้มตายเหลือเพียงชิ้นส่วนของร่างกายบางชิ้นเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมาได้
“ข้าขอถามอีกเรื่อง เจ้าเห็นแม่ทัพฝ่ายนั้นหรือไม่”
พอสิ้นคำถามของลอเรนโซ อาร์กัสก็หันไปทางเหนืออีกครั้ง ดวงตาของเขามองเห็นผู้มาจากความมืดได้อย่างชัดเจน
“เห็นสิ ผู้นำทัพจากทางเหนือคือ 7 ขุนพลปีศาจ”
สิ้นคำตอบคนถามก็ได้แต่สูดลมหายใจลึกๆ แล้วยิ้มบิดเบี้ยวออกมา หากเรื่องที่ว่านั้นเป็นความจริงพวกเขาคงไม่มีวันชนะ
“เร็วสิเจ้าพวกเด็กบ้า! เจอแค่นี้ก็ทำเป็นปอดแหกแล้วเหรอ เลิกมองไปทางเหนือแล้วมองไปข้างหน้าโน่น”
พวกรุ่นพี่บนหลังม้า ต้องตะโกนเรียกจากอีกฝั่งของสะพาน เมื่อนักพรตฝึกหัดที่กำลังเดินทางไปปฏิญาณตนเป็นนักพรตเต็มขั้น อยู่ๆทั้ง 20 คนก็เลิกเดินตาม พากันทรุดลงพื้น แตกตื่นกับภัยสงคราม บางคนเริ่มร้องให้ และอีกหลายคนตัวสั่นจนเดินไปต่อไม่ไหว
“น่าสมเพช” หนึ่งในพรตทั้ง 7 กล่าวออกมาอย่างดูแคลน
“หากไม่มีอารามนี้คุ้มกะลาหัว พวกเจ้าอยากรู้มั้ยละ ว่าพวกเจ้าจะเจอสิ่งใด”
สิ้นคำพรตนั้นก็ควบม้าไล่ทันที พรตฝึกหัดทั้งยี่สิบคนต่างวิ่งกันหน้าตาตื่น ทั้งหมดข้ามสะพานหินอย่างรวดเร็วจนมาถึงพวกรุ่นพี่อีก6 คนที่กำลังรออย่างเหนื่อยใจ
และทันใดนั้นเองเมื่อวิ่งกันมาพ้นสะพานแล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นเบื้องหน้านั้นก็สุดจะเลวร้าย ผู้คนอพยพจำนวนมากต่างเดินทางมาจากทางเหนือ แต่ละคนผอมซีดอิดโรย บ้างก็ล้มตายระหว่างทาง ลำน้ำที่ไหลมาจากดินแดนเชลก็กลายเป็นสีดำ และเหม็นเน่าด้วยซากศพ ที่ลอยไหลมาตามแม่น้ำ สงครามที่เชลหนักขึ้นจนเกือบจะแพ้พ่ายอยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้น เจ็ดนครสุดท้ายก็ไม่เหลือซาก แล้วพวกเขาจะต้องไปทางไหนดีเพราะว่าไร้ทางให้หนีแล้ว
“จะเอายังไง หวาดกลัวจนหนีกลับไปบ้าน นั่งนับเวลารอความตาย หรือจะลุกขึ้นสู้ ข้าขอบอกไว้เลยว่า พวกเจ้าไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว จงจำใส่สมองน้อยนิดของพวกแกไว้ ”
พวกพรตฝึกหัดต่างมองสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความตกตะลึง อีกทั้งคำพูดของพรตรุ่นพี่ก็ทำให้แต่ละคนเริ่มออกเดินไปหน้าอีกครั้ง เพราะว่าไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว บัดนี้จะมีก็แต่ถ่วงเวลาไว้ ถ่วงเวลาให้มากที่สุดเพื่อให้มนุษย์ยังอยู่รอด ช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ไปอย่างปลอดภัยเพียงเสี้ยววินาที ต้องแลกด้วยชีวิตนักรบไม่รู้กี่ชีวิต อาร์กัสคิดถึงเรื่องราวในเชลเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากผู้มาจากความมืด ตอนที่พวกมันลงดาบสังหารเขา แผลที่อกเริ่มเจ็บแปลบขึ้นมาเรื่อยๆเมื่อสิ่งชั่วร้ายนั้นกำลังใกล้เข้ามาบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน
นักพรตฝึกหัดทั้งหมดออกเดินไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่า ต่างเดินตามหน่วยรบพิเศษของอาร์คบิชอปกาเบรียลไปยังท่าเรือ ผู้คนที่พลุกพล่านอยู่นั้น ต่างยอมเปิดทางให้ และหลายคนมองพวกเขาอย่างมีความหวัง แม้มันจะเป็นความหวังที่แสนริบหรี่เต็มที
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END /ความหวังที่แสนริบหรี่
ความคิดเห็น