ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #16 : ความหวังที่แสนริบหรี่

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 61


     

                   เค้าลางแห่งหายนะเริ่มปรากฏเด่นชัดจากดินแดนอันห่างไกล  นักพรตชั้นแนวหน้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าออกจากอารามไปแล้วก็แทบไม่มีใครได้กลับมาอีก  ทั้งคำร่ำลือต่างๆเกี่ยวกองทัพทมิฬจากทางเหนือ  จนแม้แต่เมืองซางตานีโอก็ยังไม่อาจนิ่งเฉยได้
     

                    “พวกนั้นไปอีกแล้วเหรอ  คราวนี้พวกปีสุดท้ายที่เพิ่งสอบผ่านหมาดๆเลยนะ!

    เหล่าพรตฝึกหัดออกันตรงระเบียง มองดูนักพรตรุ่นพี่ควบม้าจากไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า  บางคนก็ไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็มีหลายคนกลับมาได้ พร้อมกับคำบอกเล่าที่ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อ  เมื่อคู่ต่อสู้ที่พวกเขาต้องปะทะ คือเพื่อนพ้องและพวกนักรับฝ่ายเดียวกันที่เคยเสียชีวิตไปในสงครามแล้ว

                    “เขาว่าพวกนั้นต้องไปรบทางเหนือร่วมกับพวกอัศวิน  ถ้าเชลถูกตีแตกเมื่อไหร่ ซางตานีโอเล็กๆนี่ก็คงไม่รอดหรอก  เราจะรับมือไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้”
     

    เกิดความรู้สึกตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผ่านไปเพียงสี่ปีที่สงครามยังคงยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเห็นผู้คนอพยพลงมาเป็นอันมากจนศูนย์อพยพของเมืองซางตานีโอเริ่มรองรับไม่ไหวแล้ว

                    “ ฝีมือของพวกแนวหน้าร้ายกาจขนาดนั้น  ทำไมยังสู้กับพวกทางเหนือไม่ได้  ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไม่กี่ปีพวกเราคงตายหมดทั้งอารามแน่ๆ”
     

    หลายคนเริ่มหวาดกลัวจนลาออกไป  โดยเฉพาะพรตฝึกหัดที่เมื่อแรกเข้านั้นมีจำนานหลายร้อยคน แต่ผ่านไปสี่ปีกว่าๆ ก็เหลือเพียงไม่ถึงห้าสิบคนเท่านั้น การร่ำเรียนในขั้นฝึกหัดที่ยากเย็น อีกทั้งกฎระเบียบมากมาย  จนเริ่มทยอยลาออกกันตั้งแต่ปีแรกๆ  และเมื่อยิ่งเห็นการตายที่น่าสยดสยองของนักพรตรุ่นพี่  ที่บางคนพอสอบผ่านเป็นผู้พิฆาตความมืดเต็มตัวแล้วก็ต้องออกรบในทันที  ก่อนจะเหลือเพียงชิ้นส่วนของร่างกายถูกส่งหลับมายังอารามเท่านั้น  เหล่าเด็กหนุ่มได้แต่ตัวสั่นงันงกอยู่ในหอพัก  ด้วยกังวลว่าถ้าถึงช่วงเวลาคอขาดบาดตาย วิกฤตจริงๆพวกเขาเองก็ต้องถูกเรียกตัวไปสมรภูมิเช่นกัน

    “รุ่นพวกเรา  เผลอๆอาจเหลือไม่ถึง 20 คน ถ้าหากเป็นอย่างนี้”

    พรตฝึกหัดผู้มีเส้นผมสีเงินแปลกตาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางมองเพื่อนนักบวชรุ่นเดียวกันเก็บเสื้อผ้าข้าวของออกจากอาราม

                    “ก็ที่จริงโควตาเขาให้มาแค่ 20 คนเอง บางปีสอบผ่านเป็นสายพิฆาตความมืดจริงๆแค่สามสี่คนเท่านั้น เห็นอย่างนี้แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมต้องเอามาตรฐานสูง เรียนเป็นสิบๆปี”
     

    เพื่อนนักพรตอีกคนพูด  แล้วก้มมองเหล่ารุ่นพี่ ควบม้าออกไปจากประตูอาราม  ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนสำหรับพวกเขาแล้ว นักพรตชุดสีน้ำตาลที่ควบม้าผ่านหน้าไปดูสง่างามกว่าอัศวินเป็นไหนๆ   หลายคนเข้ามาเป็นนักพรตเพราะถูกเครื่องแบบหลอกตา  เพราะบัดนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าพวกที่ควบม้าจากไปนั้น แทบจะไม่มีใครได้รอดชีวิตกลับบ้าน

                    “นักรบแบบไหนกันนะ  ที่แม้แต่พวกแนวหน้าก็ยังแพ้พ่าย”

                    “ไม่รู้สิ ส่วนใหญ่พวกที่เห็นมักไม่รอดกลับมาหรอก  ถ้าอยากสืบนะ    ลองไปถามพวกที่หนีตายมาซางตานีโอ อย่างเจ้านั่นดู”

    นักพรตฝึกหัดคนนั้นบอกเพื่อนพลางชี้ไปทางพรตผมทองรุ่นเดียวกัน  ที่ยังคงถูพื้นตรงทางเดินใกล้ๆระเบียงเป็นปกติ  โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง  แต่ตาสีฟ้าคู่นั้นดูตื่นกลัวบางอย่าง จนเห็นได้อย่างชัดเจน
     

                    “นั่นคนดินแดนเชลติดสมรภูมิเลยนะ  บางทีถามเจ้านั่นอาจรู้อะไรก็ได้  เฮ้ย  !อาร์กัส
     

                    “นี่แนะคาอิน  อย่าไปถามอดีตของคนอื่นจะดีกว่า  หมอนั่นลี้ภัยสงครามมาตั้งแต่เล็ก   ได้ข่าวว่ากำพร้าเสียด้วย อย่าไปรื้อฟื้นความทรงจำแสนเศร้านั้นจะดีกว่า   เห็นทำหน้าสลดตลอดเวลา แถมดูหวาดกลัวอะไรสักอย่างนั่นอีก  เดี๋ยว!
     

    พูดยังไม่ทันขาดคำ  คาอินพรตหนุ่มผมสีดำสนิทก็เดินตรงไปหาพรตจากดินแดนเชลคนนั้นทันที  เรื่องที่อาร์กัสเด็กลี้ภัยจากเชลเมื่อเกือบสิบปีก่อน ได้สูญเสียครอบครัวและญาติพี่น้องทั้งหมดระหว่างเดินทางมาซางตานีโอ เพราะถูกโจนป่าลอกสังหาร  ส่วนตัวเขานั้นถูกดาบแทงที่อกแต่รอดชีวิตกลับมาได้  กลับเป็นเรื่องที่คนในอารามทุกคนรู้กัน   แม้เจ้าตัวจะได้แต่อึ้งเมื่อได้ยินเรื่องราวที่ถูกใครสักคนแต่งขึ้น  แต่เขาก็ได้แต่เออออไปด้วย เพราะจะให้ใครรู้ความจริงไม่ได้เด็ดขาด

    “อาร์กัส ! เจ้าต้องรู้อะไรแน่ๆ  พวกนักรบทางเหนือนั่น”

    พรตนั้นรีบพาอาร์กัสมาพบเพื่อนอีกคนที่แอบไปยืนรอในหอตำราเพียงลำพังแล้ว  ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากพวกเขาสามคน  พรตผมสีเงินชนชั้นสูงจากลอแซมเบิร์กกับพรตผมดำจากซิลเทียเรส จงใจจะสอบถามข้อมูลอย่างลับๆ 

                    “อย่ารู้เลยจะดีกว่า  ข้าไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น  เพราะบางทีพวกเจ้าจะพลอยลาออกไปด้วย”อาร์กัสว่า

                    “อย่าดูถูกชาวซิลเทียเรสอย่างข้ากับบุตรเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์กเชียวนะ อาร์กัสแห่งเชล  พวกเราไม่ได้ขี้ขลาดอย่างพวกไร้น้ำยานั่น”
     

    อาร์กัสค่อยๆเบิกตาค้าง เมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันที่สนิทด้วยที่สุด  จะเป็นถึงบุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์ก   เขารู้แค่เพียงว่า  ลอเรนโซ   ผู้มีผมสีเงินและนิสัยเย่อหยิ่งแบบชนชั้นสูง ที่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนมาสมัครเป็นนักพรตนั่น  จะกลายมาเป็นเพื่อนคนสำคัญที่ช่วยสอนไวยกรณ์ภาษาลาตินโบราณให้ 

    “พวกมันคือ นักรบเจตภูต    ข้ารู้เพียงเท่านี้   คนในเชลเรียกพวกที่ขี่ม้าดำปลอดมาจากทางเหนือว่าอย่างนั้น”อาร์กัสตอบ

    “เจตภูตเป็นแค่จิตชั่วไร้รูปร่าง  แม้มันจะเข้าสิงมนุษย์ได้ แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่า พวกมันจะร้ายกาจถึงกับสังหารพวกพรตชั้นแนวหน้าของอารามเราได้อย่างนั้น  มันน่าแปลกเกินไป”

    ลอเรนโซเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด ส่วนคาอินได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าขนลุกขนพอง  แล้วเล่าว่าในซิลเทียเรสก็เคยมีตำนานเกี่ยวกับนักรบเจตภูตนี้เช่นกัน

    “พวกมันฆ่าไม่ตาย  พวกมันร้ายกาจ   พวกมันลุกขึ้นมาจากหลุมศพ”

    ทั้งหมดหันมามองหน้าคาอินทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเสียงสั่นเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านแห่งเมืองซิลเทียเรส  กล่าวถึงเจตภูตปีศาจในสมัยโบราณที่ลุกขึ้นมาจากหลุมศพ
     

    “ตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่  อาร์กัส  โอ้ยยให้ตายสิ  อย่าบอกนะว่าถ้าสงครามยังไม่สงบ  พอเราสอบผ่านก็ต้องไปสู้กับพวกมันเลยสิเนี่ย ตายโหงชัดๆ”

     

    คาอินนั่งตัวสั่นแล้วร้องโว้ยวายถึงสิ่งที่พวกเขาต้องรับมือในอนาคต  มันทำให้ลอเรนโซหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นคนที่ไม่เคยกลัวสิ่งใดอย่างคาอิน ถึงกับหน้าซีดตัวสั่น แล้วเริ่มจะเปลี่ยนใจอยากเก็บข้าวของหนีไปจากอารามเช่นเดียวกับคนอื่นๆ  แต่ว่าพรตชาวซิลเทียเรสคนนั้นก็ไม่คิดจะทำจริงๆ  เพราะต่อให้ลาออกจากการเป็นพรต หรือให้หนีอย่างไรก็ไม่แน่ว่าเขาจะรอดปลอดภัย  สำหรับเขานั้นขอสู้แล้วตาย ดีกว่าวิ่งหนีแล้วถูกไล่ล่าจนสิ้นชีพเสียชื่อชาวซิลเทียเรส เมืองแห่งนักรบ

                    “อืม....น่าจะเหมือนตำนานนั้น” 

    อาร์กัสว่าแล้วทำหน้าลำบากใจ  แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังถูกจับตามองอยู่  หากเขาพูดอะไรผิดสังเกตหรือส่อพิรุธออกไป ผู้คุมกฎสองคนที่ซุ่มดูอยู่นั้นคงไม่เอาเขาไว้   

                    “ช่างเรื่องเจตภูตนั่นก่อนเถอะ  !  ตอนนี้พวกเรายังมีเรื่องแย่กว่าเรื่องผีจากทางเหนือเสียอีก   อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าลืมเรื่องสอบไปหมดแล้ว"

    อยู่ๆลอเรนโซก็เปลี่ยนเรื่องกระทันหัน แล้วยื่นตารางสอบให้เพื่อนทั้งสองคน อาร์กัสกับคาอินยิ่งหน้าซีดเผือกเข้าไปอีก   เพราะเรื่องการสอบเป็นนักพรตมันก็คือข่าวร้าย  พอๆกับเรื่องสงครามทางเหนือ ความจริงแล้วพวกเขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเพราะตอนนี้ แค่เป็นนักพรตก็ยังเป็นไม่ได้  อย่าว่าแต่การไปรบในสงความทางเหนือเลย  เพราะสำหรับพวกเขา  แค่การสอบก็อาจจะเอาตัวไม่รอด!

                        "แล้วจะให้ข้าทำไง! สอบอาทิตย์หน้าเองนะเฮ่ย อย่างนี้ได้อับอายกลับซิลเทียเรสแน่"

    คาอินร้องโวยวาย

                        "ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น  ถ้าเจ้าไม่รีบอ่านหนังสือทบทวนตั้งแต่ตอนนี้"

    ลอเรนโซเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแล้วเดินออกไปนั่งตรงเก้าอี้สำหรับอ่านตำรา   เขาเลือกที่นั่งมุมสุดเพื่อที่จะหยิบจับหนังสือต่างๆได้ง่ายและไม่มีใครรบกวน  หอตำราของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอดูกว้างใหญ่ขึ้นมากเมื่อไม่มีผู้ใดมาใช้บริการ  ทั้งที่ช่วงใกล้สอบปีก่อนๆ จะมีผู้ใช้จำนวนมาก จนแทบไม่มีที่นั่ง แต่สำหรับปีนี้กลับเงียบเหงา  เนื่องจากเหล่านักพรตฝึกหัดกำลังตื่นกลัวกับศึกสงครามมากกว่าที่จะตั้งสติมาอ่านหนังสือเตรียมสอบในหอตำราได้  

                   "เข้าใจละ งั้นอ่านก็อ่าน"

    คาอินว่า เขากับอาร์กัสรีบตรงดิ่ง ไปนั่งใกล้ๆกับลอเรนโซ  ทั้งสามคนนำตาราออกมากางบนโต๊ะ และเริ่มทบทวนสิ่งต่างๆที่เคยร่ำเรียนไป

                    “อาร์กัส เจ้าต้องจำพวกนี้ให้หมด”

     ลอเรนโซยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้อาร์กัส  

                    “ตำรารวบรวมกล่องกักปีศาจในตำนาน เจ้าควรรู้ไว้  ปีที่แล้วก็ออกเรื่องนี้หลายข้อ”

    อาร์กัสรับหนังสือจากมือของลอเรนโซ  แล้วค่อยๆเปิดหนังสืออ่านดูตามคำแนะนำ ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นข้อความบางอย่างถูกเขียนหวัดๆใส่กระดาษสมุดที่ถูกฉีกสอดเอาไว้ภายในหนังสือเก่าๆเล่มนั้น

                    “เจ้าหวาดกลัวสิ่งใดกันแน่  อาร์กัส”

    อาร์กัสตกใจที่เห็นข้อความนั้น เขาค่อยๆเงยหน้ามองสหายผมเงินด้วยความตกใจ

                    “นั่นนะ คือข้อสอบสำคัญที่เคยออกมาแล้ว ลองหาคำตอบแล้วส่งมาให้ข้า”

    ลอเรนโซบอกเสียงเรียบแล้วทำเป็นก้มหน้าอ่านตำราต่อ   แต่บัดนี้อาร์กัสรู้แล้วว่า บุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์กเริ่มสงสัยบางอย่างในตัวเขา  ซ้ำยังรู้สึกตัวแล้วว่าพวกเขาทั้งสามกำลังถูกจับตามองโดยผู้คุมกฏจากระยะไกล

                    “ข้าเปล่า”

    อาร์กัสเขียนคำตอบยื่นให้ลอเรนโซ   ทั้งคู่ทำเป็นติวหนังสือด้วยท่าทีปกติ   แอบสื่อสารกันได้อย่างแนบเนียน จนแม้แต่คาอินที่นั่งอ่านหนังสือใกล้ๆก็ยังไม่รู้

                    “ไม่ ! เจ้าต้องเห็นอะไรแน่ๆ  เจ้ามองไปตรงทางเดินเมื่อครู่นี้เหมือนตื่นกลัวบางอย่าง  ที่จริงแล้วข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ตั้งแต่เข้ามาปีแรกแล้ว อารามนี้มีอะไรกันแน่!”

    ลอเรนโซเขียนข้อความตอบกลับอย่างรีบเร่ง

                    “ช่างมันเถอะ  ข้าอาจตาฝ้าฟางไปเอง”

                    “ตาฝ้าฟางงั้นเหรอ  แล้วเจ้าที่ตาฝ้าฟาง เห็นอากาศทาตุเป็นสิ่งใด  จงบอกข้ามาตามตรง ”

    อาร์กัสถอนหายใจออกมาทันที  เมื่อรู้ว่าความแตกอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งที่พยายามปิดมาตลอด  แต่ก็ไม่อาจรอดสายตาของลอเรนโซไปได้  

         ความจริงแล้วเขายังมองเห็นเด็กชายคนนั้น  วิ่งเล่นไปทั่วอาราม  ยังคงลากรถของเล่นดังครืดๆทุกค่ำคืนโดยที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเขา   แม้เด็กน้อยจะเข้ามาทักทายอาร์กัส  แต่เขาก็ไม่กล้าพูดกับเด็กนั้น  เขาไม่กล้าทำสิ่งใดก็ตามที่ดูผิดปกติออกไป  เพราะสองผู้คุมกฎยังเฝ้ามองเขาตลอดเวลา   จึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น จนในที่สุดเจ้าหนูก็เลิกมายุ่งวุ่นวาย  แต่ความหวาดกลัวในใจลึกๆนั้น สหายผมเงินก็ยังมองออกจนได้

                    “ข้าเห็นเด็ก..... ที่ดูเหมือนเพิ่งหัดเดิน  วิ่งเล่นไปทั่วอาราม ”

    คำตอบที่ถูกเขียนกลับมานั้น  ลอเรนโซถึงกับตกใจเล็กน้อย  เขาไม่เคยเห็นเด็กอย่างที่เพื่อนตรงหน้าเห็นในอารามแม้แต่ครั้งเดียว  ความจริงแล้วก็ไม่มีเด็กวัยประมาณหัดเดินอยู่ในอารามนี้  พรตหนุ่มผมสีเงินจึงค่อยๆขยับยิ้มแล้วมองหน้าเพื่อนที่ยังหันหลอกแหลก  กวาดตามองทั่วห้องด้วยความหวาดกลัว

                    “คาอิน  เจ้าเคยได้ยินเรื่องผีในอารามนี้มาบ้างหรือไม่”

    อยู่ๆลอเรนโซก็ถามคาอินเรื่องผี  จนอาร์กัสสะดุ้งเมื่อได้ยิน  เขาทำตาเหลือกมองลอเรนโซ

                    “ผี ? เอ้อ เคยได้ยินพวกรุ่นพี่เล่าให้ฟังอยู่บ้าง  ก็อารามนี้ มันเคยเป็นป้อมปราการของซางตานีโอมาก่อน  พวกอัศวินตายเกลื่อนเป็นหมื่นๆเชียว  เรื่องผีนี่เล่ากันสิบวันสิบคืนก็ไม่จบหรอก  เจ้านั่นแหละอยู่ๆถามทำไม ลอเรนโซ”

    คาอินผู้มีความหวาดกลัวเรื่อง “ผี” มาตั้งแต่วัยเยาว์ กลับเป็นคนที่สนใจและค้นคว้าเรื่องผีอย่างจริงจัง  ในตู้เก็บเสื้อผ้าของชายผู้นี้มีหนังสือเกี่ยวกับผีสาง มากกว่าตำราเรียนเป็นไหนๆ อีกทั้งยังมักจะชอบฟังประสบการณ์เรื่องผี จากผู้อื่น ทั้งที่ตัวเองก็กลัวจนแทบจะเป็นบ้า  รวมทั้งเรื่องที่สหายผมเงินกำลังเล่านั้นทำให้คาอินทำตาเหลือกด้วยความตกใจ

                    “ข้าฝันเห็น และดูเหมือนมันจะติดตา จนในตอนนี้ข้าเห็นเด็กชายแก้ผ้า วิ่งไปมาจนทั่วอารามนะสิ”

    ลอเรนโซเอ่ยเสียงเรียบ

                    “เฮ้ย! จริงเรอะ!คาอินร้องลั่น

                    “ใช่ ตอนนี้ เจ้าหนูนั่นเกาะที่หลังของเจ้าไงคาอิน”

    บุรุษผู้กล้าจากซิลเทียเรสเริ่มร้องลั่นเมื่อได้ยินสหายผมเงินกล่าวเช่นนั้น  ข้อเสียร้ายกาจที่สุดของชายผู้ห้าวหาญไม่กลัวสิ่งใด  กล้าลุยรบประมือกับศัตรูอย่างองอาจ  กลับเป็นผู้ที่หวาดกลัวภูตผีปีศาจอย่างมาก  เขาเริ่มตัวสั่นแล้วมานั่งเบียดอาร์กัส ที่สะดุ้งตามเช่นกัน 

                    “เจ้าบ้า ลอเรนโซ บอกไว้เลยวันนี้ข้าจะอัดเจ้าแน่  อาร์กัส เจ้าเห็นเด็กบนหลังข้ามั้ย”

    พรตผมดำหน้าซีด ถามอาร์กัส ที่ยังตกใจกับเรื่องโกหกของลอเรนโซ  แต่นั่นก็ทำให้เขาเริ่มหัวเราะออกมา เมื่อรู้ว่าคาอินที่ห้าวหาญนั้น มีจุดอ่อนสำคัญคือกลัวผี   และเหตุผลที่เขามาเป็นนักพรตก็คือเพื่อกำจัดความกลัวออกไปจากใจ

                    “ไม่เห็น”

    อาร์กัสตอบจริงจัง เพราะเขาก็ไม่เห็นเด็กชายตัวน้อยคนนั้นจริงๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา โดยชายผมเงินที่พยายามทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกเบาสมอง และใครๆก็เป็นได้

                    “บางที นั่นอาจเป็นพวกวิญญาณผู้ล่วงลับ ที่เลือกปรากฏให้เห็นเฉพาะบุคคลก็ได้นะ  ที่อารามนี้เก่ามาก  พวกรุ่นพี่เล่าให้ฟังบ่อยๆเรื่องวิญญาณในอาราม”

    คาอินเล่าก่อนจะ ร้องด่าสหายผมเงินที่หาเรื่องมาลั่นแกล้ง อาร์กัสมองพวกเขาตาปริบๆ  แม้คำตอบที่ได้มาจากลอเรนโซ จะอธิบายว่าเขาคิดมากไปเอง  หรือไม่อย่างนั้นเด็กน้อยที่เขาเห็นก็คงเป็นวิญญาณผู้ล่วงลับอย่างที่เขาลือกันก็เป็นได้

                    อาร์กัสค่อยๆยิ้มออกมา และอยากให้สิ่งที่เขาเห็นเป็นแค่ความฟุ้งซ่านเท่านั้นจริงๆ  เพราะในใจลึกๆแล้ว เขารู้สึกได้ว่า เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ปีศาจ หรือเป็นแค่มโนภาพ  

                    “เฮ้ย อาร์กัส  เจ้ากลัวผีเหมือนข้าใช่มั้ย”

    คาอินร้องถามเมื่อเห็นอาร์กัสเงียบไปนาน

                    “บางทีถ้าข้าเห็นก็คงกลัวเหมือกัน”

    อาร์กัสตอบกลับแล้วเสแสร้งหัวเราะ เพราะว่าผีที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเขาเอง     ตัวเขาที่กำลังกลายเป็นผีร้าย

                    “หยุดใส่ใจเรื่องผีสางเสียที  หากไม่รีบอ่านตำหรับตำรา  พวกเจ้าได้สอบตกกันจริงๆแน่"

    ลอเรนโซเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย  แต่กระนั้นเขาก็เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้  คนหัวขี้เลื่อยทั้งสองคนหันมาหยิบจับตำราอ่านอย่างจริงจังตลอดระยะเวลาห้าปีเต็ม 

    อาร์กัสหยิบหนังสืออีกเล่มมาอ่านต่อ ก็เห็นข้อความที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษสมุดอีกแผ่นสอดเอาไว้  ลอเรนโซเขียนบางอย่างถึงเขาอีกครั้ง  และนั่นเป็นข้อความที่ทำให้อาร์กัสหน้าถอดสี  เขาไม่อยากให้สหายสองคนนั้นต้องมาติดร่างแหไปด้วย

    “ผู้คุมกฎสองคนนั่นจับตามองเจ้าทำไมอาร์กัส     ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ถ้าหากสองคนนั่นลงมือฆ่าเจ้าเมื่อไร พวกเราจะรับมืออย่างสุดกำลัง  ถ้าต้องปะทะรับรองว่าไม่มีวันออมมือเด็ดขาด!”

                    อาร์กัสเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนพ้องสองคนที่ยังนั่งอ่านหนังสือเป็นปกติ แล้วยิ้มเหยียดออกมา  สำหรับพวกเขาแล้ว  แม้จะบอกความจริงก็ไม่เป็นไร  ใช่คงไม่เป็นไร  คิดแล้วก็รีบเขียนข้อความยื่นให้ทั้งสอง  แม้ปากจะบอกว่าช่วยตรวจทานคำตอบให้ที  แต่ข้อความนั้นกลับเขียนไปคนละเรื่อง

                    อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเสียดีกว่า  พวกเจ้ารู้หรือไม่  ว่าข้าเป็นอะไร  เพราะอีกไม่นาน  ข้าอาจต้องกลายเป็นเหมือนนักรบเจตภูตอย่างพวกทางเหนือนั่น”

    สหายทั้งสองหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นข้อความนั้น   ลอเรนโซร้องสบถออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน  ส่วนคาอินทำปากกาขนนกร่วงจากมือ ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก 

                    “ ขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า ข้าไม่ได้ถูกโจนป่าทำร้ายหรอก  แต่เป็นนักรบเจตภูตที่ใช้ดาบแทงเข้ากลางหัวใจ  ข้าควรตายไปนานแล้ว แม้ใครบางคนจะพยายามช่วยข้า   ถึงคำสาปจะจางหายไป   แต่.....ข้า  ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องกลายเป็นผีร้าย สักวันข้าอาจเป็นภัย  ต่อพวกเจ้า และต่ออารามนี้” 

               ผู้คุมกฎพวกนั้นแค่เฝ้ามอง หากเขามีแนวโน้มจะเป็นอันตรายก็จะถูกกำจัดในทันที 

                    “เป็นข้อสอบที่ยากเอาเรื่องนะ  แต่ของแค่นี้ห่วยไปสำหรับข้าหรอก”

    ลอเรนโซเอ่ยขึ้นหลังจากสบถหลุดคำหยาบออกไปด้วยความตกใจ  พอเรียกสติคืนมาได้ก็รีบแสดงสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะพูดเกี่ยวกับข้อสอบหน้าตาเฉย  แต่คำพูดนั้นเพียงต้องการบอกว่า  "แม้จะเป็นเรื่องที่ยอมรับยาก  แต่เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา"  ส่วนคาอินที่กลัวเจตภูตจนขึ้นสมองนั้น พอหายตกใจก็หัวเราะลั่น ก่อนจะตอบกลับมาว่า

                    “ข้อสอบที่เจ้าเอามาให้ดูนี่ ห่วยแตกจริงๆ  สมกับที่เป็นไอ้พรตห่วย น้ำหน้าอย่างเจ้าจะเป็นอะไรได้  นอกจาก พรตห่วยๆ  ”

                    คาอินว่าออกมาบ้าง   ส่วนผู้ที่โดนด่าว่า"พรตห่วย"ได้แต่มองสหายตาปริบๆ  สองคนนั้นไม่มีท่าทีต่างจากเดิม หรือพยายามจะฆ่าเขาเหมือนคนอื่นๆ  และยังเขียนซ้ำเติมมาอีกว่า  น้ำหน้าอย่างเขา ไม่มีทางเป็นอะไรได้นอกจากเป็นพรตโง่ๆ

                    “หยุดคิดข้อสอบห่วยๆ แล้วมาอ่านหนังสือแก้ห่วยเถอะ  อากัสแห่งเชล เจ้าจะตกไม่ได้เชียวนะ” 

    คำหยอกล้อแบบดูแคลนของลอเรนโซนั้นทำให้อาร์กัสยิ้มออกมา  เมื่อก่อนเขาไม่เคยถูกชะตากับชายคนนี้เลย แต่พอรู้จักกันจริงๆแล้ว คำพูดดูแคลนคือคำให้กำลังใจรูปแบบหนึ่งของบุตรชายเจ้าเมืองผู้เย่อหยิ่ง พวกเขามีเวลาไม่กี่วันเท่านั้น  ในการเตรียมตัวเพื่อเป็นนักพรตอย่างแท้จริง

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     

                       แล้ววันเวลาแห่งการสอบนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไม่อยากสอบเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าถึงเวลาสอบเร็วขึ้นเท่านั้น นักพรตฝึกหัดที่เหลือประมาณ 50 คน มาเข้าสอบกันตั้งแต่เช้าตรู่ และเมื่อผ่านไปสามวันหลังการสอบ ผลคะแนนก็ถูกนำมาติดอยู่บนประกาศที่ลานหน้าอาราม  นี่อาจเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายของใครหลายคน   เพราะแม้จะได้เป็นนักพรตเพื่อศึกษาต่อวิชาพิฆาตความมืดตามที่ใฝ่ฝันไว้  แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวเท้าไปบนเส้นทางแห่งความตายเลยทีเดียว 

     

                    “นี่ข้า ฝันไปใช่มั้ย!”

    คาอินร้องเสียงหลง  นี่เป็นครั้งแรกที่คนผลการเรียนต่ำเสมออย่างเขา สอบได้คะแนนอยู่ในลำดับใกล้ท็อป  แม้ดูจากคะแนนแล้ว  ก็ยังห่างกันมากกับคนที่สอบได้อันดับ 1  ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากลอเรนโซ บุตรชายเจ้าเมืองลอร์แซมเบิร์ก

                    “พากันจงใจสอบให้ได้คะแนนต่ำชัดๆ ช่างขลาดเขลา”

    พรตหนุ่มผมเงินเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นผลคะแนนของผู้สอบผ่านทั้ง 20 คนที่น้อยอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะหลังจากอันดับสองไปแล้ว ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจนต้องร้องโวยวายออกมา  แม้คะแนนจะผ่านเกณฑ์มาตรฐานไปแล้วก็ตาม แต่ยังถือว่าน้อยกว่าปีไหนๆ จนเขารู้สึกขายหน้า

                    “ช่างพวกมันเถอะ   อย่างน้อยๆก็เป็นโชค ให้เจ้าพรตห่วยนั่น สอบผ่านกับเขาด้วย”

    คาอินว่าแล้วชี้ไปยังประกาศผลคะแนนในลำดับท้ายสุด   พวกเขามองเห็นชื่อของอาร์กัสจากดินแดนเชล ซึ่งคะแนนเฉียดตกเกณฑ์มาตรฐานอย่างหวุดหวิด  หากเป็นการสอบในยามปกติทั่วไปคงจะเป็นการยากนักที่เขาจะสอบติดหนึ่งในยี่สิบคนได้

                    อาร์กัสมองไปที่ประกาศแล้วยิ้มแห้งๆ เขารู้ตัวเองว่าแทบจะไม่มีโอกาสสอบผ่าน  เพราะรายวิชาที่ต้องศึกษาตลอดห้าปีนั้นยากเกินไปสำหรับเขา  หากพวกลอเรนโซและคาอินไม่ช่วยติวให้อย่างหนัก เขาก็คงสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานไม่ได้    จากเด็กลี้ภัยสงครามที่ได้รับการศึกษาบ้างเล็กน้อยในศูนย์ผู้อพยพ และชั่วพริบตาต้องมาร่ำเรียนวิชาการอันแสนยากเย็น ความแตกต่างสุดขั้วนี้ ทำให้การสอบผ่านเป็นนักพรตคณะนักบวชแห่งซางตานีโอแทบเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา

                    “พวกเราสอบผ่านก็ดีแล้ว”อาร์กัสพูด

                    “เฮอะ! โคตรดีใจวะ”คาอินบ่นทั้งที่ตัวเริ่มสั่น

    การสอบคราวนี้เป็นการสอบที่ เห็นกันอย่างชัดเจนว่าปลายทางข้างหน้าคือความตาย แต่กระนั้นต่อให้ได้คะแนนย่ำแย่เพียงใด พวกเขาทั้ง 20 คนก็ไม่ได้ถอยหนี เพราะว่าไม่อาจถอยได้อีกต่อไปแล้ว

                    “จากนี้ตั้งหาก คือความยากลำบากแท้จริง

                 สิ้นคำพูดของลอเรนโซ ผู้ฟังทั้งสองก็ได้แต่ทำตาเหลือกด้วยความเครียด สำหรับอาร์กัสแม้จะตั้งใจร่ำเรียนอย่างหนัก แต่ผลการเรียนหวุดหวิดต่ำกว่าเกณฑ์มาตราฐานนั้น ก็ทำให้เขาลำบากใจ  แม้แต่คาอินที่หวาดกลัวภูตผีปีศาจกลับต้องเข้าสู่เส้นทางของผู้พิฆาตผีร้ายทั้งกองทัพ  พวกเขาแต่ละคนมีเหตุผลในการตัดสินใจเป็นนักบวชที่แตกต่างกัน  สำหรับอีกคนคือการพิฆาตความมืด   อีกคนคือการกำจัดความหวาดกลัวออกไปจากใจ   และสำหรับอีกคนเพื่อกำจัดตัวตนที่หยิ่งผยอง  ความเย่อหยิ่งที่สำคัญตนเองว่ายิ่งใหญ่เหนือคนอื่น   ด้วยเหตุผลที่แตกต่าง อุดมการณ์ไปคนละเรื่อง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็เพื่อปกป้องผู้คนจากสิ่งช่วยร้ายที่มองเห็นและไม่อาจมองเห็นได้  ศึกทางเหนือยิ่งรุนแรงขึ้น   จนเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่าดินแดนเชลจะแตกพ่ายเมื่อใด
     

                    “ลีกหน่อย เจ้าพวกเด็กใหม่”

    อยู่ๆประตูอารามก็เปิดออก  พร้อมกับที่นักพรตกลุ่มใหญ่ได้ควบม้า เข้ามาในลานกว้างที่เต็มไปด้วยพรตฝึกหัดที่กำลังดูผลสอบ   เหล่าฝูงชนในลานกว้างต่างต้องวิ่งหลบออกเปิดทางให้โกลาหล
     

                    “พวกที่สอบผ่านจงก้าวมาข้างหน้า”
     

    นักพรตกลุ่มหลักที่เพิ่งกลับมาจากทางเหนือร้องตะโกนสั่งลั่น   การมาเยือนครั้งนี้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายในลานกว้างเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกที่ยังเรียนในอาคารต่างต้องออกมายืนดูผู้มาเยือนด้วยความตื่นตระหนก   ต่างส่งเสียงพูดคุยดังลั่น กล่าวถึงกลุ่มนักพรตสายพิฆาตความมืดกลุ่มหลักที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นตำนาน  อาร์กัสจำนักพรตในชุดน้ำตาลเข้มทั้ง 7 คนได้  พวกนั้นคือกลุ่มคนที่พาเขามาจากหมู่บ้านทางตอนเหนือของดินแดนเชล  แต่อีกคนที่เคยไว้ชีวิตเขานั้น กลับไม่ได้อยู่ด้วย

                                    เขาหายไปไหน!

    อาร์กัสเริ่มใจคอไม่ดี  แล้วรีบวิ่งออกไปรวมกลุ่มกับพวกที่สอบผ่าน จนพวกลอเรนโซยังนึกแปลกใจ  แต่ก็รีบตามไปรวมกลุ่มเช่นกัน

                    “เจ้าสอบผ่านได้จริงๆเหรอ น่าตกใจนัก   อาร์กัสเจ้าเด็กขัดพื้น”

    พรตหนึ่งใน 7 คนนั้น เอ่ยทักเขาจากบนหลังม้า  ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็จำได้ทันที   ชายผู้นั้นคือนักพรตที่เคยถือคบเพลิงวิ่งออกมาตามเขาให้ไปสัมภาษณ์  และยังเป็นหนึ่งในแปดนักพรตที่ช่วยชีวิตเขาจากการโจมตีของนักรบเจตภูตเมื่อ 10 ปีก่อน 

                    “ขอรับ  เพราะข้าโชคดี ได้สหายสองคนนั้น  ช่วยเหลือมาตลอด”

    อาร์กัสว่าแล้วชี้ไปที่พวกลอเรนโซซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ

                    “หืม? ชาวลอร์แซมเบิร์ก กับ ซิลเทียเรส  มหาแพทย์กับยอดนักรบ   มีเพื่อนไม่เลวนี่ ”

    พรตผู้นั้นว่า ก่อนที่ลอเรนโซจะเอ่ยตอบกลับไป

                    “พวกข้ายังไม่ถึงระดับนั้น”

                    “งั้นหรอกเหรอ  แต่ข้าขอบอกไว้ว่าต้องเป็นให้ได้ถึงระดับนั้น ทั้งพวกเจ้าทุกคนด้วย”

    พรตนั้นกวาดตามองนักพรตฝึกหัดที่สอบผ่านจำนวนยี่สิบคน  พลางชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง

    “หาไม่แล้วอย่าได้หวังว่า จะมีปัญญารักษาชีวิตรอดกลับมาจากทางเหนือได้  บัดนี้พวกเจ้าได้เลือกก้าวเท้าเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายแล้ว  หากใครอยากถอนตัวก็ยังทัน!

     น้ำเสียงหนักแน่นของพรตสายพิฆาตความมืดรุ่นพี่ ฟังดูรู้สึกดุดันทรงพลัง จนหลายคนในนั้นสะดุ้ง

     บุรุษทั้ง 7 สวมชุดคลุมของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ แต่ภายใต้ชุดคลุมนั้นยังมีเกราะอ่อนสวมไว้   ยุทธพันธ์อาวุธครบมือ แม้แต่ม้าก็ยังสวมเกราะ มองดูเผินๆแล้วก็คล้ายๆกับพวกอัศวิน

     

                    “พวกเจ้ามีโอกาสถอนตัว  แล้วถอดเครื่องแบบกลับไปขุดหลุมฝังศพตนเองที่บ้านไว้รอท่าซะ เพราะต่อให้หนีอย่างไร หากสงครามคราวนี้ไม่มีใครคิดอยากจะสู้   มีแต่พลเมืองขลาดเขลา    ก็อย่างหวังว่าจะมีมนุษย์ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”  

                   

                    ทั้งลานกว้างเงียบสนิท  หลายคนที่กำลังนึกดีใจเมื่อสอบไม่ผ่านกำลังทำหน้าซีดก้มมองพื้นเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่  และยังมีอีกมากที่คิดจะลาออกเพราะความหวาดกลัว  แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าถอดเสื้อคลุมแล้วลาออกไปจริงๆ  พวกเขามีแต่ต้องสู้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องถูกไล่ล่าจนตายเช่นกัน

     

                    “ท่านขอรับ  แล้วพวกท่านอีกคนหนึ่ง  เขา.......”

    อาร์กัสตัดสินใจถามนักพรตรุ่นพี่ คนที่เคยถือคบเพลิงมาไล่เขาไปสัมภาษณ์ ด้วยท่าทีร้อนรน

                    “เจ้าหมายถึงหัวหน้าพวกเราใช่หรือไม่”

                    “ใช่ขอรับ”

                    “แย่หน่อยนะ  หัวหน้าของเราเขาจากไปแล้ว......”

    คนฟังได้ยินดังนั้นถึงกับยืนค้างนิ่ง  ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจหรือว่าบุรุษผู้เป็นตำนาน  จะตายในสงครามไปแล้ว !  

                    “ทั้งที่มหาวิหารซางตานีโออยู่ใกล้แค่นี้ จะรีบไปอะไรนักหนา  เจ้าบ้านั่น ”

    อยู่ๆ นักพรตอีกคนก็บ่นขึ้นมา  ความโศกเศร้าที่แทบทำให้ใครบางคนเกือบจะร้องให้โฮตรงนั้น ถึงกับหายไปฉับพลัน

        “มาคัส! เจ้าอย่าไปแกล้งเด็กมันสิ  ให้ตายเถอะ”

    สหายของมาคัสร้องด่า พลางถอนหายใจ

                     “ข้าแค่แก้แค้น เรื่องที่มันทำให้ข้าถูกอาร์คบิชอปต่อว่า  แล้วต้องวิ่งขึ้นลงอารามกลางดึกตามตัวมาสัมภาษณ์ตั้งแต่ในวันรับสมัครนักพรตฝึกหัดนั่น แค่นี้ยังน้อยไป”

    พรตมาคัสเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะชอบใจ ในขณะที่คนถูกหลอกได้แต่กัดฟันกรอดๆด้วยความโมโห  ดาร์ค บริสตั้น คนนั้นไม่มีทางตายง่ายๆหรอก  บุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดและเก่งกาจที่สุดในความคิดของเขานั้น แค่รีบไปส่งรายงานยังมหาวิหารซางตานีโอเท่านั้นเอง   กองกำลังรบพิเศษของอาร์คบิชอปกาเบรียล  กลุ่มหลักที่ทำให้คณะนักบวชในนครเล็กๆโด่งดัง  มีเพียงกลุ่มนี้เท่านั้นที่ปลอดภัยกลับมาจากทางเหนือครั้งแล้วครั้งเล่า  หากยังอยากรอดชีวิตละก็  ต้องอยู่ในระดับเดียวกับพวกนั้นให้ได้

    คาอินทำสีหน้าเครียดเมื่อระดับความสามารถของพวกเขานั้นยังต่างจากพวกกลุ่มหลักอย่างลิบลับ  หากยังอยากรอดชีวิตในศึกสงคราม  หรือแม้แต่จะต่อสู้กับนักรบเจตภูตอย่างสมน้ำสมเนื้อ มีเพียงแต่ต้องเก่งขึ้น เก่งขึ้น ให้ทัดเทียมกับพวกเขาไม่ก็มากกว่านั้น

                    “จุดประสงค์ที่พวกเรากลับมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อร่วมงาน ปฏิญาณตนครั้งแรกของพวกเจ้า จงรีบไปเตรียมตัว แล้วออกเดินทางไปมหาวิหาร   ท่านกาเบรียลรอพวกเจ้าอยู่  รีบๆกันหน่อย นี่จะเป็นก้าวแรกของผู้พิฆาตความมืด”

                      ทั้งหมดรีบแยกย้ายไปแต่งตัวเสียใหม่ ก่อนจะรีบไปยังท่าเรือนอกอารามเพื่อเดินทางไปยังตัวเมืองซางตานีโอ  นักพรตฝึกหัดทั้ง 20 คนอยู่ในภาวะกดดัน แต่อีกใจหนึ่งก็เต็มไปด้วยความยินดีระคนตื่นเต้น  เมื่อพวกเขาจะได้เป็นนักพรตเต็มตัวในวันนี้เอง

                    “อาร์กัส! เจ้าเป็นอะไรไป”

    ลอเรนโซถามด้วยความตกใจ เมื่อทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากบริเวณอารามพ้นหลักศิลาแสดงอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น  เขาก็สังเกตเห็นว่าอาร์กัสหยุดเดินแล้วยืนค้างนิ่งกับที่ เอาแต่จ้องมองไปทางเหนือด้วยใบหน้าตื่นตระหนก 

                    “เห็นเด็กน้อยคนนั้นอีกแล้วเหรอไง”

    แต่ราวกับไม่มีเสียงใดไปถึงหูของสหายผมทอง  เพราะพรตอาร์กัสเอาแต่ยืนเงียบเบิกตากว้างมองไปเบื้องหน้า ด้วยความตกใจสุดขีดกับอะไรบางอย่าง  จนไม่อาจก้าวเท้าเดินต่อไปไหว  มันเป็นความหวาดกลัวในระดับที่ทำให้ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน  แต่กระนั้นก็ยังยกมือสั่นเทาชี้ไปเบื้องหน้า  ลอเรนโซกับคาอินจึงค่อยๆมองไปยังทิศทางเดียวกันกับที่อาร์กัสชี้ไป  พวกเขาไม่ได้เห็นเด็กน้อยลากรถของเล่น  ไม่ได้เห็นภูตผีปีศาจ  แต่สิ่งที่เห็นนั้นทำให้นักพรตฝึกหัดทั้งกลุ่มพากันหยุดขยับเขยื้อนกะทันหัน

                    ! นั่นอะไรเนี่ย”

    หลายคนเริ่มร้องลั่น  บางคนเริ่มร้องให้  และอีกหลายคนทิ้งตัวเองนั่งแหมะกับพื้น    เมื่อเห็นบางอย่างปรากฏบนท้องฟ้า

                    “นรก  นรก! นั่นนรกใช่มั้ย”

    ในทันทีที่พ้นร่มเงาของหมู่เมฆไม้ในป่าทึบของอารามนักพรต ซึ่งพวกเขาใช้เวลาถึง5 ปีศึกษาเล่าเรียนไม่ได้ออกไปไหน  เมื่อไร้ซึ่งเมฆไม้บดบัง ท้องฟ้ากว้างก็เปิดโล่ง ท้องฟ้าสีฟ้า อากาศบริสุทธิ์ ที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตาเมื่อห้าปีก่อน บัดนี้ไม่เหลืออีกแล้ว  ศึกทางเหนือที่อยู่ไกลลิบ เคยคิดเสมอว่ามันห่างไกลจนไม่น่าจะคืบคลานมาถึงเมืองเล็กๆอย่างซางตานีโอ  ทั้งที่คิดเช่นนั้น  แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือภัยร้ายที่เริ่มแผ่เข้ามาจนรับรู้ได้ด้วยตา

                    เมฆสีดำทมิฬปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศเหนือในดินแดนอันไกลลิบนั้น สามารถมองเห็นได้แม้จะยืนอยู่ในซางตานีโอ เมฆดำทมิฬพร้อมแสงจากฟ้าแลบแปลบๆสีแดงฉาน ทั้งเสียงฟ้าร้องคำรามแว่วมาข่มขวัญ  สายลมเหม็นคลุ้งคาวเลือดพัดโหมกระหน่ำเข้ามาในทันที  อากาศแสบร้อนจนรู้สึกเหมือนผิวหนังจะไหม้ได้  พิษร้ายที่ทำให้ผู้คนล้มตาย พร้อมกับภัยพิบัติ และสงคราม บรรยากาศเลวร้ายนั้นมาพร้อมกับความรู้สึกหวาดกลัว จนเลือดในกายของพวกเขาเริ่มเย็นแข็งไปหมด

                    “ความรู้สึกกดดัน และหวาดกลัวขนาดนี้คืออะไรกันแน่  พวกมันเป็นใครกัน”

    แม้แต่ลอเรนโซก็เริ่มตัวสั่นเทาอย่างไร้สาเหตุ  บางสิ่งบางอย่างจากส่วนลึกของจิตใจกำลังร้องเตือนเขา  อันตรายจากเบื้องหน้านั้น  ต้องหนี ต้องหนีไปให้ไกล  

                    “ปีศาจยังไงละ  นี่แหละความรู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจ”

    คาอินเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองอาร์กัสที่ยังจ้องไปเบื้องหน้าอยู่เช่นนั้น  ดวงตาสีฟ้ายังเบิกโพลงราวกับว่าเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ จนพวกคาอินต้องไปเขย่าแรงๆ

                    “เฮ้ย! ตื่นสิเว้ย ไอ้ห่วย”

    คาอินร้องพร้อมกับชกหน้าไปเต็มแรง  จนเมื่อโดนหมัดหนักๆนั้นไป อาร์กัสก็ค่อยๆลืมตาอีกครั้ง  เนื้อตัวสั่นสะท้าน พร้อมพยายามขยับปากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ไหว   เพราะฟันของเขานั้นกระทบกันกึกกัก ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวเหลือแสน

                    “ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆหายใจลึกๆ”

    ลอเรนโซบอกเบาๆ แม้เขาเองจะยังไม่หายหวาดผวา  แต่ก็สามารถเก็บอาการหวาดกลัวได้บ้าง  อาร์กัสค่อยๆสงบจิตใจลงก่อนที่จะขยับลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

    “บอกมาสิว่าเจ้าเห็นอะไร”ลอเรนโซถามทันที

    “ข้าเห็นพวกทางเหนือนั่น   พวกมันมีมากมายนัก ทุกอย่างดำสนิท”

     “พอจะประมาณกำลังพลได้มั้ย”อยู่ๆคาอินก็ถามขึ้น

    “ไม่  พวกมันมากมายจนประมาณไม่ได้  ไม่รู้กี่แสน ไม่รู้กี่พันล้าน มากมายจนข้านับไม่ได้จริงๆ”

    อาร์กัสตอบพลางหันไปมองนักพรตทั้ง 7  ในใจของอาร์กัสกำลังหวาดกลัว นักรบที่เก่งกาจที่สุดมีอยู่แค่นี้โอกาสที่จะชนะแทบไม่เห็น  นักรบที่ส่งไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างแพ้พ่าย ล้มตายเหลือเพียงชิ้นส่วนของร่างกายบางชิ้นเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมาได้

                    “ข้าขอถามอีกเรื่อง เจ้าเห็นแม่ทัพฝ่ายนั้นหรือไม่”

    พอสิ้นคำถามของลอเรนโซ อาร์กัสก็หันไปทางเหนืออีกครั้ง  ดวงตาของเขามองเห็นผู้มาจากความมืดได้อย่างชัดเจน

                    “เห็นสิ  ผู้นำทัพจากทางเหนือคือ 7 ขุนพลปีศาจ”

    สิ้นคำตอบคนถามก็ได้แต่สูดลมหายใจลึกๆ แล้วยิ้มบิดเบี้ยวออกมา หากเรื่องที่ว่านั้นเป็นความจริงพวกเขาคงไม่มีวันชนะ

    “เร็วสิเจ้าพวกเด็กบ้า! เจอแค่นี้ก็ทำเป็นปอดแหกแล้วเหรอ เลิกมองไปทางเหนือแล้วมองไปข้างหน้าโน่น”

    พวกรุ่นพี่บนหลังม้า ต้องตะโกนเรียกจากอีกฝั่งของสะพาน เมื่อนักพรตฝึกหัดที่กำลังเดินทางไปปฏิญาณตนเป็นนักพรตเต็มขั้น อยู่ๆทั้ง 20 คนก็เลิกเดินตาม  พากันทรุดลงพื้น แตกตื่นกับภัยสงคราม บางคนเริ่มร้องให้ และอีกหลายคนตัวสั่นจนเดินไปต่อไม่ไหว

    “น่าสมเพช” หนึ่งในพรตทั้ง 7 กล่าวออกมาอย่างดูแคลน

    “หากไม่มีอารามนี้คุ้มกะลาหัว พวกเจ้าอยากรู้มั้ยละ ว่าพวกเจ้าจะเจอสิ่งใด”

    สิ้นคำพรตนั้นก็ควบม้าไล่ทันที  พรตฝึกหัดทั้งยี่สิบคนต่างวิ่งกันหน้าตาตื่น ทั้งหมดข้ามสะพานหินอย่างรวดเร็วจนมาถึงพวกรุ่นพี่อีก6 คนที่กำลังรออย่างเหนื่อยใจ

                    และทันใดนั้นเองเมื่อวิ่งกันมาพ้นสะพานแล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นเบื้องหน้านั้นก็สุดจะเลวร้าย ผู้คนอพยพจำนวนมากต่างเดินทางมาจากทางเหนือ แต่ละคนผอมซีดอิดโรย  บ้างก็ล้มตายระหว่างทาง  ลำน้ำที่ไหลมาจากดินแดนเชลก็กลายเป็นสีดำ และเหม็นเน่าด้วยซากศพ ที่ลอยไหลมาตามแม่น้ำ  สงครามที่เชลหนักขึ้นจนเกือบจะแพ้พ่ายอยู่แล้ว  หากเป็นเช่นนั้น เจ็ดนครสุดท้ายก็ไม่เหลือซาก   แล้วพวกเขาจะต้องไปทางไหนดีเพราะว่าไร้ทางให้หนีแล้ว

                    “จะเอายังไง  หวาดกลัวจนหนีกลับไปบ้าน นั่งนับเวลารอความตาย หรือจะลุกขึ้นสู้  ข้าขอบอกไว้เลยว่า พวกเจ้าไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว จงจำใส่สมองน้อยนิดของพวกแกไว้ ”

    พวกพรตฝึกหัดต่างมองสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความตกตะลึง  อีกทั้งคำพูดของพรตรุ่นพี่ก็ทำให้แต่ละคนเริ่มออกเดินไปหน้าอีกครั้ง  เพราะว่าไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว  บัดนี้จะมีก็แต่ถ่วงเวลาไว้  ถ่วงเวลาให้มากที่สุดเพื่อให้มนุษย์ยังอยู่รอด  ช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ไปอย่างปลอดภัยเพียงเสี้ยววินาที ต้องแลกด้วยชีวิตนักรบไม่รู้กี่ชีวิต  อาร์กัสคิดถึงเรื่องราวในเชลเมื่อสิบปีก่อน  ตอนที่ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากผู้มาจากความมืด  ตอนที่พวกมันลงดาบสังหารเขา  แผลที่อกเริ่มเจ็บแปลบขึ้นมาเรื่อยๆเมื่อสิ่งชั่วร้ายนั้นกำลังใกล้เข้ามาบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน

    นักพรตฝึกหัดทั้งหมดออกเดินไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่า  ต่างเดินตามหน่วยรบพิเศษของอาร์คบิชอปกาเบรียลไปยังท่าเรือ  ผู้คนที่พลุกพล่านอยู่นั้น ต่างยอมเปิดทางให้ และหลายคนมองพวกเขาอย่างมีความหวัง  แม้มันจะเป็นความหวังที่แสนริบหรี่เต็มที

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    END /ความหวังที่แสนริบหรี่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×