ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #15 : คำตอบของพรตปีศาจ

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 65



                   แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่การที่อยู่ๆเขาก็มีชื่อเข้าสอบสัมภาษณ์เป็นนักพรตฝึกหัดของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ ทั้งๆที่ไม่ได้แม้แต่เขียนใบสมัคร ไม่ได้แม้กระทั่งสอบ  แต่กลับมีชื่อสัมภาษณ์ในลำดับสุดท้าย   อาร์กัสเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลรอเขาอยู่เบื้องหน้า  แต่ตอนนี้......เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากเสี่ยงดวงวิ่งตามนักพรตรุ่นพี่เข้าไปในอารามเท่านั้น 
     

    "เร็วๆเข้า เจ้าพวกเชื่องช้า"  
     

    ผู้คุมประตูอารามชั้นในสุดมองพวกเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเด่นชัด ก่อนที่จะรีบปิดประตูตามไล่หลัง  เมื่อเด็กหนุ่มและนักพรตอีกคนวิ่งผ่านเข้ามาในอารามแล้ว  ทันทีที่ประตูปิดลง ทุกอย่างก็กลับสู่บรรยากาศเคร่งขรึมชวนขนหัวลุกเช่นเคย  อารามนักพรตสายพิฆาตความมืดชื่อดังแห่งเมืองซางตานีโอในยามค่ำคืนนั้น  ยิ่งดูสยดสยองชวนขวัญกระเจิงมากมายนักในความรู้สึกของอาร์กัส แม้ว่าจะมีคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความสว่างอยู่ทั่วอารามแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้บรรยากาศทะมึนทึงนี้จางลงแม้แต่น้อย

                    “เข้าไป!”

    เสียงสั่งดังฟังชัดมาจากนักพรตผู้นำทาง  อาร์กัสมองเขาพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

                    “คนในนั้นนั่งรอเจ้าจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว   รับรองเลยว่าวันนี้เจ้าดวงกุดแน่”

    สิ้นเสียงนั้นคบเพลิงในมือผู้นำทางก็ดับพริบ ความมืดมาเยือนทันทีในพริบตา  อาร์กัสตกใจกับการจากไปแบบรวดเร็วทันด่วนของนักพรตผู้ขึ้นชื่อด้านความเร็วสูงสุดในคณะ  เขาถูกปล่อยทิ้งไว้ในความมืดสนิทเพียงลำพังหน้าประตูห้องโถง สายลมเยือกเย็นพัดเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนเริ่มขนลุกซู่ทั้งตัว  เขาหวาดกลัวสิ่งเหล่านี้มาตลอด ทั้งความหนาวเหน็บและสายลมที่มักส่งเสียงหวีดหวิวแปลกๆเมื่อพัดเข้ามาในอาราม เด็กหนุ่มค่อยๆดันประตูห้องโถง  แสงสว่างนวลๆจากห้องสัมภาษณ์ค่อยๆสาดส่องเมื่อประตูถูกแหงมออกเรื่อยๆ  เขาจึงเข้าไปในนั้นทันที แม้ขาทั้งสองข้างยังสั่นผับๆ

     “อะ  เอ่อ ข้า.......”

    อาร์กัสเอ่ยขึ้นอย่างลังเล   เพราะสิ่งแรกที่เขาพบเมื่อเข้าไปในห้องโถงแล้ว คือใบหน้าที่ดูจะหงุดหงิดไม่พอใจอย่างยิ่งของชายชราผมขาวโพลน แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนไม่สมวัย ชายคนนั้นบีบฝ่ามือตนเองดังกร๊อบ ในทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง  ดวงตาสีเทาคู่นั้นดุดันราวกับกำลังโกรธจัด  เมื่อดูจากป้ายระบุตำแหน่งบนโต๊ะแล้ว อาร์กัสก็ถึงกับหน้าถอดสี เพราะชายชราผู้นั้นเป็นถึงอธิการคณะนักบวชเลยทีเดียว  และยังมีกรรมการสัมภาษณ์อีกสามคนนั่งอยู่ใกล้ๆ  

                    “นั่งลง!”

    อธิการชราจากโต๊ะแรกสั่งเสียงห้วน

                    “เร็วเข้า! จะให้พวกข้ารอไปถึงเมื่อไหร่”

    เขายกมือฟาดโต๊ะพร้อมตะโกนดังลั่น  ชายชราอธิการคณะนักบวชแห่งซางตานีโอผู้มีฝีมือด้านการพิฆาตความมืดที่ร้ายกาจจนเป็นตำนาน  กำลังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง เมื่อต้องเสียเวลานั่งรอเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นชั่วโมงๆ 
     

                     อาร์กัสรีบนั่งลงยังเก้าอี้ตัวเดียวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าบุรุษทั้งสี่ ชายชราคนแรกคืออธิการของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ  เป็นบุคคลที่อาร์กัสไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน  ส่วนสองคนข้างๆนั้นเป็นผู้คุมกฎของอารามและคนสุดท้าย คือบุรุษผมสีทองงดงามที่ยังดูยิ้มแย้มอยู่เสมอ  อาร์กัสจำเขาได้ขึ้นใจทีเดียว  เพราะชายคนนั้นคืออาร์คบิชอปแห่งเมืองซางตานีโอ  อาร์คบิชอปกาเบรียลที่ 3

                    “เงยหน้าขึ้น แล้วบอกชื่อแซ่มา”

    อธิการชราถามด้วยน้ำเสียงดุดัน แล้วมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ชอบใจนัก

                    “อาร์กัส ขอรับ ข้าเป็นชาวกราโดจากทางตอนเหนือของดินแดนเชล”

    อาร์กัสตอบสั้นๆ แต่สายตายังคงก้มจ้องมองที่พื้น ไม่กล้าสบตาชายชราตรงหน้า

                    “กราโด.....”

    ชายชราเอ่ยทวนชื่อเมืองนั้นอีกครั้งพลางเท้าคางครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ   แต่อาร์กัสกลับเริ่มใจคอไม่ดี เมื่อไม่อาจทราบได้ว่า ชายชราผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
     

                    “ขอรับท่านอธิการ เด็กคนนี้ เคยได้รับการช่วยเหลือจากทางอารามเราเมื่อห้าปีก่อน  นักรบของเราพาเขาที่บาดเจ็บกลับมาพักฟื้นที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีขอรับ”

    ผู้คุมกฎรายงาน  ส่วนชายชราผู้ที่นานๆจะอยู่อารามสักครั้ง เนื่องจากติดภารกิจมากมายจนแทบไม่เคยได้กลับอาราม  เขาไม่ค่อยรู้เรื่องราวภายในอารามมากนัก  จึงได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
     

                    “มาพักฟื้นเพราะภัยสงครามหรอกเหรอ” ชายชราถามเสียงเรียบ
     

                    “ขอรับ เขาถูกทำร้ายกลับมา”

    ทันใดนั้นเอง เมื่อได้ยินรายงานจากผู้คุมกฏ ดวงตาสีเทาคมกริบของชายชราผู้เจนจัดด้านการพิฆาตความมืดในสนามรบมานับสิบๆปี ก็จ้องปราดไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางยิ้มเหยียดออกมา
     

                    “สงครามทางตอนเหนือของดินแดนเชล มักไม่ค่อยมีใครบาดเจ็บแล้วรอดตายกลับมาได้  จะมีก็เพียงตาย ไม่ก็.........”

    ดวงตาสีเทาคู่นั้นยังคงจ้องมองมายังอาร์กัสด้วยความไม่ไว้วางใจ ก่อนจะเอ่ยต่อให้สิ้นประโยค

                    “ไม่ก็....... โชคดีอย่างเหลือเชื่อ”

    นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้อาร์กัสอยากลุกหนีออกจากห้องโถงแทบจะทันที  ถ้าหากนักบวชตรงหน้ารู้เรื่องที่เขาถูกทำร้ายโดยนักรบเจตภูตกลับมา  เขาคงจะถูกสังหารเสียตรงนี้ในทันทีเป็นแน่ 

                    “เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ  พวกเราได้ตรวจสอบแล้ว เขาถูกเพียงอาวุธธรรมดาทำร้ายกลับมาขอรับ  ไม่ใช่อาวุธต้องคำสาปแต่อย่างใด”

    ผู้คุมกฎอีกคนยื่นเอกสารสองสามแผ่นให้ชายชรา แม้จะมีการตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้ว  แต่อธิการคณะนักบวชแห่งซางตานีโอกลับเชื่อในลางสังหรของตนมากกว่ารายงานสองสามแผ่นนั่น   เขาทำเป็นผงกหัวงงๆเป็นเชิงยอมรับ แล้วเริ่มสัมภาษณ์ต่อ

                    “ข้าจะไม่ถามอะไรเจ้ามากนัก   แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ตั้งแต่บัดนี้ ถ้าหากเจ้าเพียงแต่อยากลองเป็นนักพรตดูเล่นๆ ก็จงไสหัวไปจากที่นี่ซะ  อารามนี้ไม่มีที่ยืนให้กับพวกเหลือขอ หรือคนขี้ขลาด!”

    ราวกับถูกหมัดหนักๆเข้าไปเต็มหน้า    เมื่อน้ำเสียงห้วนๆจริงจังไม่ล้อเล่นของชายชราผู้นั้นทำให้อาร์กัสต้องกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้น  พร้อมกับมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจ  เขาอยากเป็นนักพรตจริงๆเหรอเปล่า  ความจริงแล้วเขามาที่นี่ทำไมกันแน่

    “ว่าอย่างไรละ”  ชายชราถามย้ำอีกครั้ง

    “ข้าไม่ได้จะมาอารามนี้เล่นๆขอรับ  แต่ข้ามีความจำเป็นที่ต้องเป็นนักพรตให้ได้ขอรับ”

    อาร์กัสตอบให้ตรงกับความรู้สึกมากที่สุด   ไม่ใช่เพราะอยากเป็นนักพรต  แต่เพราะต้องเป็นให้ได้ตั้งหาก  เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว  บางสิ่งบางอย่างในความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า  การหยุดยั้งมันมีเพียงการร่ำเรียนเป็นผู้พิฆาตความมืด เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาเท่านั้น

                    “แล้วความจำเป็นของเจ้าคือสิ่งใด  อาหาร เงินทองอย่างนั้นเหรอ”

    ชายชราว่าพลางมองเด็กหนุ่มอย่างประเมินรูปกายภายนอก   เด็กชายที่ไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน มาสมัครเป็นนักพรตเพราะไม่อยากอดตาย  คงไม่ผิดนักถ้าหากเขาจะถูกมองว่าเป็นเช่นนั้น
     

                     “เปล่าขอรับ”อาร์กัสแย้ง

                    “ถ้าอย่างนั้นอะไรเล่า   หรือสิ่งจำเป็นของเจ้า คือการได้รับการยกย่องจากผู้คนใช่หรือไม่  มาเป็นนักบวชเพื่อให้ผู้คนยกย่องนับถือ เพื่อให้แลดูเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์  ถ้าหากว่าเจ้ามาเป็นนักบวชเพื่อแสวงหาเกียรติจากเบื้องบน   ก็จงไสหัวออกไปจากอารามนี้แล้วอย่างมาให้ข้าเห็นหน้า”

    น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความดุดันเกรี้ยวกราด   แต่คำพูดเหล่านั้นได้เข้าสู่จิตใจของเด็กหนุ่ม พร้อมๆกับที่เขาได้มองเห็นปณิธานอันแรงกล้าในการเป็นนักพรตของอธิการคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ  บุรุษผู้ครองชีวิตพรตจนถึงวัยชรา  แม้ใบหน้าจะเคร่ง ดวงตาสีเทาจะฉายแววดุดันเพียงใด น้ำเสียงนั้นก็ดังห้วนไม่น่าฟัง  แต่มันก็เป็นคำถามที่ได้เตือนสติเขา  เด็กหนุ่มถามตนเองเช่นกัน แต่คำตอบเดียวในใจของเขาก็คือ......

                    “ไม่ใช่ขอรับ”

    อาร์กัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

                    “แล้วสิ่งใดคือเหตุผลของเจ้า” ชายชราถามต่อ

    ความจริงแล้วอาร์กัสไม่ได้ต้องการเป็นพรตสายพิฆาตความมืด  สาเหตุสำคัญที่เขาต้องมายังอารามแห่งนี้ เพราะมันคือสถานที่แห่งเดียวที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขที่สุด  ไม่มีใครในอารามพยายามจะฆ่าเขา ไม่มีใครต้องหวาดกลัว  ทั้งยังได้เรียนหนังสือ ไม่ต้องออกระเหเร่ร่อน แต่เหตุผลเหล่านี้คือคำตอบที่แท้จริงของเขาแล้วเหรอ  ไม่ใช่หรอก ความจริงแล้ว “ไม่ใช่” มีบางอย่างตกตะกอนในจิตใจนับตั้งแต่วันที่เขาถูกดาบเล่มนั้นแทงทะลุกลางอกกลับมา ความรู้สึกที่ถูกความชั่วร้ายไล่ล่า โดยไม่อาจต่อต้านอะไรได้ เขาถูกพวกมันช่วงชิงทุกอย่างไป จนกระทั่งไร้แม้บ้านที่จะให้กลับ

                    “สิ่งที่ข้าต้องการ คือความสามารถที่จะเอาชนะความมืดตรงหน้าให้ได้ขอรับ  ที่ข้ามายังอารามแห่งนี้เพราะคาดหวังว่า  ที่แห่งนี้จะสามารถทำให้ข้าต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นได้  ข้าไม่อยากยืนรอ หรือวิ่งหนีอีกแล้ว”

                    อาร์กัสตอบไปตามที่คิดอย่างดีที่สุด แต่กลับเป็นว่าชายชราที่กำลังฟังอยู่นั้น ก็ยิ้มเหยียดหยามแล้วหัวเราะเยาะออกมา

                    “ปณิธานฟังดูดี  แต่ช่างตื้นเขินนัก แต่สมัยที่ข้ายังเด็กพอๆกับเจ้า  หรือแม้แต่ตอนเข้าอารามนี้ครั้งแรกข้าก็เคยคิดเช่นนั้น   ถูกคนของความมืดไล่ล่าสังหาร จนต้องซมซานมาที่นี่  ในใจมีแต่ความเคียดแค้น จะต้องทำลายความมืดให้สิ้นซาก  แต่ความคิดเช่นนั้นไม่ทำให้เป็นนักบวชที่ดีได้หรอก  เพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ยืนหยัดเป็นพรตได้ไปจนสิ้นชีวิตหรอก”

    ชายชรากล่าวเนิบๆแล้วเอนตัวพิงกับเก้าอี้   ตัวอย่างที่ดีที่สุดของนักพรตสายพิฆาตความมืด ที่ยืนหยัดอยู่จนเข้าสู่วัยร่วงโรย  แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ละทิ้งเส้นทางนักบวชไปไหน  มันทำให้เด็กหนุ่มมองเขาด้วยความเลื่อมใสฉับพลัน

                    “แล้วข้าควรมีปณิธานอย่างไรเหรอขอรับ”อาร์กัสถาม

                    “เรื่องนั้นเจ้าต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง  ตลอดระยะเวลาขั้นฝึกหัดนั้น จงใช้เวลาทั้งหมดไตร่ตรองจิตใจ ข้าเองก็ไม่อาจชี้แนะอะไรได้  เพราะแต่ละคนนั้นย่อมได้รับกระแสเรียกที่แตกต่าง”

                    ชายชราอธิบาย พร้อมกับลงชื่ออนุมัติให้เด็กชายตรงหน้าเข้าเป็นนักพรตฝึกหัดของอารามอย่างเป็นทางการ  อาร์กัสถึงกับฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี  ก่อนจะรีบโค้งคำนับชายชรา
     

                    “แล้วยังมีอีกข้อห้ามที่ข้าอยากบอกไว้ หากเจ้าแอบย่องไปหาเด็กสาวเมืองซางตานีโอหรือที่ไหนก็ตาม สถานภาพการเป็นพรตหรือแม้แต่ยังเป็นพรตฝึกหัดอยู่ก็จะสิ้นสุดลง”

    นั่นเป็นคำเตือนที่ทำให้อาร์กัสเริ่มหัวเราะ  ใช่ว่าเขาจะไม่อยากออกไปหาเด็กสาวพวกนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่อยากโดดอารามหนีเที่ยว  แต่ทุกสิ่งมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว  นับตั้งแต่ที่ถูกดาบเจตภูตเสียบทะลุกลางหัวใจ  แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ แต่จริงๆแล้ว ตัวเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว   เขารู้ตัวตั้งแต่วันที่เขากลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง  มนุษย์ทุกคนหวาดกลัวเขา ทุกคนจะฆ่าเขา  ซ้ำร้ายยังมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา แม้จะเชื่องช้าแต่เขาก็รู้สึกได้
     

                          เด็กหนุ่มผมสีทองจากดินแดนเชลได้เก็บทุกสิ่งเอาไว้แต่ภายในใจ  แล้วหัวเราะเสแสร้งกลบเกลื่อน ก่อนจะพูดไปอีกเรื่อง

                    "ท่านวางใจได้เลย”อาร์กัสบอกพลางยิ้มออกมา

                    “ งั้นหรอกเหรอ   แต่คงเพราะเรื่องสาวๆนี่แหละปัญหาใหญ่  ที่ทำให้เด็กหนุ่มมากกว่าครึ่งต้องออกจากคณะไป  สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันคงจะยากเอาการ  ส่วนกฎข้อห้ามต่างๆนั้นยังมีอีกเยอะ  ว่าอย่างไรละผู้คุมกฎ”

                    ชายชราโยนหน้าที่ให้ผู้คุมกฎสองคน  ทั้งสองนั้นคือบุคคลที่อาร์กัสเคยพบเห็นบ้าง  เมื่อตอนที่เขายังอยู่อาราม ทั้งคู่สวมเครื่องแบบเต็มยศ แล้วมองมาที่เขาอย่างพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า

                    “กฎระเบียบของอารามสำหรับเจ้าที่เคยใช้ชีวิตที่นี่มาแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร  แต่สำหรับกฎระเบียบสำหรับนักพรต  รวมทั้งบทลงโทษต่างๆยังมีอีกมาก ซึ่งเจ้าต้องท่องจำให้ขึ้นใจ”

    ผู้คุมกฎคนแรกเอ่ยขึ้นก่อนจะมอบหนังสือคู่มือการเป็นนักพรตเบื้องต้นให้เขา  อากัสรับมันไว้แล้วมองตาปริบๆเพราะมันค่อนข้างหนาเอาการ

                    “ตอนนี้เจ้ายังต้องอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมประมาณห้าปีสำหรับการเป็นพรตฝึกหัด  ต้องสอบให้ผ่านหลักสูตรเหล่านี้ให้ได้ เพื่อที่จะเป็นนักพรตของคณะอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นจึงจะได้เริ่มศึกษาวิถีทางของผู้พิฆาตความมืด โดยระยะเวลาขั้นต่ำในระดับนี้คือเจ็ดปี หรือมากกว่านั้น ”

    เพียงแค่พรตฝึกหัดทั่วไปยังต้องอยู่ในขั้นเตรียมถึงห้าปี และต้องสอบให้ผ่านหลักสูตรในปีสุดท้าย   เด็กหนุ่มรับม้วนกระดาษจากผู้คุมกฎอีกคนด้วยใบหน้าถอดสี เมื่อเห็นสรรพวิชาต่างๆที่เขาต้องเรียนตลอดห้าปี  เพราะคนหัวขี้เลื่อยอย่างเขานั้นก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมีปัญญาสอบผ่านหรือไม่

                    “แล้วนี่เครื่องแบบของเจ้า”

    ผู้คุมกฎยื่นเครื่องแบบนักพรตฝึกหัดสีน้ำตาลเข้มมาให้อาร์กัส  แต่ยังไม่ทันที่จะยื่นมือไปรับ ใครคนหนึ่งก็สั่งห้ามเอาไว้  อยู่ๆอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอก็ถึงกับยังไม่อนุญาตให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นนักพรต บุรุษผมสีทองสูงศักดิ์จ้องมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าทรงอำนาจ  พร้อมทั้งยังสามารถมองเห็นกระทั่งคำสาปร้ายภายในกายเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 

                    “เราจะไม่เค้นอะไร เรื่องสาเหตุที่เจ้าจะมาเป็นนักพรตของเรา  แต่ข้าจำเป็นต้องถามบางอย่างกับเจ้า จงตอบด้วยความสัตย์จริง”

    แม้น้ำเสียงจะสดใสเอ่ยวาจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่อาร์คบิชอปกาเบรียลที่3 แห่งซางตานีโอ กลับดูน่ากลัวเหลือเกินในความรู้สึกของอาร์กัส 

                    “คำถามนี้จะตัดสินชีวิตเจ้าอาร์กัส  หากคำตอบของเจ้าไม่ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น เราจะสังหารเจ้าที่นี่ทันที”

    อาร์คบิชอปเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ   แต่ในความราบเรียบนั้นก็ถึงกับทำให้ทั้งเด็กหนุ่มและนักพรตอีกสามคนในห้องโถงตกใจจนหน้าซีด  อาร์กัสเริ่มตัวสั่นเทาอีกครั้ง บัดนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นตั้งแต่เริ่มย่างเท้าเข้ามาในอารามแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะบรรยากาศอันน่าขนลุกภายในอาราม  แต่เป็นเพราะอำนาจบางอย่างจากอาร์คบิชอปตรงหน้านี้ตั้งหาก  ที่ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่านร้องเตือนถึงอันตราย  
     

                   " ไม่ต้องกลัว เพราะเจ้าจะตายโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ"

              น้ำเสียงสดใสน่าฟังแต่กลับรู้สึกเยือกเย็นน่าขนลุก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากจะลุกหนี  นักพรตอีกสามคนในนั้นเองต่างก็พากันเงียบกริบด้วยความตกใจ  เมื่อได้รู้สาเหตุแท้จริงที่อาร์คบิชอปต้องสั่งให้พวกเขานั่งรอเด็กชายตรงหน้าคนนี้นานเป็นชั่วโมง   ที่แท้ก็เพื่อจะสังหารเด็กคนนี้อย่างนั้นเหรอ!

                    “อาร์กัสเจ้าจงตอบเรา ถ้าหากต้องเลือกระหว่างตัวเจ้าเองกับความมืดที่อยู่ตรงหน้าเจ้าจะเลือกสิ่งใด”

    คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาค้างด้วยความตกใจระคนสับสน บางอย่างลึกๆในใจของเขากำลังร้องหาความมืด ตัวตนของเขานั้นถูกทำลายย่อยยับแล้วตั้งแต่วันที่ถูกดาบเล่มนั้นพรากความเป็นมนุษย์ไป  และในตอนนี้เขาก็มีเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือ...... 
     

                    “ความมืด.....”

    คำตอบเดียวเปล่งออกมาจากปากอาร์กัสโดยไม่ลังเล  เขามีทางเลือกแค่ทางเดียว แต่มันกลับเป็นคำตอบที่ทำให้ทั้งอธิการคณะนักบวชและผู้คุมกฏทั้งสองลงความเห็นว่าไม่อาจเก็บเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไว้ในอารามได้

                    “ท่านอาร์คบิชอป  ฆ่าเด็กคนนี้ไปเถอะขอรับ”ผู้คุมกฏเอ่อขึ้นด้วยใบหน้าเครียด

                    “อย่าเพิ่งเลยผู้คุมกฎ  เราอยากฟังเหตุผลของเขา”
     

    อาร์คบิชอปยกมือขึ้นปราม  ก่อนจะหันไปถามอาร์กัสอีกครั้ง
     

                    “ถ้าเจ้าเลือกความมืด  ก็หมายความว่าเจ้าจะละทิ้งตัวตนของเจ้าอย่างนั้นเหรอ”

    ชายผมทองถามต่อด้วยเสียงราบเรียบ

                    “ไม่ใช่ขอรับ  แต่เป็นตัวของข้าเองที่จะหยุดยั้งความมืด  ต่อให้ต้องตาย!”

    อาร์กัสตอบด้วยใบหน้าจริงจัง  อาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอได้ยินดังนั้นก็ขยับรอยยิ้มบางๆออกมา ก่อนที่จะถามต่อไป

                    “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะหยุดยั้งความมืดที่กำลังแผ่ลงมาจากดินแดนเชลได้เหรอเปล่า”

                    “ความมืดจากเชล?  สงครามสงบลงแล้วไม่ใช่หรือขอรับ” 
     

    อาร์กัสเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก

                    “ใช่ แม้ทุกอย่างจะดูสงบแล้ว  แต่ผู้พิฆาตความมืดทุกคนจะต้องเจอกับสิ่งที่ร้ายกาจกว่าที่เจ้าเคยเจอมาก่อนหน้านี้มากมายนัก  เจ้าจะเลือกตัวตนของเจ้าเองเพื่อให้พ้นทรมานและกลายเป็นทาสของความมืด หรือจะเลือกความมืด  เพื่อที่จะหยุดยั้งมันเอาไว้  บัดนี้เจ้าให้คำตอบเราแล้ว  เพราะฉะนั้นคณะนักบวชแห่งซางตานีโอขอต้อนรับเจ้า  จงไปเตรียมตัวให้พร้อมแล้วเป็นกำลังให้เราด้วย”

    อาร์กัสมองชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นกลัวในช่วงแรกๆ แต่บัดนี้มันคือความไว้ใจ  ถ้าหากว่านี่คือเส้นทางที่ถูกที่ควรของเขาแล้วละก็  เขาก็จะยินดีน้อมรับคำขอนั้น

                    “ขอรับ”

    เด็กหนุ่มตอบตกลงแล้วรับเครื่องแบบจากมือของอาร์คบิชอป ก่อนที่เขาจะโค้งคำนับอีกครั้งแล้วออกจากห้องโถงนั้นไป

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

                    “ที่แท้.... ท่านก็มีความลับที่ไม่ยอมบอกพวกเราเสมอนะ ท่านกาเบรียล   ตาของท่านมักเห็นอะไรอยู่เรื่อย”

                    อธิการเอ่ยขึ้นเมื่ออาร์กัสจากไปแล้ว

                    “อืม.....เราเห็น   แต่ว่าสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่แน่ไม่นอน”

    บุรุษผมทองเอ่ยตอบเสียงเบาแล้วลุกขึ้น

                    “ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่ให้พวกข้านั่งรอเป็นชั่วโมงๆก็เพราะต้องการตรวจสอบเด็กนั่นใช่มั้ย  ท่านอาร์คบิชอป เด็กนั่นเป็นใครกันแน่  ท่านถึงได้.......”

    อธิการชราเอ่ยถามอย่างกังวล
     

                    “ตอนนี้เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาเท่านั้น  ช่วยรับเขาไว้ที่นี่ด้วยนะ เห็นแก่เราช่วยอบรมสั่งสอนให้เขาทำในสิ่งที่ถูกที่ควร  เข้าใจนะ”อาร์คบิชอปสั่งแกมขอร้อง

                    “ทำไมท่านต้องใส่ใจเด็กนั่นด้วยขอรับ” อธิการถามต่อ

                    “เพราะมีคนคนหนึ่งขอร้องเราเอาไว้  ดังนั้นฝากด้วยนะ ท่านทั้งหลาย”

    ว่าแล้วอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอก็จากไป เหลือเพียงสามนักพรตที่ยังนั่งอยู่ด้วยความหวาดระแวง  อีกทั้งยังกังวลถึงตัวตนของเด็กชายจากเชลคนนั้น

                    “ถึงจะถูกขอร้องเอาไว้  แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็จงฆ่าเด็กนั่นซะ  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

    แต่อธิการชรากลับออกคำสั่งผู้คุมกฎทั้งสองไปอีกอย่าง  เพราะเขาไม่อาจไว้วางใจเด็กหนุ่มที่รอดชีวิตมาจากดินแดนทางตอนเหนือลงได้  เขาเห็นมากับตาแล้ว  บางสิ่งบางอย่างที่นั่นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ ถ้าหากพบว่าเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ต้องกำจัดทิ้งไปเท่านั้น  ก่อนที่ซางตานีโอหรือแม้แต่เจ็ดนครอาจต้องล่มสลาย

                    “รับทราบ”

    สองผู้คุมกฎรับคำสั่งแล้วจากไปในทันที  ห้องโถงกลับมามืดสนิทอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มผมทองจากดินแดนเชลก็ยังไม่ได้ออกไปไหนไกล เขาซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และได้ยินทุกสิ่งอย่างชัดเจน   แม้แต่อารามนี้ก็จะฆ่าเขา  บัดนี้ไม่มีที่ใดในโลกให้หนีหรือซ่อนอีกแล้ว อาร์กัสรู้เรื่องนี้ดี แม้แต่คณะนักบวชแห่งนี้ก็ยังไม่อยากจะรับเขาเอาไว้  พวกนั้นจะกำจัดเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเริ่มย่างเหยียบเข้ามาสมัครเป็นนักพรตแล้ว  หรือไม่ก็ตั้งแต่ที่เขาเข้ามายังอารามนี้เมื่อห้าปีก่อนด้วยซ้ำ 

                    “มีคนคนหนึ่งขอร้องเราเอาไว้”

    คำพูดของอาร์คบิชอปดังขึ้นในห้วงคิด  ยังมีบางคนแอบช่วยเขาอยู่อย่างลับๆ ใครคนนั้นคือผู้ที่ยังเชื่อใจปีศาจอย่างเขาอยู่ 

                    อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ทุกคน

    อาร์กัสยิ้มเหยียดออกมาในความมืด  ก่อนที่จะรีบออกไปจากบริเวณห้องโถง รวมตัวกับนักพรตฝึกหัดคนอื่นๆในอารามนั้น  แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเขาอย่างต่อเนื่อง  แต่กระนั้นเขาก็จะต้องปิดเอาไว้ให้มิด และหลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงไม่อาจจะรักษาชีวิตรอดในอารามแห่งนี้ได้   อยู่ๆความเกลียดชังก็เริ่มก่อตัวในใจลึกๆ แต่กระนั้นอาร์กัสก็ยังต้องก้าวต่อไป

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    END/คำตอบของพรตปีศาจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×