คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : คำตอบของพรตปีศาจ
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การที่อยู่ๆเขาก็มีชื่อเข้าสอบสัมภาษณ์เป็นนักพรตฝึกหัดของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ ทั้งๆที่ไม่ได้แม้แต่เขียนใบสมัคร ไม่ได้แม้กระทั่งสอบ แต่กลับมีชื่อสัมภาษณ์ในลำดับสุดท้าย อาร์กัสเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลรอเขาอยู่เบื้องหน้า แต่ตอนนี้......เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากเสี่ยงดวงวิ่งตามนักพรตรุ่นพี่เข้าไปในอารามเท่านั้น
"เร็วๆเข้า เจ้าพวกเชื่องช้า"
ผู้คุมประตูอารามชั้นในสุดมองพวกเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเด่นชัด ก่อนที่จะรีบปิดประตูตามไล่หลัง เมื่อเด็กหนุ่มและนักพรตอีกคนวิ่งผ่านเข้ามาในอารามแล้ว ทันทีที่ประตูปิดลง ทุกอย่างก็กลับสู่บรรยากาศเคร่งขรึมชวนขนหัวลุกเช่นเคย อารามนักพรตสายพิฆาตความมืดชื่อดังแห่งเมืองซางตานีโอในยามค่ำคืนนั้น ยิ่งดูสยดสยองชวนขวัญกระเจิงมากมายนักในความรู้สึกของอาร์กัส แม้ว่าจะมีคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความสว่างอยู่ทั่วอารามแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้บรรยากาศทะมึนทึงนี้จางลงแม้แต่น้อย
“เข้าไป!”
เสียงสั่งดังฟังชัดมาจากนักพรตผู้นำทาง อาร์กัสมองเขาพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“คนในนั้นนั่งรอเจ้าจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว รับรองเลยว่าวันนี้เจ้าดวงกุดแน่”
สิ้นเสียงนั้นคบเพลิงในมือผู้นำทางก็ดับพริบ ความมืดมาเยือนทันทีในพริบตา อาร์กัสตกใจกับการจากไปแบบรวดเร็วทันด่วนของนักพรตผู้ขึ้นชื่อด้านความเร็วสูงสุดในคณะ เขาถูกปล่อยทิ้งไว้ในความมืดสนิทเพียงลำพังหน้าประตูห้องโถง สายลมเยือกเย็นพัดเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนเริ่มขนลุกซู่ทั้งตัว เขาหวาดกลัวสิ่งเหล่านี้มาตลอด ทั้งความหนาวเหน็บและสายลมที่มักส่งเสียงหวีดหวิวแปลกๆเมื่อพัดเข้ามาในอาราม เด็กหนุ่มค่อยๆดันประตูห้องโถง แสงสว่างนวลๆจากห้องสัมภาษณ์ค่อยๆสาดส่องเมื่อประตูถูกแหงมออกเรื่อยๆ เขาจึงเข้าไปในนั้นทันที แม้ขาทั้งสองข้างยังสั่นผับๆ
“อะ เอ่อ ข้า.......”
อาร์กัสเอ่ยขึ้นอย่างลังเล เพราะสิ่งแรกที่เขาพบเมื่อเข้าไปในห้องโถงแล้ว คือใบหน้าที่ดูจะหงุดหงิดไม่พอใจอย่างยิ่งของชายชราผมขาวโพลน แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนไม่สมวัย ชายคนนั้นบีบฝ่ามือตนเองดังกร๊อบ ในทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ดวงตาสีเทาคู่นั้นดุดันราวกับกำลังโกรธจัด เมื่อดูจากป้ายระบุตำแหน่งบนโต๊ะแล้ว อาร์กัสก็ถึงกับหน้าถอดสี เพราะชายชราผู้นั้นเป็นถึงอธิการคณะนักบวชเลยทีเดียว และยังมีกรรมการสัมภาษณ์อีกสามคนนั่งอยู่ใกล้ๆ
“นั่งลง!”
อธิการชราจากโต๊ะแรกสั่งเสียงห้วน
“เร็วเข้า! จะให้พวกข้ารอไปถึงเมื่อไหร่”
เขายกมือฟาดโต๊ะพร้อมตะโกนดังลั่น ชายชราอธิการคณะนักบวชแห่งซางตานีโอผู้มีฝีมือด้านการพิฆาตความมืดที่ร้ายกาจจนเป็นตำนาน กำลังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง เมื่อต้องเสียเวลานั่งรอเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นชั่วโมงๆ
อาร์กัสรีบนั่งลงยังเก้าอี้ตัวเดียวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าบุรุษทั้งสี่ ชายชราคนแรกคืออธิการของคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ เป็นบุคคลที่อาร์กัสไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ส่วนสองคนข้างๆนั้นเป็นผู้คุมกฎของอารามและคนสุดท้าย คือบุรุษผมสีทองงดงามที่ยังดูยิ้มแย้มอยู่เสมอ อาร์กัสจำเขาได้ขึ้นใจทีเดียว เพราะชายคนนั้นคืออาร์คบิชอปแห่งเมืองซางตานีโอ อาร์คบิชอปกาเบรียลที่ 3
“เงยหน้าขึ้น แล้วบอกชื่อแซ่มา”
อธิการชราถามด้วยน้ำเสียงดุดัน แล้วมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ชอบใจนัก
“อาร์กัส ขอรับ ข้าเป็นชาวกราโดจากทางตอนเหนือของดินแดนเชล”
อาร์กัสตอบสั้นๆ แต่สายตายังคงก้มจ้องมองที่พื้น ไม่กล้าสบตาชายชราตรงหน้า
“กราโด.....”
ชายชราเอ่ยทวนชื่อเมืองนั้นอีกครั้งพลางเท้าคางครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ แต่อาร์กัสกลับเริ่มใจคอไม่ดี เมื่อไม่อาจทราบได้ว่า ชายชราผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
“ขอรับท่านอธิการ เด็กคนนี้ เคยได้รับการช่วยเหลือจากทางอารามเราเมื่อห้าปีก่อน นักรบของเราพาเขาที่บาดเจ็บกลับมาพักฟื้นที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีขอรับ”
ผู้คุมกฎรายงาน ส่วนชายชราผู้ที่นานๆจะอยู่อารามสักครั้ง เนื่องจากติดภารกิจมากมายจนแทบไม่เคยได้กลับอาราม เขาไม่ค่อยรู้เรื่องราวภายในอารามมากนัก จึงได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“มาพักฟื้นเพราะภัยสงครามหรอกเหรอ” ชายชราถามเสียงเรียบ
“ขอรับ เขาถูกทำร้ายกลับมา”
ทันใดนั้นเอง เมื่อได้ยินรายงานจากผู้คุมกฏ ดวงตาสีเทาคมกริบของชายชราผู้เจนจัดด้านการพิฆาตความมืดในสนามรบมานับสิบๆปี ก็จ้องปราดไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางยิ้มเหยียดออกมา
“สงครามทางตอนเหนือของดินแดนเชล มักไม่ค่อยมีใครบาดเจ็บแล้วรอดตายกลับมาได้ จะมีก็เพียงตาย ไม่ก็.........”
ดวงตาสีเทาคู่นั้นยังคงจ้องมองมายังอาร์กัสด้วยความไม่ไว้วางใจ ก่อนจะเอ่ยต่อให้สิ้นประโยค
“ไม่ก็....... โชคดีอย่างเหลือเชื่อ”
นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้อาร์กัสอยากลุกหนีออกจากห้องโถงแทบจะทันที ถ้าหากนักบวชตรงหน้ารู้เรื่องที่เขาถูกทำร้ายโดยนักรบเจตภูตกลับมา เขาคงจะถูกสังหารเสียตรงนี้ในทันทีเป็นแน่
“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ พวกเราได้ตรวจสอบแล้ว เขาถูกเพียงอาวุธธรรมดาทำร้ายกลับมาขอรับ ไม่ใช่อาวุธต้องคำสาปแต่อย่างใด”
ผู้คุมกฎอีกคนยื่นเอกสารสองสามแผ่นให้ชายชรา แม้จะมีการตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้ว แต่อธิการคณะนักบวชแห่งซางตานีโอกลับเชื่อในลางสังหรของตนมากกว่ารายงานสองสามแผ่นนั่น เขาทำเป็นผงกหัวงงๆเป็นเชิงยอมรับ แล้วเริ่มสัมภาษณ์ต่อ
“ข้าจะไม่ถามอะไรเจ้ามากนัก แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ตั้งแต่บัดนี้ ถ้าหากเจ้าเพียงแต่อยากลองเป็นนักพรตดูเล่นๆ ก็จงไสหัวไปจากที่นี่ซะ อารามนี้ไม่มีที่ยืนให้กับพวกเหลือขอ หรือคนขี้ขลาด!”
ราวกับถูกหมัดหนักๆเข้าไปเต็มหน้า เมื่อน้ำเสียงห้วนๆจริงจังไม่ล้อเล่นของชายชราผู้นั้นทำให้อาร์กัสต้องกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้น พร้อมกับมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจ เขาอยากเป็นนักพรตจริงๆเหรอเปล่า ความจริงแล้วเขามาที่นี่ทำไมกันแน่
“ว่าอย่างไรละ” ชายชราถามย้ำอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้จะมาอารามนี้เล่นๆขอรับ แต่ข้ามีความจำเป็นที่ต้องเป็นนักพรตให้ได้ขอรับ”
อาร์กัสตอบให้ตรงกับความรู้สึกมากที่สุด ไม่ใช่เพราะอยากเป็นนักพรต แต่เพราะต้องเป็นให้ได้ตั้งหาก เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว บางสิ่งบางอย่างในความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า การหยุดยั้งมันมีเพียงการร่ำเรียนเป็นผู้พิฆาตความมืด เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาเท่านั้น
“แล้วความจำเป็นของเจ้าคือสิ่งใด อาหาร เงินทองอย่างนั้นเหรอ”
ชายชราว่าพลางมองเด็กหนุ่มอย่างประเมินรูปกายภายนอก เด็กชายที่ไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน มาสมัครเป็นนักพรตเพราะไม่อยากอดตาย คงไม่ผิดนักถ้าหากเขาจะถูกมองว่าเป็นเช่นนั้น
“เปล่าขอรับ”อาร์กัสแย้ง
“ถ้าอย่างนั้นอะไรเล่า หรือสิ่งจำเป็นของเจ้า คือการได้รับการยกย่องจากผู้คนใช่หรือไม่ มาเป็นนักบวชเพื่อให้ผู้คนยกย่องนับถือ เพื่อให้แลดูเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าเจ้ามาเป็นนักบวชเพื่อแสวงหาเกียรติจากเบื้องบน ก็จงไสหัวออกไปจากอารามนี้แล้วอย่างมาให้ข้าเห็นหน้า”
น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความดุดันเกรี้ยวกราด แต่คำพูดเหล่านั้นได้เข้าสู่จิตใจของเด็กหนุ่ม พร้อมๆกับที่เขาได้มองเห็นปณิธานอันแรงกล้าในการเป็นนักพรตของอธิการคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ บุรุษผู้ครองชีวิตพรตจนถึงวัยชรา แม้ใบหน้าจะเคร่ง ดวงตาสีเทาจะฉายแววดุดันเพียงใด น้ำเสียงนั้นก็ดังห้วนไม่น่าฟัง แต่มันก็เป็นคำถามที่ได้เตือนสติเขา เด็กหนุ่มถามตนเองเช่นกัน แต่คำตอบเดียวในใจของเขาก็คือ......
“ไม่ใช่ขอรับ”
อาร์กัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แล้วสิ่งใดคือเหตุผลของเจ้า” ชายชราถามต่อ
ความจริงแล้วอาร์กัสไม่ได้ต้องการเป็นพรตสายพิฆาตความมืด สาเหตุสำคัญที่เขาต้องมายังอารามแห่งนี้ เพราะมันคือสถานที่แห่งเดียวที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขที่สุด ไม่มีใครในอารามพยายามจะฆ่าเขา ไม่มีใครต้องหวาดกลัว ทั้งยังได้เรียนหนังสือ ไม่ต้องออกระเหเร่ร่อน แต่เหตุผลเหล่านี้คือคำตอบที่แท้จริงของเขาแล้วเหรอ ไม่ใช่หรอก ความจริงแล้ว “ไม่ใช่” มีบางอย่างตกตะกอนในจิตใจนับตั้งแต่วันที่เขาถูกดาบเล่มนั้นแทงทะลุกลางอกกลับมา ความรู้สึกที่ถูกความชั่วร้ายไล่ล่า โดยไม่อาจต่อต้านอะไรได้ เขาถูกพวกมันช่วงชิงทุกอย่างไป จนกระทั่งไร้แม้บ้านที่จะให้กลับ
“สิ่งที่ข้าต้องการ คือความสามารถที่จะเอาชนะความมืดตรงหน้าให้ได้ขอรับ ที่ข้ามายังอารามแห่งนี้เพราะคาดหวังว่า ที่แห่งนี้จะสามารถทำให้ข้าต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นได้ ข้าไม่อยากยืนรอ หรือวิ่งหนีอีกแล้ว”
อาร์กัสตอบไปตามที่คิดอย่างดีที่สุด แต่กลับเป็นว่าชายชราที่กำลังฟังอยู่นั้น ก็ยิ้มเหยียดหยามแล้วหัวเราะเยาะออกมา
“ปณิธานฟังดูดี แต่ช่างตื้นเขินนัก แต่สมัยที่ข้ายังเด็กพอๆกับเจ้า หรือแม้แต่ตอนเข้าอารามนี้ครั้งแรกข้าก็เคยคิดเช่นนั้น ถูกคนของความมืดไล่ล่าสังหาร จนต้องซมซานมาที่นี่ ในใจมีแต่ความเคียดแค้น จะต้องทำลายความมืดให้สิ้นซาก แต่ความคิดเช่นนั้นไม่ทำให้เป็นนักบวชที่ดีได้หรอก เพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ยืนหยัดเป็นพรตได้ไปจนสิ้นชีวิตหรอก”
ชายชรากล่าวเนิบๆแล้วเอนตัวพิงกับเก้าอี้ ตัวอย่างที่ดีที่สุดของนักพรตสายพิฆาตความมืด ที่ยืนหยัดอยู่จนเข้าสู่วัยร่วงโรย แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ละทิ้งเส้นทางนักบวชไปไหน มันทำให้เด็กหนุ่มมองเขาด้วยความเลื่อมใสฉับพลัน
“แล้วข้าควรมีปณิธานอย่างไรเหรอขอรับ”อาร์กัสถาม
“เรื่องนั้นเจ้าต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง ตลอดระยะเวลาขั้นฝึกหัดนั้น จงใช้เวลาทั้งหมดไตร่ตรองจิตใจ ข้าเองก็ไม่อาจชี้แนะอะไรได้ เพราะแต่ละคนนั้นย่อมได้รับกระแสเรียกที่แตกต่าง”
ชายชราอธิบาย พร้อมกับลงชื่ออนุมัติให้เด็กชายตรงหน้าเข้าเป็นนักพรตฝึกหัดของอารามอย่างเป็นทางการ อาร์กัสถึงกับฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะรีบโค้งคำนับชายชรา
“แล้วยังมีอีกข้อห้ามที่ข้าอยากบอกไว้ หากเจ้าแอบย่องไปหาเด็กสาวเมืองซางตานีโอหรือที่ไหนก็ตาม สถานภาพการเป็นพรตหรือแม้แต่ยังเป็นพรตฝึกหัดอยู่ก็จะสิ้นสุดลง”
นั่นเป็นคำเตือนที่ทำให้อาร์กัสเริ่มหัวเราะ ใช่ว่าเขาจะไม่อยากออกไปหาเด็กสาวพวกนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่อยากโดดอารามหนีเที่ยว แต่ทุกสิ่งมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว นับตั้งแต่ที่ถูกดาบเจตภูตเสียบทะลุกลางหัวใจ แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ แต่จริงๆแล้ว ตัวเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว เขารู้ตัวตั้งแต่วันที่เขากลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง มนุษย์ทุกคนหวาดกลัวเขา ทุกคนจะฆ่าเขา ซ้ำร้ายยังมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา แม้จะเชื่องช้าแต่เขาก็รู้สึกได้
เด็กหนุ่มผมสีทองจากดินแดนเชลได้เก็บทุกสิ่งเอาไว้แต่ภายในใจ แล้วหัวเราะเสแสร้งกลบเกลื่อน ก่อนจะพูดไปอีกเรื่อง
"ท่านวางใจได้เลย”อาร์กัสบอกพลางยิ้มออกมา
“ งั้นหรอกเหรอ แต่คงเพราะเรื่องสาวๆนี่แหละปัญหาใหญ่ ที่ทำให้เด็กหนุ่มมากกว่าครึ่งต้องออกจากคณะไป สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันคงจะยากเอาการ ส่วนกฎข้อห้ามต่างๆนั้นยังมีอีกเยอะ ว่าอย่างไรละผู้คุมกฎ”
ชายชราโยนหน้าที่ให้ผู้คุมกฎสองคน ทั้งสองนั้นคือบุคคลที่อาร์กัสเคยพบเห็นบ้าง เมื่อตอนที่เขายังอยู่อาราม ทั้งคู่สวมเครื่องแบบเต็มยศ แล้วมองมาที่เขาอย่างพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“กฎระเบียบของอารามสำหรับเจ้าที่เคยใช้ชีวิตที่นี่มาแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่สำหรับกฎระเบียบสำหรับนักพรต รวมทั้งบทลงโทษต่างๆยังมีอีกมาก ซึ่งเจ้าต้องท่องจำให้ขึ้นใจ”
ผู้คุมกฎคนแรกเอ่ยขึ้นก่อนจะมอบหนังสือคู่มือการเป็นนักพรตเบื้องต้นให้เขา อากัสรับมันไว้แล้วมองตาปริบๆเพราะมันค่อนข้างหนาเอาการ
“ตอนนี้เจ้ายังต้องอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมประมาณห้าปีสำหรับการเป็นพรตฝึกหัด ต้องสอบให้ผ่านหลักสูตรเหล่านี้ให้ได้ เพื่อที่จะเป็นนักพรตของคณะอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นจึงจะได้เริ่มศึกษาวิถีทางของผู้พิฆาตความมืด โดยระยะเวลาขั้นต่ำในระดับนี้คือเจ็ดปี หรือมากกว่านั้น ”
เพียงแค่พรตฝึกหัดทั่วไปยังต้องอยู่ในขั้นเตรียมถึงห้าปี และต้องสอบให้ผ่านหลักสูตรในปีสุดท้าย เด็กหนุ่มรับม้วนกระดาษจากผู้คุมกฎอีกคนด้วยใบหน้าถอดสี เมื่อเห็นสรรพวิชาต่างๆที่เขาต้องเรียนตลอดห้าปี เพราะคนหัวขี้เลื่อยอย่างเขานั้นก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมีปัญญาสอบผ่านหรือไม่
“แล้วนี่เครื่องแบบของเจ้า”
ผู้คุมกฎยื่นเครื่องแบบนักพรตฝึกหัดสีน้ำตาลเข้มมาให้อาร์กัส แต่ยังไม่ทันที่จะยื่นมือไปรับ ใครคนหนึ่งก็สั่งห้ามเอาไว้ อยู่ๆอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอก็ถึงกับยังไม่อนุญาตให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นนักพรต บุรุษผมสีทองสูงศักดิ์จ้องมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าทรงอำนาจ พร้อมทั้งยังสามารถมองเห็นกระทั่งคำสาปร้ายภายในกายเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“เราจะไม่เค้นอะไร เรื่องสาเหตุที่เจ้าจะมาเป็นนักพรตของเรา แต่ข้าจำเป็นต้องถามบางอย่างกับเจ้า จงตอบด้วยความสัตย์จริง”
แม้น้ำเสียงจะสดใสเอ่ยวาจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่อาร์คบิชอปกาเบรียลที่3 แห่งซางตานีโอ กลับดูน่ากลัวเหลือเกินในความรู้สึกของอาร์กัส
“คำถามนี้จะตัดสินชีวิตเจ้าอาร์กัส หากคำตอบของเจ้าไม่ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น เราจะสังหารเจ้าที่นี่ทันที”
อาร์คบิชอปเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในความราบเรียบนั้นก็ถึงกับทำให้ทั้งเด็กหนุ่มและนักพรตอีกสามคนในห้องโถงตกใจจนหน้าซีด อาร์กัสเริ่มตัวสั่นเทาอีกครั้ง บัดนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นตั้งแต่เริ่มย่างเท้าเข้ามาในอารามแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะบรรยากาศอันน่าขนลุกภายในอาราม แต่เป็นเพราะอำนาจบางอย่างจากอาร์คบิชอปตรงหน้านี้ตั้งหาก ที่ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่านร้องเตือนถึงอันตราย
" ไม่ต้องกลัว เพราะเจ้าจะตายโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ"
น้ำเสียงสดใสน่าฟังแต่กลับรู้สึกเยือกเย็นน่าขนลุก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากจะลุกหนี นักพรตอีกสามคนในนั้นเองต่างก็พากันเงียบกริบด้วยความตกใจ เมื่อได้รู้สาเหตุแท้จริงที่อาร์คบิชอปต้องสั่งให้พวกเขานั่งรอเด็กชายตรงหน้าคนนี้นานเป็นชั่วโมง ที่แท้ก็เพื่อจะสังหารเด็กคนนี้อย่างนั้นเหรอ!
“อาร์กัสเจ้าจงตอบเรา ถ้าหากต้องเลือกระหว่างตัวเจ้าเองกับความมืดที่อยู่ตรงหน้าเจ้าจะเลือกสิ่งใด”
คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาค้างด้วยความตกใจระคนสับสน บางอย่างลึกๆในใจของเขากำลังร้องหาความมืด ตัวตนของเขานั้นถูกทำลายย่อยยับแล้วตั้งแต่วันที่ถูกดาบเล่มนั้นพรากความเป็นมนุษย์ไป และในตอนนี้เขาก็มีเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือ......
“ความมืด.....”
คำตอบเดียวเปล่งออกมาจากปากอาร์กัสโดยไม่ลังเล เขามีทางเลือกแค่ทางเดียว แต่มันกลับเป็นคำตอบที่ทำให้ทั้งอธิการคณะนักบวชและผู้คุมกฏทั้งสองลงความเห็นว่าไม่อาจเก็บเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไว้ในอารามได้
“ท่านอาร์คบิชอป ฆ่าเด็กคนนี้ไปเถอะขอรับ”ผู้คุมกฏเอ่อขึ้นด้วยใบหน้าเครียด
“อย่าเพิ่งเลยผู้คุมกฎ เราอยากฟังเหตุผลของเขา”
อาร์คบิชอปยกมือขึ้นปราม ก่อนจะหันไปถามอาร์กัสอีกครั้ง
“ถ้าเจ้าเลือกความมืด ก็หมายความว่าเจ้าจะละทิ้งตัวตนของเจ้าอย่างนั้นเหรอ”
ชายผมทองถามต่อด้วยเสียงราบเรียบ
“ไม่ใช่ขอรับ แต่เป็นตัวของข้าเองที่จะหยุดยั้งความมืด ต่อให้ต้องตาย!”
อาร์กัสตอบด้วยใบหน้าจริงจัง อาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอได้ยินดังนั้นก็ขยับรอยยิ้มบางๆออกมา ก่อนที่จะถามต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะหยุดยั้งความมืดที่กำลังแผ่ลงมาจากดินแดนเชลได้เหรอเปล่า”
“ความมืดจากเชล? สงครามสงบลงแล้วไม่ใช่หรือขอรับ”
อาร์กัสเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
“ใช่ แม้ทุกอย่างจะดูสงบแล้ว แต่ผู้พิฆาตความมืดทุกคนจะต้องเจอกับสิ่งที่ร้ายกาจกว่าที่เจ้าเคยเจอมาก่อนหน้านี้มากมายนัก เจ้าจะเลือกตัวตนของเจ้าเองเพื่อให้พ้นทรมานและกลายเป็นทาสของความมืด หรือจะเลือกความมืด เพื่อที่จะหยุดยั้งมันเอาไว้ บัดนี้เจ้าให้คำตอบเราแล้ว เพราะฉะนั้นคณะนักบวชแห่งซางตานีโอขอต้อนรับเจ้า จงไปเตรียมตัวให้พร้อมแล้วเป็นกำลังให้เราด้วย”
อาร์กัสมองชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นกลัวในช่วงแรกๆ แต่บัดนี้มันคือความไว้ใจ ถ้าหากว่านี่คือเส้นทางที่ถูกที่ควรของเขาแล้วละก็ เขาก็จะยินดีน้อมรับคำขอนั้น
“ขอรับ”
เด็กหนุ่มตอบตกลงแล้วรับเครื่องแบบจากมือของอาร์คบิชอป ก่อนที่เขาจะโค้งคำนับอีกครั้งแล้วออกจากห้องโถงนั้นไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ที่แท้.... ท่านก็มีความลับที่ไม่ยอมบอกพวกเราเสมอนะ ท่านกาเบรียล ตาของท่านมักเห็นอะไรอยู่เรื่อย”
อธิการเอ่ยขึ้นเมื่ออาร์กัสจากไปแล้ว
“อืม.....เราเห็น แต่ว่าสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่แน่ไม่นอน”
บุรุษผมทองเอ่ยตอบเสียงเบาแล้วลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่ให้พวกข้านั่งรอเป็นชั่วโมงๆก็เพราะต้องการตรวจสอบเด็กนั่นใช่มั้ย ท่านอาร์คบิชอป เด็กนั่นเป็นใครกันแน่ ท่านถึงได้.......”
อธิการชราเอ่ยถามอย่างกังวล
“ตอนนี้เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาเท่านั้น ช่วยรับเขาไว้ที่นี่ด้วยนะ เห็นแก่เราช่วยอบรมสั่งสอนให้เขาทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เข้าใจนะ”อาร์คบิชอปสั่งแกมขอร้อง
“ทำไมท่านต้องใส่ใจเด็กนั่นด้วยขอรับ” อธิการถามต่อ
“เพราะมีคนคนหนึ่งขอร้องเราเอาไว้ ดังนั้นฝากด้วยนะ ท่านทั้งหลาย”
ว่าแล้วอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอก็จากไป เหลือเพียงสามนักพรตที่ยังนั่งอยู่ด้วยความหวาดระแวง อีกทั้งยังกังวลถึงตัวตนของเด็กชายจากเชลคนนั้น
“ถึงจะถูกขอร้องเอาไว้ แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็จงฆ่าเด็กนั่นซะ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
แต่อธิการชรากลับออกคำสั่งผู้คุมกฎทั้งสองไปอีกอย่าง เพราะเขาไม่อาจไว้วางใจเด็กหนุ่มที่รอดชีวิตมาจากดินแดนทางตอนเหนือลงได้ เขาเห็นมากับตาแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่นั่นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ ถ้าหากพบว่าเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ต้องกำจัดทิ้งไปเท่านั้น ก่อนที่ซางตานีโอหรือแม้แต่เจ็ดนครอาจต้องล่มสลาย
“รับทราบ”
สองผู้คุมกฎรับคำสั่งแล้วจากไปในทันที ห้องโถงกลับมามืดสนิทอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มผมทองจากดินแดนเชลก็ยังไม่ได้ออกไปไหนไกล เขาซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และได้ยินทุกสิ่งอย่างชัดเจน แม้แต่อารามนี้ก็จะฆ่าเขา บัดนี้ไม่มีที่ใดในโลกให้หนีหรือซ่อนอีกแล้ว อาร์กัสรู้เรื่องนี้ดี แม้แต่คณะนักบวชแห่งนี้ก็ยังไม่อยากจะรับเขาเอาไว้ พวกนั้นจะกำจัดเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเริ่มย่างเหยียบเข้ามาสมัครเป็นนักพรตแล้ว หรือไม่ก็ตั้งแต่ที่เขาเข้ามายังอารามนี้เมื่อห้าปีก่อนด้วยซ้ำ
“มีคนคนหนึ่งขอร้องเราเอาไว้”
คำพูดของอาร์คบิชอปดังขึ้นในห้วงคิด ยังมีบางคนแอบช่วยเขาอยู่อย่างลับๆ ใครคนนั้นคือผู้ที่ยังเชื่อใจปีศาจอย่างเขาอยู่
อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ทุกคน
อาร์กัสยิ้มเหยียดออกมาในความมืด ก่อนที่จะรีบออกไปจากบริเวณห้องโถง รวมตัวกับนักพรตฝึกหัดคนอื่นๆในอารามนั้น แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเขาอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นเขาก็จะต้องปิดเอาไว้ให้มิด และหลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงไม่อาจจะรักษาชีวิตรอดในอารามแห่งนี้ได้ อยู่ๆความเกลียดชังก็เริ่มก่อตัวในใจลึกๆ แต่กระนั้นอาร์กัสก็ยังต้องก้าวต่อไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END/คำตอบของพรตปีศาจ
ความคิดเห็น