คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : อาร์กัส ( Argus )
ข้าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวเหล่านี้จากตรงไหนดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา มันเนิ่นนานจนข้าเองยังรู้สึกว่าหลายๆเรื่องนั้นเลือนรางจากความทรงจำ แต่ที่ยังจดจำได้เสมอคือเรื่องราวในวันนั้น วันที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของข้าต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล
ย้อนกลับไปพันกว่าปีก่อน ในตอนนั้นข้ายังอาศัยอยู่กับครอบครัวพรานป่าเล็กๆ ในหมู่บ้านแถบชายแดนเชลหากจะกางแผนที่ในสมัยปัจจุบันนี้ บ้านเกิดของข้าก็เป็นเพียงแผ่นดินรกร้างภายในทวีปต้องสาป พวกเราใช้ชีวิตเรียบง่าย อยู่กันอย่างสงบสุขมาช้านาน ใช่แล้วทุกอย่างควรเป็นเช่นนั้น
“อาร์กัส! ถอยห่างจากถนนนั่น เร็วเข้า!”
มีเสียงตะโกนไล่ข้าอย่างเอาเป็นเอาตายจากผู้คนในหมู่บ้าน พวกเขาต่างวิ่งกันอลหม่านโกลาหล นอกนั้นที่ถนนนั่นข้ายังเห็นฝูงชนจำนวนมาก ต่างวิ่งหน้าตาตื่นราวกับหนีสิ่งใดมา มีเสียงร้องลั่นก้องระงม ดังแว่วมาแต่ไกล และรู้สึกว่ามันจะได้ยินใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดสงครามขึ้นเหรอขอรับ!”
ข้าร้องถามพ่อข้าที่กำลังจูงมือข้าแล้วออกวิ่งสุดชีวิต
“ใช่ แต่มันแย่กว่านั้น อาร์กัสบางทีทั้งเจ้าและข้า พร้อมคนทั้งหมดนี้ อาจจะไม่มีใครรอดชีวิตจากพวกที่กำลังมานั่น! นี่ไม่ใช่สงครามธรรมดาแต่พวกนั้น มันกำลังมาล่ามนุษย์”
สิ่งเลวร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตในวัยเด็กของข้าจนป่นปี้นั้น พวกมันมีประมาณยี่สิบตน สวมเสื้อคลุมดำสนิท ภายใต้ฮูดคลุมศีรษะนั้น มีเพียงความมืดกับแสงเรืองๆแดงฉานที่น่าจะมาจากดวงตาทั้งสองข้าง พวกมันต่างขี่ม้าสีดำปลอดตัวใหญ่กว่าม้าใดๆที่ข้าเคยเห็นมา ท่าทางแต่ละตนดูสูงใหญ่และพกดาบยาวคมกริบเหมือนนักรบ พวกมันแค่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่ด้วยการทดลองเวทย์ต้องห้าม ทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบปีศาจที่ไม่มีวันตาย
ดินแดนเชลถูกโจมตีโดยกองกำลังแปลกๆเหล่านี้ ว่ากันว่าผู้ครอบครองดินแดนทางเหนือต้องการจะแผ่อำนาจปกครองทุกแว่นแคว้น เขาฝ่าฝืนข้อห้าม แล้วสร้างมนุษย์ดัดแปลงร่วมกับเจตภูตขึ้นมา กองทัพของดินแดนเชลไม่มีทางเอาชนะพวกมันได้หรอกขอรับ มนุษย์ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจรับมือกับปีศาจไหว ทำให้บริเวณชายแดนทั้งหมดกำลังถูกยึดครอง แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของฝ่ายนั้นคือซากศพมนุษย์ วัตถุดิบสุดสำคัญในการสร้างกองทัพเจตภูต และที่สำคัญมีเจ็ดขุนพลปีศาจอยู่เบื้องหลัง
“วิ่ง!”
ยังไม่ทันไรนักรบเจตภูตก็ควบม้าฟาดฟันผู้คนตลอดทางจนมาถึงที่นี่พวกมันลงดาบฟาดฟันกระหน่ำไม่ยั้ง พร้อมใช้ม้าเหยียบย่ำผู้คนจนร่างแหลกเหลว ข้าได้ยินเสียงร้องโหยหวนจนหูอื้อไปหมด และตัวข้าเองก็ถูกดาบของนักรบนั่นแทงเข้าที่กลางอกจนล้มลงกับพื้นจมกองเลือด
“อาร์กัส!”
ข้าได้ยินเสียงพ่อข้าร้องลั่น แต่เขาช่วยอะไรข้าไม่ได้ เพราะดาบคมกริบนั้นกำลังจะถูกเหวียงฟันซ้ำเพื่อคร่าชีวิตแล้ว ข้าได้แต่หลับตาลงเมื่อไม่อาจจะทำอะไรได้ หลับตาอยู่อย่างนั้น และเริ่มรู้สึกว่ามันเนิ่นนานเกินไปสำหรับการรอคมดาบปั่นศีรษะจากนักรบปีศาจตรงหน้า จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น
“ถ้าอยากสู้อย่างสมน้ำสมเนื้อ จงมาดวนดาบกับข้าไม่ดีกว่าเหรอ”
ข้าเห็นคนผู้หนึ่งใช้มือเปล่ารับคมดาบนั้นไว้ บุรุษปริศนาในชุดนักพรตสีน้ำตาลเข้ม ในตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุใดจึงเก่งกาจขนาดนั้น
ไม่มีใครเอาชนะเจตภูตได้ แม้ใช้ทั้งดาบทั้งธนูเข้าสู้ แม้จะแทงถูกจุดสังหาร หรือต่อให้ยิงลูกดอกใส่จนพรุน แม้จะจุดไฟเผา ก็ไม่อาจสังหารมันได้ นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กองกำลังแห่งดินแดนเชลต้องแพ้พ่าย แต่เพราะสาเหตุใดกันแน่ เหตุใดชายคนนั้นจึงทำลายนักรบเจตภูตได้อย่างง่ายดายนัก เพียงแค่คมดาบเชือดเฉือน ร่างดัดแปลงนั้นก็ระเบิดเป็นเถ้าถ่านไปในทันที เพียงไม่กี่อดใจเดียว นักรบเจตภูตก็เหลือเพียงห้าหกตน และกำลังควบม้าหนีออกไป
“พลธนู!”
แม้ม้าสีดำฝีเท้าไวจะพานักรบเจตภูตหนีออกไปไกลแล้ว แต่ยังมีนักพรตอีกเจ็ดคนง้างธนูเตรียมพร้อมที่หน้าถนน ดักซุ่มรอจังหวะสังหารล่วงหน้าแล้ว
“ยิง!”
ลูกดอกพุ่งเสียบทะลุยังร่างเป้าหมายได้อย่างแม่นย่ำเด็ดขาด แล้วพริบตาเดียวร่างกายที่เกิดจากการดัดแปลงด้วยเวทย์ต้องห้าม ก็กลายเป็นตุ่มปูดโปน เริ่มแตกละเอียดเป็นฝุ่นผงไป นักรบเจตภูตที่ทำลายผู้คนมาหลายเมืองแล้วนั้นถูกกำจัดสิ้นซาก ด้วยฝีมือของนักพรตในชุดสีน้ำตาลเข้มจำนวน 8 คนเท่านั้น พวกเขาสวมฮูดปิดบังใบหน้ามีอาวุธครบมือ
“พวกนั้นเป็นใครกัน”
ข้าได้ยินคนที่ยังรอดชีวิตอยู่พูดคุยกันลั่น ที่แน่ๆกลุ่มคนที่จัดการปีศาจไปนั้นไม่ใช่นักรบในดินแดนเชล ไม่ใช่อัศวิน แต่เป็นนักบวชที่แต่งกายผิดแผกจากนักบวชในเชล ทั้งทักษะการต่อสู้ยังชำนาญร้ายกาจนัก
“นั่นเป็นนักพรต จากอารามลึกลับในหุบเขาทางใต้ใช่หรือไม่”
คนเริ่มคุยกันเสียงจอแจ เสียงพูดคุยกันนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ต่างคนต่างลงความเห็นไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าเป็นมือสังหาร แล้วนักพรตที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้ก็ไม่ได้พูดอะไร ข้ารู้ในภายหลังว่าพวกเขาเป็นนักพรตสายพิฆาตความมืด จากคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ ในสมัยนั้นชื่อเสียงของพวกเขาเป็นที่ลือลั่นไปทั่ว เป็นกองกำลังต่อต้านความมืดไร้เทียมทานที่สุดซึ่งได้ถูกส่งมาในดินแดนเชล หลังจากนั้นก็มีนักพรตจากคณะนี้มาประจำอยู่บริเวณชายแดนเชล ความปลอดภัยและความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง แต่นั่นมันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่สิบปี ก่อนที่สงครามในตำนานจะอุบัติขึ้น
“หัวหน้า ! มีเด็กยังไม่ตาย”
หนึ่งในนักพรตคนหนึ่งร้องลั่นแล้วชี้มาทางข้าที่นอนจมกองเลือดอยู่แถวๆนั้น สายตาของคนทั้งหมดจับจ้องมายังข้า ใช่แล้วพวกเขาต้องดีใจที่ยังมีเพื่อนมนุษย์รอดชีวิตมาได้ ต้องดีใจที่ข้ายังไม่ตาย แล้วต้องรีบรักษาช่วยชีวิตไว้แน่ๆ แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือสายตาของพวกเขาเหล่านั้น ไม่มีความเอื้ออาทรหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ทั้งหมดเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ทั้งหวาดกลัว และเกลียดชังเหลือแสน พวกเขาเริ่มถอยหนีออกจากข้า และอีกหลายคนต่างถือขอนไม้หรืออะไรก็ตามที่พอจะหยิบจับหามาได้แถวๆนั้น ต่างตรงดิ่งมาที่ข้าซึ่งยังนอนนิ่งอยู่กับพื้นทันที ไม่มีแววตาปราณีใดๆ ไม่มีท่าทีว่าพวกนั้นจะเมตตาสงสาร บิดาข้าเอาแต่ร้องให้เสียใจ แต่เขาไม่ได้ห้ามคนพวกนั้นที่กำลังจะลงมือสังหารข้า
“อ้าว ! ไม่ใช่ตายแล้วหรอกเหรอ!”
วาจาของนักพรตผู้ช่วยข้าไว้เองก็ช่างเชือดเฉือนใจข้านัก เขาร้องลั่นอย่างตกใจเช่นกัน ด้วยคิดว่าเด็กที่ถูกแทงนอนจมกองเลือดนั่นน่าจะตายไปแล้วจึงเข้ามารับดาบนั่นไว้ แต่เขากลับคิดผิด และทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่
“ยังขอรับ นี่เป็นความรับผิดชอบของท่าน ท่านต้องจัดการให้เรียบร้อย......”
“เออ เออ รู้แล้ว!ให้ตายสิ! ซวยเป็นบ้า ”
พรตผู้นั่นเริ่มบ่นออกมาแล้วเดินมาหาข้า ฝูงชนที่รายล้อมต่างหลีกทางให้เขาอย่างรวดเร็ว ด้วยนึกหวาดกลัวบรรยากาศวังเวงกดดันที่แผ่ออกมารอบๆกายนั้น ถึงจะเป็นนักพรตแต่ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวกว่าปีศาจมากมายหลายเท่า ดวงตาสีฟ้าที่จ้องลงมามองข้าที่กำลังจะถูกเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์เข่นฆ่านั้น ไม่ต่างอะไรกับกำลังมองหนอนแมลงตัวหนึ่ง เขายิ้มเหยียดหยามแล้วจ่อคมดาบมาที่ศีรษะข้า
“แกมีทางเลือกอยู่สองทาง อย่างแรกคือตายในฐานะมนุษย์ อย่างที่สองคือกลายเป็นเจตภูตแล้วค่อยถูกฆ่า”
ทางเลือกไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ความตายอยู่ตรงหน้า ตายในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ หรือรอให้กลายเป็นปีศาจแล้วค่อยถูกฆ่า บางทีข้าสามารถเลือกได้อีกทางหนึ่งคือถูกชาวเมืองรุมทุบตีจนตายไปเองก็ได้ ดาบของพวกนักรบเจตภูตนั้นหากไม่ถูกใช้สังหารให้ถึงแก่ชีวิต มันก็จะมอบชีวิตใหม่ให้ผู้ที่ได้รับบาดแผลแม้เพียงปลายเล็บ แต่เป็นชีวิตในฐานะนักรบเจตภูต ข้าทาสของปีศาจร้าย
คนทั้งหมู่บ้านต่างหวาดกลัวสิ่งนี้เอง พวกเขาจำเป็นต้องฆ่าข้าให้ตาย ก่อนที่จะกลายเป็นนักรบเจตภูตออกมาเข่นฆ่าพวกเขาเสียเอง ตอนนั้นข้ามีแต่ความสิ้นหวัง ไม่มีทางเลือกอื่นใดได้นอกจากถูกปลิดชีพ
“จงเลือกมาว่าจะเลือกตายในฐานะมนุษย์ หรือรอคอยให้กลายเป็นปีศาจแล้วถูกข้าสังหาร”
เขาถามอีกครั้ง แต่ข้าไม่อาจเลือกทางใด เพราะตอนนั้นแม้แต่ลมหายใจก็เริ่มรวยรินติดขัด โลหิตที่ยังไหลไม่หยุดนั้นทำให้ดวงตาข้าเริ่มฝ้าฟางมองสิ่งใดไม่ชัดเจนแล้ว ต้องรีบบอกออกไป ต้องรีบพูดในขณะที่เป็นมนุษย์ บอกเขาว่า “รีบๆข้าฆ่าซะ ก่อนที่ข้าจะเป็นเจตภูต อย่างน้อยๆเกิดเป็นมนุษย์ก็ขอตายในฐานะมนุษย์” แต่ข้านั้นขี้ขลาดนัก ในเสี้ยววินาทีที่ต้องตายไปจริงๆนั้น กลับใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่มี ยื่นมือไปข้างหน้า ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับปากได้ แต่เอ่ยเพียงในจิตใจออกไปว่า
“ข้ายังไม่อยากตาย”
เขาไม่ได้ยินเสียงภายในใจข้าหรอก ดวงตาสีฟ้าสีเดียวกับข้ายังคงจ้องมองลงมาด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นเคย แล้วดาบที่อยู่ในมือของเขานั้นก็ถูกยกขึ้นเสียบทะลุร่างของข้าอย่างไร้ปราณี ทุกอย่างหลังจากผ่านความเจ็บปวดรุนแรงนั้นเงียบสงบอย่างประหลาด ข้าไม่แน่ใจว่านี่เป็นความรู้สึกหลังความตายไปแล้วหรือไม่ เพราะข้ายังคงได้ยินเสียงแว่วๆจากเขา
“ภารกิจเสร็จสิ้น”
พวกนักพรตทั้งหมดจากเมืองนั้นไป และอีกไม่นานนัก ก็มีพรตสายพิฆาตความมืดกลุ่มอื่นๆมาประจำการร่วมกันกับนักรบปกป้องชายแดน ทุกอย่างกำลังกลับสู่ปกติสุข แต่ที่ไม่ปกติ คือข้ายังได้ยินเสียงแว่วๆเถียงกันไปมาอย่างชัดเจน
“หัวหน้าพาเด็กนั่น กลับไปด้วยจะดีเหรอ”
“นั่นสิ ถ้าเกิดกลายเป็นเจตภูตขึ้นมา”
“เงียบๆเถอะ น่ารำคาญ!”
พรตผู้นั้นตอบตัดบทไปว่าน่ารำคาญ เขาทำเป็นสังหารข้าต่อหน้าชาวบ้าน ก่อนจะพาข้าที่ยังไม่ได้สติใส่ในโลงไม้ไว้ท้ายรถม้า แล้วแอบพากลับอารามนักพรตเมืองซางตานีโอ หรือก็คือที่นี่เอง บริเวณที่ข้ากำลังกล่าวถึงนี้ เคยเป็นอารามนักพรตเมื่อพันปีก่อน
“ข้าสังหารแต่ปีศาจเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นคนอยู่แถมยังเด็กแบบนั้น ข้าลงมือไม่ไหวหรอก เหรอว่าพวกเจ้าจะเป็น คนลงมือเสียเอง”
พวกนักพรตคนอื่นๆไม่มีใครตอบอะไรอีกนับตั้งแต่นั้น ทั้งหมดพาข้ากลับไปที่ซางตานีโอ และทุกอย่างเหมือนความฝันที่เลือนราง ข้าถูกพาไปที่ไหนสักแห่ง มีเสียงโวยวายของคนอีกคนที่แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง เขาร้องโวยวายอย่างไม่พอใจจริงๆ
“แกไอ้เวร! ไอ้ตัวน่ารำคาญ ตัวหางาน เฮ็งซวย”
ข้าได้ยินเสียงแข็งกร้าวของบุรุษอีกคนร้องด่าอยู่อย่างนั้น
“เออ เออ ข้ารู้แล้ว จะเอาอะไรเป็นค่ารักษาก็ได้ แต่รีบช่วยเด็กนั่นเสียที”
“นั่นแกพูดเองนะ”ชายคนนั้นถามอีกครั้งเป็นการยืนยัน
“เออน่า”
“ช่วยไม่ได้ ถูกดาบเจตภูตมาใช่มั้ย”
ข้ารู้สึกว่าคนคนนั้นกำลังเอาข้าออกจากโลงไม้
“ใช่ จากทางเหนือของดินแดนเชล”
“ยุ่งยากเป็นบ้า เจ้าพวกนั้นคิดยังไงถึงโง่ให้ปีศาจมาครองบ้านครองเมืองตัวเอง”
“ไม่รู้สิ แต่ข้าได้ยินข่าววงใน ดูเหมือนว่าสองขั้วอำนาจจะทะเลาะกันเอง ดังนั้นจะเป็นปีศาจหรืออะไรก็ช่าง ขอแค่ชนะก็พอ ผลมันเลยซวยมาถึงเมืองข้างๆเช่นนี้ ดีไม่ดี.....”
พรตผู้นั้นยังพูดไม่จบ ก็ถูกอีกคนพูดแทรกขึ้น
“ไม่ต้องคาดการอะไรแล้ว เรื่องซวยๆถึงพวกเราแน่ เจ้าพวกบ้าจากนรกคงตามมาเล่นงานพวกเราอีกแหง แกเตรียมตัวแกไว้เลย”
“เออ เตรียมไว้แล้ว”
“ได้ตายอีกแล้วสิ น่าอิจฉา”
ชายคนนั้นหัวเราะเยาะอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนข้าที่ฟังอยู่นั้นก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันอยู่
“ที่ช่วยเด็กนี่มา ฉันรู้หรอกว่าแกเกิดนึกสงสารและคิดถึงอดีตตัวเองขึ้นมา แต่ขอบอกอีกครั้ง ว่าต่อให้ช่วยมันได้ยังไง มันก็ไม่เหมือนกับแก เจ้าเด็กนี่แม้จะหายจากคำสาป แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะใช้ชีวิตแบบปกติได้
“ยังไงบ้างละ”
พรตที่ช่วยข้าไว้ถามเสียงราบเรียบเหมือนไม่ใส่ใจ
“ก็ประมาณว่าต่อให้เป็นมนุษย์ก็เป็นได้ไม่สมบูรณ์ ผลกระทบจากคมมีดเจตภูต ทำให้ร่างกายไวต่อคำสาปทุกชนิด เรียกว่าภูมิต้านทานต่อคำสาปแช่งแทบไม่มี และที่อันตรายที่สุดนั้น ส่วนใหญ่พวกที่รอดมาได้ มักมีจิตด้านลบสูง อาจเป็นฆาตกร จอมมารหรืออะไรเลวๆ ได้ยินอย่างนี้แล้วแกจะปล่อยให้รอดอีกเหรอ”
ชายคนนั้นถามย้ำอีกครั้ง
“เอาไว้ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ ข้าจะฆ่ามันเอง”
“เข้าใจแล้ว แต่จากคำทำนายโบราณบอกไว้เลยว่า ผู้ถูกดาบเจตภูตสังหารแล้วไม่ตาย บุคคลผู้นั้นจะเป็นได้สองอย่าง คือผู้ปกป้อง หรือ ผู้ทำลายล้างมวลมนุษย์ และถ้าหากในอนาคตไอ้เด็กนี่เป็นต้นเหตุทำให้โลกนี้ล่มสลาย ถ้าหากจะเป็นอย่างนั้นจริง แกควรรีบสังหารมันตั้งแต่ตอนนี้ จะดีกว่ามั้ย ดาร์ค บริสตั้น”
ข้าค่อนข้างจะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินนามดาร์ค บริสตั้น พรตพิฆาตความมืดผู้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้
“คนอย่างนายเชื่อคำทำนายด้วยเหรอ งี่เง่าสิ้นดี”
หลังจากนั้นข้าก็จำอะไรไม่ได้ทุกอย่างมืดมิดไปหมด ก่อนที่ข้าจะมารู้สึกตัวอีกครั้ง ในคณะนักบวชเมืองซาตานีโอแล้ว และเส้นทางการเป็นนักบวชของข้าก็เริ่มต้นขึ้นจากวันนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พรตอาร์กัสหยุดเล่าชั่วคราว เขาถอนหายใจแล้วเอนตัวพิงต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังยืนต้นอยู่มานานนม นับตั้งแต่เขามาถึงที่นี่ในวันนั้น ต้นคูนใหญ่ยักษ์แต่ก็ไม่ใช่ต้นไม้สวรรค์เหมือนต้นอื่นๆในป่า มันยืนต้นอยู่ด้านหลังอาราม จากต้นนี้ไปหากเขาเดินไปทางทิศเหนือประมาณสี่ห้าร้อยเมตรก็จะไปถึงอารามแห่งคณะนักบวชซาตานีโอ ที่เมื่อพันปีก่อนดาร์ค บริสตั้นเคยพาเขามา เพียงแต่บัดนี้มันก็เป็นแค่ซากปรักหักพังของโบราณสถานในประวัติศาสตร์ เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำของเหล่าเพื่อนพ้องที่จากไปแล้วตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนโน้น
“จากที่ฟังมา ฉันว่านายโชคดีมาก เพราะถ้าหากดาร์ค บริสตั้นคนนั้นเป็นฉัน นายจะถูกฆ่าโดยไม่ลังเล”
ดาร์ค บริสตั้น คนปัจจุบันเอ่ยขึ้นห้วนๆ เธอนั่งฟังอาร์กัสอย่างตั้งใจอยู่นานที่ต้นไม้ต้นตรงข้ามกับเขา หญิงสาวผมดำผู้มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายคลึงกับดาร์คบริสตั้นรุ่นที่แล้ว แต่ที่ต่างกันเห็นชัดๆ คือความเด็ดขาดเมื่อต้องปะทะกับศัตรู และจะไม่ปราณีต่อสิ่งชั่วร้ายใดๆถ้าหากว่ามันจะเป็นภัยต่อมนุษย์ในภายหลัง เขาอาจถูกหล่อนปล่อยไว้เช่นนั้นจนกลายเป็นเจตภูตแล้วค่อยลงมือสังหาร หรือถ้าหล่อนเมตตาเขาจริงๆก็คงจะให้เขาตายในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่
“นั่นสิถ้าหากยังเมตตาอยู่ก็ควรฆ่าข้าซะ”อาร์กัสยอมรับง่ายๆ
“ใช่เขาควรทำอย่างนั้น ฉันคิดว่าดาร์ค รุ่นก่อนเองก็รู้ แต่เพราะอะไรกันละ ทำไมเขาจึงตัดสินใจช่วยนาย เสแสร้งหลอกลวงชาวบ้านว่าได้ฆ่านายไปแล้วอีกตั้งหาก ทั้งยังแอบพาไปรักษากับวาเลเรียส ทำไมเขาต้องยอมทำขนาดนั้น”
เคนิสว่าเสียงดังแล้วชี้ไปที่เขาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันเองก็เหมือนกัน ตอนที่หัวของนายร่วงลงมา อีกใจหนึ่งฉันอยากจะกำจัดนายทิ้งไปซะตรงนั้น มนุษย์ต้องสาปต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับปีศาจไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ต้องรีบกำจัดไปก่อนที่จะเกิดภัยร้ายแรง แต่ฉันก็เลือกอย่างเดียวกับรุ่นก่อน”
อาร์กัสมองดูเธอพูดอยู่เงียบๆ พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เพราะเหตุใดดาร์คบริสตั้นทั้งสองจึงได้ไว้ชีวิตเขา แม้แต่หมอปีศาจไลท์ วาเลเรียส ที่ว่ากันว่าเกลียดมนุษย์นักหนา ก็ยังยอมมารักษาให้ถึงสองครั้งสองครา ทำไมพวกบริสตั้นถึงยังช่วยเหลือ ผู้ที่อาจเป็นภัยอย่างเขาไว้
“ที่ฉันยอมช่วยไม่ใช่เพราะสงสารนายที่ตัวขาดเป็นชิ้นๆอย่างเดียวหรอก แต่ว่าเพราะฉันคาดหวังเอาไว้”
คำพูดนั้นทำให้อาร์กัสเบิกตากว้างออกมา คนอย่างเขาจะมาคาดหวังอะไรได้
“เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายไม่ใช่แค่ฟลุคหรือบังเอิญ นายคิดว่าจะมีคนสักกี่คนกัน ที่ถูกดาบนักรบเจตภูตแทงในดาบเดียวแล้วไม่ตาย”
นักรบเจตภูตที่เคนิสรู้จัก คือเจตภูตที่แข็งแกร่งร้ายกาจอีกทั้งยังมีร่างกายที่อึดอย่างเหลือเชื่อ ดาบของพวกมันไม่ต่างอะไรกับดาบอาบยาพิษร้ายแรง ที่ไม่เคยมีใครรอดจากมันไปได้ในดาบเดียว และยิ่งเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆเจตภูตไม่มีทางลงดาบพลาด นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ หรือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าโชคชะตา แต่เขาต้องมีภาระหน้าที่บางอย่างที่ต้องทำในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน จะทำให้โลกล่มสลาย หรือจะเป็นผู้ปกป้อง พวกเธอแค่คาดหวังเอาไว้และคอยเฝ้ามอง
“และฉันคิดว่าดาร์ค บริสตั้น คนนั้น คิดถูก เพราะในที่สุดแล้วนายก็เลือกที่จะปกป้องทุกสิ่งไว้ ถ้าหากตอนนั้นเขาฆ่านายทิ้งซะ บางทีคงจะไม่มีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดอย่างในตอนนี้แล้วก็ได้ ไม่มีเฮฟเว่นพาส ไม่มีป่านี้ ฉันกับเวเลเรียสจึงช่วยนายไว้ยังไงเล่า”
เคนิสเงยหน้ามองขึ้นไป เธอเห็นต้นไม้สวรรค์ขนาดใหญ่ยักษ์สูงชะลูดขึ้นเบียดเสียดกัน ดอกสีเหลืองทองทั้งป่านั้นเปล่งประกายงดงาม ผิดกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ที่มันร่วงโรยไปหมดกลายเป็นต้นไม้โสโครกสีดำปล่อยพิษร้าย จนพอจะเดาได้เลยว่า มนุษย์จะต้องเจอกับอะไรบ้างหากว่าไม่มีป่าเดียวดายกำบังอยู่
“เฮฟเว่นพาสที่ทรงพลังขนาดนี้ฉันไม่เคยเห็นที่ไหน ทั้งหมดคือความศรัทธาของนายยังไงละ อาร์กัส...!”
เคนิสต้องหยุดพูดเพียงเท่านั้น เมื่อมีสิ่งหนึ่งพุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็วระดับมัจจุราช มันเป็นอะไรสักอย่างที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่ากระสุนปืนมากมายนัก จนเธอยกมือขึ้นรับสิ่งนั้นไว้ได้แทบไม่ทัน แล้วพริบตานั้นดวงตาสีดำก็เห็นลูกดอกที่เธอจำได้สนิทใจว่าเป็นของที่ฟีเดอาโก้ทำขึ้น ใครคนนั้นหมายจะฆ่าเธอแน่ๆ เพราะเป้าหมายของลูกดอกนั่นคือกลางศีรษะหมายปลิดชีพ!
“อาร์กัส !”
เธอพบสิ่งผิดปกติจากบุรุษตรงหน้า สิ่งที่เธอเห็นนั้นคือชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะเสียสติไป ดวงตาสีฟ้าสดใส เปลี่ยนเป็นหมองหม่น และพริบตานั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเรี้ยวกราดและชิงชัง เขามองหน้าเธอแล้วยิ้มบิดเบี้ยว พลางถือกางเขนหน้าไม้เอาไว้
“ข้าฟังเจ้าพล่ามมานานแล้ว ดาร์ค เคนิส บริสตั้น ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร! ศรัทธางั้นเหรอ มันอะไรเล่า ไร้สาระสิ้นดี”
เคนิสไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน เมื่อพรตผมสีทองค่อยๆยืนโงนเงน ท่าทางเหมือนพวกที่เจอเรื่องเลวร้ายอย่างหนักแล้วสติวิปลาสไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ถอดเสื้อคลุมนั่นออกมา! หากไม่มีความศรัทธาแล้วนายมาเป็นนักพรตหาพระแสงทำไม”
เคนิสตะคอกพร้อมกับยืนขึ้นขว้างลูกดอกกลับไปหาบุรุษตรงหน้า ปลายลูกดอกพุ่งเฉียดหน้าของเขาออกไปปักกับต้นไม้ด้านหลัง แต่อาร์กัสก็ยังได้แผลถากๆที่ใบหน้า เขาปล่อยให้เลือดสีแดงเข้มไหลรินอาบแก้มลงมา ดวงตาสีฟ้ายังดูคุกรุ่นเหมือนเคียดแค้นสิ่งใดมามากมายนัก
“เจ้านั้นจะรู้อะไรเคนิส เจ้ารู้อะไรบ้างเหรอ! พวกเจ้าทำอะไร พวกเจ้าทำอะไรกับข้า พวกเจ้าควรฆ่าข้าตั้งแต่ตอนนั้นซะก็ดี หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าก็กลับไปบ้านเกิดอีกไม่ได้แล้ว”
เขาเคยกลับไปทีบ้านเกิดหลังจากนั้น ทุกอย่างกลับมาเกือบเป็นปกติยกเว้นเขา เด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมมิดชิดทั้งตัวกลับมาบ้านเกิด เห็นคนรู้จักรุ่นราวคราวเดียวกันมากมายเติบโตขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปทักทาย แต่สิ่งที่ได้รับคือสายตาอันตื่นตระหนกของคนรู้จัก สำหรับคนเหล่านี้แล้ว อาร์กัสคือเด็กที่ถูกเจตภูตทำร้ายและถูกฆ่าตายไปแล้ว หากเขากลับมาได้อีกครั้งก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนแต่เป็นเจตภูต เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วบอกไปว่าเขาไม่ใช่อาร์กัส แล้วออกจากหมู่บ้านไป
“เจ้ารู้อะไรเหรอเคนิส ! เจ้าได้แต่พูดเรื่องศรัทธาสวยหรู แต่เจ้ารู้อะไรบ้าง ข้ามีทางเดินสุดท้ายคือต้องเป็นนักพรตสายพิฆาตความมืดให้ได้ คนที่ข้าไว้ใจที่สุดคือดาร์ค บริสตั้นคนนั้น แต่สุดท้ายก็ทรยศข้า พวกเขาทั้งหมดทิ้งข้าไว้ที่นี่ ขังข้าเอาไว้ แล้วจากไปในสงครามเมื่อพันปีก่อน พวกเขาไม่มีใครกลับมาได้สักคน ป่าเดียวดายงั้นหรือ เฮฟเว่นพาสงั้นหรือ อย่าพูดอะไรให้มันดูดีนักแม่หญิง ทุกอย่างที่เจ้าเห็นมันคือคุกที่ขังข้าเอาไว้ หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าต้องเอาหมุดลงอาคม ตอกตรึงตัวเองไว้ถึงสองร้อยปีเต็ม ทั้งเจ็บทั้งทรมาน แต่ข้าก็อดทนไม่เอามันออกเพราะข้าอยากรักษาที่นี่เอาไว้ เผื่อว่าสักวันจะมีใครสักคนกลับมาหาข้า แต่หลังจากนั้นอีกสองร้อยปี ผู้ที่มาหาข้ากลับเป็นความมืดที่ไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกแล้ว ศรัทธาต่อพระเจ้าหรืออะไรนั่น มันไม่มีหรอก! ป่าเดียวดาย เฮฟเว่นพาส ก็แค่คุกที่ขังข้านับพันปีเท่านั้น ”
อาร์กัสพูดสิ่งเหล่านี้ออกจากใจทั้งหมด เขากำไม้กางเขนหน้าไม้ไว้แน่นแล้วขว้างมันทิ้งไปที่พื้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เขาแบกรับมานานนับพันปี ในที่สุดมันก็ถึงคราวระเบิดออกมา เคนิสยืนมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ป่าเดียวดายเริ่มมีลมพัดกราดเกรี้ยวตามอารมของเจ้าของ แต่ที่น่าตกใจคือ กลีบดอกสีเหลืองนั้นเริ่มร่วงโรยอีกครั้งแม้มันไม่ร่วงหนักเหมือนตอนถูกเจตภูตไฟล์กัดกิน แต่เธอรู้สึกว่าพวกมันทั้งป่ากำลังร้องให้
“ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับนักบวชที่ทิ้งศรัทธา”
“ที่จริงข้าก็ไม่มีหรอก ตั้งแต่ไหนแต่ไร”
“ชัดถ้อยชัดคำดีนี่ ! ถ้าไม่ศรัทธาแล้วมาทนบ้าเป็นพรตอยู่ถึงพันปีทำไมกัน เสแสร้งได้นานโขเสียจนน่านับถือ นายนะถอดชุดนักพรตออกแล้วไสหัวไปซะก็ได้ บอกมาสิ! อาร์กัส นายมาทนทรมานเป็นผีสิงป่าอยู่ทำไม ยื่นใบลาออกกับอาร์คบิชอปกาเบรียลก็ได้”
อาร์กัสยืนค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ใช่แล้วที่จริงเขาก็สามารถละทิ้งภาระหน้าที่แล้วออกไปใช้ชีวิตปกติก็ได้ คนที่รู้ว่าเขาเป็นเจตภูตในหมู่บ้านนั้นก็ตายกันไปจนหมดแล้ว ป่าเดียวดายมันก็ยังยืนต้นได้อยู่แม้จะไม่มีเขา มอบเฮฟเว่นพาสให้คนอื่นรับหน้าที่แทนแล้วออกไป นั่นสิ แล้วทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ทำไมถึงต้องทนมาช้านาน จนเป็นได้อย่างมากก็แค่ผีสิงป่า
“เรื่องนั้น................”
อาร์กัสเอ่ยเสียงเบา แล้วทรุดลงไปกับพื้น เคนิสเห็นไหล่ของเขาสั่นไหวเหมือนคนกำลังก้มหน้าร้องให้
“เรื่องนั้น......ข้าก็แค่............อยากปกป้องไว้เท่านั้น”
จากเสียงเบาๆกลายเป็นสั่นเครือ เขากำลังปกป้องสิ่งใดกัน กาลเวลาเนิ่นนานทำให้ทุกสิ่งเลือนรางไป ตลอดเวลาจนถึงบัดนี้ เขารู้แค่ว่าเขาต้องสร้างป่านี้เอาไว้เพื่อปกป้องบางอย่างเท่านั้น นั่นสิ! เขากำลังปกป้องอะไรกันแน่
“ไร้ศรัทธาในพระเจ้า แต่ยังคงเป็นนักพรตเพื่อปกป้องอะไรสักอย่าง เข้าใจยากจริง งั้นบอกทีสิ ว่านายกำลังปกป้องอะไรอยู่ อาร์กัส อย่างน้อยๆเหตุผลของนายน่าจะฟังขึ้น ไม่เช่นนั้นดาร์ค บริสตั้นที่ช่วยนายไว้อาจจะลุกขึ้นจากหลุมศพมาหักคอนายเสียก็ได้นะ”
ความรู้สึกที่ถึงขนาดทำให้เฮฟเว่นพาสตอบคำอธิฐานได้ น่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา เคนิสเห็นเขาเอามือกุมศีรษะ ดูเหมือนว่ากำลังพยายามนึกถึงต้นตอให้ออก
“เรื่องนั้น........”
“เอาละ ถ้าจำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ”
เคนิสว่าแล้วถอนหายใจ
“แต่ที่แน่ๆฉันควรจะพานายไปพบจิตแพทย์”
“จิตแพทย์?”
อาร์กัสสะดุ้งแล้วแหงนหน้ามองคนพูดที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความงุนงง เขาที่กำลังเครียดจนแทบบ้า ไม่สิเขาบ้าไปแล้วตั้งหาก บ้าจนถึงกับง้างหน้าไม้ยิงไปโดยขาดสติ เพราะความทรงจำเก่าแก่กำลังเล่นงานเขาจนหัวแทบระเบิด
“ไม่ได้หมายความว่านายเป็นคนบ้าหรอกนะ แต่เพราะนายมีความเครียดสะสมมากเกินไป ถึงขนาดยิงลูกดอกใส่คนทั่วไปได้ หากปล่อยเอาไว้ทั้งอย่างนั้น ถูกคนสะกิดต่อมหน่อยรับรองได้เป็นฆาตกรแน่ๆ จากนั้นนัวร์ เจ้าเมืองซางตานีโอก็จะเอานายไปแขวนคอที่หน้าเมือง แล้วพวกที่ตายไม่ได้ก็จะถูกห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้นเป็นแสนๆปี”
ได้ยินดังนั้นคนที่กำลังเครียดแทบหัวระเบิดก็ได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูก สมองเขาจูนความคิดที่พยายามค้นหาความทรงจำของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วอยู่ๆ ก็ถูกดึงเข้าสู่เรื่องงจิตแพทย์แทบไม่ทัน จนได้แต่นั่งอ๋อไปหลายนาที ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะออกมาดังลั่น เคนิสที่มองดูอยู่ก็ได้แต่ส่ายหัว เมื่อพรตบ้านั่น เมื่อครู่ก็โกรธจัดจนง้างลูกดอกยิงใส่ สักพักก็ร้องให้ แล้วสักพักก็นั่งหัวเราะ
“นั่นสิข้ามันบ้าชัดๆ” เขายอมรับแล้วนั่งหัวเราะต่อ
พอสมองปลอดโปร่งสติปัญญาก็แล่น เขาเงยหน้ามองต้นไม้ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆ เสียงสายสมที่พัดรุนแรงนั้นเหมือนได้ยินเสียงแว่วบางอย่าง ใช่แล้วเขาจำได้แล้ว เรื่องสิ่งที่เขากำลังปกป้องอยู่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
End /อาร์กัส (Argus)
ความคิดเห็น