ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #11 : ร่องรอยของดาร์ค อ. บริสตั้น

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 61


                    สายลมบริสุทธิ์จากทางเหนือพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำงานของหญิงสาวผมดำผู้ดูแลร้านสังฆภัณฑ์ กลีบดอกไม้สีเหลืองเล็กๆถูกสายลมพัดหอบหิ้วมาจากป่าเดียวดายอันไกลโพ้นกลีบแล้วกลีบเล่า ต่างปลิวว่อนไปตามแรงลมครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆร่วงลงตรงหน้าหญิงสาวผมดำคนนั้น

                    “เจ้าพรตปีศาจนั่น  คงคิดจะเร่งงานแน่ๆ ”

    เคนิสแน่ใจทีเดียวว่า พรตปีศาจอาร์กัสกำลังเร่งให้เธอซ่อมชุดของเขาโดยเร็ว   กลีบดอกไม้พวกนั้นปลิวมาจากป่าเดียวดายราวกับเร่งรัด ทั้งที่มันไม่เคยปลิวมาจนถึงใจกลางเมืองซางตานีโอที่อยู่ห่างไกลขนาดนั้นได้ เคนิสมองไปที่หน้าต่างก็ยังเห็นกลีบดอกสีเหลืองนั้นปลิวเข้ามาเรื่อยๆจนดูผิดปกติไป

                    หมอนั่นจะเป็นอะไรมั้ยนะ

    เคนิสคิดถึงเจ้าของชุดคลุมขาดรุ่งริ่งที่ดูโคตรเน่าเก่าสกปรกนั้น   แต่มันกลับซุกซ่อนสุดยอดนวัตกรรมสิ่งทอยุคโบราณเอาไว้   กล้องกำลังขยายสูงสำหรับส่องวัตถุโบราณเผยให้เห็นเนื้อผ้าที่ถูกถักทอด้วยเส้นใยบางอย่างที่มีขนาดเล็กพิเศษ  ถูกทอเรียงติดชิดกันแน่นหนา ราวกับมีวัสดุประสานความยืดหยุ่นสูงยึดติดแต่ละเส้นไว้ จนยากที่จะขาดออกจากกันได้  นี่เองคือสาเหตุของความทนทานอย่างเหลือเชื่อ จนไม่สามารถใช้อุปกรณ์ ตัดเย็บทั้งกรรไกร ทั้งเข็มทั่วไปตัดเจาะ ซ่อมแซมเสื้อคลุมชุดนี้ได้เลย     ผ้าชนิดนี้ถูกทอขึ้นจากฝ้ายชนิดพิเศษซึ่งในปัจจุบันนั้นสูญพันธุ์ไปแล้วพร้อมๆกับการล่มสลายของแหล่งผลิตในดินแดนเชล  หนึ่งในอาณาจักรที่ถูกปกคลุมด้วยพิษร้ายภายใต้ทวีปต้องสาป

                       ผ้าฝ้ายแห่งเชลทนทานสูง  ป้องกันไฟ  แรงระเบิด และศาสตราวุธทุกชนิด  น้ำหนักเบา คุณภาพเยี่ยม   

                  เคนิสทำตาโตเมื่อเห็นการบรรยายคุณสมบัติผ้าฝ้ายแห่งเชล  ในใบสั่งตัดเครื่องแบบนักพรต  สมัยเมื่อพันปีก่อนใบหนึ่ง ที่สอดอยู่ในตู้เก็บเอกสารการซื้อขายของยุคนั้น  ตอนนี้มันกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม กระดาษทั้งแผ่นเก่ากรอบจนแทบจะแตกคามือได้    ในใบสั่งตัดเครื่องแบบนั้นมีผู้สั่งตัดรายหนึ่งเลือกสั่งตัดเครื่องแบบด้วยผ้าฝ้ายแห่งเชลสีน้ำตาลเข้ม  ซึ่งจากคุณสมบัติของผ้าแล้วมันเป็นผ้าที่ไม่ได้ใช้สำหรับตัดเครื่องแบบนักบวชทั่วไป    แต่เป็นผ้าที่ใช้ทำเครื่องยุทธภัณฑ์จำพวกเกราะเบา สำหรับนักบวชสายพิฆาตความมืดโดยเฉพาะ   

    ว่าแล้วทำไมถึงได้หวงนัก

    เคนิสเริ่มเข้าใจสาเหตุที่พรตปีศาจอาร์กัสหวงชุดคลุมตัวนี้มากเป็นพิเศษ     แต่แม้จะมีคุณสมบัติป้องกันการโจมตีดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาเครื่องแบบนักพรตแล้ว  ก็ยังถูกหนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจฟาดฟันจนชุดขาดกระจุยรุ่งริ่ง มันทำให้เคนิสถอนหายใจออกมาเมื่อชุดที่เธอเพิ่งให้พรตหนุ่มสวมไปนั้น  ประสิทธิภาพกันการโจมตีจากศาสตราวุธแทบจะเป็นศูนย์    ทั้งมีด ดาบ หอก ลูกดอกทั่วไปก็สามารถแทงทะลุผ้าไหมงามๆนั่นได้อย่างง่ายดาย

    “อยากให้มีเหลือสักตัวจังนะ”

    แล้วทันใดนั้นเมื่อเธอกำลังจะนำเอกสารเก่าๆและใบสั่งซื้อต่างๆเก็บลงในตู้เช่นเดิม  มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดวงตาสีดำทั้งคู่เบิกค้างด้วยความตกใจ  เพราะดูเหมือนว่าชื่อผู้สั่งตัดในใบสั่งตัดเครื่องแบบใบนั้น จะมีลายเซ็นชื่อของใครคนหนึ่งอยู่ด้วย

                                                         “ดาร์ค อ. บริสตั้น!

    เรื่องราวของเขาแทบไม่มีใครกล่าวถึง  เคนิสพยายามสืบหาข้อมูลเรื่องราวของเขามาตลอด แต่ก็ได้ข้อมูลที่คลุมเครือไปหมด ทั้งการหายตัวไปอย่างลึกลับ  และการตายที่ยังเป็นปริศนา   ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อที่แท้จริงนอกจากตัวอักษรย่อ “อ.”  ไม่มีหลักฐานไม่มีสิ่งใดให้ตามรอยสาวถึงตัวตน  ราวกับว่า ดาร์ค รุ่นก่อนนั้นกำลังกลบรอยเท้าของตนจากบางสิ่งบางอย่างอยู่ยังไงยังงั้น    แม้แต่นักพรตปีศาจผู้ที่พอจะให้ข้อมูลของ อ. บริสตั้นได้บ้าง  ก็มักจะให้คำตอบเป็นความเงียบมาแทนที่เสมอ  หากเมื่อใดก็ตามที่ถามถึงดาร์ค บริสตั้น รุ่นที่แล้ว   พรตหนุ่มบอกแต่เพียงว่าเขาเองนั้นก็ไม่รู้อะไรมากนัก  ตลอดเวลา อ. บริสตั้นคนนั้นมักจะวางระยะห่างไว้เสมอ ทั้งชาติกำเนิด  ทั้งภูมิหลัง  เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยอะไรให้รู้เลยแม้แต่น้อย   รวมทั้งไลท์ วาเลเรียส บริสตั้นเอง  ก็ยังบอกว่าแทบจะพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง  

                                                   หมายเหตุ * ลูกค้าไม่มารับเครื่องแบบ      

    ดาร์ค บริสตั้นคนปัจจุบันเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นข้อความใต้ใบสั่งซื้อ   วันนัดรับเครื่องแบบก็ตรงกับช่วงเวลาเดียวกับที่สงครามในตำนานอุบัติขึ้นพอดี ตามมาด้วยการล่มสลายของแผ่นดินโลกถึงสามในสี่ส่วน   ทวีปต้องสาปปรากฏขึ้นในแผนที่  ป่าเดียวดายถูกสร้างขึ้น  และการเริ่มต้นตำนานเรื่องเล่าของเจ็ดอัครทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เจ็ดมหานครสุดท้าย 

                                        หมายความว่า อ. บริสตั้น ตายในสงครามเมื่อพันปีก่อน

    เคนิสได้แต่สันนิฐานในใจ   ทุกสิ่งยังคลุมเครือไปหมด  รู้แค่เพียงช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปนั้นคือสงครามเมื่อพันปีก่อน   แต่ที่น่าตกใจคือคำบอกเล่าจากพรตอาร์กัส   พรตหนุ่มที่เคยเอาหมุดลงอาคมตอกผนึกตนเองไว้ในป่าเดียวดายเมื่อพันปีก่อน   ต้องทรมานจากหมุดนั้นด้วยคำสาปไม่ให้ตายกว่าสองร้อยปี   แต่ผู้ที่มาดึงหมุดลงอาคมออกให้กลับเป็นดาร์ค อ.บริสตั้น  ซึ่งน่าจะตายไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อนหน้านั้นแล้ว

                                                    มันหมายความว่ายังไงกัน

    เคนิสเริ่มปวดหัว จับต้นชนปลายไม่ถูก  อ. บริสตั้น ตายไปแล้วจริงๆหรือ?   แต่การมีตัวตนของเธอในตอนนี้ เป็นสิ่งยืนยันชัดเจนทีเดียวว่าบริสตั้นรุ่นก่อนได้ตายไปแล้วจริงๆ   บุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้นเป็นหลักฐานยืนยันว่า เธอคือ ดาร์ค บริสตั้น  และจะไม่มี ดาร์ค บริสตั้น อื่นอีกในเวลาเดียวกันได้

                    “เขาไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้ว   แต่เป็นเหมือนกับเจตภูตในระยะสุดท้าย  เขาถูกความมืดกลืนกิน และสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาข้า”

    คำบอกเล่าของพรตอากัสนั้น ทำให้เคนิสพอจะคาดเดาเหตุการณ์ตอนนั้นออก  ดาร์ครุ่นก่อนถูกความมืดจากภายในกัดกินจนตายไปเอง  แต่อยู่ๆจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรหรืออาจถูกใครบางคนเล่นงานจนถึงกับเสียสภาพของการเป็นกล่องอีทูลัส 

                           เคนิสไม่รู้ว่ามันเป็นใคร  แต่มีบางอย่างตามล่า บริสตั้นทุกรุ่น มันไม่ฆ่าพวกเธอ แต่มันพยายามทำให้แพ้ภัยตัวเอง  เพื่อให้ใครบางคนที่ถูกกักขังเอาไว้มีตัวตนขึ้นมาแทนที่  มันเป็นผู้เดียวที่รู้ว่ากล่องอีทูลัสไม่ใช่โลงไม้ผุๆในอุโมงใต้ดินเมืองซางตานีโอ   แม้ทั้งมนุษย์และปีศาจจะพุ่งความสนใจไปที่โลงนั้น 

                                    อย่างนี้นี่เอง  ที่แท้ แกก็ต้องการ คืนชีพลูซิเฟอร์!

    เคนิสยิ้มเหยียดออกมา เมื่อพอจะสรุปอะไรบางอย่างได้บ้าง  เงื่อนงำจากเสื้อคลุมแค่ตัวเดียว แต่มันพาเธอไปเกือบจะถึงใครคนนั้นที่ตามจองล้างจองผลานพวกเธอมาตั้งแต่ในครั้งอดีต  พวกมันเป็นใครกันแน่ !

                            “ความจำเสื่อมบ่อยจริงนะ  บริสตั้น”

    อยู่ๆก็มีเสียงพูดดังขึ้นมาอย่างชัดเจน  น้ำเสียงที่ฟังดูเหยียดหยามของบุรุษผู้หนึ่งจู่โจมเข้าสู่โซนประสาทโดยตรง  เธอมองไม่เห็นมัน  ระบุตำแหน่งของผู้ส่งสารทางจิตรายนี้ไม่ได้  ทุกอย่างถูกปิดกั้นสมบูรณ์แบบจนน่าตกใจ

                              “ถ้าแน่จริงก็โผล่หัวออกมา!

    เคนิสท้าเสียงแข็ง  ดวงตาสีดำที่เคยสดใสเมื่อครู่บัดนี้ดูโหดเหี้ยมไร้แววปราณีใดๆ  ริมฝีปากบางๆขยับยิ้มเหยียด  พร้อมๆกับปลอดปล่อยรังสีอำมหิตรุนแรงประกาศสงครามกับฝ่ายตรงข้าม

    “อย่าโมโหโกรธาไปเลย   เพราะพวกเจ้ามีชะตากรรมต้องพินาศย่อยยับในไฟนรกอยู่แล้ว คนของนรก ก็ต้องไปนรก”

    “อย่ามาทำเก่งแต่ฟาดปาก  นักซ่อนแอบ!

    “........................”

    นักซ่อนแอบคนนั้นอยู่ๆก็เงียบไป ก่อนที่จะหัวเราะเยาะตอบกลับมา  หญิงสาวผมดำได้แต่กัดฟันกรอดกำมีดสั้นลงอาคมเสียแน่นด้วยความโมโห  เมื่อพยายามมองหาอย่างไรก็ไม่เห็นตัวเห็นตนนักซ่อนแอบคนนั้นแม้แต่น้อย

    “ซ่อนเหรอ เปล่าเลย   เจ้ามองไม่เห็นข้าเอง”

     เกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้อย่างประหลาด   เลือดในกายของเธอเริ่มเดือดพล่านเมื่อสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้ใกล้ๆ  แต่กลับมองไม่เห็นมัน  และชั่วพริบตาเดียวที่เคนิสพยายามกวาดตามองหานักซ่อนแอบคนนั้น  ก็มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังเธอเรียบร้อยแล้ว  มันเข้ามาอย่างเงียบกริบไร้ซึ่งสัมผัสใดๆ  

                                    “แก!

    มีดสั้นลงอาคมถูกชักออกมาแล้วพุ่งจู่โจมเป้าหมายในทันที  แค่พริบตาเดียวคมมีดก็ประชิดติดลำคอฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็วด้วยทักษะที่ราวกับนักฆ่ามืออาชีพของดาร์ค เคนิส บริสตั้น 

                                    “บอกมานะแกเป็นใคร  ไม่งั้นหัวแกขาดแน่!

                                    “.... นี่ผมเอง”

    เสียงเล็กๆของเด็กหนุ่มที่สุดจะคุ้นหูร้องตอบกลับออกมา   เขาถูกล็อกคอไว้  พร้อมกับมีคมมีดแนบสนิทติดลำคอ หากเพียงหญิงสาวผมดำคนนั้นออกแรงขยับเพียงน้อยนิด หัวของเขาก็คงจะได้ร่วงออกจากบ่าในทันที 

                                    “ฟีเดอาโก้ !  ”

    เคนิสร้องลั่นอย่างตกใจ   เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมขาวที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแทนที่จะเป็นไอ้นักซ่อนแอบนั่น   เธอรีบเอามีดสั้นออกจากลำคอเด็กหนุ่มแล้วโวยลั่น

                    “นายเข้ามาทำอะไรไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง  อยากตายนักใช่มั้ย!

                    “เคนิสนั่นแหละ  มาทำอะไรลับๆล่อๆในชั้นใต้ดินครับ!

    เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางเอามือลูบคอตนเองอย่างเสียวไส้  มีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผลบางๆที่เกิดจากแรงกดของคมมีด  ส่วนมืออีกข้างนั้นถือธนูหน้าไม้เอาไว้ 

                    “ฉันแค่มาหาของ  ขอโทษทีนะ   แล้วหน้าไม้นั่นนายพกมาทำไม”

                    “นี่เหรอครับ ที่จริงเมื่อครู่ผมจับจิตชั่วร้ายได้ในนี้ ”

    เคนิสทำหน้าตื่นด้วยความตกใจ   แสดงว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง  เจ้านั่นมันมาที่นี่จริงๆ

                    “ตอนนี้แมรี่เองก็กำลังลาดตระเวนตรวจสอบรอบๆเมืองเหมือนกันครับ   ผมจับสัมผัสได้ครู่เดียวจากนั้นก็หายไปดื้อๆ   เขาเป็นใครกันแน่นะ”

                    “ไอ้นักซ่อนแอบสุดน่ารำคาญ”

    ฟีเดอาโก้มองเธอด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเคนิสพูดถึงนักซ่อนแอบคนนั้น   ท่าทางจะมีใครบางคนบุกมาถึงที่นี่จริงๆ  ผู้มาเยือนคนนั้นเป็นใครกันแน่ เพราะแม้แต่ดาร์ค และเกรย์ บริสตั้น ก็ยังหาตัวตนมันไม่พบ

                    “นักซ่อนแอบ?

                    “อืม  ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นใคร  แต่เจ้านั่นมันต้องมาไล่ล่าเราสักวันแน่”

                    เคนิสทำหน้าเครียด เธอเก็บเอกสารการซื้อขายเมื่อพันปีก่อนเข้าตู้เช่นเดิม  ก่อนที่จะเหลือบดูมีดสั้นในมือตนเองแล้วถอนใจ   จากการประมาณระดับความสามารถของนักซ่อนแอบคนนั้น  ใช้แค่มีดสั้นสู้กับมันคงจะมีแต่แพ้กับแพ้   

                                    ต้องหาดาบเล่มนั้นให้เจอ

    ดาบคู่กายของดาร์ค บริสตั้นทุกรุ่น  อาวุธประจำตัวที่ตกทอดกันต่อๆมา  ว่ากันว่าทรงพลานุภาพแต่ก็หายไปพร้อมๆกับเจ้าของคนก่อนเสียเรียบร้อย   เคนิสเริ่มกุมขมับอย่างจนปัญญาก่อนจะถอยเท้าไปเหยียบบางอย่าง

                    “เอ๊ะ นั่นอะไรครับ”

    ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่กองผ้าขี้ริ้วเก่าๆบนพื้นฝุ่นเกาะหนาเกรอะกรัง  ห้องเก็บเอกสารโบราณที่แทบจะไม่มีใครได้เข้ามาตั้งแต่สามสี่ร้อยปีก่อนแล้ว ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยฝุ่นและหยักใยจำนวนมหาศาลจนแทบมองไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ที่พื้นบ้าง

                    “ผ้าขี้ริ้ว?

    ในทันทีที่เคนิสยกผ้าขึ้ริ้วนั้นขึ้นมา  ฝุ่นหนาก็ฟุ้งกระจายจนทั้งสองคนเริ่มพากันไอสำลักฝุ่น  ผ้าขี้ริ้วขนาดใหญ่นั้นแท้จริงแล้วคือชุดคลุมนักพรตในสมัยโบราณ  มันอาจเคยอยู่ในกล่องไม้สำหรับเก็บรักษาชุด แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ยาวนานมากก็ทำให้กล่องใส่ผุพังไปตามกาลเวลา  ถูกตัวมอดถูกแมลงกัดแทะ จนในที่สุดกล่องไม้ก็กลายเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง  

                  เคนิสพยายามปัดฝุ่นออกจากชุดคลุมตัวนั้น   เนื้อผ้าของมันให้ความรู้สึกราวกับเนื้อผ้าจากชุดเก่าๆของนักพรตอาร์กัส  เสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มตัวนี้คือเครื่องแบบนักพรตสายพิฆาตความมืดแบบเก่า ผลิตจากผ้าฝ้ายแห่งเชล และที่สำคัญ มันมีตรากางเขนหนามติดที่กลางหลัง 

                    “ตราตระกูลบริสตั้น!

    ฟีเดอาโก้มองชุดเก่าๆนั้นอย่างสนใจ  และต้องเบิกตาค้างเมื่อเคนิสบอกว่ามันคือชุดของ ดาร์ค บริสตั้นรุ่นที่แล้วนามว่า อ.บริสตั้น

                    “ในที่สุดก็เจอร่องรอยของเขาแล้ว!

    ฟีเดอาโก้ร้องอย่างตื่นเต้น

                    “เจอแค่เสื้อกับตัวอักษรย่อเท่านั้นแหละ  ”

    เคนิสว่าอย่างเซ็งๆ ขณะมองตรากางเขนหนาม  เธอไม่รู้อะไรสักอย่างนอกจากรู้แค่ว่า ชายคนนั้นชื่อ อ.

                    “อ. ?

    ฟีเดอาโก้เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความสงสัย

                    “คงจะย่อมาจาก “ ไอ้” อะไรสักอย่างมั้ง ช่างเถอะ”

    เคนิสว่าอย่างเซ็งๆ ก่อนที่จะขยี้ผมเด็กหนุ่มแรงๆ พลางหัวเราะ  เธอยังจำได้ดีวันที่พบเด็กหนุ่มคนนี้ครั้งแรกที่ตลาดค้าทาสเมืองลอร์แซมเบิร์ก   เขาเป็นเด็กหนุ่มดวงตาสีเขียว มีผมสีดำสนิท ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ถูกลูกธนูเสียบติดร่างจนดูราวกับเม่น แต่กระนั้นก็ยังไม่สิ้นชีวิต  ทั้งมือและเท้าถูกล่ามโซ่เอาไว้แน่นหนา  ปากถูกเย็บประกบกัน  พวกคนค้าทาสมัดเขาไว้ในกรงและตั้งราคาไว้สูงลิบลิ่ว   แต่ก็ยังมีคนเป็นอันมากพยายามซื้อตัวเขาออกไป   เพียงแต่เหตุผลนั้นหาใช่การซื้อขายทาสเอาไปใช้แรงงานตามปกติ  เพราะพวกนั้นพยายามจะซื้อตัวเขาออกมาเพื่อสังหาร

                    “จริงสิไปเรียนวันแรกเป็นไงบ้าง”

    เคนิสถามขณะที่พากันเดินออกจากห้องใต้ดินขึ้นไปห้องทำงานชั้นสอง

                    “เลวร้ายสุดๆเลยครับ”

    เคนิสเห็นฟีเดอาโก้ทำหน้าเบ้ออกมาเมื่อพูดถึงเรื่องโรงเรียน

                    “ช่างมันเถอะ  แต่ผมคิดว่าน่าจะพบผู้ต้องสงสัยแล้ว เขาเป็น.....”

    ฟีเดอาโก้หยุดพูดทันที เมื่อเขาเห็นเคนิสยกนิ้วป้องปากเป็นเชิงให้เงียบ   เด็กหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดไว้ในใจ นอกจากพวกอาร์คบิชอปแล้ว ตอนนี้พวกเขาเองก็ถูกใครบางคนจับตามองอยู่ด้วยเช่นกัน  หรือบางทีแม้แต่เมืองทั้งเมืองก็อาจไม่มีซอกมุมใด จะหลุดรอดพ้นจากสายตาของผู้เฝ้ามองไปได้   ประชาชนคนสามัญกลายเป็นหูเป็นตาให้ใครบางคนโดยไม่รู้ตัว  เจ้านั่นฉลาดเป็นกรด  หายตัวได้วุบวับราวกับภูตผี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังถูกเฝ้ามองโดยไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย  ฟีเดอาโก้สงสัยแซมแห่งลอร์แซมเบิร์ก แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก ว่าชายผมเงินคนนั้นจะเกี่ยวข้องกับเจ็ดขุนพลปีศาจ

                    “ยืนยัน ตรวจพบจิตปีศาจระดับสูงจำนวน 6 ตน”

    ทันใดนั้นเองสาวเมดผมทองและภูตม้าดำก็ปรากฏตัวขึ้น  แมรี่กับม้าฝันร้ายตรวจพบจิตปีศาจอันแรงกล้าเพียงชั่วครู่และหายไปภายในไม่กี่วินาที

                    “หกตนเลยเหรอ!

    เคนิสร้องออกมาอย่างตกใจ    ไนท์แมร์เป็นสัตว์ปีศาจที่มีฝีเท้าไวยอดเยี่ยม อีกทั้งประสาทสัมผัสด้านความรู้สึกถึงจิตปีศาจด้วยกันดีกว่าพวกเธอหลายพันเท่า  สามารถตรวจจับสิ่งชั่วร้ายจากระยะไกลมากๆได้เป็นอย่างดี

                    “แสดงว่าไอ้แอบนั่น มีพักพวกร่วมขบวนการ!

    เคนิสกำชุดของ อ.บริสตั้นไว้แน่น แค่ผู้ซ่อนแอบคนเดียวก็สุดหนักใจแล้ว แต่นี่มันมีถึงหก

                    “ครับ พวกนั้นคือขุนพลปีศาจที่เหลืออยู่หกตน  ลูจังบอกผมเอง  ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาหัวเราะชอบใจอยู่เนี่ย”

    สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมานั้นทำให้ทั้งม้าปีศาจ ทั้งดัลลาฮานและดาร์ค บริสตั้น หันขวับไปมองเขาเป็นตาเดียว นี่ตั้งหากคือสิ่งที่น่ากังวลใจมากที่สุด 

                    “บอกเจ้านั่นไปเลยว่าคอยดูเถอะ  จะหัวเราะแบบนั้นได้อีกสักกี่นาน”

    คำพูดของหญิงสาวผมดำทำให้ฟีเดอาโก้ยิ้มแห้งๆ เขาแทบไม่ต้องขยับปากบอกอะไรกับลูซิเฟอร์  เพราะคำพูดนั้นผู้รับสารได้ยินชัดแจ๋ว

                    “เขาฟังอยู่ครับ  แล้วฝากข้อความนี้มาถึงคุณด้วย”

    มันเป็นคำตอบที่ทำให้หญิงสาวผมดำสะดุ้งโหยง!  แทบไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบกลับจากลูซิเฟอร์เช่นนี้ เคนิสหันมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า แล้วยิ้มเหยียดออกมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น

                    “เพราะว่าคุณขังเพื่อนสนิทอันแสนสำคัญของเขาไว้  สักวันเขาจะมาทวงคืนครับ”

                    “ฉันไม่ยกให้หรอก”

    เคนิสตอบกลับทันควัน คำพูดนั้นส่งไปถึงบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์  เขาลืมตาขึ้น ก่อนจะตอบผ่านปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า

                    “รอดูไปเถิดความมืดของข้า ทั้งพวกเจ้าทั้งสวรรค์และแผ่นดิน ทุกสิ่งล้วนเป็นสิทธิอันชอบธรรมของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

                    “แล้วฉันจะรอดู    ท่านเทวดาตกสวรรค์!

    ไม่มีสิ่งใดตอบกลับจากลูซิเฟอร์อีก  มีเพียงแววตาแห่งความเกลียดชังสะท้อนอยู่ในดวงตาสีทองคู่นั้น และพริบตาเดียวมันก็หายไป  กลายเป็นแววตาสดใสของเด็กหนุ่มนามฟีเดอาโก้ดังเดิม

                    “พอเถอะครับอย่าติดต่อกับเขาเลย  ถ้าท่านมิคาเอลรู้เข้าผมต้องซวยแน่ๆ”

    เรื่องที่พวกเขาแอบสุงสิงกับลูซิเฟอร์ จะให้รู้ไปถึงอาร์คบิชอปแห่งซิลเทียเรสไม่ได้เด็ดขาด  แต่มันจะปิดได้แน่หรือ   เพราะทันใดนั้นบุรุษในคราบนักดนตรีเพลงร็อคที่กำลังพูดถึง ก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา  ดวงตาสีแดงจ้องเขม็งมายังบริสตั้นทั้งสองอย่างไม่พอใจ

                    “จงระวัง! อย่าทำให้เสียเรื่อง แล้วสิ้นสภาพการเป็นกล่องอีทูลัสกันตอนนี้   ลำพังที่เป็นอยู่พวกฉันก็ ลำบากจะแย่”

    อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยขึ้น ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆตัว

                    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!  ท่านมิคาเอล”

    เคนิสถามอาร์คบิชอปตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจ

                    “มีลมนรกพัดขึ้นมาจากทางทิศใต้  ฉันกับจูดิเอลกำลังแก้ปัญหาอยู่  ส่วนโรคระบาดจากลอร์แซมเบิร์ก ตอนนี้ควบคุมไม่ได้แล้ว   ป่าเดียวดายเอง ก็ถูกบางอย่างบุกโจมตีใจกลางป่า  ผู้พิทักษ์นั่นรับมือไม่ไหวแน่

    อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยขึ้นอย่างกังวล แล้วมองไปทางทิศเหนือ

    สถานการณ์หนักขนาดนั้นแล้วหรือครับ!

    เพียงแค่ไม่กี่วินาทีพวกนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว  เป็นการจู่โจมเป้าหมายโดยตรงแบบสายฟ้าแลบไม่ให้เวลาตั้งตัวได้ ถ้าป่าเดียวดายพินาศทุกอย่างก็จบสิ้น  

                    “ฉันมาที่นี่แค่อยากเตือนพวกแกทุกคน จงเตรียมรับมือให้พร้อม ระวังตัวทุกฝีก้าว และอย่าติดต่อกับเจ้าปีศาจนั่นอีก”

    ดวงตาสีแดงดุดันจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผมขาว  แม้ตอนนี้เทวดาตกสวรรค์ผู้นั้นจะถูกทำให้หลับลงไปแล้ว  แต่ฟีเดอาโก้รู้สึกได้ทันทีถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรงของเทวดาตกสวรรค์ ที่มีต่อบุรุษตรงหน้าจากส่วนลึกของจิตใจ

                    “ครับ”

    เมื่อได้ยินดังนั้นบุรุษผมดำจึงค่อยๆละสายตาออกจากเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินเข้าไปหาเคนิส แล้วยื่นสมุดบันทึกเล่มหนาเก่าๆให้เธอ สมุดบันทึกนั้น น่าจะเคยผ่านการใช้งานบ่อยครั้งจนสภาพดูยับเยิน มันถูกเขียนด้วยลายมือของอาร์คบิชอปตรงหน้า

                    “บันทึกนี่คือ?

    บันทึกทั้งเล่มถูกเขียนด้วยอักษรแปลกๆที่ไม่อาจจะเข้าใจได้  ในนั้นมีภาพวาดของอาวุธอะไรสักอย่างที่เธอไม่รู้จัก  อีกทั้งท่าทางจะใช้ยากโดยดูจากรูปภาพประกอบในบันทึก จนพอจะเดาได้ว่าอาวุธนั้นมันเป็นดาบหรืออะไรบางอย่าง  ที่มีเมนูการใช้งานยุ่งยากซับซ้อน จนต้องเขียนอธิบายในสมุดเล่มหนาหนักกว่าสองกิโลกรัมนั่น

                    “คู่มือการใช้ดาบของเธอยังไงละ  ดาร์ค เคนิส บริสตั้น”

    เคนิสได้แต่อ้าปากค้างมองอาร์คบิชอปมิคาเอล  เมื่อเจ้าตัวเล่นเขียนคู่มือการใช้ดาบให้ด้วยอักษรสวรรค์ทั้งเล่ม แถมที่โคตรจะซวยกว่านั้นคือ ดาบที่หนังสือคู่มือเล่มนี้เขียนถึงนั้น  ก็หายสาบสูญไปตั้งแต่พันปีก่อนโน้นแล้ว

                    “ถึงท่านจะให้คู่มือมา  แล้วดาบของฉันละ!

                    “เจ้าของดาบก็ต้องไปตามเอาเอง” 

    อาร์คบิชอปมิคาเอลว่าแล้วลุกขึ้นเดินมาตบไหล่เธอเบาๆ  ก่อนที่จะจากไปสมทบกับอาร์คบิชอปจูดิเอลแห่งเมืองอาโรนที่อยู่ทางใต้ เพื่อแก้ปัญหาสายลมนรก บัดนี้ภัยพิบัติพร้อมกันจู่โจมอย่างรวดเร็วจนตั้งรับแทบไม่ทัน  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอุส่าแวะมาที่นี่ เพื่อเอาคู่มือการใช้ดาบมาให้    เขารู้ว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับอะไร และรู้ว่ามันร้ายกาจขนาดไหน  แม้อาร์คบิชอปมิคาเอลจะไม่ค่อยช่วยเหลือพวกเธอตรงๆนัก  แต่เขามักมีส่วนช่วยเหลือแบบอ้อมๆเสมอ

                    “ท่านเคนิส”

      เสียงเรียกของสาวเมดทำให้เคนิสสะดุ้งก่อนจะหันมามองผู้เรียก

                    “นั่นจะทำอะไรคะ”

    แมรี่ชี้ไปที่อุปกรณ์ตัดเย็บที่อยู่เกลื่อนกลาดโต๊ะ  มีกรรไกรหลายเล่มหักบิดเบี้ยวถูกทิ้งไว้ระเนระนาด เพราะมันไม่สามารถตัดชุดคลุมเก่าๆของนักพรตอาร์กัสได้แม้แต่น้อย  และเมื่อออกแรงตัดมากๆมันก็ถึงกับหักเป๊าะ!

                    “จริงสิ แมรี่ขอยืมเคียวของเธอหน่อยสิ”

    แมรี่ได้ยินก็ถึงกับสะดุ้ง 

                    “คุณจะเอามันไปทำอะไรเหรอคะ”

                    “เลาะตราตระกูลบริสตั้นออกนะสิ    ฉันจะส่งชุดนี้ให้นักพรตปีศาจนั่น”

    แมรี่ทำตาดุใส่ แต่ก็ยอมเรียกเคียว  แล้วย่อส่วนลงออกมาให้  เคียวสีดำสนิทสามารถตัดทุกสิ่งอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นมิติกาลเวลา  หรือแม้แต่ฟาดฟันเขตอาคมอันทรงพลังทุกชนิด  ดังนั้นมันน่าจะสามารถตัดผ้าฝ้ายแห่งเชลให้ขาดจากกันได้    เคนิสใช้เคียวเล็กๆ ค่อยๆเลาะด้ายที่เย็บตราประจำตระกูลออก  และใช้มันตัดส่วนที่ขาดรุ่งริ่งของชุดคลุมตัวเก่า ที่เจ้าพรตปีศาจคนนั้นหวงนักหนา 

                    “เสร็จแล้ว!

    เคนิสร้องออกมาแล้วยื่นเคียวกลับคืนให้เจ้าของเมื่อใช้มันเสร็จ  

                    “คทาของผมก็เสร็จแล้วเหมือนกัน”

    คทาที่ซ่อมเสร็จแล้วถูกบรรจุอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม เพียงแต่มันดูผิดคาดไปอย่างมากเมื่อกล่องที่ใส่มานั้น มันสั้นกว่าที่จะใส่คทาไม้ยาวเกือบสองเมตรลงไปได้  เคนิสมองมันอย่างสงสัยก่อนจะมองไปที่เด็กหนุ่มคนซ่อมคทาที่ทำท่าจะเผ่นหนี

                    “คือ มันออกจะต่างจากเดิมนิดหน่อยครับ”

    เด็กหนุ่มรีบแก้ตัว แต่เมื่อเอาคทาอันนั้นออกมา สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นมันต่างจากเดิมลิบลับ  เคนิสจำไม่ได้เลยว่ามันเคยเป็นไม้เท้าเก่าๆของพรตปีศาจคนนั้นจริงหรือไม่   คทาที่พรตปีศาจถือเป็นเพียงกิ่งไม้ยาวๆสองกิ่งมาผูกติดกัน  แต่คทาที่เห็นตรงหน้านี้คือคทากางเขนไม้สีน้ำตาลเข้ม  ถูกขัดจนเกลี้ยงและเคลือบเงาอย่างดี  เปลือกไม้ผุๆที่เคยอยู่ด้านนอกถูกเอาออกหมด  เด็กหนุ่มใช้เพียงแกนกลางเนื้อไม้ที่ยังแข็งแรงทนทานอยู่นั้นมาทำเป็นคทาด้ามเก่าในคราบใหม่  สิ่งที่ออกมานั้นคือคทากางเขนสวยงามแต่ดูเรียบง่ายไม่มีการสลักลวดลายอะไร   ขนาดที่เคยยาวกว่าสองเมตร ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึง 70 เซนติเมตร

                    “นี่นะเหรอต่างจากเดิมนิดหน่อย”

    เคนิสเอ่ยถาม ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

                    “เนื้อไม้เก่ามากจนใช้ได้เท่านี้เองครับ  คทาเลยสั้นลง”

    ฟีเดอาโก้พูดก่อนที่จะ พลิกคทาไปอีกด้านหนึ่งให้เคนิสกับแมรี่ดู

                    “เพื่อชดเชิญความเสียหายที่เกิดขึ้น   ผมเลยประยุกต์คทาด้ามนี้นิดหน่อย  จากที่เห็นตอนเขาสู้กับอิสซาเบลล่าแล้ว ผมคิดว่าเขาไม่เหมาะกับคทาเลย”

                    “นายคิดเหมือนฉัน  หมอนั่นแค่เอาคทาไล่ฟาดใส่ศตรูไปมา เท่านั้น”

                    “นั่นสิครับ จากที่เห็นมาผมคิดว่า หน้าไม้เหมาะกับเขามากกว่า”

    ฟีเดอาโก้ว่าแล้วชี้ให้เคนิสดูด้านหลังของคทาอันใหม่   มันมีร่องสำหรับใส่ลูกดอก  มีที่ล็อกเรียบร้อย  คทาที่ดูอีกด้านหนึ่งก็เหมือนไม้กางเขนทั่วไป  แต่พอพลิกไปอีกด้านแค่นั้นแหละ  มันก็กลายเป็นธนูหน้าไม้สำหรับพิฆาตความมืดไปเรียบร้อย

    “ออกแบบได้ไม่เลวนี่

    สาวเมดว่าเมื่อเห็นผลงานของเด็กหนุ่ม    ในกล่องนั้นมีลูกดอกประมาณหกสิบลูกแถมให้เสร็จสับ  พร้อมด้วยถุงมือยิงธนู มีตัวล็อกสำหรับวางหน้าไม้  

                    “ถ้าเป็นหน้าไม้ยาวขนาดนี้  ฉันก็มีลูกดอกเจ๋งๆแถมให้”

    พวกเขาเดินตามเคนิสไปเอาลูกดอกที่เธอว่าเจ๋งในห้องครัวของร้าน แมรี่และเด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าในห้องนี้จะมีลูกดอกอย่างนั้นอยู่ด้วย  มีบางอย่างถูกแขวนเอาไว้ที่ผนังห้อง  ทั้งหัวหอม กระเทียม ไส้กรอก  และอีกหลายๆอย่าง แขวนห้อยโตงเตงบนแท่งไม้ยาวๆจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไร

                    “นั่นไง!

    เคนิสเอาหัวหอมกระเทียมและของต่างๆที่แขวนไว้กับสิ่งนั้นออก  ก่อนจะยื่นให้ฟีเดอาโก้เอาใส่กล่อง

                    “นั่นมันลูกดอกทมิฬในตำนานเลยนี่คะ!

    สาวเมดเอ่ยขึ้นพลางทำตาโต เมื่อเห็นลูกดอกสีดำสนิทในตำนาน ที่ไม่น่าจะเหลืออยู่แล้วนั่น

                    “ลูกดอกทมิฬนี้ว่ากันว่าใช้พิฆาตปีศาจชั้นสูงได้ผลชะงัก  ตามเอกสารเก่าแก่ของซางตานีโอบันทึกไว้ว่ามีทั้งหมด 7 ดอก แต่ได้ถูกทำลายไป   ตอนนี้มีแค่ดอกเดียวเท่านั้น”

    เคนิสอธิบาย พลางมองไปที่เครื่องครัวหลายๆอย่างในนี้แล้วแอบยิ้มขึ้นมา  เพราะแม้กระทั่งมีดที่ใช้ทำอาหารมานานแรมปี ก็เป็นอาวุธปราบปีศาจโบราณ   ที่น่าจะเคยจามหัวผีร้ายมานักต่อนัก  แต่เมื่อมันเลิกเป็นที่นิยมจนขายไม่ออกแล้ว ผู้ดูแลร้านสังฆภัณฑ์คนก่อนๆจึงเริ่มเอามาใช้ประโยชน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผ่าฟืน หรือแม้กระทั่งโกนหนวด

                    “ทำไมต้องทำลายลูกดอกทมิฬด้วยละครับ น่าเสียดาย”

    ฟีเดอาโก้ถามเคนิสด้วยความสงสัย เขาหยิบลูกดอกมาพิจารณาดูอีกครั้ง มันก็ไม่ได้มีจิตชั่วร้ายแฝงอยู่จนถึงกับต้องทำลายทิ้งแต่อย่างใด

                    “ไม่มีใครไปทำลายมันหรอก  แต่ลูกดอกชนิดนี้เมื่อยิงไปถูกเป้าหมายแล้ว  มันจะระเบิดตัวเองทำลายล้างสิ่งนั้นให้สิ้นซาก  ดังนั้นอะไรก็ตามที่ถูกมันเสียบทะลุแล้วมักจะไม่รอด”

    เคนิสอธิบายพลางดูตำราอาวุธโบราณตาเป็นประกาย  ลูกดอกทมิฬเป็นลูกดอกที่ไม่ได้แค่เสียบแทงฝ่ายตรงข้าม  แต่มันยังระเบิดตัวเองสร้างความเสียหายที่รุนแรงมาก  เพราะมันคือลูกดอกสำหรับระเบิดเจตภูต  ทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายได้อย่างเด็ดขาด  เป็นลูกดอกในตำนานที่สังหารเจ็ดขุนพลปีศาจเมื่อพันปีก่อน  แต่ที่เหลือดอกเดียวนั้นเพราะอิสซาเบลล่าหนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจ  ถูกนักพรตอาร์กัสส่งกลับนรกด้วยตัวของเขาเอง สิ่งนี้จึงยังเหลืออยู่ให้เห็น

                    “เอาละทีนี้ก็เอาไปส่งที่ป่าเดียวดาย”

    เคนิสนำชุดคลุมนักพรตของ อ.บริสตั้นใส่ไปในกล่องให้ด้วยอีกตัว  ตรากางเขนหนามในชุดนั้นถูกเลาะออกไปไม่ต่างจากชุดเก่า  เคนิสเห็นรอยปะตรากางเขนหนามในชุดเดิมของพรตหนุ่ม  แสดงว่าเรื่องที่มันเคยเป็นเสื้อของ อ.บริสตั้น มาก่อนนั้นก็เป็นเรื่องจริง 

                    “นั่นสิครับ! อาร์คบิชอปมิคาเอลเพิ่งบอกเมื่อครู่เองว่าป่าเดียวดายถูกโจมตี  จะทำไงดีครับ คทาของเขาก็อยู่ที่นี่  เครื่องแบบที่พอจะกันการโจมตีแรงๆได้ก็อยู่ที่นี่หมด  หมายความว่าชายคนนั้นต้องปะทะกับขุนพลปีศาจด้วยมือเปล่าเชียวนะครับ  รีบเอาไปส่งให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”

    เคนิสเห็นด้วยกับฟีเดอาโก้  ถึงแม้ว่าเธอจะแอบให้มีดสั้นลงอาคมกับพรตปีศาจคนนั้นไปแล้ว  แต่แค่มีดลงอาคมเล่มนั้นคงจะเอาไปปะทะปีศาจระดับนายพลไม่ไหว

                    “เข้าใจแล้ว ถ้าจะส่งให้เร็วที่สุดก็ต้องให้แมรี่กับไนท์แมร์ไปส่งให้ละนะ”

    ทันใดนั้นสาวเมดก็สะดุ้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นดังๆว่า

                    “ขอปฏิเสธค่ะ  ฉันไม่ชอบป่านั่น  ไนท์แมร์กับฉันไปได้ถึงแค่ทางเข้าป่าเดียวดายเท่านั้น  คุณต้องเข้าไปเอง”

    สาวเมดรีบบอกปัดไปแทบจะทันที  อากาศบริเวณป่าเดียวดายและต้นไม้ทุกต้นในนั้นเป็นอันตรายต่อพวกเธออย่างมาก  ม้าฝันร้ายเคยไปวิ่งเล่นตามท้องทุ่งใกล้ๆป่าเดียวดาย ก่อนที่มันจะต้องกลับมานอนซมในสภาพใกล้ตายไปหลายเดือน    แต่นั่นเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการไปป่าเดียวดายในตอนนี้ เพราะระยะทางเดินเท้าจากซางตานีโอใช้เวลาประมาณสามวันเต็มๆ  แต่ถ้าหากไปทางเรือจะใช้เวลาเพียงสี่ถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น

                    “เอาเถอะยังไงก็ได้   ไปกันได้แล้วไนท์แมร์”

                    “เดี๋ยว.......คุณจะพามันไปไหน!

                    “ปากทางเข้าป่าเดียวดาย”

    สาวเมดร้องลั่นเมื่อม้าของเธอ ทำตัวเชื่องอย่างว่าง่ายทันทีที่มันได้ผลแก้วมังกรสีดำเป็นอาหาร  มันพาหญิงสาวผมดำห้อตะเบ็งไปทางหน้าต่าง ก่อนที่หายลับไปจากสายตา   และอีกประมาณไม่ถึงนาที  ม้าฝันร้ายก็กลับมาในร้านอีกครั้งโดยที่ไม่มีเคนิสอยู่บนหลังมันแล้ว

                    “ยอดไปเลยนะครับแมรี่  ไนท์แมร์เนี่ย”

    ฟีเดอาโก้ชมม้าปีศาจสีดำ พลางยื่นผลแก้วมังกรสีดำให้  เจ้าของม้าได้แต่ถอนหายใจมองม้าตนเอง ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างเอ็นดู  เมื่อเห็นไนท์แมร์ผงกหัวมันขึ้นลงอย่างดีใจ

                    “ฟีเดอาโก้   เธอรู้มั้ย ว่าทำไมพวกฉันจึงยังอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างอิสระ”

    เด็กหนุ่มเหลือบมองสาวเมดครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

                    “เรื่องนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ  แต่เคยได้ยินมาว่า พวกคุณได้รับอนุญาตให้อยู่ในแดนมนุษย์ได้เป็นกรณีพิเศษมานานแล้ว”

                    “ใช่  ที่พวกฉันได้อภิสิทธิ์แบบนั้น ก็เพราะว่าวางตัวเป็นกลาง”

    สาวเมดผมทองเอ่ยขึ้นพลาง เดินมายืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม

                    “คุณหมายความว่ายังไงครับแมรี่”

    ดัลลาฮานสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพูดเรื่องสำคัญที่ปิดบังมานาน

                    “ก็หมายความว่า ถ้าฉันเข้าข้างพวกนาย   อีกฝั่งก็จะขึ้นมาจัดการกับฉัน  และถ้าหากฉันเลือกฝ่ายนั้น....” 

    มันเป็นคำพูดที่ทำให้ฟีเดอาโก้ค่อยๆเงยหน้ามามองหญิงสาวผมทองคนนั้นตรงๆ  ด้วยสายตาเยือกเย็น

                    “รับรองว่าผมไม่ออมมือแน่”

                    “นั่นสินะ”

                    “สรุปแล้ว    คุณจะพูดอะไรกันแน่ ดัลลาฮาน”

                    “ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเลือกข้างแล้วยังไงละ เกรย์ ฟีเดอาโก้”

    ร่างของสาวเมดค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นร่างโครงกระดูกในชุดคลุมสีดำของจอมภูตดัลลาฮานถือเคียวสีเดียวกับยามค่ำคืน

                    “แล้ว......คุณจะเลือกข้างไหน”

    ฟีเดอาโก้เอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง

                    “นายของฉันอยู่ข้างไหนฉันก็อยู่ข้างนั้น”

                    “ถ้างั้นคุณก็ต้องเตรียมตัว รับผลแห่งการเลือกนั้นไว้เลยครับ แมรี่!

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

               อีกด้านหนึ่งพรตปีศาจอาร์กัสกำลังยืนเงยหน้ามองต้นไม้ในป่าเดียวดายของเขาด้วยความวิตกกังวล  ต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่โตมโหฬารกว่าต้นไม้ใดๆในโลก  ต่างยืนต้นขึ้นเบียดเสียดกันกลายเป็นกำแพงธรรมชาติขนาดใหญ่ป้องกันไอพิษจากทวีปต้องสาปมานับพันปี แต่ตอนนี้พวกมันกำลังจะยืนต้นตาย

                     “ทำไมจึง......ร่วงโรยมากมายขนาดนี้”

                 พรตหนุ่มตกตะลึงตาค้างอยู่แบบนั้น  เมื่อทั้งใบทั้งกลีบดอกสีเหลืองอร่ามของต้นไม้ทุกต้น กำลังแข่งกันผลัดใบผลัดกลีบดอก ร่วงหล่นโรยราย ปลิวว่อน จนเหลืองอร่ามไปทั้งป่า บางต้นโกร๋นใบเกลี้ยงสนิทเหลือเพียงกิ่งก้านที่หงิกงอบิดเบี้ยวเมื่อต้องแสงแดดสีดำอาบไล้ลำต้นยามไร้ใบ   แสงสีดำและไอพิษจากทวีปต้องสาปเริ่มเล็ดลอดเข้ามาแล้ว!   

                    “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

    แต่ว่าทันใดนั้นเองพรตหนุ่มก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ใจกลางป่า  มีต้นไม้กระจุกหนึ่งประมาณหกเจ็ดต้นที่ยืนต้นตายไปเรียบร้อยแล้ว บริเวณลำต้นนั้นมีบางอย่างราวกับเชื้อราสีดำสนิท ขึ้นเต็มไปหมด  จุดสีดำเริ่มปรากฏตามพื้นดินรอบๆต้นไม้เหล่านั้น และกำลังลุกลามไปยังต้นอื่นๆ

                    “เจตภูต!

    จุดสีดำที่คล้ายคลึงกับเชื้อรานั้นกำลังเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต เสียงวิญญาณร้องโหลหวนดังลั่น ค่อยๆคืบคลานกัดกินทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ   มันเข้าไปยังแกนกลางของต้นไม้ทุกต้น เริ่มกัดกินจากข้างใน บัดนี้ป่าที่เป็นดั่งกำแพงคุ้มกันเจ็ดมหานครสุดท้ายจากทวีปต้องสาปกำลังจะพินาศ !    มีบางอย่างจู่โจมป่านี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว  อีกทั้งจับสัมผัสอะไรไม่ได้สักอย่าง      ทำไมจึงมีเจตภูตเข้ามาในป่าที่ปล่อยละอองศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้ได้กันแน่

                    “......................”

    อาร์กัสพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองป่าที่กำลังถูกกัดกินอย่างเงียบๆ   กลีบดอกไม้เล็กๆร่วงหล่นมายังตัวเขา กลีบแล้วกลีบเล่าราวกับทุกต้นกำลังร่ำให้  พรตหนุ่มกำหมัดแน่นก่อนจะตัดสินใจ ใช้มีดสั้นลงอาคมที่ได้รับมาจากเคนิส วิ่งตรงดิ่งไปยังต้นไม้ที่กำลังถูกฝูงเจตภูตรุมกัดแทะทันที    มีดสั้นเล่มนั้นขานรับเจตนารมณ์อย่างแรงกล้า  มันทอแสงศักดิ์สิทธิ์ รุนแรงออกมา  แต่ก่อนที่เขาจะปักมันไปที่ต้นไม้ตรงหน้าได้นั้น   ก็ถูกใครบางคน  ฟาดเข้าที่หลังอย่างจัง  ความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างกระแทกใส่อย่างแรง จนร่างของเขานั้นกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้แล้วกระอักเลือดล้มลงกับพื้น  พร้อมๆกับมีเสียงตวาดลั่นอย่างเกลียดชังดังมาจากบุรุษผู้หนึ่ง

                    “ไอ้ตัวเกะกะ!

                  อาร์กัสไม่ทันจะได้เงยหน้ามอง ใครคนนั้นก็ยกเท้ากระทืบเปรี้ยงกระหน่ำซ้ำ แล้วเหยียบกดไว้กับพื้นอยู่อย่างนั้น   เจตภูตทั้งหมดเข้ามาห้อมล้อมพรตหนุ่มไว้  พร้อมจะลากเขาลงหลุมนรก  ชายผู้นี้เองคือผู้นำเจตภูตมาทำลายที่นี่

                    “อึก...กะ แก  !

    ตาของพรตหนุ่มเริ่มพร่ามัว  เจตภูตมากมายห้อมล้มตัวเขาไว้   หลุมนรกปรากฏขึ้น พร้อมกับที่มือสีดำมากมายต่างฉุดดึงเขาลงไปในหลุมนั้น  

                    “จงลงไปหาอิสซาเบลล่าในนรกซะ  ไอ้พรตเกะกะ  อาร์กัส!

     
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    END/ร่องรอยของดาร์ค อ. บริสตั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×