คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ร่องรอยของดาร์ค อ. บริสตั้น
สายลมบริสุทธิ์จากทางเหนือพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำงานของหญิงสาวผมดำผู้ดูแลร้านสังฆภัณฑ์ กลีบดอกไม้สีเหลืองเล็กๆถูกสายลมพัดหอบหิ้วมาจากป่าเดียวดายอันไกลโพ้นกลีบแล้วกลีบเล่า ต่างปลิวว่อนไปตามแรงลมครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆร่วงลงตรงหน้าหญิงสาวผมดำคนนั้น
“เจ้าพรตปีศาจนั่น คงคิดจะเร่งงานแน่ๆ ”
เคนิสแน่ใจทีเดียวว่า พรตปีศาจอาร์กัสกำลังเร่งให้เธอซ่อมชุดของเขาโดยเร็ว กลีบดอกไม้พวกนั้นปลิวมาจากป่าเดียวดายราวกับเร่งรัด ทั้งที่มันไม่เคยปลิวมาจนถึงใจกลางเมืองซางตานีโอที่อยู่ห่างไกลขนาดนั้นได้ เคนิสมองไปที่หน้าต่างก็ยังเห็นกลีบดอกสีเหลืองนั้นปลิวเข้ามาเรื่อยๆจนดูผิดปกติไป
หมอนั่นจะเป็นอะไรมั้ยนะ
เคนิสคิดถึงเจ้าของชุดคลุมขาดรุ่งริ่งที่ดูโคตรเน่าเก่าสกปรกนั้น แต่มันกลับซุกซ่อนสุดยอดนวัตกรรมสิ่งทอยุคโบราณเอาไว้ กล้องกำลังขยายสูงสำหรับส่องวัตถุโบราณเผยให้เห็นเนื้อผ้าที่ถูกถักทอด้วยเส้นใยบางอย่างที่มีขนาดเล็กพิเศษ ถูกทอเรียงติดชิดกันแน่นหนา ราวกับมีวัสดุประสานความยืดหยุ่นสูงยึดติดแต่ละเส้นไว้ จนยากที่จะขาดออกจากกันได้ นี่เองคือสาเหตุของความทนทานอย่างเหลือเชื่อ จนไม่สามารถใช้อุปกรณ์ ตัดเย็บทั้งกรรไกร ทั้งเข็มทั่วไปตัดเจาะ ซ่อมแซมเสื้อคลุมชุดนี้ได้เลย ผ้าชนิดนี้ถูกทอขึ้นจากฝ้ายชนิดพิเศษซึ่งในปัจจุบันนั้นสูญพันธุ์ไปแล้วพร้อมๆกับการล่มสลายของแหล่งผลิตในดินแดนเชล หนึ่งในอาณาจักรที่ถูกปกคลุมด้วยพิษร้ายภายใต้ทวีปต้องสาป
ผ้าฝ้ายแห่งเชลทนทานสูง ป้องกันไฟ แรงระเบิด และศาสตราวุธทุกชนิด น้ำหนักเบา คุณภาพเยี่ยม
เคนิสทำตาโตเมื่อเห็นการบรรยายคุณสมบัติผ้าฝ้ายแห่งเชล ในใบสั่งตัดเครื่องแบบนักพรต สมัยเมื่อพันปีก่อนใบหนึ่ง ที่สอดอยู่ในตู้เก็บเอกสารการซื้อขายของยุคนั้น ตอนนี้มันกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม กระดาษทั้งแผ่นเก่ากรอบจนแทบจะแตกคามือได้ ในใบสั่งตัดเครื่องแบบนั้นมีผู้สั่งตัดรายหนึ่งเลือกสั่งตัดเครื่องแบบด้วยผ้าฝ้ายแห่งเชลสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งจากคุณสมบัติของผ้าแล้วมันเป็นผ้าที่ไม่ได้ใช้สำหรับตัดเครื่องแบบนักบวชทั่วไป แต่เป็นผ้าที่ใช้ทำเครื่องยุทธภัณฑ์จำพวกเกราะเบา สำหรับนักบวชสายพิฆาตความมืดโดยเฉพาะ
ว่าแล้วทำไมถึงได้หวงนัก
เคนิสเริ่มเข้าใจสาเหตุที่พรตปีศาจอาร์กัสหวงชุดคลุมตัวนี้มากเป็นพิเศษ แต่แม้จะมีคุณสมบัติป้องกันการโจมตีดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาเครื่องแบบนักพรตแล้ว ก็ยังถูกหนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจฟาดฟันจนชุดขาดกระจุยรุ่งริ่ง มันทำให้เคนิสถอนหายใจออกมาเมื่อชุดที่เธอเพิ่งให้พรตหนุ่มสวมไปนั้น ประสิทธิภาพกันการโจมตีจากศาสตราวุธแทบจะเป็นศูนย์ ทั้งมีด ดาบ หอก ลูกดอกทั่วไปก็สามารถแทงทะลุผ้าไหมงามๆนั่นได้อย่างง่ายดาย
“อยากให้มีเหลือสักตัวจังนะ”
แล้วทันใดนั้นเมื่อเธอกำลังจะนำเอกสารเก่าๆและใบสั่งซื้อต่างๆเก็บลงในตู้เช่นเดิม มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดวงตาสีดำทั้งคู่เบิกค้างด้วยความตกใจ เพราะดูเหมือนว่าชื่อผู้สั่งตัดในใบสั่งตัดเครื่องแบบใบนั้น จะมีลายเซ็นชื่อของใครคนหนึ่งอยู่ด้วย
“ดาร์ค อ. บริสตั้น!”
เรื่องราวของเขาแทบไม่มีใครกล่าวถึง เคนิสพยายามสืบหาข้อมูลเรื่องราวของเขามาตลอด แต่ก็ได้ข้อมูลที่คลุมเครือไปหมด ทั้งการหายตัวไปอย่างลึกลับ และการตายที่ยังเป็นปริศนา ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อที่แท้จริงนอกจากตัวอักษรย่อ “อ.” ไม่มีหลักฐานไม่มีสิ่งใดให้ตามรอยสาวถึงตัวตน ราวกับว่า ดาร์ค รุ่นก่อนนั้นกำลังกลบรอยเท้าของตนจากบางสิ่งบางอย่างอยู่ยังไงยังงั้น แม้แต่นักพรตปีศาจผู้ที่พอจะให้ข้อมูลของ อ. บริสตั้นได้บ้าง ก็มักจะให้คำตอบเป็นความเงียบมาแทนที่เสมอ หากเมื่อใดก็ตามที่ถามถึงดาร์ค บริสตั้น รุ่นที่แล้ว พรตหนุ่มบอกแต่เพียงว่าเขาเองนั้นก็ไม่รู้อะไรมากนัก ตลอดเวลา อ. บริสตั้นคนนั้นมักจะวางระยะห่างไว้เสมอ ทั้งชาติกำเนิด ทั้งภูมิหลัง เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยอะไรให้รู้เลยแม้แต่น้อย รวมทั้งไลท์ วาเลเรียส บริสตั้นเอง ก็ยังบอกว่าแทบจะพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง
หมายเหตุ * ลูกค้าไม่มารับเครื่องแบบ
ดาร์ค บริสตั้นคนปัจจุบันเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นข้อความใต้ใบสั่งซื้อ วันนัดรับเครื่องแบบก็ตรงกับช่วงเวลาเดียวกับที่สงครามในตำนานอุบัติขึ้นพอดี ตามมาด้วยการล่มสลายของแผ่นดินโลกถึงสามในสี่ส่วน ทวีปต้องสาปปรากฏขึ้นในแผนที่ ป่าเดียวดายถูกสร้างขึ้น และการเริ่มต้นตำนานเรื่องเล่าของเจ็ดอัครทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เจ็ดมหานครสุดท้าย
หมายความว่า อ. บริสตั้น ตายในสงครามเมื่อพันปีก่อน
เคนิสได้แต่สันนิฐานในใจ ทุกสิ่งยังคลุมเครือไปหมด รู้แค่เพียงช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปนั้นคือสงครามเมื่อพันปีก่อน แต่ที่น่าตกใจคือคำบอกเล่าจากพรตอาร์กัส พรตหนุ่มที่เคยเอาหมุดลงอาคมตอกผนึกตนเองไว้ในป่าเดียวดายเมื่อพันปีก่อน ต้องทรมานจากหมุดนั้นด้วยคำสาปไม่ให้ตายกว่าสองร้อยปี แต่ผู้ที่มาดึงหมุดลงอาคมออกให้กลับเป็นดาร์ค อ.บริสตั้น ซึ่งน่าจะตายไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อนหน้านั้นแล้ว
มันหมายความว่ายังไงกัน
เคนิสเริ่มปวดหัว จับต้นชนปลายไม่ถูก อ. บริสตั้น ตายไปแล้วจริงๆหรือ? แต่การมีตัวตนของเธอในตอนนี้ เป็นสิ่งยืนยันชัดเจนทีเดียวว่าบริสตั้นรุ่นก่อนได้ตายไปแล้วจริงๆ บุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้นเป็นหลักฐานยืนยันว่า เธอคือ ดาร์ค บริสตั้น และจะไม่มี ดาร์ค บริสตั้น อื่นอีกในเวลาเดียวกันได้
“เขาไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้ว แต่เป็นเหมือนกับเจตภูตในระยะสุดท้าย เขาถูกความมืดกลืนกิน และสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาข้า”
คำบอกเล่าของพรตอากัสนั้น ทำให้เคนิสพอจะคาดเดาเหตุการณ์ตอนนั้นออก ดาร์ครุ่นก่อนถูกความมืดจากภายในกัดกินจนตายไปเอง แต่อยู่ๆจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรหรืออาจถูกใครบางคนเล่นงานจนถึงกับเสียสภาพของการเป็นกล่องอีทูลัส
เคนิสไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่มีบางอย่างตามล่า บริสตั้นทุกรุ่น มันไม่ฆ่าพวกเธอ แต่มันพยายามทำให้แพ้ภัยตัวเอง เพื่อให้ใครบางคนที่ถูกกักขังเอาไว้มีตัวตนขึ้นมาแทนที่ มันเป็นผู้เดียวที่รู้ว่ากล่องอีทูลัสไม่ใช่โลงไม้ผุๆในอุโมงใต้ดินเมืองซางตานีโอ แม้ทั้งมนุษย์และปีศาจจะพุ่งความสนใจไปที่โลงนั้น
อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ แกก็ต้องการ คืนชีพลูซิเฟอร์!
เคนิสยิ้มเหยียดออกมา เมื่อพอจะสรุปอะไรบางอย่างได้บ้าง เงื่อนงำจากเสื้อคลุมแค่ตัวเดียว แต่มันพาเธอไปเกือบจะถึงใครคนนั้นที่ตามจองล้างจองผลานพวกเธอมาตั้งแต่ในครั้งอดีต พวกมันเป็นใครกันแน่ !
“ความจำเสื่อมบ่อยจริงนะ บริสตั้น”
อยู่ๆก็มีเสียงพูดดังขึ้นมาอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่ฟังดูเหยียดหยามของบุรุษผู้หนึ่งจู่โจมเข้าสู่โซนประสาทโดยตรง เธอมองไม่เห็นมัน ระบุตำแหน่งของผู้ส่งสารทางจิตรายนี้ไม่ได้ ทุกอย่างถูกปิดกั้นสมบูรณ์แบบจนน่าตกใจ
“ถ้าแน่จริงก็โผล่หัวออกมา!”
เคนิสท้าเสียงแข็ง ดวงตาสีดำที่เคยสดใสเมื่อครู่บัดนี้ดูโหดเหี้ยมไร้แววปราณีใดๆ ริมฝีปากบางๆขยับยิ้มเหยียด พร้อมๆกับปลอดปล่อยรังสีอำมหิตรุนแรงประกาศสงครามกับฝ่ายตรงข้าม
“อย่าโมโหโกรธาไปเลย เพราะพวกเจ้ามีชะตากรรมต้องพินาศย่อยยับในไฟนรกอยู่แล้ว คนของนรก ก็ต้องไปนรก”
“อย่ามาทำเก่งแต่ฟาดปาก นักซ่อนแอบ!”
“........................”
นักซ่อนแอบคนนั้นอยู่ๆก็เงียบไป ก่อนที่จะหัวเราะเยาะตอบกลับมา หญิงสาวผมดำได้แต่กัดฟันกรอดกำมีดสั้นลงอาคมเสียแน่นด้วยความโมโห เมื่อพยายามมองหาอย่างไรก็ไม่เห็นตัวเห็นตนนักซ่อนแอบคนนั้นแม้แต่น้อย
“ซ่อนเหรอ ? เปล่าเลย เจ้ามองไม่เห็นข้าเอง”
เกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้อย่างประหลาด เลือดในกายของเธอเริ่มเดือดพล่านเมื่อสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้ใกล้ๆ แต่กลับมองไม่เห็นมัน และชั่วพริบตาเดียวที่เคนิสพยายามกวาดตามองหานักซ่อนแอบคนนั้น ก็มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังเธอเรียบร้อยแล้ว มันเข้ามาอย่างเงียบกริบไร้ซึ่งสัมผัสใดๆ
“แก!”
มีดสั้นลงอาคมถูกชักออกมาแล้วพุ่งจู่โจมเป้าหมายในทันที แค่พริบตาเดียวคมมีดก็ประชิดติดลำคอฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็วด้วยทักษะที่ราวกับนักฆ่ามืออาชีพของดาร์ค เคนิส บริสตั้น
“บอกมานะแกเป็นใคร ไม่งั้นหัวแกขาดแน่!”
“.... นี่ผมเอง”
เสียงเล็กๆของเด็กหนุ่มที่สุดจะคุ้นหูร้องตอบกลับออกมา เขาถูกล็อกคอไว้ พร้อมกับมีคมมีดแนบสนิทติดลำคอ หากเพียงหญิงสาวผมดำคนนั้นออกแรงขยับเพียงน้อยนิด หัวของเขาก็คงจะได้ร่วงออกจากบ่าในทันที
“ฟีเดอาโก้ ! ”
เคนิสร้องลั่นอย่างตกใจ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมขาวที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแทนที่จะเป็นไอ้นักซ่อนแอบนั่น เธอรีบเอามีดสั้นออกจากลำคอเด็กหนุ่มแล้วโวยลั่น
“นายเข้ามาทำอะไรไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง อยากตายนักใช่มั้ย!”
“เคนิสนั่นแหละ มาทำอะไรลับๆล่อๆในชั้นใต้ดินครับ!”
เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางเอามือลูบคอตนเองอย่างเสียวไส้ มีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผลบางๆที่เกิดจากแรงกดของคมมีด ส่วนมืออีกข้างนั้นถือธนูหน้าไม้เอาไว้
“ฉันแค่มาหาของ ขอโทษทีนะ แล้วหน้าไม้นั่นนายพกมาทำไม”
“นี่เหรอครับ ที่จริงเมื่อครู่ผมจับจิตชั่วร้ายได้ในนี้ ”
เคนิสทำหน้าตื่นด้วยความตกใจ แสดงว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง เจ้านั่นมันมาที่นี่จริงๆ
“ตอนนี้แมรี่เองก็กำลังลาดตระเวนตรวจสอบรอบๆเมืองเหมือนกันครับ ผมจับสัมผัสได้ครู่เดียวจากนั้นก็หายไปดื้อๆ เขาเป็นใครกันแน่นะ”
“ไอ้นักซ่อนแอบสุดน่ารำคาญ”
ฟีเดอาโก้มองเธอด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเคนิสพูดถึงนักซ่อนแอบคนนั้น ท่าทางจะมีใครบางคนบุกมาถึงที่นี่จริงๆ ผู้มาเยือนคนนั้นเป็นใครกันแน่ เพราะแม้แต่ดาร์ค และเกรย์ บริสตั้น ก็ยังหาตัวตนมันไม่พบ
“นักซ่อนแอบ?”
“อืม ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นใคร แต่เจ้านั่นมันต้องมาไล่ล่าเราสักวันแน่”
เคนิสทำหน้าเครียด เธอเก็บเอกสารการซื้อขายเมื่อพันปีก่อนเข้าตู้เช่นเดิม ก่อนที่จะเหลือบดูมีดสั้นในมือตนเองแล้วถอนใจ จากการประมาณระดับความสามารถของนักซ่อนแอบคนนั้น ใช้แค่มีดสั้นสู้กับมันคงจะมีแต่แพ้กับแพ้
ต้องหาดาบเล่มนั้นให้เจอ
ดาบคู่กายของดาร์ค บริสตั้นทุกรุ่น อาวุธประจำตัวที่ตกทอดกันต่อๆมา ว่ากันว่าทรงพลานุภาพแต่ก็หายไปพร้อมๆกับเจ้าของคนก่อนเสียเรียบร้อย เคนิสเริ่มกุมขมับอย่างจนปัญญาก่อนจะถอยเท้าไปเหยียบบางอย่าง
“เอ๊ะ นั่นอะไรครับ”
ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่กองผ้าขี้ริ้วเก่าๆบนพื้นฝุ่นเกาะหนาเกรอะกรัง ห้องเก็บเอกสารโบราณที่แทบจะไม่มีใครได้เข้ามาตั้งแต่สามสี่ร้อยปีก่อนแล้ว ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยฝุ่นและหยักใยจำนวนมหาศาลจนแทบมองไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ที่พื้นบ้าง
“ผ้าขี้ริ้ว?”
ในทันทีที่เคนิสยกผ้าขึ้ริ้วนั้นขึ้นมา ฝุ่นหนาก็ฟุ้งกระจายจนทั้งสองคนเริ่มพากันไอสำลักฝุ่น ผ้าขี้ริ้วขนาดใหญ่นั้นแท้จริงแล้วคือชุดคลุมนักพรตในสมัยโบราณ มันอาจเคยอยู่ในกล่องไม้สำหรับเก็บรักษาชุด แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ยาวนานมากก็ทำให้กล่องใส่ผุพังไปตามกาลเวลา ถูกตัวมอดถูกแมลงกัดแทะ จนในที่สุดกล่องไม้ก็กลายเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง
เคนิสพยายามปัดฝุ่นออกจากชุดคลุมตัวนั้น เนื้อผ้าของมันให้ความรู้สึกราวกับเนื้อผ้าจากชุดเก่าๆของนักพรตอาร์กัส เสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มตัวนี้คือเครื่องแบบนักพรตสายพิฆาตความมืดแบบเก่า ผลิตจากผ้าฝ้ายแห่งเชล และที่สำคัญ มันมีตรากางเขนหนามติดที่กลางหลัง
“ตราตระกูลบริสตั้น! ”
ฟีเดอาโก้มองชุดเก่าๆนั้นอย่างสนใจ และต้องเบิกตาค้างเมื่อเคนิสบอกว่ามันคือชุดของ ดาร์ค บริสตั้นรุ่นที่แล้วนามว่า อ.บริสตั้น
“ในที่สุดก็เจอร่องรอยของเขาแล้ว!”
ฟีเดอาโก้ร้องอย่างตื่นเต้น
“เจอแค่เสื้อกับตัวอักษรย่อเท่านั้นแหละ ”
เคนิสว่าอย่างเซ็งๆ ขณะมองตรากางเขนหนาม เธอไม่รู้อะไรสักอย่างนอกจากรู้แค่ว่า ชายคนนั้นชื่อ อ.
“อ. ? ”
ฟีเดอาโก้เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
“คงจะย่อมาจาก “ ไอ้” อะไรสักอย่างมั้ง ช่างเถอะ”
เคนิสว่าอย่างเซ็งๆ ก่อนที่จะขยี้ผมเด็กหนุ่มแรงๆ พลางหัวเราะ เธอยังจำได้ดีวันที่พบเด็กหนุ่มคนนี้ครั้งแรกที่ตลาดค้าทาสเมืองลอร์แซมเบิร์ก เขาเป็นเด็กหนุ่มดวงตาสีเขียว มีผมสีดำสนิท ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ถูกลูกธนูเสียบติดร่างจนดูราวกับเม่น แต่กระนั้นก็ยังไม่สิ้นชีวิต ทั้งมือและเท้าถูกล่ามโซ่เอาไว้แน่นหนา ปากถูกเย็บประกบกัน พวกคนค้าทาสมัดเขาไว้ในกรงและตั้งราคาไว้สูงลิบลิ่ว แต่ก็ยังมีคนเป็นอันมากพยายามซื้อตัวเขาออกไป เพียงแต่เหตุผลนั้นหาใช่การซื้อขายทาสเอาไปใช้แรงงานตามปกติ เพราะพวกนั้นพยายามจะซื้อตัวเขาออกมาเพื่อสังหาร
“จริงสิไปเรียนวันแรกเป็นไงบ้าง”
เคนิสถามขณะที่พากันเดินออกจากห้องใต้ดินขึ้นไปห้องทำงานชั้นสอง
“เลวร้ายสุดๆเลยครับ”
เคนิสเห็นฟีเดอาโก้ทำหน้าเบ้ออกมาเมื่อพูดถึงเรื่องโรงเรียน
“ช่างมันเถอะ แต่ผมคิดว่าน่าจะพบผู้ต้องสงสัยแล้ว เขาเป็น.....”
ฟีเดอาโก้หยุดพูดทันที เมื่อเขาเห็นเคนิสยกนิ้วป้องปากเป็นเชิงให้เงียบ เด็กหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดไว้ในใจ นอกจากพวกอาร์คบิชอปแล้ว ตอนนี้พวกเขาเองก็ถูกใครบางคนจับตามองอยู่ด้วยเช่นกัน หรือบางทีแม้แต่เมืองทั้งเมืองก็อาจไม่มีซอกมุมใด จะหลุดรอดพ้นจากสายตาของผู้เฝ้ามองไปได้ ประชาชนคนสามัญกลายเป็นหูเป็นตาให้ใครบางคนโดยไม่รู้ตัว เจ้านั่นฉลาดเป็นกรด หายตัวได้วุบวับราวกับภูตผี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังถูกเฝ้ามองโดยไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ฟีเดอาโก้สงสัยแซมแห่งลอร์แซมเบิร์ก แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก ว่าชายผมเงินคนนั้นจะเกี่ยวข้องกับเจ็ดขุนพลปีศาจ
“ยืนยัน ตรวจพบจิตปีศาจระดับสูงจำนวน 6 ตน”
ทันใดนั้นเองสาวเมดผมทองและภูตม้าดำก็ปรากฏตัวขึ้น แมรี่กับม้าฝันร้ายตรวจพบจิตปีศาจอันแรงกล้าเพียงชั่วครู่และหายไปภายในไม่กี่วินาที
“หกตนเลยเหรอ!”
เคนิสร้องออกมาอย่างตกใจ ไนท์แมร์เป็นสัตว์ปีศาจที่มีฝีเท้าไวยอดเยี่ยม อีกทั้งประสาทสัมผัสด้านความรู้สึกถึงจิตปีศาจด้วยกันดีกว่าพวกเธอหลายพันเท่า สามารถตรวจจับสิ่งชั่วร้ายจากระยะไกลมากๆได้เป็นอย่างดี
“แสดงว่าไอ้แอบนั่น มีพักพวกร่วมขบวนการ!”
เคนิสกำชุดของ อ.บริสตั้นไว้แน่น แค่ผู้ซ่อนแอบคนเดียวก็สุดหนักใจแล้ว แต่นี่มันมีถึงหก
“ครับ พวกนั้นคือขุนพลปีศาจที่เหลืออยู่หกตน ลูจังบอกผมเอง ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาหัวเราะชอบใจอยู่เนี่ย”
สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมานั้นทำให้ทั้งม้าปีศาจ ทั้งดัลลาฮานและดาร์ค บริสตั้น หันขวับไปมองเขาเป็นตาเดียว นี่ตั้งหากคือสิ่งที่น่ากังวลใจมากที่สุด
“บอกเจ้านั่นไปเลยว่าคอยดูเถอะ จะหัวเราะแบบนั้นได้อีกสักกี่นาน”
คำพูดของหญิงสาวผมดำทำให้ฟีเดอาโก้ยิ้มแห้งๆ เขาแทบไม่ต้องขยับปากบอกอะไรกับลูซิเฟอร์ เพราะคำพูดนั้นผู้รับสารได้ยินชัดแจ๋ว
“เขาฟังอยู่ครับ แล้วฝากข้อความนี้มาถึงคุณด้วย”
มันเป็นคำตอบที่ทำให้หญิงสาวผมดำสะดุ้งโหยง! แทบไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบกลับจากลูซิเฟอร์เช่นนี้ เคนิสหันมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า แล้วยิ้มเหยียดออกมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น
“เพราะว่าคุณขังเพื่อนสนิทอันแสนสำคัญของเขาไว้ สักวันเขาจะมาทวงคืนครับ”
“ฉันไม่ยกให้หรอก”
เคนิสตอบกลับทันควัน คำพูดนั้นส่งไปถึงบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาลืมตาขึ้น ก่อนจะตอบผ่านปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“รอดูไปเถิดความมืดของข้า ทั้งพวกเจ้าทั้งสวรรค์และแผ่นดิน ทุกสิ่งล้วนเป็นสิทธิอันชอบธรรมของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
“แล้วฉันจะรอดู ท่านเทวดาตกสวรรค์!”
ไม่มีสิ่งใดตอบกลับจากลูซิเฟอร์อีก มีเพียงแววตาแห่งความเกลียดชังสะท้อนอยู่ในดวงตาสีทองคู่นั้น และพริบตาเดียวมันก็หายไป กลายเป็นแววตาสดใสของเด็กหนุ่มนามฟีเดอาโก้ดังเดิม
“พอเถอะครับอย่าติดต่อกับเขาเลย ถ้าท่านมิคาเอลรู้เข้าผมต้องซวยแน่ๆ”
เรื่องที่พวกเขาแอบสุงสิงกับลูซิเฟอร์ จะให้รู้ไปถึงอาร์คบิชอปแห่งซิลเทียเรสไม่ได้เด็ดขาด แต่มันจะปิดได้แน่หรือ เพราะทันใดนั้นบุรุษในคราบนักดนตรีเพลงร็อคที่กำลังพูดถึง ก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา ดวงตาสีแดงจ้องเขม็งมายังบริสตั้นทั้งสองอย่างไม่พอใจ
“จงระวัง! อย่าทำให้เสียเรื่อง แล้วสิ้นสภาพการเป็นกล่องอีทูลัสกันตอนนี้ ลำพังที่เป็นอยู่พวกฉันก็ ลำบากจะแย่”
อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยขึ้น ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆตัว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่! ท่านมิคาเอล”
เคนิสถามอาร์คบิชอปตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจ
“มีลมนรกพัดขึ้นมาจากทางทิศใต้ ฉันกับจูดิเอลกำลังแก้ปัญหาอยู่ ส่วนโรคระบาดจากลอร์แซมเบิร์ก ตอนนี้ควบคุมไม่ได้แล้ว ป่าเดียวดายเอง ก็ถูกบางอย่างบุกโจมตีใจกลางป่า ผู้พิทักษ์นั่นรับมือไม่ไหวแน่”
อาร์คบิชอปมิคาเอลเอ่ยขึ้นอย่างกังวล แล้วมองไปทางทิศเหนือ
“สถานการณ์หนักขนาดนั้นแล้วหรือครับ!”
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีพวกนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว เป็นการจู่โจมเป้าหมายโดยตรงแบบสายฟ้าแลบไม่ให้เวลาตั้งตัวได้ ถ้าป่าเดียวดายพินาศทุกอย่างก็จบสิ้น
“ฉันมาที่นี่แค่อยากเตือนพวกแกทุกคน จงเตรียมรับมือให้พร้อม ระวังตัวทุกฝีก้าว และอย่าติดต่อกับเจ้าปีศาจนั่นอีก”
ดวงตาสีแดงดุดันจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผมขาว แม้ตอนนี้เทวดาตกสวรรค์ผู้นั้นจะถูกทำให้หลับลงไปแล้ว แต่ฟีเดอาโก้รู้สึกได้ทันทีถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรงของเทวดาตกสวรรค์ ที่มีต่อบุรุษตรงหน้าจากส่วนลึกของจิตใจ
“ครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นบุรุษผมดำจึงค่อยๆละสายตาออกจากเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินเข้าไปหาเคนิส แล้วยื่นสมุดบันทึกเล่มหนาเก่าๆให้เธอ สมุดบันทึกนั้น น่าจะเคยผ่านการใช้งานบ่อยครั้งจนสภาพดูยับเยิน มันถูกเขียนด้วยลายมือของอาร์คบิชอปตรงหน้า
“บันทึกนี่คือ?”
บันทึกทั้งเล่มถูกเขียนด้วยอักษรแปลกๆที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ ในนั้นมีภาพวาดของอาวุธอะไรสักอย่างที่เธอไม่รู้จัก อีกทั้งท่าทางจะใช้ยากโดยดูจากรูปภาพประกอบในบันทึก จนพอจะเดาได้ว่าอาวุธนั้นมันเป็นดาบหรืออะไรบางอย่าง ที่มีเมนูการใช้งานยุ่งยากซับซ้อน จนต้องเขียนอธิบายในสมุดเล่มหนาหนักกว่าสองกิโลกรัมนั่น
“คู่มือการใช้ดาบของเธอยังไงละ ดาร์ค เคนิส บริสตั้น”
เคนิสได้แต่อ้าปากค้างมองอาร์คบิชอปมิคาเอล เมื่อเจ้าตัวเล่นเขียนคู่มือการใช้ดาบให้ด้วยอักษรสวรรค์ทั้งเล่ม แถมที่โคตรจะซวยกว่านั้นคือ ดาบที่หนังสือคู่มือเล่มนี้เขียนถึงนั้น ก็หายสาบสูญไปตั้งแต่พันปีก่อนโน้นแล้ว
“ถึงท่านจะให้คู่มือมา แล้วดาบของฉันละ!”
“เจ้าของดาบก็ต้องไปตามเอาเอง”
อาร์คบิชอปมิคาเอลว่าแล้วลุกขึ้นเดินมาตบไหล่เธอเบาๆ ก่อนที่จะจากไปสมทบกับอาร์คบิชอปจูดิเอลแห่งเมืองอาโรนที่อยู่ทางใต้ เพื่อแก้ปัญหาสายลมนรก บัดนี้ภัยพิบัติพร้อมกันจู่โจมอย่างรวดเร็วจนตั้งรับแทบไม่ทัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอุส่าแวะมาที่นี่ เพื่อเอาคู่มือการใช้ดาบมาให้ เขารู้ว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับอะไร และรู้ว่ามันร้ายกาจขนาดไหน แม้อาร์คบิชอปมิคาเอลจะไม่ค่อยช่วยเหลือพวกเธอตรงๆนัก แต่เขามักมีส่วนช่วยเหลือแบบอ้อมๆเสมอ
“ท่านเคนิส”
เสียงเรียกของสาวเมดทำให้เคนิสสะดุ้งก่อนจะหันมามองผู้เรียก
“นั่นจะทำอะไรคะ”
แมรี่ชี้ไปที่อุปกรณ์ตัดเย็บที่อยู่เกลื่อนกลาดโต๊ะ มีกรรไกรหลายเล่มหักบิดเบี้ยวถูกทิ้งไว้ระเนระนาด เพราะมันไม่สามารถตัดชุดคลุมเก่าๆของนักพรตอาร์กัสได้แม้แต่น้อย และเมื่อออกแรงตัดมากๆมันก็ถึงกับหักเป๊าะ!
“จริงสิ แมรี่ขอยืมเคียวของเธอหน่อยสิ”
แมรี่ได้ยินก็ถึงกับสะดุ้ง
“คุณจะเอามันไปทำอะไรเหรอคะ”
“เลาะตราตระกูลบริสตั้นออกนะสิ ฉันจะส่งชุดนี้ให้นักพรตปีศาจนั่น”
แมรี่ทำตาดุใส่ แต่ก็ยอมเรียกเคียว แล้วย่อส่วนลงออกมาให้ เคียวสีดำสนิทสามารถตัดทุกสิ่งอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นมิติกาลเวลา หรือแม้แต่ฟาดฟันเขตอาคมอันทรงพลังทุกชนิด ดังนั้นมันน่าจะสามารถตัดผ้าฝ้ายแห่งเชลให้ขาดจากกันได้ เคนิสใช้เคียวเล็กๆ ค่อยๆเลาะด้ายที่เย็บตราประจำตระกูลออก และใช้มันตัดส่วนที่ขาดรุ่งริ่งของชุดคลุมตัวเก่า ที่เจ้าพรตปีศาจคนนั้นหวงนักหนา
“เสร็จแล้ว!”
เคนิสร้องออกมาแล้วยื่นเคียวกลับคืนให้เจ้าของเมื่อใช้มันเสร็จ
“คทาของผมก็เสร็จแล้วเหมือนกัน”
คทาที่ซ่อมเสร็จแล้วถูกบรรจุอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม เพียงแต่มันดูผิดคาดไปอย่างมากเมื่อกล่องที่ใส่มานั้น มันสั้นกว่าที่จะใส่คทาไม้ยาวเกือบสองเมตรลงไปได้ เคนิสมองมันอย่างสงสัยก่อนจะมองไปที่เด็กหนุ่มคนซ่อมคทาที่ทำท่าจะเผ่นหนี
“คือ มันออกจะต่างจากเดิมนิดหน่อยครับ”
เด็กหนุ่มรีบแก้ตัว แต่เมื่อเอาคทาอันนั้นออกมา สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นมันต่างจากเดิมลิบลับ เคนิสจำไม่ได้เลยว่ามันเคยเป็นไม้เท้าเก่าๆของพรตปีศาจคนนั้นจริงหรือไม่ คทาที่พรตปีศาจถือเป็นเพียงกิ่งไม้ยาวๆสองกิ่งมาผูกติดกัน แต่คทาที่เห็นตรงหน้านี้คือคทากางเขนไม้สีน้ำตาลเข้ม ถูกขัดจนเกลี้ยงและเคลือบเงาอย่างดี เปลือกไม้ผุๆที่เคยอยู่ด้านนอกถูกเอาออกหมด เด็กหนุ่มใช้เพียงแกนกลางเนื้อไม้ที่ยังแข็งแรงทนทานอยู่นั้นมาทำเป็นคทาด้ามเก่าในคราบใหม่ สิ่งที่ออกมานั้นคือคทากางเขนสวยงามแต่ดูเรียบง่ายไม่มีการสลักลวดลายอะไร ขนาดที่เคยยาวกว่าสองเมตร ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึง 70 เซนติเมตร
“นี่นะเหรอต่างจากเดิมนิดหน่อย”
เคนิสเอ่ยถาม ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“เนื้อไม้เก่ามากจนใช้ได้เท่านี้เองครับ คทาเลยสั้นลง”
ฟีเดอาโก้พูดก่อนที่จะ พลิกคทาไปอีกด้านหนึ่งให้เคนิสกับแมรี่ดู
“เพื่อชดเชิญความเสียหายที่เกิดขึ้น ผมเลยประยุกต์คทาด้ามนี้นิดหน่อย จากที่เห็นตอนเขาสู้กับอิสซาเบลล่าแล้ว ผมคิดว่าเขาไม่เหมาะกับคทาเลย”
“นายคิดเหมือนฉัน หมอนั่นแค่เอาคทาไล่ฟาดใส่ศตรูไปมา เท่านั้น”
“นั่นสิครับ จากที่เห็นมาผมคิดว่า หน้าไม้เหมาะกับเขามากกว่า”
ฟีเดอาโก้ว่าแล้วชี้ให้เคนิสดูด้านหลังของคทาอันใหม่ มันมีร่องสำหรับใส่ลูกดอก มีที่ล็อกเรียบร้อย คทาที่ดูอีกด้านหนึ่งก็เหมือนไม้กางเขนทั่วไป แต่พอพลิกไปอีกด้านแค่นั้นแหละ มันก็กลายเป็นธนูหน้าไม้สำหรับพิฆาตความมืดไปเรียบร้อย
“ออกแบบได้ไม่เลวนี่”
สาวเมดว่าเมื่อเห็นผลงานของเด็กหนุ่ม ในกล่องนั้นมีลูกดอกประมาณหกสิบลูกแถมให้เสร็จสับ พร้อมด้วยถุงมือยิงธนู มีตัวล็อกสำหรับวางหน้าไม้
“ถ้าเป็นหน้าไม้ยาวขนาดนี้ ฉันก็มีลูกดอกเจ๋งๆแถมให้”
พวกเขาเดินตามเคนิสไปเอาลูกดอกที่เธอว่าเจ๋งในห้องครัวของร้าน แมรี่และเด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าในห้องนี้จะมีลูกดอกอย่างนั้นอยู่ด้วย มีบางอย่างถูกแขวนเอาไว้ที่ผนังห้อง ทั้งหัวหอม กระเทียม ไส้กรอก และอีกหลายๆอย่าง แขวนห้อยโตงเตงบนแท่งไม้ยาวๆจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไร
“นั่นไง!”
เคนิสเอาหัวหอมกระเทียมและของต่างๆที่แขวนไว้กับสิ่งนั้นออก ก่อนจะยื่นให้ฟีเดอาโก้เอาใส่กล่อง
“นั่นมันลูกดอกทมิฬในตำนานเลยนี่คะ!”
สาวเมดเอ่ยขึ้นพลางทำตาโต เมื่อเห็นลูกดอกสีดำสนิทในตำนาน ที่ไม่น่าจะเหลืออยู่แล้วนั่น
“ลูกดอกทมิฬนี้ว่ากันว่าใช้พิฆาตปีศาจชั้นสูงได้ผลชะงัก ตามเอกสารเก่าแก่ของซางตานีโอบันทึกไว้ว่ามีทั้งหมด 7 ดอก แต่ได้ถูกทำลายไป ตอนนี้มีแค่ดอกเดียวเท่านั้น”
เคนิสอธิบาย พลางมองไปที่เครื่องครัวหลายๆอย่างในนี้แล้วแอบยิ้มขึ้นมา เพราะแม้กระทั่งมีดที่ใช้ทำอาหารมานานแรมปี ก็เป็นอาวุธปราบปีศาจโบราณ ที่น่าจะเคยจามหัวผีร้ายมานักต่อนัก แต่เมื่อมันเลิกเป็นที่นิยมจนขายไม่ออกแล้ว ผู้ดูแลร้านสังฆภัณฑ์คนก่อนๆจึงเริ่มเอามาใช้ประโยชน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผ่าฟืน หรือแม้กระทั่งโกนหนวด
“ทำไมต้องทำลายลูกดอกทมิฬด้วยละครับ น่าเสียดาย”
ฟีเดอาโก้ถามเคนิสด้วยความสงสัย เขาหยิบลูกดอกมาพิจารณาดูอีกครั้ง มันก็ไม่ได้มีจิตชั่วร้ายแฝงอยู่จนถึงกับต้องทำลายทิ้งแต่อย่างใด
“ไม่มีใครไปทำลายมันหรอก แต่ลูกดอกชนิดนี้เมื่อยิงไปถูกเป้าหมายแล้ว มันจะระเบิดตัวเองทำลายล้างสิ่งนั้นให้สิ้นซาก ดังนั้นอะไรก็ตามที่ถูกมันเสียบทะลุแล้วมักจะไม่รอด”
เคนิสอธิบายพลางดูตำราอาวุธโบราณตาเป็นประกาย ลูกดอกทมิฬเป็นลูกดอกที่ไม่ได้แค่เสียบแทงฝ่ายตรงข้าม แต่มันยังระเบิดตัวเองสร้างความเสียหายที่รุนแรงมาก เพราะมันคือลูกดอกสำหรับระเบิดเจตภูต ทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายได้อย่างเด็ดขาด เป็นลูกดอกในตำนานที่สังหารเจ็ดขุนพลปีศาจเมื่อพันปีก่อน แต่ที่เหลือดอกเดียวนั้นเพราะอิสซาเบลล่าหนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจ ถูกนักพรตอาร์กัสส่งกลับนรกด้วยตัวของเขาเอง สิ่งนี้จึงยังเหลืออยู่ให้เห็น
“เอาละทีนี้ก็เอาไปส่งที่ป่าเดียวดาย”
เคนิสนำชุดคลุมนักพรตของ อ.บริสตั้นใส่ไปในกล่องให้ด้วยอีกตัว ตรากางเขนหนามในชุดนั้นถูกเลาะออกไปไม่ต่างจากชุดเก่า เคนิสเห็นรอยปะตรากางเขนหนามในชุดเดิมของพรตหนุ่ม แสดงว่าเรื่องที่มันเคยเป็นเสื้อของ อ.บริสตั้น มาก่อนนั้นก็เป็นเรื่องจริง
“นั่นสิครับ! อาร์คบิชอปมิคาเอลเพิ่งบอกเมื่อครู่เองว่าป่าเดียวดายถูกโจมตี จะทำไงดีครับ คทาของเขาก็อยู่ที่นี่ เครื่องแบบที่พอจะกันการโจมตีแรงๆได้ก็อยู่ที่นี่หมด หมายความว่าชายคนนั้นต้องปะทะกับขุนพลปีศาจด้วยมือเปล่าเชียวนะครับ รีบเอาไปส่งให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
เคนิสเห็นด้วยกับฟีเดอาโก้ ถึงแม้ว่าเธอจะแอบให้มีดสั้นลงอาคมกับพรตปีศาจคนนั้นไปแล้ว แต่แค่มีดลงอาคมเล่มนั้นคงจะเอาไปปะทะปีศาจระดับนายพลไม่ไหว
“เข้าใจแล้ว ถ้าจะส่งให้เร็วที่สุดก็ต้องให้แมรี่กับไนท์แมร์ไปส่งให้ละนะ”
ทันใดนั้นสาวเมดก็สะดุ้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นดังๆว่า
“ขอปฏิเสธค่ะ ฉันไม่ชอบป่านั่น ไนท์แมร์กับฉันไปได้ถึงแค่ทางเข้าป่าเดียวดายเท่านั้น คุณต้องเข้าไปเอง”
สาวเมดรีบบอกปัดไปแทบจะทันที อากาศบริเวณป่าเดียวดายและต้นไม้ทุกต้นในนั้นเป็นอันตรายต่อพวกเธออย่างมาก ม้าฝันร้ายเคยไปวิ่งเล่นตามท้องทุ่งใกล้ๆป่าเดียวดาย ก่อนที่มันจะต้องกลับมานอนซมในสภาพใกล้ตายไปหลายเดือน แต่นั่นเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการไปป่าเดียวดายในตอนนี้ เพราะระยะทางเดินเท้าจากซางตานีโอใช้เวลาประมาณสามวันเต็มๆ แต่ถ้าหากไปทางเรือจะใช้เวลาเพียงสี่ถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น
“เอาเถอะยังไงก็ได้ ไปกันได้แล้วไนท์แมร์”
“เดี๋ยว.......คุณจะพามันไปไหน!”
“ปากทางเข้าป่าเดียวดาย”
สาวเมดร้องลั่นเมื่อม้าของเธอ ทำตัวเชื่องอย่างว่าง่ายทันทีที่มันได้ผลแก้วมังกรสีดำเป็นอาหาร มันพาหญิงสาวผมดำห้อตะเบ็งไปทางหน้าต่าง ก่อนที่หายลับไปจากสายตา และอีกประมาณไม่ถึงนาที ม้าฝันร้ายก็กลับมาในร้านอีกครั้งโดยที่ไม่มีเคนิสอยู่บนหลังมันแล้ว
“ยอดไปเลยนะครับแมรี่ ไนท์แมร์เนี่ย”
ฟีเดอาโก้ชมม้าปีศาจสีดำ พลางยื่นผลแก้วมังกรสีดำให้ เจ้าของม้าได้แต่ถอนหายใจมองม้าตนเอง ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นไนท์แมร์ผงกหัวมันขึ้นลงอย่างดีใจ
“ฟีเดอาโก้ เธอรู้มั้ย ว่าทำไมพวกฉันจึงยังอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างอิสระ”
เด็กหนุ่มเหลือบมองสาวเมดครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่เคยได้ยินมาว่า พวกคุณได้รับอนุญาตให้อยู่ในแดนมนุษย์ได้เป็นกรณีพิเศษมานานแล้ว”
“ใช่ ที่พวกฉันได้อภิสิทธิ์แบบนั้น ก็เพราะว่าวางตัวเป็นกลาง”
สาวเมดผมทองเอ่ยขึ้นพลาง เดินมายืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“คุณหมายความว่ายังไงครับแมรี่”
ดัลลาฮานสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพูดเรื่องสำคัญที่ปิดบังมานาน
“ก็หมายความว่า ถ้าฉันเข้าข้างพวกนาย อีกฝั่งก็จะขึ้นมาจัดการกับฉัน และถ้าหากฉันเลือกฝ่ายนั้น....”
มันเป็นคำพูดที่ทำให้ฟีเดอาโก้ค่อยๆเงยหน้ามามองหญิงสาวผมทองคนนั้นตรงๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น
“รับรองว่าผมไม่ออมมือแน่”
“นั่นสินะ”
“สรุปแล้ว คุณจะพูดอะไรกันแน่ ดัลลาฮาน”
“ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเลือกข้างแล้วยังไงละ เกรย์ ฟีเดอาโก้”
ร่างของสาวเมดค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นร่างโครงกระดูกในชุดคลุมสีดำของจอมภูตดัลลาฮานถือเคียวสีเดียวกับยามค่ำคืน
“แล้ว......คุณจะเลือกข้างไหน”
ฟีเดอาโก้เอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง
“นายของฉันอยู่ข้างไหนฉันก็อยู่ข้างนั้น”
“ถ้างั้นคุณก็ต้องเตรียมตัว รับผลแห่งการเลือกนั้นไว้เลยครับ แมรี่!”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อีกด้านหนึ่งพรตปีศาจอาร์กัสกำลังยืนเงยหน้ามองต้นไม้ในป่าเดียวดายของเขาด้วยความวิตกกังวล ต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่โตมโหฬารกว่าต้นไม้ใดๆในโลก ต่างยืนต้นขึ้นเบียดเสียดกันกลายเป็นกำแพงธรรมชาติขนาดใหญ่ป้องกันไอพิษจากทวีปต้องสาปมานับพันปี แต่ตอนนี้พวกมันกำลังจะยืนต้นตาย
“ทำไมจึง......ร่วงโรยมากมายขนาดนี้”
พรตหนุ่มตกตะลึงตาค้างอยู่แบบนั้น เมื่อทั้งใบทั้งกลีบดอกสีเหลืองอร่ามของต้นไม้ทุกต้น กำลังแข่งกันผลัดใบผลัดกลีบดอก ร่วงหล่นโรยราย ปลิวว่อน จนเหลืองอร่ามไปทั้งป่า บางต้นโกร๋นใบเกลี้ยงสนิทเหลือเพียงกิ่งก้านที่หงิกงอบิดเบี้ยวเมื่อต้องแสงแดดสีดำอาบไล้ลำต้นยามไร้ใบ แสงสีดำและไอพิษจากทวีปต้องสาปเริ่มเล็ดลอดเข้ามาแล้ว!
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
แต่ว่าทันใดนั้นเองพรตหนุ่มก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ใจกลางป่า มีต้นไม้กระจุกหนึ่งประมาณหกเจ็ดต้นที่ยืนต้นตายไปเรียบร้อยแล้ว บริเวณลำต้นนั้นมีบางอย่างราวกับเชื้อราสีดำสนิท ขึ้นเต็มไปหมด จุดสีดำเริ่มปรากฏตามพื้นดินรอบๆต้นไม้เหล่านั้น และกำลังลุกลามไปยังต้นอื่นๆ
“เจตภูต!”
จุดสีดำที่คล้ายคลึงกับเชื้อรานั้นกำลังเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต เสียงวิญญาณร้องโหลหวนดังลั่น ค่อยๆคืบคลานกัดกินทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ มันเข้าไปยังแกนกลางของต้นไม้ทุกต้น เริ่มกัดกินจากข้างใน บัดนี้ป่าที่เป็นดั่งกำแพงคุ้มกันเจ็ดมหานครสุดท้ายจากทวีปต้องสาปกำลังจะพินาศ ! มีบางอย่างจู่โจมป่านี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว อีกทั้งจับสัมผัสอะไรไม่ได้สักอย่าง ทำไมจึงมีเจตภูตเข้ามาในป่าที่ปล่อยละอองศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้ได้กันแน่
“......................”
อาร์กัสพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองป่าที่กำลังถูกกัดกินอย่างเงียบๆ กลีบดอกไม้เล็กๆร่วงหล่นมายังตัวเขา กลีบแล้วกลีบเล่าราวกับทุกต้นกำลังร่ำให้ พรตหนุ่มกำหมัดแน่นก่อนจะตัดสินใจ ใช้มีดสั้นลงอาคมที่ได้รับมาจากเคนิส วิ่งตรงดิ่งไปยังต้นไม้ที่กำลังถูกฝูงเจตภูตรุมกัดแทะทันที มีดสั้นเล่มนั้นขานรับเจตนารมณ์อย่างแรงกล้า มันทอแสงศักดิ์สิทธิ์ รุนแรงออกมา แต่ก่อนที่เขาจะปักมันไปที่ต้นไม้ตรงหน้าได้นั้น ก็ถูกใครบางคน ฟาดเข้าที่หลังอย่างจัง ความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างกระแทกใส่อย่างแรง จนร่างของเขานั้นกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้แล้วกระอักเลือดล้มลงกับพื้น พร้อมๆกับมีเสียงตวาดลั่นอย่างเกลียดชังดังมาจากบุรุษผู้หนึ่ง
“ไอ้ตัวเกะกะ!”
อาร์กัสไม่ทันจะได้เงยหน้ามอง ใครคนนั้นก็ยกเท้ากระทืบเปรี้ยงกระหน่ำซ้ำ แล้วเหยียบกดไว้กับพื้นอยู่อย่างนั้น เจตภูตทั้งหมดเข้ามาห้อมล้อมพรตหนุ่มไว้ พร้อมจะลากเขาลงหลุมนรก ชายผู้นี้เองคือผู้นำเจตภูตมาทำลายที่นี่
“อึก...กะ แก !”
ตาของพรตหนุ่มเริ่มพร่ามัว เจตภูตมากมายห้อมล้มตัวเขาไว้ หลุมนรกปรากฏขึ้น พร้อมกับที่มือสีดำมากมายต่างฉุดดึงเขาลงไปในหลุมนั้น
“จงลงไปหาอิสซาเบลล่าในนรกซะ ไอ้พรตเกะกะ อาร์กัส!”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END/ร่องรอยของดาร์ค อ. บริสตั้น
ความคิดเห็น