ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #7 : เครื่องแบบ และ นักบวช

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 65


                   แม้ภายนอกร้านสังฆภัณฑ์จะยังเป็นช่วงเวลากลางวันแสกๆที่แดดแรงสว่างจ้าจนแสบตา  แต่ภายในร้านยามนี้กลับมืดสลัว เพราะการออกแบบร้านแบบเก่าที่มืดทึบ จนต้องเปิดไฟเพิ่มความสว่าง  ไฟแต่ละดวงส่องแสงเหลืองนวลในครอบแก้วคล้ายคลึงกับตะเกียง ถูกแขวนเรียงรายตามผนัง  ทั้งข้าวของและการตกแต่งร้าน ดูเคร่งขรึม ด้วยบรรยากาศโบราณเก่าแก่นี้ทำให้พรตผมทองยิ้มออกมา 

     

                                              เหมือนกับเมื่อพันปีก่อนไม่มีผิด    

                    พรตอาร์กัสเดินไปมาบริเวณชั้นสองดูของในร้านสังฆภัณฑ์เก่าแก่ ที่อายุมากพอๆกับมหาวิหาร ทุกอย่างในร้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือของประดับร้าน ไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยมาเยือนเมื่อพันปีก่อนเพียงแต่ว่าเมื่อมองดีๆแล้ว ทุกอย่างกลับเป็นของใหม่ที่สร้างเลียนแบบ ตามนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของเจ้าเมืองนัวร์ ที่พยายามรักษาของเก่าและบูรณะใหม่ให้ทุกอย่างในเมือง ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด

                                “ม่ายยยยย

    เด็กหนุ่มผมขาวร้องลั่น  เพราะทันทีที่เขาเปิดประตูห้องเล็กๆของตนออกมานั้น  คทาจำนวนมากก็ทะลักล้นออกมานอกห้องทันที เด็กหนุ่มยืนค้างมองห้องทำงานเล็กๆที่เต็มไปด้วยคทากางเขนสำหรับนักบวชสายพิฆาตความมืด ถูกกองพะเนินเทินทึกรอการซ่อมและปรับแต่งเต็มไปหมด  อาร์กัสเห็นที่นอนเล็กๆของเด็กหนุ่มโผล่ออกมาเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมันถูกกองคทาทับกลบจนเกือบมิด เพียงช่วงเวลาไม่นานระหว่างที่เจ้าหนูแอบเอากล่องอีทูลัสออกไปนอกเมือง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า  จะมีคนเอาคทามาซ่อมไม่รู้กี่พันด้ามขนาดนี้

                                    “นั่นเจ้าต้องซ่อมทั้งหมดเลยเหรอ” 
     

    อาร์กัสถามเด็กหนุ่มผมขาวที่ขณะนี้เดินทำหน้าสลดไปที่กองคทา  เขานั่งยองๆอย่างสิ้นหวังแล้วรีบแยกประเภท  ทั้งรุ่นที่ทำจากไม้  ทองเหลือง ทองคำ  เงิน  และคทาชนิดพิเศษสุดหายาก

                                    “ครับ ทั้งหมดนี้ต้องเสร็จภายในอาทิตย์หน้า”

    เด็กหนุ่มตอบขณะกำลังทำหน้าอมทุกข์  พรตอาร์กัสมองเห็นคทากางเขนบางด้ามมีรอยไหม้เกรียม  และเกือบทั้งหมดมีคราบเลือดเกรอะกรัง บางด้ามหัก งอ บิดเบี้ยว และทั้งหมดมีสีคล้ำหมองผิดปกติราวกับผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงและผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรง  อีกทั้งพลังมืดทมิฬแผ่ซ่านออกมาอย่างเห็นได้ชัด พรตผมทองจำมันได้ดี มันคือความมืดที่เป็นพิษร้าย มันเป็นคำสาปแช่งมรณะ ของปีศาจระดับนายพลที่ชื่อ  อิสซาเบลล่า

                                    “คทาพวกนี้แปดเปื้อนความมืดหมดแล้ว ถ้ายังฝืนใช้จะเป็นอันตรายครับ” 
     

             ความมืดเป็นพิษรุนแรงต่อวิญญาณและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้สิงสถิตอยู่ในคทาทุกด้าม การใช้คทาที่ยังแปดเปื้อนด้วยคำสาปแช่งนั้นถือเป็นเรื่องอันตรายเหลือแสนต่อผู้ใช้ เพราะร่างกายจะถูกความมืดกัดกิน  เลือดจะแตกตัวเป็นพิษและตายในที่สุด  แต่สิ่งที่อาร์กัสแปลกใจมากนั้น คือเจ้าหนูฟีเดอาโก้ กลับจับคทามือเปล่าโดยไม่สวมถุงมือป้องกันไอพิษ  อีกทั้งพลังมืดเหล่านั้นก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าหนูนั่นได้อีกตั้งหาก

                                    “ทั้งหมดเป็นคทา ที่ผ่านการต่อสู้กับอิสซาเบลล่า  พรตสายพิฆาตความมืดระดับแนวหน้าถูกมันฆ่าตายไปร่วมกว่าห้าสิบคน  ตอนฉันเข้าไปร่วมพิธีศพที่มหาวิหาร ก็เห็นโลงศพมากมายตั้งเรียงรายอยู่ในนั้น  แม้ชื่อพวกเขาจะถูกจารึกไว้  แต่ที่แน่ๆขวัญกำลังใจพวกเราแทบไม่เหลือ  ตอนนี้มีนักพรตเป็นร้อย เริ่มพากันลาออกจากคณะแล้ว”

               ดาร์ค เคนิส บริสตั้น เอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ  เธอเริ่มจัดแจงชุดนักบวชที่มีมากมายมหาศาลในชั้นสอง  ลากราวที่แขวนชุดแต่ละคณะออกมา  เพื่อหาชุดใหม่ในอาร์กัส  

                             ชุดนักบวชที่มีหลายแบบหลายสีสันต์ บ้างเรียบง่าย  บ้างวิจิตบรรจง งดงาม ด้วยลวดลายตระการตา  ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายเกียรติแก่เบื้องบน เป็นเครื่องแบบที่แม้สง่างาม แต่ก็แฝงไปด้วยความหนักหนาสาหัสของภาระหน้าที่สำคัญ  ที่ผู้สวมใส่แต่ละคนต้องแบกรับไว้นับตั้งแต่วันลั่นวาจาปฏิญาณตน จนกระทั่งสิ้นชีวิต   
     

                                    “อาร์กัส นายเป็นพรตจากคณะไหน ฉันจะได้หาชุดแบบใหม่ให้”

    เคนีสถาม ขณะกำลังมองหาชุดนักพรตแบบเก่าสีน้ำตาลเข้ม ที่ตอนนี้ไม่มีสักตัวในร้าน

                                    “คณะนักบวชแห่งซางตานีโอ   ข้าเป็นนักพรตสายพิฆาตความมืดจากคณะนี้”
     

    คณะนักบวชแห่งซางตานีโอ เป็นคณะนักบวชเก่าแก่ที่มีนักบวชอยู่หลายสาย  ไม่ว่าจะเป็นสายเผยแพร่ธรรม  นักบวชสายนี้มักออกเดินทางเผยแผ่คำสอนไปยังดินแดนต่างๆ  นอกนั้นยังมีพวกที่อยู่สันโดษในป่าเขา บ้างรวมกลุ่มอยู่ในอารามมีหน้าที่หลักคือสวดภาวนา   หรือมีแม้แต่นักบวชสายเยียวยา พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นหมอหรือผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ   และยังมีอีกมากมายรวมไปถึงนักบวชสายพิฆาตความมืด หน้าที่หลักคือการขับไล่ปีศาจและต่อสู้กับจิตชั่วร้าย
     

                                    “ฟีเดอาโก้ นายเจอรุ่นพี่เมื่อพันปีก่อนเข้าแล้ว”
     

    เคนิสเอ่ยแซวฟีเดอาโก้ เด็กหนุ่มเอ็กซอซิสได้รับทุน เข้าเรียนคอสพิเศษคณะเดียวกันกับอาร์กัสได้ไม่นาน คณะนักบวชคณะนี้แค่สอบเข้าก็ยากเหลือแสน มีการทดสอบทั้งวิชาเทววิทยา  ปีศาจวิทยา  ความรู้ความจำในไบเบิล  กฎหมายศาสนจักร วิชาภาษาลาตินโบราณ ซ้ำยังต้องทดสอบภาคปฏิบัติ ในวิชาพิธีกรรม  และการขับไล่ปีศาจจารีตเดิม  รวมถึงการพิฆาตความมืดแผนใหม่สุดโหดพวกนั้น  มันไม่ใช่คณะนักบวชที่พวกหัวขี้เลื่อยจะเข้าไปได้แม้แต่น้อย  

                       เด็กหนุ่มผมขาวหันมามองอาร์กัส ก่อนจะยิ้มแห้งๆ  เขารู้สึกได้ทันทีว่าพวกนักบวชรุ่นหลังๆ   ห่วยแตกขนาดไหนเมื่อต้องเทียบกับตัวอย่างของรุ่นพี่รุ่นแรกๆ  ที่ยังหลงเหลือข้ามกาลเวลานับพันปีตรงหน้า   และยิ่งพรตปีศาจคนนั้นยังบอกว่าตนเองไม่ได้เป็นนักพรตที่เก่งกาจอะไรในยุคก่อน  เรียกว่ามีฝีมืออ่อนหัด เรียนห่วยแตกที่สุดในคณะ แค่สอบเข้าก็ตกไม่รู้กี่รอบ แล้วนี่ถ้าระดับพรตปีศาจอาร์กัสยังสอบตกแล้วตกอีก ถ้างั้นพวกนักบวชสายพิฆาตความมืดที่เก่งๆติดท็อปยุคนั้นจะเก่งมากมายขนาดไหน  เขาเองก็ไม่อยากคิด     ปีศาจในยุคนั้นเองก็ลือกันว่าโหดร้ายมากมายนัก  แต่ในยุคนี้แค่อิสซาเบลล่าตนเดียวก็ถึงกับต้องเสียนักบวชสายพิฆาตความมืดระดับแนวหน้าไปถึงห้าสิบคน

     

      “แล้ว   เจ้าจะทำยังไงกับพลังมืดที่แปดเปื้อนในคทาพวกนั้น  เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ เจ้าหนู”

     

    อาร์กัสถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมขาวเริ่มหน้าซีดแล้วนั่งพิงผนังห้องอย่างหมดแรง เขาคัดแยกคทาไม่ไหวแล้ว

     “ไม่เป็นไรครับ  ไอทมิฬพวกนี้แค่เอาน้ำเสกราดลงไปบนคทา  พอสิ่งชั่วร้ายออกมา ก็ให้ไนท์แมร์กินครับ  จากนั้นก็ส่งไปให้ท่านอาร์คบิชอปเสกใหม่ เอากลับมาใช้อีกครั้ง ”

     

    พรตหนุ่มนั่งยองๆมองคทาพวกนั้น  บางด้ามมีเลือดอาบไปทั้งด้าม เขาพอเดาออกว่าเจ้าของคทาเสียชีวิตอย่างสยดสยองขนาดไหน  แต่พวกนั้นก็ไม่หนี ยืนหยัดสู้อยู่แบบนั้น จนร่างแหลกเหลว  การเป็นนักบวชไม่ใช่แค่สวมชุด แต่ยังต้องมีความกล้าหาญ กล้าต่อกรกับสิ่งชั่วร้าย  กล้าที่จะยืนหยัดแม้จะต้องสิ้นชีวิต
     

    “เอาละ เจอแล้ว”
     

    ดาร์ค เคนิส บริสตั้น โผล่มาข้างๆอาร์กัสพร้อมกับชุดคลุมของพรตสายพิฆาตความมืดคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ เป็นเครื่องแบบสีดำขาว พร้อมกับผ้าคลุมอีกชิ้น ที่ต้องสวมเข้าชุดกัน  นี่คือชุดของนักบวชสายพิฆาตความมืดที่เห็นได้ทั่วไปในยุคปัจจุบัน   ไม่ว่าจะเป็นนักพรตชั้นแนวหน้าที่ดูแลประตูเมืองอยู่  หรือที่ประจำการตามหมู่บ้านต่างๆ

                    แต่ดูเหมือนอาร์กัสจะมองตาปริบๆแล้วถอนใจ  เขามองดูชุดในมือเคนิสก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
     

                    “ไม่เอาดีกว่า  ข้าว่ามันดูแพงเกินไป  แล้วก็..........”
     

     อาร์กัสว่าพร้อมกับมองไปยังชุดคลุมชั้นดี  ที่ถูกตัดมาจากผ้าไหมราคาสูง   มันดูงดงามก็จริง  แต่เขากลับยังอาวรณ์เครื่องแบบนักพรตสีนำ้ตาลเข้มแบบเก่า ที่เขาและผองเพื่อนนักพรตเคยมานะพยายาม แทบตายเพื่อให้ได้สวมไส่  และสุดท้ายเมื่อพันปีก่อน  นักพรตทั้งอารามรวมทั้งเพื่อนสนิทที่สุดก็ต่างสละชีพในสงครามทางเหนือเหลือเพียงแค่เขาเพียงลำพัง

                    “ไม่ต้องคิดมากเรื่องราคาเครื่องแบบหรอกนะ    อาร์คบิชอปกาเปรียลคงไม่ใจดำ  ส่งบิลมาเก็บค่าเครื่องแบบกับนายถึงป่าเดียวดายหรอก” 
     

    เคนิสว่าแล้วยื่นเสื้อคลุ่มชุดใหม่ให้เขา    
     

                                  “ไม่ใช่เรื่องนั้นขอรับ  เคนิสเจ้าเอากลับไปเถอะ.... ” อาร์กัสพยายามปฏิเสธ
     

                                     มันทำให้เคนิสเริ่มฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มเยือกเย็นอำมหิต ปรากฏบนใบหน้าของผู้ที่มีฉายาว่า  ดาร์ค บริสตั้น คนปัจจุบัน       พลังมืดเริ่มแผ่ซ่านออกมา      และนี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ ที่นักพรตปีศาจอย่างเขาจะชนะได้

                             "ขะ  ข้าเข้าใจแล้ว!  เจ้าอย่าปล่อยพลังมืดออกมาอย่างนั้นสิ"

      อาร์กัสว่าพลางยิ้มแห้งๆ พร้อมกับยกมือปรามหญิงสาวผมดำตรงหน้าที่เริ่มโมโห  เขาถอนหายใจก่อนที่ยืนขึ้น ถอดเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มขาดรุ่งริ่งจนแทบไม่มีชิ้นดียื่นให้เคนิส
     

                                    คิดว่าเกือบต้องใช้กำลังรุนแรงแล้วสิ
     

    ฟีเดอาโก้ที่มองดูอยู่คิดในใจ เด็กหนุ่มทิ้งตัวเองนั่งพิงกับผนังเช่นเดิม เมื่อครู่ถ้าเพียงแค่เขาสั่งออกไปแค่คำเดียว แค่สั่งว่า “ใส่เสื่อใหม่ซะ” เท่านั้นทุกอย่างก็เรียบร้อยไปแล้ว     เพียงแต่ต้องหลีกเลี่ยงที่จะใช้อำนาจนั้น   มันเป็นอำนาจวาจาสิทธิ์ที่เขารู้ดีว่า  มาจากผู้ใด เด็กหนุ่มหลีกเลี่ยงที่จะออกคำสั่ง เขารู้ดีว่าเพียงแค่ลั่นวาจาออกไปนั้นจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นมากมายขนาดไหน  ความสามารถที่อันตราย   สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้เพียงแค่เอ่ยปากพูด   เขาปฏิญาณกับตนเองแล้วว่า  จะไม่ใช้ความสามารถนี้กับใครทั้งนั้น
     

                                    “ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ”

    เคนิสเอ่ยขึ้น พร้อมกับรับชุดคลุมขาดๆจากเจ้าของที่ยังยืนมองชุดเดิมของตนด้วยสายตาหวงแหนสุดชีวิต  แม้หญิงสาวผมดำสนิทที่เขาประเมินอายุไม่ออกนั่น ได้ยืนยันว่า เธอจะนำไปซ่อมและคืนให้ในภายหลังก็เถอะ       

                    “เคนิส  เจ้าอย่าทำอะไรชุดนั้นนะ  นั่นเป็น....”

    อาร์กัสขอร้องอีกครั้ง

                    “ฉันรู้แล้ว !  จริงสิ อาร์กัส ถ้านาย........ไม่รีบๆไปอาบน้ำให้เรียบร้อย รับรองว่า เสื้อนี่ถูกเอาไปประมูลขายแน่”

    การกระทำนั้นทำให้พรตปีศาจตกใจทำตาเหลือก จนต้องรีบปฏิบัติตามคำขู่ทั้งที่ท่าทางจะไม่พอใจนัก

    ฟีเดอาโก้เองก็หัวเราะขณะมองดูเหตุการณ์อยู่  เมื่อใครบางคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของดาร์ค บริสตั้นทั้งที่ไม่ได้มีความสามารถวาจาสิทธิ์แบบเขาแม้แต่น้อย  เพียงแค่จับจุดอ่อนคู่ต่อสู้ให้ได้ก็เพียงพอแล้ว
              เด็กหนุ่มผมขาวค่อยๆเดินมาหาเคนิส  ที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าห้องนำ้           

                                    “เคนิส  คุณบอกความลับของตระกูลเรากับคนคนนี้ คุณคงไม่คิดจะกินเขาหรอกนะ ”

    ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย   เคนิสหันขวับไปหาเด็กหนุ่มผมขาวที่อยู่ข้างๆ แล้วฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมา


     

                                    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนได้แค่ใหน”


                    เคนิสเอามือปิดหน้าพร้อมกับแอบขยับยิ้มอำมหิต  พลังมืดเยือกเย็นเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆกาย    ทั้งคำพูดและพลังมืดนั้นเล่นเอาฟีเดอาโก้ตาเหลือก เรื่องนี้ตั้งหากที่อันตรายกว่าอะไรทั้งหมด

                                    “ไม่ได้นะครับ! ห้ามกินเด็ดขาดเลย”

                                    “ถ้างั้นเป็นวิญญาณของเด็กอย่างนายก็ได้”

                                    “ไม่ว่าจะเด็ก จะผู้ใหญ่ ก็ห้ามกินวิญญาณมนุษย์เข้าไปเด็ดขาดนะครับ ไม่งั้น หมอนั่นที่อยู่ในวิญญาณคุณได้ตื่นขึ้นมาแน่”

                    ดาร์ค เคนิส บริสตั้น เอามือปิดหน้า แล้วนั่งพิงผนังอย่างเหนื่อยอ่อน  พลังมืดที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายนั้นเริ่มจะคุมไม่ค่อยอยู่ แล้ว  มันรั่วไหลออกมาจนทั้งห้องบรรยากาศกดดัน เงียบเหงาวังเวงไปหมด   เธอเริ่มรู้ตัวแล้วว่าอีกไม่นานก็จะต้องถูกความมืดกลืนกินไปเหมือน กับดาร์ค อีทูลัสรุ่นแรก

                                    “ฉันจะพยายามก็แล้วกัน เรื่องอะไรจะไปยอมแพ้ไอ้ขี้เก็ก ได้แต่นั่งหลับบนบัลลังก์นั่น”

                    สิ้นสุดคำพูดดวงตาสีดำคู่นั้นก็กลับมาสดใสอีกครั้ง พลังมืดรุนแรงของจอมซาตานลูซิเฟอร์ถูกวิญญาณดวงนั้นสูบเข้ากลับไปจนหมดสิ้นในพริบตา กลายเป็นกล่องอีทูลัสที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง  แต่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทนไปได้อีกนานเท่าใด

                                    “ยอดไปเลยครับ  เห็นคุณยังสามารถผนึกพลังมืดได้เหมือนเดิมแบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย เพราะดูท่าทางนอกจากอิสซาเบลล่าแล้ว ขุนพลปีศาจอีก 6 ตน ก็ขึ้นมาบนแผ่นดินของเราได้แล้วครับ”

    คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวผมดำตื่นตระหนก เธอหรี่ตาสีดำของเธอลงอย่างครุ่นคิด   ทำไมขุนพลปีศาจทั้ง 7 ถึงได้ข้ามขอบเขตมาบนโลกได้ง่ายนัก มันผิดปกติเกินไป  ที่จริงตั้งแต่อิสซาเบลล่าหนึ่งใน 7 ขุนพลปีศาจนั่นปรากฏตัวก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้แล้วแท้ๆ  ตั้งแต่ที่พวกอัครเทวดาได้กางเขตอาคมเอาไว้

     

                    ท่าทางเหตุการณ์นี้ต้องมีไส้ศึกแน่ๆ
     

    “ฟีเดอาโก้”

    “ครับ”

    “ทำไมนายถึงรู้เรื่องพวกนี้  เรื่องอิสซาเบลล่านั่นพอเข้าใจ  แต่เรื่องขุนพลปีศาจที่เหลือนั่น บอกมานะนายรู้ได้ยังไง”

    “.....................................”

    เด็กหนุ่มหุบปากเงียบ  เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร  ก่อนที่จะลุกขึ้นทำตัวเนียนไปคัดแยกคทาต่อ

     

    “ฟีเดอาโก้! ”

    เคนิสตะคอก ก่อนที่จะดึงเด็กหนุ่มผมขาวคนนั้นขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง

                    “ลูซิเฟอร์ เป็นคนบอกผม”

    มันเป็นคำตอบที่ทำให้เคนิสพูดอะไรไม่ออก  ก่อนที่จะทิ้งตัวเองนั่งลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง  หมายความว่า วิญญาณของลูซิเฟอร์ตื่นขึ้นมาแล้ว  แต่สิ่งที่ขวางกั้นมันนั้นมีเพียงวิญญาณของเด็กชายตัวเล็กๆตรงหน้านี้เท่านั้นเอง

    “นายอย่าไปคุยอะไรกับเจ้านั่นอีกนะ ฟีเดอาโก้”

    “ผมไม่ได้คุยเลยครับ แต่เขาพูดกรอกหัวผมอยู่แบบนี้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย บางทีผมเองก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

    เค้าลางมรณะเริ่มปรากฏเด่นชัด  เมื่อกล่องอีทูลัสทั้งสองใบเริ่มทำท่าจะต้านไม่อยู่แล้ว  สองบริสตั้นมองหน้ากัน ก่อนที่จะเงียบไป  พวกเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหนนะ





     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    พรตหนุ่มอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาสวมชุดคลุมสีขาวดำแบบใหม่ของคณะ  ชุดใหม่ยาวรุ่มร่าม ดูสง่างามก็จริง  แต่เขาคงต้องใช้เวลานานโขกว่าจะคุ้น เขาเอาสายประคำแขวนไว้ที่สายคาดเอว ก่อนที่จะออกไปพบ สองบริสตั้น  พวกนั้นโวยวายอะไรสักอย่างตอนเขาอาบน้ำอยู่ แต่ในทันทีที่เขาออกจากห้องน้ำ พวกนั้นก็พากันเงียบกริบ

                    “ทำไมพวกเจ้าพากันนั่งหมดอาลัยตายอยากกันแบบนั้น”

    พรตอาร์กัสว่าขณะเช็ดผมสีทองซอยสั้นของเขา  หญิงสาวผมดำค่อยๆเงยหน้ามองคนพูด ก่อนที่จะเปลี่ยนอารมณ์จากซึมเศร้าไปเป็นร่าเริงเบิกบานกลบเกลื่อนในเสี้ยววินาทีเสียเฉยๆ

                    “อาร์กัส!  ชุดนี้เหมาะกับนายมากเลยนะ”เธอว่าเมื่อเห็นอาร์กัสสวมชุดใหม่นั้นออกมา

                    “จริงด้วยครับ  ดูดีมากจริงๆ”

    แม้แต่ฟีเดอาโก้ยังพูดแบบนั้นออกมา  พรตอาร์กัสยิ้มน้อยๆได้แต่โค้งขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือหลายๆอย่างด้วยความถ่อมตน  พรตปีศาจเมื่อเนื้อตัวสะอาด ไม่มอมแมมแบบเมื่อครู่  พอสวมชุดใหม่ก็เพิ่มระดับความดูดีขึ้นมาก ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังมองหาชุดเดิม

                    “เดี๋ยวฉันซักกับซ่อมแซมให้ทีหลัง ไม่เอาไปขายหรอกไว้ใจสิ”
    เคนิสว่าแล้วชี้ไปที่กองเสื้อผ้าใกล้ห้องน้ำ

                    “ขอบใจเจ้ามาก เคนิส”
    อาร์กัสบอกอีกครั้งก่อนที่จะไปหยิบคทาไม้ของตนมาถืออีกครั้ง

                    “ท่านนักพรต คทาของท่านก็ต้องซ่อมบำรุงด้วยครับ”

    ฟีเดอาโก้ว่า เด็กหนุ่มเดินตรงไปที่คทาไม้ของพรตปีศาจ แล้วชี้ไปยังรอยถลอกมากมายบนตัวคทา  อีกทั้งมีแมลงเจาะจนพรุนไปหลายแห่งแล้ว

                    “แกนข้างในเนื้อไม้เอง ก็เริ่มจะผุแล้วครับ  แม้จะเป็นไม้เนื้อแข็งพิเศษแต่ใช้มาตั้งพันปีแล้วถ้าไม่ดูแลรักษา ก็มีโอกาสหักสูงครับ”เด็กหนุ่มช่างทำคทากล่าว
     

    พรตอาร์กัสจึงฝากคทาไว้กับเด็กหนุ่มผมขาวคนนั้น เพื่อซ่อมบำรุง  นี่ไม่ว่าจะเป็นทั้งเสื้อทั้งคทาหรือแม้แต่ ตัวเขาเองยังต้องได้รับกับซ่อมแซมจากพวกบริสตั้นทุกอย่างเลยเหรอนี่
     

                    “เอานี่ไปใช้แทนคทาของนายก่อนแล้วกัน”

    หญิงสาวผมดำยื่นมีดปอกผลไม้เล็กๆให้เขา  มันเป็นมีดลงอาคมพิเศษพลังโจมตีสูง เหมาะสำหรับพกติดตัวยามเมื่อปะทะกับผู้มาจากความมืด  เป็นมีดเล็กๆที่เธอและพีเดอาโก้มีพกไว้ติดตัวเสมอ
     

                    “ดีไซน์มาให้เหมือนเป็นมีดปอกผลไม้ทั่วไป  พกพาง่าย  เอาเข้าเมืองก็ไม่ถูกริบ วางใจได้เลยถ้าจะต้องปะทะกับปีศาจระดับสูงๆ  มันมีประสิทธิภาพเทียบเท่าดาบปราบปีศาจขนาดใหญ่ที่ใช้เมื่อพันปีก่อน”

    ดาบปราบปีศาจใหญ่ยักษ์ในสมัยก่อน ถูกปรับปรุงให้เข้ายุคสมัยกลมกลืนกับผู้คน จนไม่มีใครสังเกตว่า มีดเล็กๆสำหรับปอกผลไม้ที่สองคนนี้พกไปมานั้น ที่จริงแล้วเป็นถึงอาวุธปราบปีศาจทรงพลัง   สองเอ็กซอซิสแห่งตระกูลบริสตั้น ดูภายนอกแสนธรรมดาไม่ต่างกับคนทั่วไป แต่ความจริงแล้วพวกเขาเต็มไปด้วยความลับอันน่าทึ่งเต็มไปหมด

                    อาร์กัสรับมีดนั้นไว้แล้วซ่อนในเสื้อคลุม เขาเองก็ต้องรีบกลับไปป่าเดียวดาย การทิ้งป่านั่นไว้นานๆย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่   พรตอาร์กัสจึงบอกลาและรีบกลับป่าเดียวดายอีกครั้ง

                    “เอานี่ไปด้วยสิ”

    เคนิสยื่นไฟประดิษฐ์ที่ทำมาเลียนแบบตะเกียงให้อาร์กัสที่หน้าประตูร้าน  เมืองซางตานีโอยามค่ำในย่านนี้  ยังคงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหนาแน่นไม่ต่างจากยามกลางวันแม้แค่น้อย

                                    “ขอบใจนะ เจ้าให้ข้ามากไปแล้ว เคนิส”

                                    “เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ฉันแค่อยากจะบอกอีกเรื่อง  นายดูแลป่านั่นให้ดีๆก็แล้วกัน ช่วงนี้ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษด้วย”

                                    “หมายความว่ายังไง”

    อาร์กัสถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นเธอเดินตามออกมาส่งเขานอกร้าน

                                    “พวกมันมากันแล้ว........”

                                    “เจ้าหมายถึงอะไรกัน เคนิส”

    หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจ บอกเรื่องที่เด็กหนุ่มผมขาวได้ยินมาจาก จอมปีศาจลูซิเฟอร์             มาหมาดๆ

                                    “พวกขุนพลปีศาจทั้ง 7 อีก 6 ตน ขึ้นมาบนแผ่นดินของเราได้แล้ว”

              แม้เสียงจากรอบกายนั้นจะเต็มไปด้วยเสียงการค้าขาย เสียงเพลง เสียงผู้คนจากแหล่งท่องเที่ยวที่ดังลั่น  แต่สำหรับพวกเขาสองคนนั้นกลับเงียบสนิทไม่มีสรรพเสียงใดดังเข้ามาในความรู้สึก  ความสิ้นหวังเข้ามาปกคลุมทั้งคู่  เมื่อหายนะเมื่อพันปีก่อนที่ทำให้โลกแทบล่มสลายนั่น หวนกลับมาอีกครั้ง  พรตอาร์กัสค่อยๆเงยหน้าไปทางทิศเหนือ ทันใดนั้นสายลมก็พัดอย่างรุนแรงราวกับกำลังเรียกให้เขากลับไป มันคือสายลมบริสุทธิ์จากป่าเดียวดาย ที่ยังยืนหยัดสู้กับไอพิษทมิฬ อย่างน้อยก็ต้องมีความหวัง ต่อให้ต้องร่างแหลกเหลวอีกกี่ครั้ง

                                 
                                             “เข้าใจแล้ว  ข้าจะทำ  เท่าที่ข้าจะทำได้”

              พรตหนุ่มว่า แล้วรีบกลับไปที่ป่าเดียวดาย   เคนิสยืนมองเขาเดินหายไปท่ามกลางฝูงชนหนาแน่นนั้นจนลับสายตา 
      
     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     

    END/ เครื่องแบบและนักบวช

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×