ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #5 : เมืองซางตานีโอ( Santanio City )

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 61


                

                       ไม่มีอะไรแย่ไปกว่า การต้องมาอธิบายสาเหตุคดีฆาตกรรมยกหมู่บ้าน การตายอย่างสยดสยองของคณะกองคาราวานสินค้า  แล้วก็เรื่องที่ดูเหมือนว่ามีตัวอะไรสักอย่างพยายามบุกเข้าเมือง ซ้ำยังฆ่าทั้งยามทั้งนักบวชสายพิฆาตความมืดที่เฝ้าหน้าประตูเมือง ให้กับประชาชนและผู้สื่อข่าวพวกนั้นอีกแล้ว

     

                    บุรุษผมสีดำสนิทในชุดขุนนางสีดำสูงศักดิ์   ใบหน้าของเขาบึ้งตึงด้วยความเครียดในระดับที่แทบจะทำให้เส้นเลือดในสมองทุกเส้นระเบิดออกมาได้อยู่แล้ว  เขานั่งอยู่ในที่ทำการมหาวิหารซางตานีโอเพียงลำพังกับนักบวชชั้นสูงผู้หนึ่ง  ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้อง มีแต่บรรยากาศอึมครึมกดดันบุรุษทั้งคู่ จนในที่สุดบุรุษผมดำก็ไม่อาจทนอยู่อย่างนั้นได้อีกต่อไป

                    “ท่านอาร์คบิชอป !

    เสียงตะโกนอย่างหมดความอดทนของเจ้าเมืองซางตานีโอดังลั่นห้อง   เมื่ออาร์คบิชอปตรงหน้าไม่ยอมพูดอะไรมาพักใหญ่แล้ว  เขาต้องพยายามอย่างหนักปิดบังสาเหตุการฆาตกรรมหมู่เมื่อตอนหัวค่ำ ซึ่งเกิดจากการกระทำของปีศาจ  จากการรับรู้ของชาวเมืองและผู้สื่อข่าว  ซึ่งพวกนั้นต่างระดมยิงคำถามเป็นชุดไม่หยุดไม่หย่อนจนเขาแทบเป็นบ้าตายตั้งแต่เมื่อสองสามชั่วโมงนั่นแล้ว

     

                    “ท่านก็รู้ใช่มั้ย ท่านอาร์คบิชอป   ข้า !   ไม่อยากให้ประชาชนของข้าต้องหวาดกลัว พวกปีศาจ!

     

                    เมืองซางตานีโอเป็นเมืองที่ประชาชนมีความศรัทธาในศาสนา พวกเขาเชื่อมั่นในพระเจ้า และแน่นอนพวกเขาต่างก็เชื่อเรื่องปีศาจอย่างเข้ากระแสเลือดด้วยเช่นกัน ความหวาดกลัวต่อผู้ที่ซ่อนเร้นในความมืดไม่ได้เป็นเพียงตำนานสำหรับพวกเขา  และถ้าอยู่ๆเกิดมีข่าวเรื่องการฆาตกรรมหมู่ผู้คนเป็นอันมากขนาดนั้นเกิดจากการกระทำของปีศาจได้รู้เข้าถึงหูของชาวเมืองจริงๆ อีกทั้งเรื่องที่พวกมันพยายามบุกเมืองนั่นอีก  คงเกิดการโกลาหล วุ่นวายเป็นแน่   ขนาดแม้ในยามปกติ ชาวเมืองโดยแท้พอตกหัวค่ำ จะรีบปิดบ้านปิดช่องด้วยความกลัวผู้มาจากความมืดกันทั่วแล้ว  ถ้าหากข่าวรั่วออกไปมีหวังได้ไม่พากันทำไร่ทำนา ไม่ค้าขาย  หรือไม่ ก็เผ่นแนบย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองกันหมด  คราวนี้เศรษฐกิจของเมืองคงตกต่ำ  อนาคตความมั่นคงได้พังพินาศย่อยยับแน่ แบบนี้ซางตานีโอคงได้เป็นแค่เมืองร้างภายในไม่กี่สิบวัน

     

                    อาร์คบิชอปผมทองค่อยๆเงยหน้ามองไปยังเจ้าเมืองซางตานีโอที่ท่าทางร้อนรนนั่น  ก่อนที่จะเอ่ยปราม

                    “ใจเย็นๆก่อนท่านเจ้าเมือง  ซางตานีโอแห่งนี้ข้าได้กางเขตอาคมปกป้องเมืองไว้ จะไม่มีวันที่ปีศาจตนใดเข้ามาในเมืองได้เป็นอันขาด ขอท่านโปรดวางใจ” อาร์คบิชอปผมทองกล่าวเสียงเรียบ แล้วเงยหน้ามองเจ้าเมืองแวปหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นเอกสารบนโต๊ะให้

     

    “แบบนี้นี่เอง  ปีศาจตัวต้นเหตุได้ถูกกำจัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

    เจ้าเมืองซางตานีโอเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขานั่งลงอีกครั้งด้วยท่าทางผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้อ่านเอกสารชี้แจงเป็นที่เรียบร้อย
     

    “ข้าได้ส่งสารถึงอาร์คบิชอปอีกหกหัวเมืองแล้ว พวกเราได้เตรียมพร้อมรับมือกับผู้มาจากความมืดแบบเต็มกำลัง  ทั้งบิชอป และนักบวชผู้เชี่ยวฉาญด้านพิฆาตความมืดทั้งหมดจากมหาวิหารแต่ละแห่ง จะออกประจำการทุกหมู่บ้าน ทุกคนจะได้รับการปกป้อง” อาร์คบิชอปว่าด้วยใบหน้าจริงจัง

    แม้อาร์คบิชอปทั้งเจ็ดหัวเมืองจะได้วางมาตรการรัดกุมไว้แต่แรกแล้ว  แต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันเกินความคาดหมายมาก  ทำไมปีศาจระดับสูงอย่างนั้นจึงปรากกฎตัวขึ้นมาได้ มันผิดปกติเกินไป

     

    “ขอบใจมากท่านอาร์คบิชอปกาเบรียล”เจ้าเมืองซางตานีโอเอ่ยขึ้น

    บุรุษผมดำยาวค่อยๆลุกขึ้น เขาโค้งคำนับอาร์คบิชอปเป็นเชิงบอกลา

     

                    “ท่านเองก็อย่าหักโหมมากนักนะ ท่านนัวร์.....”

                    บุรุษเจ้าของชื่อหันกลับมามองอาร์คบิชอปกาเบรียลแวปหนึ่งก่อนจะขยับยิ้มออกมา ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นตัวเขาก็วิ่งพล่านไม่ได้หลับไม่ได้นอน นอกจากจะปิดข่าวเรื่องปีศาจพวกนั้นแล้ว เขายังต้องเร่งกระจายกองกำลังปกป้องเมืองไปทั่วซางตานีโอ  นี่เป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของเหล่านักบวชพิฆาตความมืดและกองกำลังพิทักษ์เมืองในรอบพันปีเลยทีเดียว

     

                    “ข้ารู้แล้วครับ ท่านอาร์คบิชอป ที่ข้าทำก็แค่อยากช่วยแบ่งเบาท่านบ้างเท่านั้น” เจ้าเมืองเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินออกจากมหาวิหารนั้นไป  

                  แต่ระหว่างทางนั้นเอง เขาก็ได้เหลือบไปเห็นบุคคลผู้หนึ่งเข้าให้ คนคนนี้คือผู้ที่ปราบปีศาจร้ายตนนั้นลงตามรายงานที่อาร์คบิชอปยื่นให้เขาดูเมื่อครู่

                                    “ดาร์ค เคนิส บริสตั้น!

     ชื่อของดาร์ค เคนิส  บริสตั้น กับ เกรย์ ฟีเดอาโก้ บริสตั้น เด่นเหรอหราอยู่ในรายงานที่อาร์คบิชอปมอบให้เขา  ตระกูลบริสตั้นผู้พิทักษ์กล่องอีทูลัสในตำนาน ที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนั้นเขาไม่อยากจะใส่ใจ แต่ที่แน่ๆปีศาจระดับนายพลถูกกำจัดอย่างรวดเร็วเมื่อพวกนั้นไปถึง

                    “ให้ตายสิ ! ดูยังไงก็แค่ผู้หญิงกับ ......เด็กกระเปี๊ยกนั่นนะ”

    เจ้าเมืองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กผมขาวอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเคนิส เด็กคนนี้เพิ่งปรากฏตัวในเมืองไม่กี่ปีก่อน ที่มาที่ไปก็ยังเป็นปริศนา  ตัวเขาพยายามสืบประวัติจากสำนักทะเบียนของเมืองได้ข้อมูลมาเพียงว่า ดาร์ค   เคนิส เป็นญาติห่างๆของอาร์คบิชอปมิคาเอลแห่งเมืองซิลเทียเรส ซึ่งข้อมูลนี้ต่อให้จ้างเท่าไหร่เขาก็ไม่มีวันเชื่อลง   ส่วนเกรย์ ฟีเดอาโก้ เด็กกระเปี๊ยกนั่น มีข้อมูลเพียงว่าทางมหาวิหารยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อตัวมาจากนักค้าทาสแห่งเมืองลอร์แซมเบิร์ก  ส่วนประวัติก่อนหน้านั้นก็ไม่มีบันทึกไว้  เขาลองสอบถามที่มาที่ไปของทั้งคู่จากอาร์คบิชอปกาเบรียล    กลับได้รับคำตอบเป็นเพียงความเงียบและสายตาเยือกเย็นเป็นเชิงว่าไม่ให้ขุดคุ้ยเด็ดขาด    เล่นมีมหาวิหารขัดขวางขนาดนั้นก็สุดที่อำนาจของเขาจะเข้าไปยุ่งไหว  แถมคนที่ชื่อไลท์ วาเลเรียส บริสตั้นอีกคน เกิดมาเขาเคยได้ยินแต่ชื่อ ส่วนจะมีจริงหรือไม่นั้นตัวเขาเองก็สุดที่จะรู้ได้

                เมืองซางตานีโอเต็มไปด้วยความลับและเรื่องราวบ้าบอคอแตกมากมาย ที่บางเรื่องเขาพยายามขุดคุ้ยก็ยิ่งจะเจอทางตัน  ไม่ใช่ว่าหาข้อมูลไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้น  เป็นบางอย่างที่เล่นเอาเขาเกือบได้ไปโรงพยาบาลบ้าบำบัดทางจิต  มันสุดปัญญาที่จะเชื่อได้ลงจริงๆ  ทั้งเรื่องปีศาจ  เทวดาพวกนั้น กล่องอีทูลัส  ทั้งเรื่องสุสานโบราณของเมืองที่มีหลักฐานว่ามันตั้งอยู่ทางตะวันออกแต่อยู่ๆมันก็หายไปเฉยๆอย่างลึกลับ จนในยุคหลังๆคนเขียนแผนที่ก็เอามันออก จนไม่มีในแผนที่  

                    “เอาเถอะ คิดมากไปก็ป่วยการ”

     

     เจ้าเมืองซางตานีโอถอนหายใจก่อนที่เขาจะยืนอึ้งอีกรอบ  คราวนี้นอกจากตระกูลบริสตั้นแล้วยังมีอีกคนโผล่มาป่วนสมองซ้ำเติมความเครียด

                    “ไม่จริงใช่มั้ย  นั่นนักพรตปีศาจอาร์กัส !

    เจ้าเมืองจำได้ดีทีเดียวเมื่อทั้งรูป ทั้งสารคดี  เอกสารนำเที่ยว ยันตำราเรียนของเมืองซางตานีโอก็มีเรื่องราวของนักพรตอาร์กัส  พรตปีศาจแห่งป่าเดียวดายทางตอนเหนือ มันเป็นป่าเดียวที่ขวางกั้นระหว่างทวีปต้องสาป กับเจ็ดหัวเมืองที่มนุษย์อาศัยอยู่กันในตอนนี้ให้รอดปลอดภัยจากไอพิษ  หมอนั่นยังสิงสถิตอยู่ในป่านั้นมานับพันปี   แล้วมักจะออกมายังหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงพร้อมกับข่าวลือแปลกๆว่า  ทุกแห่งที่พรตผู้นี้ปรากฏตัวมักมีภัยและหายนะ  แล้วนี่เล่นออกจากป่าเดียวดาย มาโพล่ที่เมืองซางตานีโอเสียเฉยๆแบบนี้ถ้าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่

                         พรตผมทองคนนั้นเดินมาในสภาพชุดคลุมขาดรุ่งริ่ง ตรงดิ่งมาที่ บริสตั้นทั้งสองคนที่เพิ่งออกมาจากมหาวิหาร ดวงตาสีม่วงของเจ้าเมืองเบิกค้างมองอยู่อย่างนั้น ก่อนที่พริบตานั้นเอง ลมแรงก็พัดเข้ามากะทันหัน เอกสารในมือที่อาร์คบิชอปยื่นให้เมื่อครู่ปลิวหลุดจากมือไปอย่างน่าโมโห  เขารีบก้มเก็บ แต่พอเงยขึ้นมาอีกที  บุคคลในตำนานทั้งสามก็หายตัวไปราวภูตผีปะปนกับฝูงชนหน้ามหาวิหาร  ที่ทั้งนักบวชชายหญิง คนทั่วไปเดินพลุกพล่านไปทั่ว

                    “มาก็ลึกลับ  ไปก็ลึกลับ ให้ตายสิ!

    เจ้าเมืองร้องบ่นออกมา แต่ในใจลึกๆแล้วการที่เขาเห็นความเคลื่อนไหวของสุดยอดผู้พิฆาตความมืดผู้มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองก็ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นไม่น้อย   ไม่ว่าอาร์คบิชอปนั่นกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆพวกเขาและชาวเมืองจะต้องได้รับการปกป้อง  เป็นความเชื่อมั่นที่ทำให้ชาวเมืองทุกคนรู้สึกปลอดภัยมาตั้งแต่อดีตแล้ว

                   “ท่านเจ้าเมืองรีบไปกันต่อเถิด”

    ผู้ติดตามเจ้าเมืองซางตานีโอประมาณสิบกว่าคนที่รออยู่หน้ามหาวิหารออกมารับทันทีเมื่อเห็นเจ้าเมืองออกมาแล้ว   นัวร์จึงรีบสวมหมวกสีดำที่เข้ากับชุด ก่อนที่จะออกลาดตระเวรตรวจตราความเรียบร้อยของเมืองอีกครั้ง

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                   

              แสงอาทิตย์ยามเช้าเล่นเอาแสบตา อีกทั้งแสบผิว และร้อนระอุราวถูกย่างไฟ  เขาไม่คิดเลยว่าแสงอาทิตย์ในตัวเมืองซางตานีโอมันจะร้อนเวอร์กว่าเมื่อพันกว่าปีก่อนขนาดนี้  ในป่าที่เขาอยู่นั้นแม้จะร้อนชื้นบ้าง แต่ต่อให้เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกันกับป่าตรงๆ หรือต่อให้เข้าหน้าร้อนไปแล้วก็ไม่ร้อนบรรลัยอย่างตอนนี้  

                    “ร้อนกว่าในป่าเดียวดายจริงๆ ”

     บุรุษผมทองในชุดคลุมสีน้ำตาลขาดรุ่งริ่งเอ่ยขึ้น เขาคว้าไม้เท้า แล้วรีบเดินตามบริสตั้น ทั้งสองคนให้ทัน  พวกเขาเข้ามาถึงตัวเมืองซางตานีโอได้หลายช่วงโมงแล้วตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง     ดาร์ค เคนิส บริสตั้น รีบเข้าพบอาร์คบิชอปกาเบรียลทันทีเพื่อส่งรายงานเกี่ยวกับปีศาจที่พวกเขาเพิ่งได้กำจัดไป  ส่วนฟีเดอาโก้ เจ้าเด็กหนุ่มผมขาวเมื่อมาถึงก็รีบย่องตอด เข็นกล่องอีทูลัสแอบเนียนไปเก็บในอุโมงใต้ดินที่เก่าทันที    หากมีใครรู้ว่า กล่องอีทูลัสสมบัติคู่บ้านคู่เมืองหายไป  พวกเขาอาจถูกจับกุมข้อหาเป็นโจรปล้นโบราณวัตถุ  ถูกตัดมือตามกฎหมายโหดๆของเมืองเลยทีเดียวก็เป็นได้  อีกทั้งยังต้องพาเด็กผู้หญิงอีกคนที่เคยถูกปีศาจสิงไปพบอาร์คบิชอป   เพื่อรอให้ทางมหาวิหารส่งตัวไปยังสถานพักฟื้น    จึงเป็นเวลาหลายชั่วโมง กว่าบริสตั้นทั้งสองจะเสร็จธุระ  แล้วกลับมาพบเขาที่ลานหน้ามหาวิหาร

                       พรตอาร์กัสนั้นเลือกที่จะรอเงียบๆด้านนอกเพราะไม่ได้มีธุระอะไรในมหาวิหาร  และเพราะชื่อเสียงของพรตปีศาจที่มักปรากฎตัวพร้อมหายนะ ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย  เขาพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่น สวมฮูดคลุมหัวไว้ ดูเผินๆก็เหมือนพรตทั่วไปที่ เดินไปมาให้เห็นบริเวณลานหน้ามหาวิหารนี้

                    เมืองซางตานีโอแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อพันปีก่อน  ทั้งกำแพงเมืองยักษ์  บ้านเรือนสไตน์เก่าแก่   จะผิดเพื้ยนก็แต่เสื้อผ้าการแต่งตัวของชาวเมืองที่เปลี่ยนไป มีร้านรวงสมัยใหม่เกิดขึ้นไปทั่ว  ทั้งน้ำพุตรงลานกว้างและมหาวิหารนี่ก็เหมือนเดิมไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนแม้แต่น้อย

              

                    "ท่านไม่เคยเข้าเมืองซางตานีโอหรือครับ  ท่านอาร์กัส"

    เด็กฟีเดอาโก้ถามอย่างสงสัย  เขาเห็นนักพรตอาร์กัสมองบ้านเมืองด้วยความตื่นเต้น

                   "ครั้งสุดท้ายที่ข้ามาที่นี่ คือเมื่อหนึ่งพันปีก่อนขอรับ"

    สองบริสตั้นทำตาโตเพราะคำตอบอันน่าตกใจของนักพรตปีศาจตรงหน้า

                   "ประทานโทษเถิดท่านนักพรต !   นี่คิดจะขังตัวเองอยู่ในป่าไปชั่วชีวิตหรือยังไง!  หัดออกมาดูโลกภายนอกบ้างสิ"

    เคนิสว่า  หล่อนส่ายหัวไปมา  แต่ก็ยังรีบเดินนำทางนักพรตหลงยุคไปยังร้านสังฆภัณฑ์ประจำเมืองซางตานีโอ

                   "ที่จริงถ้าข้าจะออกมาบ้างก็ได้อยู่หรอกขอรับ   แต่การทิ้งป่าเดียวดายออกมา ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ  เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับที่นั่น   มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่"

    อาร์กัสว่าแล้วหันกลับไปทางทิศเหนือยังป่าเดียวดายบ้านของเขา    ป่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นปราการปกป้องมหานครสุดท้ายให้รอดปลอดภัยจากพิษร้ายของทวีปต้องคำสาป 

              "มันก็จริงนะครับ "เด็กหนุ่มว่า

              "ป่าเดียวดายเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์  ทำหน้าทีแยกพรมแดนทิศเหนือระหว่างซางตานีโอกับทวีปต้องสาปออกจากกัน   การมีชายแดนติดกับทวีปต้องสาปถือว่าอันตรายมากครับ   ทวีปต้องสาปเอง   เมื่อก่อนก็เคยเป็นมหานครทางเหนืออันเกรียงไกร  แต่ก็.....ถูกชาวนรกอเวจีทำลายย่อยยับในสงครามเมื่อพันปีก่อน  จนพินาศไปทั้งอาณาจักร   หลังสิ้นสงคราม  ก็ยังทิ้งร่องรอยไอพิษมรณะร้ายแรง ทำลายสิ่งมีชีวิตถูกอย่างจนไม่มีสิ่งใดอยู่อาศัยได้     ป่าเดียวดายจึงสำคัญอย่างมาก  หากป่านี้เป็นอะไรไป เจ็ดมหานครก็คงล่มสลายเช่นกันสินะครับ"

    เด็กหนุ่มว่าขณะเปิดหนังสือแนะนำเมือง   เขามอบอีกเล่มให้อาร์กัส  เพราะท่าทางพรตปีศาจจะอยากอ่านอยู่เช่นกัน


                   ตำนานของเมืองซางตานีโอ ที่ฮิตกันมากในหมู่นักท่องเที่ยว  เห็นจะเป็นเรื่องราวใดไปไม่ได้นอกจาก   ตำนานกล่องอีทูลัส   จอมปีศาจในตำนานถูกขังอยุ่ในนั้น   กล่าวกันว่า ตระกูลบริสตั้นเป็นผู้ผนึกจอมมารลูซิเฟอร์ไว้ได้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว  เรื่องราวของสงครามเมื่อพันปีก่อน  จนมาถึงเรื่องราวของนักพรตอาร์กัสผู้สร้างป่าเดียวดายออกมาปกป้องบ้านเมืองไว้    ชื่อเสียงของเขาเพิ่งจะดีขึ้นเมื่อหลายปีก่อน   จากการโปรโหมดการท่องเที่ยว ของเจ้าเมืองนัวร์ โครวิส    แห่งซางตานีโอ   นักพรตอาร์กัสไม่ใช่ปีศาจแห่งภัยพิบัติ  แต่เขาคือฮีโร่  และท้ายสุดของเรื่องยอดฮิต  นั่นคือเรื่องราวสยองขวัญ  ของผีร้าย ไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น  ปีศาจผู้สิงสู่เมืองซางตานีโอ  ผีร้ายในตำนานที่มักสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า   ผีร้ายแห่งสุสานโบราณ จะส่งภูตรับใช้มาเก็บซากศพผู้คนที่เสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรง  และเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ    ต่างกล่าวกันว่า  วาเลเรียส จะมารับศพพวกนั้นไป

                   "นี่ท่านอาร์กัส  ขอฉันดูนั่นหน่อยได้มั้ย"

                 เคนิสว่าพลางชี้ไปที่ไม้เท้าของอาร์กัส  ไม้เท้าที่ทำจากท่อนไม้สองท่อน แล้วมาผูกง่ายๆด้วยเชือกหนัง  มันเป็นอาวุธที่ไม่ได้ลงอาคม  ไม่ได้ปลุกเสก  เป็นเพียงท่อนไม้ธรรมดา จนไม่น่าจะมีนักบวชสายพิฆาตความมืดคนใดกล้าเอาไปใช้สู้กับปีศาจจริงๆ

                   "ขอรับ"

    อาร์กัสส่งมันให้เคนิส

              "จริงๆด้วย  ถ้าปรับแต่งสักนิด  นี่น่ะ จะเป็นยอดศาสตราวุธที่ทรงพลังมาก" 

                   เคนิสอธิบายตาเป็นประกาย   แล้วส่งคืนให้เจ้าของ

                    “ไปเปลี่ยนชุดที่ร้านสังฆภัณฑ์กันเถอะครับ  ผมเองก็เหลือคทาอีกมากโขที่ต้องซ่อมให้เสร็จวันนี้”

    ฟีเดอาโกว่า แล้วรีบเร่งฝีเท้า

                    “จริงสิ รีบกลับกันดีกว่า  ป่านนี้แมรี่คงรออยู่นานแล้ว”

                  พวกเขาจึงรีบตรงดิ่งไปที่ร้างสังฆภัณฑ์ของมหาวิหาร เป็นสถานที่อีกแห่ง   ที่ทุกคนเมื่อมาเยือนซางตานีโอแล้ว  ต้องมาเยือนเพื่อซื้อของที่ระลึก  อีกทั้งเป็นแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์การเรียนคุณภาพสูงสำหรับเหล่านักบวชสายพิฆาตความมืดเลยทีเดียว   พรตหนุ่มค่อยๆเรียกสติกลับมาเมื่อเริ่มเข้าใจเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน  ที่เรื่องของเขา ทั้งเรื่องผีสาง เทวดา  การต่อสู้กับปีศาจ  กล่องอีทูลัส  ตระกูลบริสตั้น  เป็นเพียงแค่ตำนาน วรรณคดีโบราณสำหรับขาย  ให้นักท่องเที่ยงแห่กันมาเยี่ยมชมเมือง   ตามนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว   ของเจ้าเมืองซางตานีโอไปเสียแล้ว

     

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    END/ Santanio City

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×