ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตระกูลบริสตั้น 2 (Bristan family 2)

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 61


                   
                                  แสงสีแดงฉานจากดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าได้ย้อมท้องทุ่งนาระหว่างทางเข้า เมืองซางตานีโอจนเป็นสีแดงเข้มดุจโลหิต ฝูงกาฝูงใหญ่เกาะอยู่บนต้นไม้ยักษ์ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวข้างทาง  พวกมันร้องลั่นเมื่อมีผู้เดินผ่านเข้ามาในบริเวณนั้น

                    “เรียกกลับเมืองเสียด่วนเชียว เกิดอะไรขึ้นกันนะ”

    เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลน  ดวงตาสีทองอ่อนๆ เอ่ยขึ้นพร้อมๆกับออกแรงลากรถเข็น ไปบนทางคอนกรีตที่ทอดยาวไปสู่เมืองซาตานีโอ  สินค้าจากร้านสังฆภัณฑ์ที่เจ้าหนูลากไปส่ง  ไม่ทันถึงที่หมายด้วยซ้ำ  แต่อยู่ๆกลับมีคำสั่งจากอาร์คบิชอปให้รีบกลับเมืองอย่างด่วนจี๋ 

                    “นั่น  อะไรเนี่ย !

    เจ้าหนูร้องลั่น เมื่อเบื้องหน้าเขามีรถม้าคว่ำขวางทางอยู่  ทั้งผลไม้ ถังไวน์หล่นเกลื่อนกลาดเต็มถนน   เด็กหนุ่มจอดรถเข็นไว้ทันที ก่อนที่จะตรงไปดูเหตุการณ์ใกล้ๆ 

                    “ตะ ตายเรียบเลยเหรอ !

    สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือซากศพของพ่อค้าแม่ค้าและนักเดินทาง ไม่ต่ำกว่ายี่สิบศพ เข้าของสัมภาระกระจัดกระจายราวกับถูกปล้น แต่สภาพศพนั้นดูสยดสยองเกินกว่าจะเป็นแค่ฝีมือของโจนป่า เพราะร่างแต่ละร่างมีบาดแผลฉกรรจ์ เหวอะหวะ ราวกับถูกสัตว์ร้ายรุมกัดแทะ
     

                    “นั่นใคร!?
     

    เด็กหนุ่มรีบตรงไปยังกองซากศพ สายตาของเขาจับการเคลื่อนไหวบางอย่างได้ มีเสียงกรุกกรัก เหมือนมีอะไรกำลังขยับเขยื้อน  และตรงนั้นเองเขาก็เห็น เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังกัดกินซากศพที่เรียงรายอยู่นั้น ด้วยท่าทางตะกละตะกราม 
     

                    “นั่น ไม่ใช่อาหารนะ” เด็กหนุ่มลองร้องออกไป

     

         เด็กหญิงผมรุงรังนั้นหยุดกินทันที เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยอาการตื่นตระหนก  ทั้งปากทั้งคอ และเสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยเลือด  เด็กหนุ่มเดินทางทั่วแว่นแคว้น เขาเห็นความอดอยากกันดารอาหาร ภัยจากสงครามที่ผู้คนอดอยากจนต้องฆ่ากันเองและกินแม้กระทั่งซากศพเพื่อให้มีชีวิตรอดมาแล้ว จึงไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า  

                    “อดอยากขนาดกินศพเลยหรือ”

    เด็กหนุ่มเดินตรงเข้าไปดึงเด็กหญิงออกมาจากกองซากศพ เขาเอามือเละๆที่เด็กหญิงกำลังเคี้ยวอยู่ออกจากปากอย่างยากลำบาก  ก่อนจะเอาขวดน้ำออกจากกระเป๋าเป้ แล้วล้างหน้าล้างตาให้เด็กหญิง

                    “เธอชื่ออะไร เอ้านี่ขนมปัง”

    เด็กหนุ่มถามพลางยื่นขนมปังให้ แต่เด็กหญิงกลับจ้องมองเขาตาเหลือกด้วยความตกใจ 

                    “เธอ ! เธอนั่นแหละชื่ออะไรเหรอ?”

                    “....................” 
    เด็กหญิงยังคงไม่พูดอะไร แต่พอถูกถามเรื่อยๆ จึงค่อยๆขยับริมฝีปากพูดด้วยเสียงสั่นเทาช้าๆ

                    “อิส  ...ซาเบล....ล่า”

                    “เป็นชื่อที่เพราะดีนะอิสซาเบลล่า   ถ้างั้นรีบเดินทางเข้าเมืองกันดีกว่า เธอต้องกินอาหารให้ถูกหลัก  อาบน้ำ เปลี่ยนชุด ดูสิแดงเข้มไปทั้งตัวแล้ว  ”
     

    เด็กหนุ่มว่าแล้วยิ้ม ก่อนที่จะไปลากรถเข็นพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง  แต่หนูน้อยกลับไม่ยอมขยับเขยื้อน  เอาแต่จ้องมองเด็กหนุ่มผมขาวด้วยความหวาดกลัว

     

                    “ไม่ต้องกลัวผมหรอก  รีบมาสิ เดี๋ยวก็มืดค่ำก่อนพอดี”

     

    สิ้นคำ ขาของเด็กน้อยก็เริ่มขยับ เด็กหญิงก้าวไปข้างหน้าด้วยร่างสั่นเทา เดินตามเด็กหนุ่มไปบนถนนมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองซางตานีโอ  แต่ว่ายังไม่ทันไร ก็มีเสียงตะโกนไล่หลัง  จนเขาต้องหยุดเข็นรถแล้วหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความสงสัย

                                             "นี่แนะ! พวกท่านตรงนั้น ช่วยหยุดก่อนขอรับ"

                    เสียงบุรุษที่ฟังดูไม่คุ้นหูเอาเสียเลย   และยังพูดด้วยสำเนียงโบราณสุดๆแบบนั้น   เด็กหนุ่มแปลกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นบุคคลที่เขาคุ้นเคยดี  มาเดินอยู่ใกล้ๆนักพรตผมทองคนนั้น   หญิงสาวผมดำในชุดเครื่องแบบองครักษ์มหาวิหาร   กำลังขยับยิ้มน้อยๆพร้อมกับโบกมือเรียก

                    “ ฟีเดอาโก้ !”  เคนิสร้องลั่นเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม

                    “เคนิส!เด็กหนุ่มผมขาวร้องออกมาอย่างยินดี

                    “มันเกิดอะไรขึ้นครับ  เมื่อครู่ผมเห็นคนตายเกลื่อนกลาดเลย” ฟีเดอาโก้ร้องลั่นขณะวิ่งเข้าไปหา

                    “เกิดสงครามขึ้นหรือครับ”

                    “เปล่า    ไม่ใช่สงครามหรอก แต่มันแย่กว่านั้น”

    หญิงสาวผมดำตอบแล้วถอนหายใจ  ก่อนที่นักพรตอาร์กัสจะเป็นผู้พูดแทน

                    “พวกปีศาจจากขุมนรก  บุกโจมตีพวกเราแล้วขอรับ!”

    เด็กหนุ่มถึงกับยืนนิ่งไปหลายวินาที   ฟีเดอาโก้ ค่อยๆหันไปมองหน้าคนตอบเล็กน้อย  ก่อนที่จะเริ่มหัวเราะลั่น นี่มันจะบ้าเกินไปแล้ว ยุคสมัยนี้มันจะมีปีศาจออกมาเข่นฆ่าผู้คนได้ยังไงกัน 
     

                    “ผม เคยเห็นเพียงคนที่ถูกปีศาจสิง  แล้วมีอาการแปลกๆเหมือนคนเป็นบ้าไม่ก็ล้มป่วยไปเท่านั้น แต่ไอ้เรื่องที่มาไล่ฆ่าคนแบบในนิทานเนี่ย  มันเป็นไปได้ที่ไหนกันละครับ” ฟีเดอาโก เอ่ยขึ้นพลางหัวเรอะจนท้องแข็ง

                    “ตอนนี้พวกนักพรตสายพิฆาตความมืด ที่เฝ้าประตูเมืองซางตานีโอ  ถูกฆ่าตายไปหลายคน  ฉันเองก็แทบไม่เชื่อเหมือนกัน”
     

    คำตอบต่อมาของเคนิสทำให้ฟีเดอาโก้ชะงักกึก เขาหยุดหัวเราะในทันทีก่อนที่จะทำตาเหลือกแล้วร้องลั่น


     

                         “อะไรนะครับ ! นี่เรื่องจริงนะ”

                       “ ใช่ ที่ท่านอาร์คบิชอปเรียกนายกลับมาก็เพราะเรื่องนี้นั่นแหละ  เราคงต้องรีบกลับให้เร็วที่สุด  แล้ว......”

            
       พวกเคนิสทำหน้าเครียด แต่อาร์กัสเริ่มเครียดยิ่งกว่า  ทำไมอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอต้องเรียกหาเด็กนี้ด้วย


     

                    อาร์กัสยืนพิจารณาเด็กผมขาวตรงหน้าแล้วเริ่มประเมินความสามารถด้วยสายตา  เจ้าหนูนั่นดูยังไงก็เป็นแค่เด็กธรรมดา   ผิดแผกก็เพียงแค่สีผมที่ขาวโพลน กับดวงตาสีทองผิดแผกจากชาวบ้านทั่วไป   เพียงแต่ว่าเจ้าเด็กนี่กลับมีบางอย่างที่ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน  เป็นความรู้สึกที่คล้ายๆคลึงกับตอนที่เขาพบวาเลเรียส  และสัญชาตญาณบางอย่างบ่งบอกว่า ควรออกห่างๆเจ้าเด็กนี่ไว้!

                    “เคนิส....”อาร์กัสถามหญิงสาวข้างๆตน

                    “หืม?

                    “เด็กคนนี้ เป็นใครกันแน่” 

    คำถามของอาร์กัสนั่นทำให้เคนิสต้องแปลกใจ

                    “เด็กคนนี้ ....  ก็แค่เด็กนักเรียน ม.ต้น ”เคนิสตอบพลางฉีกยิ้ม

                    “เอ่อ ! ผมเพิ่งเข้าเรียน เป็นนักบวชฝึกหัดของมหาวิหารได้ไม่นานนี้เองครับ”

                    แม้เจ้าหนูจะพูดแบบนั้น แต่ว่าสัญชาตญาณของอาร์กัส นักพรตผู้ผ่านการปะทะกับปีศาจผู้มาจากความมืดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั้น ก็สัมผัสถึงอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวบางอย่างจากเด็กคนนี้ได้อย่างชัดเจน

                    “ผมชื่อฟีเดอาโก้ บริสตั้นครับ เป็นนักบวชฝึกหัด  และช่างเครื่องอาคมแห่งร้านสังฆภัณฑ์เมืองซางตานีโอ”

    เจ้าหนูตอบเสียงใสแล้วฉีกยิ้ม

                    “บริสตั้น !พรตอาร์กัสเอ่ยชื่อนั้นขึ้นอย่างตื่นตระหนก 

    วันนี้เขาได้พบคนจากตระกูลบริสตั้นในตำนานที่ว่ากันว่าเป็นผู้พิทักษ์กล่องอีทูลัสแล้วถึงสามคน !  ช่างเป็นตระกูลในตำนานที่หาตัวตนเจอง่ายผิดคาดเสียจริง

                    “ครับ ผมเองก็เป็นคนจากตระกูลบริสตั้น”

                    “ถ้างั้นเจ้ากับเคนิส ...?

       “ก็ญาติพี่น้องกันไง”

    เคนิสตอบแล้วขยี้ผมฟีเดอาโก้แรงๆจนเจ้าหนูร้องประท้วง ก่อนที่เธอจะหันไปสนใจบางอย่างที่รถเข็น

    “เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ” อาร์กัสเอ่ยขึ้นแล้วหันไปพิจารณาฟีเดอาร์โก้อีกครั้ง

     

    ตอนนี้เขาเข้าใจอะไรบางอย่างชัดเจนทีเดียว  บางอย่างที่เขาสัมผัสจากคนในตระกูลนี้ได้ สัญชาตญาณของเขาไม่เคยพลาด   แม้เด็กหนุ่มฟีเดอาโก บริสตั้นนั้น เขาจะไม่รู้สึกถึงพลังอำนาจใดๆแม้แต่น้อย แต่เสียงในใจของเขานั้นร้องตะโกนลั่น  มันร้องเตือนภัยถึงอันตรายที่มองไม่เห็น  และที่สำคัญควรอยู่ห่างๆเจ้าเด็กนี่ให้มากที่สุด  บรรยากาศรอบตัวเด็กหนุ่มบริสตั้นคนนี้ที่ดูเหมือนจะธรรมดา  แต่มันทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน  อาร์กัสกำไม้เท้าแน่น  เมื่อตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าเด็กคนนั้น ไม่ใช่ไร้พลังอำนาจอย่างที่คิดแต่เจ้านี่กำลังทำตัวเนียนเสียแทบคาดไม่ถึง


     

                    “พรางพลังตัวเองอยู่อย่างนั้นเหรอนี่! 


    อาร์กัสคิดในใจ เขาหรี่ตาลงแล้วขยับยิ้มแห้งๆ  เมื่อเขาต้องใช้เวลามากโขกว่าจะแยกแยะอำนาจทรงพลังระดับเหลือเชื่อนั่นออก  เจ้าเด็กนั่นมันกดพลังตนเองไว้เสียมิดชิด

                    “อาร์กัส  นายเป็นอะไรไป” เคนิสถาม

                    แต่เมื่อพรตหนุ่มจะหันกลับไปตอบหญิงสาวอีกคน  พรตหนุ่มก็ต้องตกตะลึงตาค้าง ความตื่นตระหนกนั้นทำให้เขาขยับไม่ได้ไปชั่วครู่  ทำไมกัน ทำไมกัน  ทำไมเขาอยู่กับเธอคนนี้มาตั้งนาน   แต่กลับไม่รู้สึกถึงไอทมิฬจากอำนาจมืดของเธอคนนี้เลยแม้แต่น้อย  ทำไมเขาจึงไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง  ที่เย็นเฉียบไปถึงไขสันหลัง   อีกทั้งเมื่อเขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสดใสคู่นั้นของเจ้าหล่อน  สิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่เงาของเขาแต่เป็นความมืดอนันตกาลอันไร้ขอบเขตเช่นเดียวกับพวกปีศาจ   ทั้งพลังมืดมากมายมหาศาลที่ไม่อาจประเมินได้ ซึ่งเจ้าตัวอุส่าซ่อนปกปิดไว้ แต่ก็ยังรั่วออกมา  ตระกูลบริสตั้น เป็นอะไรกันแน่ 

                    “พะ พวกเจ้าเป็นใครกัน ! 
    เขาสุดทนจนต้องร้องออกมา 
    คนสองคนนี้ร้ายกาจกว่าปีศาจหรืออะไรก็ตามที่เขาเคยเจอะเคยเจอมาทั้งชีวิตพันปีของเขาเลยทีเดียว  พรตหนุ่มถอยห่างจากเคนิส แล้วกำไม้เท้าเตรียมโจมตีไว้แน่น  พลังอำนาจระดับนั้นมันเกินขอบเขตมนุษย์เสียแล้ว ดีไม่ดี หล่อนอาจเป็นปีศาจจำแลงมาก็เป็นได้

                    “เคนิส  ผมรู้สึกว่าเขาอาจจะรู้อะไรเข้าแล้ว” ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นขณะมองไปที่อาร์กัส

                    “นี่แหละ ! ของแถมจากวาเลเรียส”เคนิสถอนหายใจพลางมองอาร์กัส

                    “ของแถม ? หมายความว่าคุณพาเขาไปหาวาเลเรียส !”ฟีเดอาโก้ถาม

                    “ใช่  ฉันพาเขาไปรักษากับ ดร.วาเลเรียส  พี่ใหญ่ตระกูลเรา นอกจากพลังของเขาจะสามารถฟื้นสภาพร่างกายผู้ป่วยอย่างน่าทึ่งได้แล้ว  กลับยังไปเพิ่มความสามารถในการจำแนกแยกแยะต่อพลังอำนาจพิเศษหรือสิ่งผิดปกติให้สูงเป็นเท่าตัวยังไงละ  รวมถึงความสามารถในการสัมผัสวิญญาณของพวกเราด้วย”

                   

                    “จะ เจ้าว่าอย่างไรนะ เคนิส” อาร์กัสเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง 

    ที่แท้ก็มาจากสาเหตุนี้เอง ที่เขาแยกแยะสิ่งผิดปกติได้เก่งขึ้นจากเมื่อก่อนนัก ก็เพราะฝีมือไลท์ บริสตั้นคนนั้น จะว่าไปแล้วหมอปีศาจตนนั้นเอง  ก็มีพลังอำนาจรุนแรงพอๆกับบริสตั้นสองคนเบื้องหน้า

    “ถ้าอย่างนั้น เราควรฆ่าผู้ชายคนนี้ซะ   ปล่อยไว้ให้รู้เรื่องพวกเราอยู่แบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ครับ" เด็กหนุ่มเสนอความเห็น

               
      “เธอฆ่าเขาไม่ได้หรอกฟีเดอาโก้ ชายผู้นี้คือ อาร์กัส นักพรตแห่งป่าเดียวดาย  หมอนี่ สร้างป่าดึกดำบรรพปกป้องทวีปของเรา จากไอพิษทางทวีปตอนเหนือ  และที่สำคัญ”

    เคนีสพูดได้เพียงแค่นั้น อาร์กัสก็เสริมเองเสียเฉยๆ

     

                    “ข้าคือ  อาร์กัส นักพรตผู้ถูกสาปแช่งไม่ให้ตาย”อากัสตอบพลางชี้ไม้เท้าไปที่พวกเคนิส

                    “อาร์กัส  ..... ช่วยเอาไม้เท้าลงก่อน” เคนิสปราม

                    “เงียบนะ ! พวกเจ้าเป็นอะไรกันแน่  ตระกูลบริสตั้น พวกแกเป็นใคร !  พลังแบบนี้ จะว่าปีศาจก็ไม่ใช่ มนุษย์ก็ไม่ใช่  พวกเจ้ามีอะไรอยู่ในตัวของพวกเจ้าแน่ๆ”

                    “ความแตกแน่ๆแล้วครับ”ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้

                    “ตระกูลบริสตั้น ก็คือ ตระกูลบริสตั้น  นายเชื่อว่าพวกเราเป็นผู้พิทักษ์กล่องอีทูลัสก็พอ  เพราะตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง  ท่านนักพรต!


     

    สิ้นคำของเคนิส  อยู่ๆพวกเขาก็รู้สึกถึงพลังปีศาจที่รุนแรงมากออกมาจากบริเวณรถเข็นที่ฟีเดอาโก้จอดทิ้งไว้  เด็กหญิงคนที่ฟีเดอาโก้พามาด้วยกำลังกอดโลงศพเก่าๆสีดำไว้แน่น  ดวงตาสีทองจ้องเขม็งมาที่พวกเธอด้วยความเกลียดชังสุดขีด

                    “นะ นั่น ! ..........”อาร์กัสร้องลั่น

    เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลยว่า ตัวต้นเหตุแห่งหายนะจะมายืนอยู่ตรงหน้าเสียเฉยๆเด็กปีศาจที่สับเขาเป็นชิ้นๆ อีกทั้งยังสังหารมนุษย์ไปอีกมากมายตั้งแต่หมู่บ้านทางเหนือ มาจนถึงรอบๆตัวเมืองซางตานีโอ บัดนี้มันอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

               
    “จับมารตัวการมาได้เร็วจริงนะ  ฟีเดอาโก้เคนิสว่าขณะมองไปที่เด็กปีศาจตนนั้น
               
                “เอ๋!” เด็กหนุ่มร้องลั่น ทำตาเหลือกด้วยความตกใจ

    "ก็ได้แต่หวังว่า   นายจะไม่พาชาวนรกฝ่าเขตแดนของท่านกาเบรียล เข้าไปในเมืองหรอกนะ"

    ดวงตาสีดำของเคนิสเฉยแววโหดเหี้ยม   หล่อนมองเด็กหนุ่มผ่านหางตา ก่อน

    จะถอนหายใจ  นี่ถ้าเกิดเจ้าหนูฟีเดอาโก้ พาเด็กปีศาจตัวต้นเหตุเข้าเมืองไปได้จริงๆ คงได้เกิดเหตุร้ายใหญ่หลวงขึ้นเป็นแน่

    “เมื่อกี้  ! ผมยังไม่เห็นว่า   เธอมีพลังปีศาจแบบนี้นี่ครับ เธอแค่ดูหิวโซเท่านั้น”เจ้าหนูแก้ตัว

    “ปีศาจระดับสูงมากๆ มักกลบกลิ่นของมันได้เก่งนักละ   ใช่มั้ย......คุณผู้มาจากความมืด”

    เคนิสเอ่ยขึ้น พร้อมๆกับที่ปีศาจในร่างเด็กก็เผยตัวจริงออกมาในทันที   ความมืดสีดำสนิทแพร่กระจายจากร่างผู้มาจากความมืดผู้นั้นราวกับประกาศสงคราม มันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทูตสวรรค์ยศสูงส่ง แต่บัดนี้ทั้งนายของมันและตัวมันเองคือปีศาจทรยศที่ถูกจองจำในนรก ความเกลียดชังเคียดแค้น   ทำให้มันยิ่งจงเกลียดจงชังสิ่งสร้างทั้งมวล  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งสร้างสุดสำคัญที่เรียกว่ามนุษย์     จะต้องทำให้พวกมันตกต่ำ  ทุกทรมาน และวิญญาณทุกดวงของพวกมันจะต้องพินาจ ลงนรกไปชั่วนิรันดร์

                                    “หึ หึ ข้าก็แค่มารับกล่องอีทูลัสไปเท่านั้น”
    ปีศาจผู้งดงามเอ่ยขึ้น พร้อมกับกอดโลงสีดำซึ่งค้นเจอจากรถเข็นที่เด็กหนุ่มผมขาวกำลังลากกลับเมืองไว้แน่น  มันคือกล่องอีทูลัสในตำนาน   ที่ว่ากันว่าดวงวิญาณลูซิเฟอร์นายของมันถูกกักขังไว้  เจ้าหล่อนกวาดตามองมนุษย์ทั้งสามแล้วยิ้มเหยียดหยามออกมา

                                    “ข้าไม่ให้เจ้าเอามันไปไหนทั้งนั้น”
    พรตอาร์กัสตะคอกพร้อมกับพุ่งจู่โจมเข้าใส่ปีศาจตนนั้นทันที  เขายกไม้เท้าฟาดเปรี้ยงไปที่มัน  ประกายแสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า  ความมืดมิดจากนรกที่ทำให้แม้แต่ต้นไม้และต้นข้าวในทุ่งนาแห้งเหี่ยว ได้หายไปหมดสิ้น 

                                    “เจ้าพรตเกะกะ” 
     

    พริบตานั้นปีศาจก็หายวาบไป  และปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนมือของมันเองเป็นดาบสีดำทมิฬ   พุ่งโจมตีพรตหนุ่ม   ด้วยหวังจะสับร่างของเขาให้เละเป็นชิ้นๆอีกครั้ง

     

                                    “อยากรู้นักว่าคราวนี้  แกจะยังมีปัญญา กลับมามีตัวมีตนได้อีกมั้ย อาร์กัส!”

    ปีศาจว่าพร้อมกับหัวเราะเยาะ  แล้วฟันฉับลงมาด้วยอำนาจทำลายล้างรุนแรงเต็มขั้น     พรตหนุ่มที่หลบไม่ทันต้องรับการโจมตีนั้นไปเต็มๆ  พื้นดินรอบๆระเบิดกระจุยกระจาย  อีกทั้งไม่อาจกางเขตอาคมป้องกันได้ทันเวลา สิ่งที่เขาทำได้คือยกไม้เท้ากันการโจมตีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

                                    ตูม !!!!!!

    เสียงระเบิดเลื่อนลั่น  อำนาจทำลายล้างรุนแรงที่ไม่เคยมีมนุษย์ใดต้านมันได้  ปีศาจขยับยิ้มอย่างยินดี เมื่อเหยื่อตรงหน้า คงจะร่างแหลกเหลวไปแล้ว  แต่ทันใดนั้นรอยยิ้มของมันก็กลายเป็นยิ้มเหยียดด้วยความผิดหวังเมื่อพบว่า การโจมตีของมันเมื่อครู่ถูกขัดขวางด้วยคนๆหนึ่งที่รับการโจมตีแทนทั้งหมดได้เพียงมือเปล่า

     

                                    “โทษทีนะ  ! กล่องอีทูลัส เป็นสมบัติคู่บ้านคู่เมือง  มีมูลค่าประมาณไม่ได้   ฉันคงยกให้แกไปไม่ได้หรอก”
    เคนีสเอ่ยขึ้น
    เธอใช้มือเปล่าจับดาบสีดำทมิฬ และรับการโจมตีทั้งหมดได้ในพริบตาเดียว พรตหนุ่มยืนอึ้งด้วยความตกใจกับความสามารถพิฆาตความมืดอย่างเด็ดขาดที่เขาไม่อาจเทียบติด  พื้นดินบริเวณรอบๆตัวพวกเขานั้นระเบิดกระจุย เเทบไม่มีชิ้นดี ยกเว้นตรงที่พวกเขายืนอยู่  แต่ว่าที่น่าตกใจกว่า  ดันเป็นเจ้าเด็กผมขาวคนนั้นกลับยังนั่งเล่นบนรถเข็นหน้าตาเฉย  โดยที่ไม่ถูกพลังทำลายล้างเมื่อครู่แม้แต่รอยขีดข่น  ทั้งที่พื้นคอนกรีตข้างๆรถเข็นถูกทำลายสิ้นซาก  พลังมืดของปีศาจตนนี้ไม่สามารถทำอะไรบริสตั้นทั้งสองคนได้เลย  กลับเป็นมันเองที่โดนอำนาจมืดสะท้อนกลับอย่างไม่น่าเป็นไปได้

                                    “เคนิส !
    อาร์กัสเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ  เขาเบิกตาค้างมองคนรับการโจมตีแทน ที่อึดอย่างเหลือเชื่อ
       ซึ่งเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนแล้วก็ไม่ต่างจากผู้หญิงธรรมดาทั่วไป   แต่ระดับสามารถรับการโจมตีด้วยอำนาจรุนแรงแบบนั้นแค่เพียงมือเดียวได้ ยิ่งทำให้เขาคิดถึงดาร์ค บริสตั้นเมื่อพันกว่าปีก่อนคนนั้น   

                                   “ปีศาจตนนี้ใช่มั้ย ที่สาปแช่งนายแล้วสับเป็นชิ้นๆ ”

                    เคนิสถามขึ้นพร้อมยังจับดาบนั้นไว้แน่น ก่อนที่เธอจะระเบิดมันทิ้งโดยใช้เพียงมือเปล่า      นักพรตอาร์กัสมองเธอตาปริบๆ แล้วค่อยๆพยักหน้าตอบ                   

                                    “ใช่ !”


    เขาตอบออกไปด้วยความหวาดกลัว  แต่ในครั้งนี้   หาใช่หวาดกลัวปีศาจจากนรก  แต่กำลังหวาดกลัวคนของตระกูล บริสตั้นตรงหน้า  
                        "ช่วยลงนรก ไปทีได้มั้ย จอมมาร"
    เคนิสบอกเสียงเรียบ   แต่มันสร้างความไม่พอใจอย่างใหญ่หลวงให้กับปีศาจชั้นสูงอย่างมัน  
                        "ข้าชังน้ำหน้า เจ้านัก!"
    ปีศาจร้องลั่น  และเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เคนิส   มันโจมตีด้วยอำนาจสูงสุดที่มันมี  แสงสีดำเจิดจ้า  ทำให้แม้แต่แสงอาทิตย์ยังหายลับไป  ทุกสิ่งกลับเป็นสีดำสนิท   ต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณที่ความมืดนั้นไปถึง  มอดไหม้ระเบิดเป็นจุน และมันยังแผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ  ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้  เหตุการณ์ที่โลกถูกสาปแช่งด้วยความมืด เสียแต่ว่าความมืดทมิฬพวกนั้นกลับไม่สามารถทำอันตรายแก่บริสตั้นผู้นี้ได้แม้แต่น้อย
     

      ปีศาจเบิกตากว้างรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิต  ไม่ใช่เพราะคำสาปจากนรกทำอะไรมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้  แต่ว่าคำสาปเหล่านั้นถูกพลังมืดที่ทรงพลังกว่าทำลายจนหมดสิ้น  หญิงสาวผมดำตรงหน้าเป็นอะไรกันแน่ ความหวาดกลัวรุนแรง ที่ทำให้แม้แต่ปีศาจระดับสูงอย่างมันขวัญหนีกระเจิงแบบนี้  อำนาจมืดที่ทรงพลังมหาศาลแบบนี้ มันรู้จักดีเมื่อนานแสนนานมาแล้ว

    “แกยังคืนชีพไม่สมบูรณ์อิสเบลล่า  ถ้าหากรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร ก็จงหยุดทำอะไรโง่ๆ

    เคนิสเตือนเสียงเรียบ  แล้วหลิ่วตาเป็นสัญญาณให้
    เด็กหนุ่มอีกคนจึงใช้สายศิลเลเซอร์มัดมันเอาไว้ สายศิลที่ยกระดับจากเชือกเสกธรรมดา เป็นเลเซอร์แสง ที่สามารถพันธนาการปีศาจได้อยู่หมัดไร้ทางต่อต้าน

               "จงได้ใจไปก่อนเถอะบริสตั้น  เพราะอีกไม่นาน พวกแกจะต้องชดใช้   ต้องก้มกราบแทบเท้านายท่านของข้า

                           “น่ารำคาญ !
    เคนิสเอ่ยขึ้น  พร้อมๆกับดีดนิ้วเปาะเดียวไปที่กลางหน้าฝากของปีศาจ  ร่างจำแลงอันงดงามถึงกับแหลก
    เป็นฝุ่นผงในพริบตา พร้อมกับที่จิตชั่วถูกส่งกลับนรกในทันที  ร่างสถิตของมันอ่อนแอเกินไป  อ่อนแอจนเมื่อมันใช้อำนาจชั่วร้ายไปได้ระยะเวลาหนึ่ง ก็เหมือนจะเกิดรอยร้าว

                    “ เด็กคนนั้น!”
    ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้น เมื่อพบว่าภายในฝุ่นผงนั่น มีร่างของเด็กผู้หญิงนอนสิ้นสติอยู่แทนที่ร่างของปีศาจที่จากไป

    “ยังไม่ตาย โล่งอกไปที” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมา

    “ถึงจะยังไม่ตาย  แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่า  เมื่อเธอพื้นขึ้นจะสามารถใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติได้เหรอไม่ รวมทั้งสภาพจิตใจด้วย   ข้ากลัวว่าเด็กคนนี้จะ........” อาร์กัสเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ


     

     เมื่อจิตชั่วจากไปแล้ว ก็ยังคงเหลือร่างสถิตที่ยังไม่แน่ใจว่าต่อให้มีชีวิตอยู่  เจ้าของร่างจะยังมีสภาพจิตเป็นปกติหรือไม่   เด็กคนนี้ได้ถูกใช้เป็นร่างทรงเข่นฆ่าผู้คน ถูกทำให้กินเนื้อมนุษย์ ทำสิ่งเลวร้ายอีกมากนัก   นี่คือสิ่งที่ปีศาจจะกระทำ หากเมื่อมันได้สถิตในร่างของมนุษย์คนใดแล้ว มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้มนุษย์ผู้นั้นตกต่ำเลวทรามที่สุดเท่าที่อำนาจมันแต่ ละตนจะทำได้

    “พาเด็กคนนี้ ไปพบอาร์คบิชอปกาเบรียล” เคนิสบอกฟีเดอาโก้

    อย่างน้อยอาร์คบิชอปกาเบรียล แห่งซางตานีโอ น่าจะสามารถช่วยเด็กคนนี้ได้  จิตใจยามถูกปีศาจสิงมักจะส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง  และยิ่งเป็นปีศาจระดับสูงที่เข่นฆ่าทั้งคนใกล้ชิดทั้ง ญาติพี่น้องและคนทั่วไปเช่นนี้  มีทางเดียวคือต้องให้ทางมหาวิหารซางตานีโอ ฟื้นฟูสภาพจิตใจเท่านั้น 

    “ครับ”ฟีเดอาโก้ตอบ  เขาอุ้มเธอมาไว้ในรถเข็นก่อนที่จะทำหน้าตื่น  เมื่อรู้สึกว่าพวกเขาลืมอะไรบางอย่างไป

    “กะ กล่องอีทูลัส กะ กล่องอยู่ที่ไหนละ”เด็กหนุ่มร้องลั่นอย่างตื่นตระหนก

    เมื่อกล่องที่ว่ากันว่าผนึกมหาปีศาจนามลูซิเฟอร์จะมาหายไปเสียเฉยๆ   เด็กหนุ่มหันไปรอบๆก็มองไม่เห็นหีบสีดำคล้ายโลงศพนั่น หรือว่าปีศาจเมื่อครู่มันสามารถนำกล่องอีทูลัสกลับนรกได้สำเร็จแล้ว

     

                              “ เคนิส ! กล่อง หาย  กล่องอีทูลัสหายไปแล้วครับ”
     

    ความจริงนั้นเล่นเอาเคนิสแทบลมจับ สิ่งนั้นคือตำนานของเมืองซางตานีโอทุกคนเชื่อว่าจอมปีศาจถูกกักอยู่ในนั้น เป็นแหล่งหารายได้เข้าเมือง อีกทั้งมูลค่าขอมันก็มหาศาล  บอกได้คำเดียวว่างานนี้มีแต่ซวย

     

                    “ เมืองซาตานีโอร้างแน่   รายได้เข้าเมืองเราทั้งหมดจบสิ้นแล้ว”
     

    สองพี่น้องตระกูลบริสตั้นเริ่มร้องลั่น  เมื่อกล่องอีทูลัสหนึ่งในสามใบ วัตถุโบราณคู่บ้านคู่เมืองถูกปีศาจชิงลงกลับนรกไปเรียบร้อย   กล่อง ที่ทำให้ผู้คนมากมายต่างแห่มาท่องเทียวยังเมืองที่ไม่มีทรัพยากรอะไรสักอย่าง


                  พรตอาร์กัสยืนอึ้งเมื่อรับรู้ว่ากล่องอีทูลัสหายไป  พรตหนุ่มทรุดลงกับพื้น
     

                    “ ข้าไม่เข้าใจว่านั่นคือเหตุผลที่พวกเจ้าร้องโวยวายกันงั้นหรือ ! ”   อาร์กัสร้องอย่างโมโห   นั่นเหรอ  เหตุผลที่พวกนั้นพากันร้องเสียดายกล่องอีทูลัส    บ้าชัดๆ

     

                    “ฉันต้องถูกเจ้าเมืองฆ่าแน่ๆ!เคนิสร้องโวยวายต่อ

                    “คราวนี้ผมคงต้องทำงานใช้หนี้ มหาวิหารไปชั่วชีวิตแน่  จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว”

                   สองพี่น้องยังร้องลั่นราวกับคนบ้า พรตอาร์กัสค่อยๆยืนขึ้น เขากวาดตาไปรอบๆ  บนถนนโล่งๆนั้น ก็ไม่พบกล่องอีทูลัสจริงๆ พรตหนุ่มแม้จะผิดหวังแต่ก็เริ่มหาตามทุ่งนาข้างๆทาง และเพียงครู่เดียวเขาก็พบบางอย่าง  มีสิ่งประหลาดสีดำแลบออกมาจากกอต้นข้าวที่ขึ้นสูงมิดหัวนั่น เขาแหวกต้นข้าวออกแล้วก็พบ หีบสีดำสนิทคล้ายโลงศพอยู่ตรงนั้น 

                    “เจอแล้ว”อากัสร้องอย่างดีใจแล้วแบกโลงออกมาที่ถนน สองพี่น้องตะกูลบริสตั้นหยุดร้องทันทีเมื่อได้ยินเสียงสวรรค์

                    “ค่อยยังชั่ว”

                    “ผมเอง ก็รอดไม่ต้องทำงานใช้หนี้แล้ว”

    พอเจอกล่องอีทูลัส สองพี่น้องนั้นก็เริงร่า  จนพรตอีกคนเริ่มปวดหัว

                    “ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไม ของสำคัญแบบนี้อาร์คบิชอปจึงให้เด็ก.....”  อาร์กัสว่าแล้วมองไปที่ฟีเดอาโก้

                    “แบบนั้น ขนของสำคัญขนาดนี้เพียงลำพัง นี่ถ้าเกิดจอมมารคืนชีพจริงๆโลกนี้หายนะแน่”

                    “ให้ฟีเดอาโก้ขนไปเงียบๆนะดีแล้วนะอาร์กัส อย่างน้อยเขาก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเชียว  แล้วถ้าทำอะไรเอิกเกริก  หรือคนทั่วไปรู้ว่ามีการเคลื่อนย้ายกล่องอีทูลัสสุดอันตรายนั่นออกจากเมืองซางตานีโอ  คงได้เป็นเรื่องใหญ่โตแน่  ดีไม่ดี  อาจกลายเป็นต้นเหตุของสงครามเชียว หลายเมืองก็อยากได้มันไปไว้ข่มขู่เมืองตรงข้ามเชียวนะ” เคนีสว่า 

                    “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจะขนมันออกนอกเมืองทำไมกัน”

                    “เอาไปซ่อมบำรุงนะครับ  เพราะมันเก่ามากแล้ว ช่างทำโลงคารีสแห่งเมืองรีแบร์ ก็ทำตัวลึกลับ ไม่ยอมเข้าเมืองมาเลย  ผมจึงต้องลากกล่องอีทูลัสไปให้เขาซ่อมบ่อยๆ”

                    คำตอบของฟีเดอาโก้ทำให้อาร์กัสหยุดที่จะตั้งคำถาม เขาถอนหายใจอย่างปลงตก  เมื่อกล่องอีทูลัสแสนสำคัญเกือบถูกปีศาจชิงไปแล้ว  พรตหนุ่มมองไปที่โลงสีดำขนาดใหญ่นั้น  เขาเห็นไม้เก่าๆที่ประกอบเป็นโลงนั่นเริ่มผุจริงๆ ทั้งร่องรอยถูกไฟไหม้ รอยแมลงกัดแทะ สภาพของมันเมื่อจ้องใกล้ๆ ก็ดูเหมือนจะพังเมื่อใดก็ได้  เชือกที่ผูกไว้หลวมๆนั้นก็หลุดอีกตั้งหาก    ของแบบนี้จะกักลูซิเฟอร์ได้นานเท่าไหร่กัน อาร์กัสคิดในใจ  เขาค่อยๆวางกล่องอีทูลัสลงพื้นเบาๆเนื่องจากกลัวว่าไม้แผ่นใดแผ่นหนึ่งจะแตกหลุดออกมา  แล้วโลกนี้ต้องถูกจอมมารทำลายล้างไปจริงๆ

                   เขาปาดเหงื่อจากหน้าฝาก ก่อนที่พริบตานั้น ฝาโลงสีดำอยู่ๆก็เลื่อนหลุดออกมาจากโลงเสียเอง  ฝาโลงเลื่อนหลุดออกมาตกลงบนพื้น ซึ่งสิ่งนั้นทำให้พรตอาร์กัสหัวใจแทบหยุดเต้น

                                    โลงเปิดแล้ว !

                    นี่เขากลายเป็นฆาตกรทำลายทุกชีวิตบนโลกนี้โดยการปล่อยจอมปีศาจออกมาอย่างงั้นหรือ!

    พรตหนุ่มปิดตาสนิท  เขาไม่กล้าดูสิ่งที่ตนเองได้กระทำ   

                    “ฝาเปิดแล้ว”ฟีเดอาโก้ร้องออกมา

                    “ที่ล็อกฝาโลงก็พัง”  เคนิสว่าอย่างเสียดาย  ก่อนที่เธอจะร้องบอกพรตผมทองที่ยังตัวสั่นเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองภายในโลงสีดำนั่น

                    “อาร์กัส นายไม่อยากเห็นความจริงเหรอไง”เคนีสว่า

                    “ไม่ ข้าเป็นคนผิด  ข้าเป็นผู้ทำลายโลกนี้”นักพรตยังคร่ำครวญ

                    “งี่เง่า !  อย่าบอกนะว่า นายเชื่อตำนานนั่นจริงๆนะเฮ้ย” หญิงสาวผมดำว่าด้วยความหงุดหงิด  ส่วนฟีเดอาโก้เริ่มหัวเราะพฤติกรรมที่นักพรตแสดงออกมา

                    อาร์กัสไม่เข้าใจ ทำไมคนพวกนี้จึงไม่มีทีท่าหวาดกลัว  หรือรู้สึกว่าต้องปะทะกับจอมปีศาจในตำนานจากในโลงนั่นเลย มันน่าแปลกเกินไป  

                    พรตหนุ่มค่อยๆเปิดตาแล้วมองไปภายในโลงนั้น  และสิ่งที่เขาเห็นทำให้แทบสิ้นสติ   ไม่ใช่เพราะได้เห็นร่างแห้งเหี่ยวของจอมปีศาจ  ได้เห็นพลังมืดทรงพลังที่จะออกมาทำลายโลก  แต่มันร้ายแรงยิ่งกว่า

                
                                                          “ว่างเปล่า”

    คำตอบเดียวบรรยายชัดเจนที่สุด

                    “ใช่แล้วละครับ มันไม่มีอะไรในกล่องนี้หรอกครับ” ฟีเดอาโกเอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะ

                    เมื่อภายในกล่องอีทูลัสของแท้ที่ว่ากันว่ามันกักพลังและวิญญาณของลูซิเฟอร์อยู่ ไม่ได้มีอะไรในกล่องเลยมันคือกล่องเปล่า  ผุๆเท่านั้น

                    “นี่คือความจริงอาร์กัส  กล้องที่พวกนายเชื่อกันมาเป็นพันพันปีก็คือกล่องเปล่า ”

    ความจริงนี้เล่นเอานักพรตอาร์กัสยืนเอ๋อไปเลยทันที  ความเชื่อของเขาถูกทำลายลงสิ้นซาก

                    “มะ ไม่จริง”พรตหนุ่มเริ่มพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อ

                    “มันหมายความว่ายังไง”

                    “ทั้งหมดคือเรื่องแหกตายังไงละ” หญิงสาวผมดำตอบย้ำอีกครั้ง 

         “โลงไม้ผุๆกักลูซิเฟอร์งั้นหรือ เชื่อกันไปได้ยังไง”

    คำตอบของเคนิสเล่นเอาสมองเขาปั่นป่วนไปหมด  ทำไมกันถ้าหากกล่องสามใบนั่นไม่ได้กักพลังอำนาจและวิญญาณของลูซิเฟอร์ไว้  ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดกันที่ทำหน้าที่กักวิญญาณและพลังทั้งหมดของจอมมาร
                  อย่าบอกนะว่าความจริงแล้วลูซิเฟอร์ยังลอยหน้าลอยตา เดินเล่นอยู่บนโลก หัวเราะเยาะพวกมนุษย์ที่หลงเชื่อนิทานหลอกเด็กนั่น

                    “ใครกันเป็นคนคิดเรื่อง ลวงโลกเช่นนี้ขึ้นมา

                    “ก็จะใครซะอีกละ  ก็พวกบริสตั้นรุ่นแรกไง”

    คำตอบนั้นเล่นเอาอาร์กัสทรงตัวไม่ไหว  นี่นอกจากปีศาจแล้ว พวกเขาก็ถูกหลอกต้มมานับพันๆปีเลยงั้นหรือ  น่าเจ็บใจ น่าเจ็บใจที่สุด

                    “ถ้าอย่างนั้น วิญญาณและพลังอำนาจของลูซิเฟอร์ไปอยู่ที่ไหน  อย่าบอกนะว่าไม่เคยมีอะไรผนึกจอมมารได้แต่แรกแล้ว”

                    “อาร์กัส นายอยากรู้จริงๆหรือ  ” เคนิสเอ่ยขึ้นด้วยแววตาเยือกเย็น

    เธอก้าวเข้าไปใกล้ๆพรตอาร์กัส แล้วจับมือพรตหนุ่มไว้แน่น

                    “นี่มันหมายความว่ายังไงเคนิส” อาร์กัสตกใจใช่น้อยที่อยู่ๆ หญิงสาวผมดำคนนั้นก็เข้ามาประชิดตัวเขา

                    “เรื่องของจอมมารลูซิเฟอร์ นายอยากรู้จริงๆหรือ”

    คำถามอันแสนเยือกเย็นนั้นแทบทำให้วิญญาณของเขาหลุดจากร่างทีเดียว ดวงตาสีดำสะท้อนความมืดอนันตกาลไร้ที่สิ้นสุด  จับจ้องไปในดวงตาสีฟ้าของเขา   อาร์กัสไม่อยากจะถามอะไรอีกแล้ว เธอน่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด

     ดาร์ค บริสตั้น คนก่อนเอง ก็ทำตัวลึกลับ  ทุกครั้งที่ถามเกี่ยวกับกล่องอีทูลัส หรือแม้แต่เรื่องภายในของตระกูลบริสตั้น เจ้าตัวกลับปิดปากเงียบ  เขามักเว้นระยะห่างเสมอ ราวกับว่าไม่ต้องการให้เข้ามายุ่งอะไรสักอย่าง

                    เคนิสขยับยิ้ม  มันงดงามก็จริงแต่กลับแลดูเยือกเย็นอำมหิต น่าขนลุกผิดมนุษย์ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน

                    “ถ้าอยากรู้นัก พวกเราก็จะไม่ปิดบัง”

      ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเขาก็รู้สึกว่า มือของเธอนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ามือเยือกเย็น ของบุรุษคนหนึ่ง   ชายคนนั้นกำลังนั่งหลับใหลอยู่บนบัลลังก์  ร่างกายถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน  ปีกสีดำสนิทถูกตัดขาดทั้งสองข้าง

                    “ชะชายผู้นี้”

    อาร์กัสเอ่ยขึ้น ด้วยความตกใจ อีกทั้งพอรู้สึกตัวอีกที เขาก็มาอยู่ในสถานที่แปลกประหลาด ทุกสิ่งรอบกายเขามืดมิดไปหมดยกเว้นบริเวณที่เขายืนอยู่    พรตหนุ่มตัดสินใจค่อยๆเงยหน้ามองบุรุษผู้ถูกพันธนาการ  จนแน่ใจทีเดียวว่าไม่เคยเห็นคนคนนี้ที่ไหนมาก่อนทั้งนั้น   มีเพียงสิ่งหนึ่งในส่วนลึกของจิตใจได้สื่อสารผ่านจิตกลับมาโดยตรง  แม้ไม่รู้จักแต่ก็รู้สึกได้ ชายผู้นี้ก็คือ

                    “ลูซิเฟอร์!

    อาร์กัสตะโกนลั่น เขาสะบัดมือของเขาออกทันทีราวกับต้องของร้อน ในเสี้ยววินาทีที่มือของเขาหลุดออกมานั้น ทั้งความมืดทั้งสถานที่ประหลาดหน้าบัลลังก์ และแม้แต่ลูซิเฟอร์  ก็หายไปราวกับเรื่องโกหก

                    “จะ เจ้า  เคนิส!

    พรตหนุ่มกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบหญิงสาวผมดำแห่งตระกูลบริสตั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขาดังเดิม  ไม่ใช่ลูซิเฟอร์ ไม่ใช่ชายผู้นั่งหลับบนบัลลังก์นั่น   แต่เขากลับรู้สึกถึงเทวดาตกสวรรค์ตนนั้น  ยังยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้จากไปไหน  ความรู้สึกกดดัน  เงียบเหงาวังเวงจากพลังมืดทรงพลัง ที่ทำเอาเลือดในกายเขาเเทบเย็นแข็งไปหมดนั้น เป็นสิ่งยืนยังทีเดียวว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือตาฝาดไป เอง 

                    “เคนิส  จะเจ้า เจ้าก็คือ !

    หญิงสาวผมดำยิ้มเหยียดออกมาพร้อมกับตอบกลับไปตรงๆ

                    “วิญญาณของฉันทำหน้าที่กักขังพลังมืดของลูซิเฟอร์  ซึ่งพลังนั้นแสดงรูปลักษณ์เป็นบุรุษที่นายเห็นเมื่อครู่  นายก็เห็นแล้วใช่มั้ย  โลงไม้ธรรมดาจะไปทำหน้าที่ผนึกมันได้ยังไงกัน  ฉันนี่แหละกล่องอีทูลัสของจริง”

                             คำตอบนั้นเล่นเอานักพรตเดียวตรงนั้นเหงื่อแตกพลักๆ  ด้วยความตื่นตระหนกตกใจถึงขีดสุด ตัวของเขาสั่นสะท้านแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนได้จนต้องใช้ไม้เท้าค้ำไว้  

                    “ใจเย็นๆครับ นี่เป็นหน้าที่ของคนตระกูลบริสตั้น” ฟีเดอาโก้ปลอบขวัญนักพรตที่สติกระเจิงไปเรียบร้อยแล้ว
                             แต่การปลอบขวัญนั่นยิ่งทำให้อาร์กัสอาการหนักขึ้นเมื่อเขาเองก็รู้สึกว่า เด็กหนุ่มผมขาวคนนี้เอง ก็มีบางอย่างให้ความรู้สึกเดียวกับบุรุษที่เขาเห็นเมื่อครู่ เพียงแต่ว่าต่างออกไป ไม่รู้สึกถึงพลังมืดเลยสักนิด  แต่เป็นพลังอำนาจทรงพลังเหลือแสน ที่ทำให้เขาอยากจะหายๆตัวจากตรงนั้นไปซะ


     

                    “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่  ” พรตอาร์กัสถามอย่างจนตรอก

     

             สองพี่น้องบริสตั้น เห็นดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ    การให้มนุษย์ทั่วไปรู้ว่าโลงไม้พวกนั้นเป็นกล่องอีทูลัสจริงๆเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว  เรื่องที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกราวกับเป็นอาวุธร้ายแรงรอวันสังหารมวลมนุษยชาติในวันใดวันหนึ่งนั้น  ไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย 

                    “พวกเราเป็นกลุ่มบุคคล ที่ดวงวิญญาณของเรา สามารถทำหน้าที่กักขังพลังอำนาจและวิญญาณของลูซิเฟอร์ได้ยังไงละครับ   มีเพียงแค่สามคน สามฉายาเท่านั้น   คือ ไลท์ ดารค์และเกรย์   พวกเราทั้งสามคนแบ่งหน้าที่กัน   ไลท์ อีทูลัส กักขังพลังอำนาจรังสรรค์  ดาร์ค อีทูลัส กักขังพลังอำนาจทำลายล้าง  และสุดท้าย วิญญาณของผม เกรย์ อีทูลัส  กักขังวิญญาณของจอมปีศาจลูซิเฟอร์ครับ  เราจำเป็นต้องแยกอำนาจต่างๆออกจากกัน  เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เขาคืนชีพขึ้นมาครับ ”

    เด็กหนุ่มแนะนำตัวกับอาร์กัส พลางโค้งตัวลง  เขาฉีกยิ้มกว้างแล้วหันไปมองเคนิสที่อยู่ใกล้ๆ เป็นเชิงให้อธิบายต่อ

                    “ส่วนอีกคนนั้นนายก็เห็นแล้วใช่มั้ย  อาร์กัส ชายที่รักษานายในสุสานโบราณ  ดร.ไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น  ฉายาไลท์  นำหน้าชื่อนั้นเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจน ว่าวิญญาณของเขาเป็นผู้ผนึกอำนาจรังสรรค์ของทูตสวรรค์สูงสุดอย่างลูซิเฟอร์”

                    “ถ้าอย่างนั้น เคนิส เจ้าก็คือ………

                    “ใช่แล้ว ฉัน คือ ดาร์ค เคนิส บริสตั้น  เป็นผู้ผนึกอำนาจทำลายล้าง ของจอมปีศาจลูซิฟอร์    ฉันคือ ดาร์ค บริสตั้น คนปัจจุบันยังไงละ  ”

    คำ ว่า ดาร์ค บริสตั้น ทำให้เขาลืมความหวาดกลัวทุกอย่างไปหมดสิ้น เขายังจำบุรุษอีกคนที่เคยรู้จักมานานแสนนาน เขาเป็นผู้ที่ใช้ฉายานี้และจำได้ไม่เคยลืมเลือน  คนคนนั้นหายตัวไปอย่างลึกลับ ก่อนที่จะปรากฏตัวอีกครั้งที่ป่าเดียวดายอีกสองร้อยปีต่อมา เขาถูกความมืดทมิฬกัดกินวิญญาณและร่างกายจนหมดสิ้น  กลายเป็นปีศาจหรืออะไรสักอย่างที่สูญเสียความเป็นมนุษย์   แต่ถึงกระนั้นในสภาพที่หวุดหวิดใกล้แหลกสลายนั้น เขาเลือกที่จะช่วยเหลือพรตอ่อนหัดผู้หนึ่ง หมอนั่นถูกสาปแช่งไม่ให้ตาย ถูกทรมานด้วยหมุดลงอาคมขนาดยักษ์ที่เสียบทะลุอกปักติดกับต้นไม้ยักษ์เป็น เวลานับร้อยๆปี  ดารค์ บริสตั้นผู้นั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่กลับมา กลับมาช่วยเขาทำลายอำนาจชั่วร้ายในนั้นและกระชากหมุดลงอาคมนั้นออก  คืนอิสรภาพให้  ก่อนที่ตัวเขาเองจะดับสูญไปต่อหน้า  ทั้งที่พยายามทุกอย่างเพื่อปกป้องมวลมนุษย์  แต่เขาก็ถูกลืมเลือน ไม่มีใครจดจำเรื่องราวของเขา 

    “เจ้าไม่ได้ต่อสู้ อยู่เพียงลำพังหรอก  อาร์กัส......”

     เสียง แหบแห้งของดาร์ค บริสตั้นคนนั้นดังขึ้นในห้วงคิด   มันเป็นประโยคเดียวในวันที่สิ้นหวังและจะขายวิญญาณให้ปีศาจไปซะเพื่อให้พ้นทรมาน มันเป็นประโยคสุดท้ายที่ต่อให้ตายก็จะไม่ลืมเด็ดขาด

                    พรตหนุ่มขยับยิ้มออกมา  แม้พระอาทิตย์จะตกดินไปเรียบร้อยและความมืดเข้ามาปกคลุ่มแผ่นดินแล้ว แต่ภายในใจยามนี้กลับหาได้มืดมิดสิ้นหวังไม่   เหล่าผู้มาจากนรกไม่ได้หายไปไหนพวกนั้นยังคงพยายามเต็มที่เพื่อทำลายล้าง ทุกสิ่งในโลกที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด  จิตใจของมนุษย์เริ่มตกต่ำลงเรื่องๆและนับวันจะยิ่งเลวร้ายขึ้นซึ่งนั่นเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าพวกมันกำลังจะชนะ

                


     

     
    END /Bristan family 2
     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×