ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตระกูลบริสตั้น 1 (Bristan family 1 )

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 61


                   ความมืดทมิฬกำลังกัดกินเขา  มันเป็นความมืดยิ่งกว่าความมืดดำใดๆจากนรก ทุกอย่างเงียบกริบ มีแต่สีดำ มันกลืนกินทุกอย่างพินาศสิ้น ต้นไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน แม่น้ำ บ้านเมือง ทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิต ถูกทำลายแทบไม่เหลือซาก  เขารู้ตัวเองดีว่าเป็นพรตที่โง่เขลา แต่ว่าจะให้ยืนดูทุกสิ่งทุกอย่างต้องพังพินาศแบบนั้นเขาทำใจยอมรับ ไม่ได้ พรตหนุ่มถือไม้เท้ายืนประจันหน้ากับมันเพียงลำพัง  

                                    “ยังไงแกก็ทำอะไรไม่ได้หรอก อาร์กัส  ” ปีศาจเอ่ยขึ้นเสียงแหบแห้ง

    มัน กำลังจะชนะ และที่สำคัญมันสามารถยึดครองร่างเขาได้สำเร็จแล้ว   เสียหัวเราะเยาะเย้ยของปีศาจดังลั่น แต่พริบตานั้นเอง พรตหนุ่มได้ตัดสินใจบางอย่างก่อนที่สติของเขาจะถูกมันครอบงำจนหมด เพียงเสี้ยววินาทีเขาใช้หมุดลงอาคมขนาดใหญ่ซัดเปรี้ยงเสียบทะลุอกของตนเอง  นั่นทำให้ปีศาจตื่นตระหนกและเกรี้ยวกราดอย่างบ้าคลั่ง  มันพยายามอย่างหนักเพื่อขึ้นมาจากนรก แต่กลายเป็นว่าเพียงเสี้ยววินาทีมันก็ถูกพรตอ่อนหัด ส่งกลับนรกอีกครั้ง มันไม่คิดว่าหมอนี่จะกล้าสละชีวิตตนเอง!ยอมตายเพื่อส่งมันลงนรก

                             เกลียดมัน  เกลียด มัน  ! ไอ้มนุษย์โสโครก

    ปีศาจ ร้องลั่นด้วยความแค้น มันรู้สึกเจ็บปวดทรมาร ทั้งแสบร้อน จากหมุดลงอาคมที่ปักเสียบทะลุร่างสถิตก่อนที่จะยิ้มเหยียดออกมาเป็นครั้งสุด ท้าย  แล้วมอบของขวัญอันร้ายกาจเหลือแสน

                                   “น้ำหน้าอย่างแก จงเจ็บปวดทรมารทั้งที่ไม่มีวันตายไปซะ อาร์กัส!

      ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                    นักพรตอาร์กัสสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อโชกทั้งกาย เขาเปิดตาโพลงอย่างตื่นตระหนกหอบแฮกๆราวกับเพิ่งวิ่งแข่งมา  ร่างกายของเขาถูกต่อเรียบร้อยอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเป็นแค่ฝันไป

                    “อึก”

    พรต หนุ่มพยายามพยามจะพูด แต่ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดที่ยังเหลืออยู่นี้เป็นหลักฐานอย่างดีทีเดียวว่า ตนเคยถูกสับเป็นชิ้นมาแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ  เขาลืมตาตื่นในห้องอะไรสักอย่างคล้ายห้องพยาบาลเก่าๆ กลิ่นเหม็นอับของราจากความชื้นกระแทกจมูกอย่างแรง  ที่มือมีสายน้ำเกลือและนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงพยาบาลในผ้าห่มขึ้นรา  ซึ่งมันน่าจะสะอาดที่สุดในห้องนี้แล้ว

                                    “วาเลเรียส  ไฟชำระของนาย ช่วยอะไรหมอนี่ไม่ได้เลยหรือไง

                                    “หุปปากนะเคนีส!  เจ้า นั่นมันโดนคำสาปแรงแรงบ้าอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด และที่แย่กว่านั้นคำสาปเกิดจากปีศาจที่มีระดับสูงมาก  สภาพของข้าในตอนนี้  แค่ต่อตัวมันกลับคืนมาได้ ก็ตึงมือจะแย่อยู่แล้ว”

         

    ชายที่ชื่อวาเลเรียสบ่นด้วยความหงุดหงิด เมื่อกำลังเหมือนโดนดูถูกดูแคลนจากหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก 
     

                                    “หึ ! แล้ว นี่เจ้าจะลากเอาเรื่องยุ่งยากอะไรมาให้ข้าอีก เคนิส  บอกไว้เลยนะ ทั้งตระกูล บริสตั้น ทั้งกล่องอีทูลัส  ความเป็นความตายของโลกอะไรนั่นข้าไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น แค่นี้ข้าก็จะเอาตัวไม่รอดแล้ว!”


     

                    อาร์กัสได้ยินเสียงถกเถียงแว่วออกมาจากอีกห้อง พวกนั้นคุยอะไรกันซึ่งน่าจะเกี่ยวกับเขา ไฟชำระ         ตระกูลบริสตั้น   กล่องอีทูลัส  ตาย !  คนพวกนี้เป็นอะไรกัน  เขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน  แต่พอเปิดตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบกับเจ้าของเสียงเมื่อครู่  ทั้งสองคนนั้นกำลังก้มมองเขาเป็นตาเดียว อาร์กัสเห็นหญิงสาวผมดำสนิท เขาจำได้ทันทีว่าหล่อนคือคนที่รับศีรษะของเขาไว้   ส่วนชายผมดำอีกคนใส่เสื้อโคทเก่าๆ ดวงตาของเขามีสีทองแปลกประหลาดผิดมนุษย์  ราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด

                                    “พื้นแล้วเหรอ” ชายผมดำถามเสียงทุ้ม

    อาร์กัสไม่ได้ตาฝาดไปแน่ ๆ  เขาเห็นคมเขี้ยวราวกับแวมไฟร์แลบออกมาจากริมฝีปากของชายคนนั้น

                                    “พะ  พวกเจ้า”  อาร์กัสเอ่ยเสียงแหบแห้ง 

                                    “อย่าเพิ่งขยับจะดีกว่า ร่างกายของเจ้ายังเชื่อมกันไม่สนิท ล้มตัวลงนอนเสียเถอะ ”

      บุรุษปีศาจเอ่ยขึ้นแล้วผลักอาร์กัสลงไปนอนที่เตียงดังเดิม   พรตหนุ่มตกใจได้แต่กระพริบตาปริบๆมองปีศาจผมดำตนนั้น

                                    “นี่คือ ดร.ไลท์ วาเลเรียส บริสตั้น  หมอปีศาจ  เขาเป็นคนช่วยนายเอาไว้”

    ผู้หญิงอีกคนเอ่ยขึ้น  อาร์กัสจำเธอได้ เธอคนนี้เป็นคนอุ้มหัวของเขามาที่นี่

                                    “บะ บริสตั้น !อาร์กัสพูดออกมาอย่างยากลำบาก

                                    “ใช่  เขาคือคนของตระกูลบริสตั้น  แล้วชื่อของนาย? ”

                                    “อาร์กัส ขอรับ  ข้าคือนักพรตจากป่าเดียวดาย ทางเหนือของซางตานีโอ”

     

    อาร์กัสเบิกตาค้างเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ ใช่แล้วสิ่งที่เขาอยากจะบอก  ต้องบอกเรื่องนี้กับพวกบริสตั้น  แม้ชายที่มีฉายาว่าไลท์ แห่งตระกูลบริสตั้นเขาจะไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อน แต่ว่าจะต้องบอกข่าวนี้

                                    “ท่านบริสตั้นขอรับ  ! มีปีศาจระดับนายพลตนหนึ่ง  มัน......”

                                    “พอเถอะเรื่องปีศาจน่ารำคาญอะไรนั่น  ข้าได้ข่าวจากแม่นี่แล้ว” วาเลเรียสว่าแล้วชี้ไปยังผู้หญิงอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ

                                    “และที่สำคัญ ต่อให้พวกมนุษย์ต้องตายหมด ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า เรื่องสู้กับปีศาจนะ เจ้าถนัดนักไม่ใช่หรือ   เคนิส”

     ไลท์ วาเลเรียส โยนปัญหาทั้งหมดไปให้หญิงสาวอีกคน  เคนิสถึงกับสะดุ้งกับการถูกปัดความรับผิดชอบมาให้ด้วยความตกใจ

                                    “อย่าเอาเปรียบคนตระกูลเดียวกัน วาเลเรียสเคนีสเริ่มเสียงแข็ง

                                    “เอาเปรียบหรือ ....ก็ดี  ถ้าเจ้าไม่อยากเสียเปรียบ เคนิส ค่ารักษาชายผู้นี้ เจ้าต้องควักหัวใจออกมาให้ข้า  และถ้าไม่   มันก็ต้องร่วมมือแก้คำสาปแช่งที่ทำให้ข้ากลายเป็นผีร้ายเดนนรกนี่!”

    วาเลเรียสชี้ไปที่อาร์กัส

                                    “พรต ปีศาจอาร์กัส คำสาปที่ทำให้เจ้าไม่มีวันตายช่างน่าสนใจมากทีเดียว  ถ้ายอมร่วมมือให้ข้าศึกษาวิจัย  ข้าจะไม่มีการคิดค่ารักษาใดๆ” 

    หมอ ปีศาจเสนอ  แต่ด้วยสายตากระหายเลือด ทำให้อาร์กัสคิดว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนที่ควรจะยุ่งเกี่ยวด้วย ปีศาจยังไงก็คือปีศาจอยู่วันยังค่ำ  และตอนนี้หมอปีศาจไลท์บริสตั้นก็ยังจะเอาเขาไปเป็นหนูทดลอง!

                             "อย่ายุ่งกับเขา วาเลเรียส"

    เคนิสรีบห้าม  แต่วาเลเรียสไม่แยแส  เขาไม่คิดจะปล่อยตัวอย่างทดลองชั้นเยี่ยมนี้ให้หลุดมือไป  ตัวอย่างทดลองที่คล้ายคลึงกับคำสาปที่เขาได้รับ  หากศึกษาให้ถ่องแท้ บางทีคำสาปที่ครอบงำเขาอยู่นี้ ก็อาจจะยังพอมีทางแก้ไขได้  เมื่อคิดดังนั้นวาเลเรียสก็ไม่รอช้า  เขาเรียกนางพยาบาลซากศพร่างเขียวคล้ำ เข้ามาล็อกตัวเหยื่อทดลองที่เขาหมายตาบัดนี้ไม่มีความเมตตาสงสารจากหมอปีศาจอีกต่อไปแล้ว  สิ่งที่ปีศาจตนนี้ต้องการที่สุดก็คือข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับคำสาปร้ายที่ทำ ให้ชายตรงหน้าไม่มีวันตาย

                             "ส่งมีดมา"

    เขาร้องสั่งนางพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ วาเลเรียสรีบสวมถุงมือต้านคำสาปไว้  ก่อนจะเอามีดผ่าตัดลงอาคมจ่อไปยังลำคอของเหยื่อทดลอง

                                    “อย่าขยับ  ไม่งั้น หัวแกขาดอีกครั้งแน่”

    สิ้น เสียง วาเลเรียสก็ใช้มีดลงอาคมกรีดบางๆลงที่ต้นคอของพรตหนุ่มทันที  แต่รอยแผลบางๆที่ถูกกรีดนั้นทำปฏิกิริยารุนแรงอย่างเหลือเชื่อ  ร่างกายของพรตหนุ่มสั่นเทิ้มราวกับถูกช็อดด้วยไฟฟ้า เกิดความเจ็บปวดรุนแรงจนทำให้เขาร้องตะโกนลั่นอย่างทรมาน  พร้อมกับมีอักขระภาษาปีศาจปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของเขา

                                    “เจ้าเห็นมั้ยเคนิส  นี่แหละ สิ่งที่ทำไม้มันไม่มีวันตาย  คำสาปเหล่านี้  ทำให้สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนเปลง จนถึงระดับของดีเอ็นเอ  ข้า.... ต้องการรู้ยิ่งกว่านี้  คำสาปของชาวนรก มันมีหลักการทำงานยังไงกันแน่”

    วาเลเรียสยิ่งขยับมีดกรีดลึกลงไปอีก แต่เหยื่อทดลองกลับยิ่งทรมานมากขึ้น  จนเคนิสไม่อาจทนมองได้ 

                                   วาเลเรียส ปล่อยเขา !”

    เคนิสที่ยืนดูอยู่นั้นเริ่มรับไม่ได้กับความเลือดเย็นของหมอปีศาจแห่งตระกูลบริสตั้น แม้ว่าแผลจากมีดผ่าตัดลงอาคมจะเผยให้เห็นรอยอักขระคำสาปที่เรืองแสงแดงฉานไปทั่วร่างของนักพรตอาร์กัส   นี่คือรูปลักษณ์ของคำสาปแช่งจากปีศาจแค่ประโยคเดียว แต่กลับเป็นพิษร้ายนับหมื่นแสนที่ส่งผลต่อมนุษย์ผู้เคราะห์ร้าย

                                    “วาเลเรียส!

    เคนิสไม่อาจทนอยู่ได้อีกต่อไป  เมื่อเห็นวาเลเรียสกำลังจะลงมีดกรีดซ้ำเพิ่มอีกแผล  หญิงสาวผมดำกระชากหมอปีศาจออกมา  เจ้าหล่อนจ้อมมองเขาตาขวางและพริบตานั้นร่างของหมอปีศาจก็ถึงกับปลิวกระเด็นไปติดผนังห้อง   เหล่านางพยาบาลซากศพหยุดขยับเขยื้อนกะทันหัน   พวกมันปล่อยอาร์กัสแล้วยื่นนิ่งแข็งทื่อ   

                                  "รีบหนีเร็วเข้า !" เคนิสตะคอกบอกอาร์กัส

    นักพรตหนุ่มค่อยๆขยับตัวอย่างยากลำบาก   เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคนิสทำได้ยังไง  แต่ที่แน่ๆตอนนี้เขาเห็นเปลวไฟสีดำคล้ายงู กำลังมัดเหล่านางพยาบาลซากศพ  ส่วนวาเลเรียส ถูกมีดสั้นลงอาคมปักเข้าที่ไล่ขวา!

                                    “เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียวเหรอ! เคนิส”

    วาเลเรียสร้องออกมาด้วยความโมโห  เขาค่อยๆดันตนเองลุกขึ้นมาจากมุมห้อง มีดลงอาคมเป็นอันตรายต่อแวมไพร์อย่างเขารุนแรงนัก  รอยแผลเล็กๆแต่ทำเอาแสปร้อนอย่างเหลือเชื่อ
     

    “ ออกมาฆ่าพวกมัน ! อลิซาเบธ” 
     

    น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด ทำให้ตุ๊กตาเก่าๆในห้องวิจัยเริ่มขยับ มันได้ยินเสียงเจ้านายของมันกำลังร้องด้วยความเจ็บปวด

                                    “นายยย ท่านนน”

    เสียงของมันราวกับต้นกำเนิดเสียงมาจากที่ไกลแสนไกล
      ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงเก่าๆ  ลอยเข้ามาในห้องพยาบาลทันที ประกายทมิฬจากแรงอาฆาตเล่นเอามนุษย์ทั้งสองเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง  เมื่อดวงตาสีเหลืองๆของมันหลอกไปมาก่อนจะหยุดลงที่เคนิส

                                    “แก....ทำร้ายนายข้า”

    มันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น  พร้อมๆกับระเบิดจิตอาฆาตรุนแรงออกมา  เคนิสรู้ดีว่า ตุ๊กตาผีตัวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอพร้อมต่อกรล้อเล่นด้วยในเวลานี้ เพราะภายใต้ร่างตุ๊กตาเก่าๆนั้น มันเป็นถึงผู้คุมวิญญาณ จากนรก  เป็นยมทูตที่อันตรายที่สุด 

                                    “อาร์กัส  หนีเร็ว”

    เคนิสร้องลั่น หญิง สาวผมดำรีบกระชากพรตอาร์กัสออกมาจากเตียง ก่อนจะขว้างไม้เท้าส่งให้ และคว้าถุงกระสอบเปื้อนเลือดที่ไส่เศษเสื้อผ้าของพรตหนุ่มไว้   รีบวิ่งหนีออกจากบ้านหลังนั้นในทันที

                                    “วิ่ง!

    เธอ ร้องลั่นสั่งนักพรตอีกคนที่หอบแฮกๆวิ่งตามหลังมาติดๆ  พรตหนุ่มเคลื่อนไหวได้ช้าเพราะตัวเขายังมีอาการเจ็บปวดจากการรักษา  

                                  "บ้าเอ้ย!"

    เคนิสร้องด่าออกมา  เพราะในทันทีที่ออกจากบ้านของวาเลเรียส พริบตานั้นหมอกหนาก็บดบังทางออกสุสารโบราณ ทั้งสองมองสิ่งใดเบื้องหน้าไม่เห็นนอกจากหมอกสีขาวเย็นยะเยือก พร้อมกับพื้นดินกำลังสั่นสะเทือน ราวกับเกิดแผ่นดินไหว

                                    “หึ นี่เอาจริงใช่มั้ย วาเลเรียส"

    เคนิสเอ่ยขึ้นพลางยิ้มแห้งๆ  ก่อนจะตัดสินใจพานักพรตอาร์กัส วิ่งฝ่าหมอกขาวโพลนออกไปโดยอาศัยความจำแทนการมองเห็น  และในทันทีที่หลุดออกจากหมอกขาวนั้นมาได้ สิ่งที่พวกเธอเห็นคือ กองทัพซากศพ และโครงกระดูกจำนวนมหาศาล กำลังไล่ตามหลังมาติดๆ  เพราะบุรุษ นาม ไลท์ วาเลเรียส มีกองกำลังอารักษ์ขาเป็นซากศพทั้งเนินสุสาน

                                  "นี่มัน.....นรกชัดๆ!"

    นักพรตอาร์กัสร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก   เขากำลังเห็นโครงกระดูกทั้งสุสารกำลังวิ่งตรงมาที่พวกเขา 

                                  "ใช่ นี่แหละ ระดับนรกแตกเลยละ"

    เคนิสไม่แม้แต่จะเหลือบไปมองด้านหลัง  เธอยิ้มเหยียดออกมาเมื่อพบทางออกสุสานโบราณเพียงเสี้ยววินาทีดับจิต ก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งตรงไปจนสุดถนนคอนกรีต แล้วหลุดออกจากอาณาเขตสุสานโบราณได้อย่างหวุดหวิด  ทั้งสองทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นแฉะๆอย่างสิ้นเรี่ยวแรงบริเวณบึงขนาดใหญ่ทาง ตอนเหนือของเมืองซางตานีโอ    เคนิสหอบแฮกๆพลางปาดเหงื่อออกจากใบหน้า  แต่กระนั้นก็ยังดีกว่านักพรตอีกคน ที่พอรักษาร่างกายเสร็จก็ต้องออกวิ่ง โดยมีเพียงผ้าห่มขึ้นราห่อตัวมาเท่านั้น

                    “นั่นยังจะไส่ชุดนั้นอีกเหรอ!!

    เคนิสร้องถามเมื่อเห็นนักพรตอาร์กัสก็เอาเสื้อตัวเดิมของตัวเองที่ขาดรุ่งริ่ง  ออกจากถุงกระสอบมาสวมใส่  ชุดคลุมนักพรตสีน้ำตาลเข้ม  มีเลือดติดเกรอะกรัง

                    “กลับเมืองซาตานีโอ  แล้วไปเอาชุดใหม่ที่ร้านฉันก็แล้วกัน ” เคนิสแนะนำ

                    “ร้าน ?” พรตหนุ่มถามอย่างสงสัย

                    “ร้านที่ฉันดูแลอยู่ตอนนี้คือ ร้านสังฆภัณฑ์ของมหาวิหารซางตานีโอ  ที่นั่นแม้แต่กล่องอีทูลัสก็ยังมีขาย"

                    “กล่องอีทูลัส ! ขายกล่องกักจอมมารเหรอขอรับ  จะ! เจ้าพูดอะไรของเจ้า กล่องนั่น ลูซิเฟอร์  !

    อาร์กัสร้องลั่นเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ว่ามีการขายกล่องอีทูลัส ที่ว่ากันว่ามันได้กักจอมปีศาจลูซิเฟอร์ไว้ข้างใน

                    “รีบกลับเมืองซางตานีโอกันดีกว่า”เคนิสเปลี่ยนเรื่อง  

    สำหรับอาร์กัสแล้วเขาไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้มากนัก เขารู้แค่ว่าเจ้าหล่อนมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับใครบางคนที่เขาเคยรู้จักมาก่อนในอดีต หล่อนไม่หวาดกลัวความมืด  และที่แน่ๆหล่อนรู้จักมักคุ้นกับ ไลท์ วาเลเรียสจากตระกูลบริสตั้น                

                    “ เจ้า.....”

                    “เรียกฉันว่าเคนิส”

                    “ เคนิส  เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับ ท่านวาเลเรียส หมอปีศาจเมื่อครู่”

                    อาร์กัสถามอย่างสงสัยขณะเริ่มก้าวเดินตาม

                    “วาเลเรียส .... นะเหรอ  ไอ้คนอย่างนั้นแทบไม่อยากนับญาติด้วย แต่ก็เป็นญาติกันนั่นแหละนะ”เคนิสตอบเสียงเรียบ

                    “เจ้าก็เป็น   พวกบริสตั้นด้วยอย่างนั้นหรือ !

    อาร์กัสร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

                    “ทำไมต้องทำหน้าตื่นแบบนั้น  ฉันเป็นแค่พนักงานร้านสังฆภัณฑ์  ขายของให้มหาวิหารหรอก”เคนิสตอบ

    แม้หล่อนจะพูดเช่นนั้น  แต่อาร์กัสก็เล่าเรื่องตระกูลบริสตั้นที่เขาได้รับรู้มาอย่างตื่นเต้น

                    “เขาว่ากันว่า พวกบริสตั้น ที่มีฉายานำหน้า ว่า ดาร์ค ไลท์ และเกรย์  พวกนี้สามารถเดินทางไปนรก หรือสวรรค์ได้ดั่งใจ แถมยังเก่งกาจนัก ร่างกายของข้าที่ขาดเป็นท่อนๆกลับยังสามารถต่อมันได้  เป็นความสามารถที่น่าทึ่งมากจริงๆ"

              
    เคนิสไม่ เถียงอาร์กัสเรื่องความเก่งกาจด้านการแพทย์ระดับสุดยอดของ ไลท์ วาเลเรียส  แต่ว่าความโหดเหี้ยมของหมอนั่นเองก็ทำให้เธอต้องจดจำไปชั่วชีวิตเช่นกัน

     

                    “หมอนั่นเก่งจริงฉันยอมรับ  แต่นายไม่ควรยุ่งกับเขาอาร์กัส   ส่วนไอ้ที่ว่าพวกเราสามารถเดินทางไปนรก หรือสวรรค์ได้ดั่งใจนี่  มันเป็นเรื่องโกหกที่ลือกันมาเฉยๆในตำนานพื้นบ้านเท่านั้นท่านนักพรต”

    เคนิสตอบก่อนจะส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ  เมื่อเรื่องเล่าเป็นพันๆปีถูกใส่สีตีไข่ จนมันเริ่มห่างจากความจริง


     

                    “ตอนนี้ผู้ใช้ฉายาหลักก็ทำอะไรอย่างนั้นไม่ได้   เพราะ ไลท์ ก็เป็นแค่หมอ  ดาร์ค ก็เป็นแค่พนักงานของมหาวิหารซางตานีโอ   ส่วนเกรย์  ก็เป็นแค่เด็กรับใช้  นายอย่าเชื่อตำนานหลอกๆนั่นเลย”

                    แม้เคนิสจะบอกอย่างนั้น แต่ตระกูลบริสตั้นที่เขาเคยรู้จัก  ต่อให้เป็นแค่พนักงาน เป็นหมอ หรือคนรับใช้  เขารู้แค่ว่าพวกนี้ไม่ธรรมดาแน่  โดยเฉพาะคนๆหนึ่งที่เขาเคยรู้จักเมื่อพันปีก่อน 

                    “เจ้า.......คือว่านะ....คือ”อาร์กัสเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

                    “จะถามอะไรก็รีบว่ามา”

    เคนีสว่าเข้าให้ด้วยความรำคาญ ขณะเร่งฝีเท้าเดินกลับเมืองซางตานีโอ

                    “เคนิสเจ้าพอจะรู้จัก บุรุษผู้ใช้ฉายาว่า ดาร์ค จากตระกูลบริสตั้นบ้างหรือไม่”

    สิ้นคำถามคนฟังก็แทบจะสะดุดหกล้ม   ก่อนจะหันมาตอบทันที

                    “ดาร์ค บริสตั้น รุ่นปัจจุบันไม่ใช่ผู้ชาย แต่ถ้านายยืนยันว่าได้พบดาร์ค บริสตั้นคนนั้นจริงๆ นั่นต้องเป็นพวกแอบอ้างแน่ๆท่านนักพรต”

    เคนิสตอบหน้าตื่น ส่วนอาร์กัสมองเธอตาปริบๆก่อนที่จะส่ายหน้า  เขาพยายามนึกหาคำถามที่ดีที่สุดถามเธออีกครั้ง

                    “เปล่า..... ข้าหมายถึง เมื่อพันกว่าปีก่อน เจ้าพอจะรู้จัก  ไม่สิ พอจะรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับชาย ที่ใช้ฉายาว่า ดาร์ค บริสตั้นหรือไม่”

    นัก พรตถามอย่างลังเลอีกครั้ง  แต่ในน้ำเสียงนั้นร้อนรนจนผิดสังเกต บัดนี้เคนิสเข้าใจแล้วว่า ชายตรงหน้ากำลังถามถึง ดาร์ค บริสตั้น รุ่นเมื่อพันกว่าปีก่อน ไม่ใช่คนปัจจุบัญ

                    “พอจะได้ยินจากวาเลเรียสอยู่บ้าง เรื่องของดาร์คบริสตั้นรุ่นเมื่อพันกว่าปีก่อน เขาค่อนข้างจะโด่งดังเรื่องการพิฆาตความมืด แต่การตายนั้น ไม่รู้สิ มันดำมืดมาก ไม่มีใครรู้ว่าเขาสิ้นสภาพมนุษย์อย่างไร  เจ้านั่นหายไปอย่างลึกลับ ว่ากันว่าถูกปีศาจหรือะไรสักอย่างไล่ล่าสังหารจนถึงแก่ความตาย  นายรู้จักงั้นหรือ”

                    ไม่มีคำตอบใดออกจากปากอาร์กัส พรตหนุ่มปิดปากเงียบ ดวงตาของเขาดูโศกเศร้าสั่นสะท้านครู่หนึ่ง ก่อนที่พริบตานั้นมันจะหายไป  ดวงตาสีฟ้ากลับมาสดใสเช่นเดิม เขาขยับยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า

     

                    “แน่อยู่แล้ว  เขาเป็นคนที่น่าทึ่งมาก” อาร์กัสพูดอย่างร่าเริง

    มันเป็นความร่าเริงที่ปะปนกับความโศกเศร้าซึ่งเคนิสรู้สึกได้   เขาเป็นอะไรกับดาร์ค บริสตั้นรุ่นก่อนกันแน่

    เคนิสเงียบลงฟังอย่างสนใจ เธอยื่นมือไปด้านข้าง มือหยาบๆสัมผัสต้นหญ้าที่ขึ้นสูงอยู่ข้างทาง ลมเหนือพัดมาต้อนรับ  เป็นสายลมที่พัดมาจากป่าเดียวดาย ว่ากันว่ามันจะพัดมาเพื่อปัดเป่าภัยพิบัติ

                    “เขาเป็นคนที่สอนข้าเรื่องการเป็นพรตที่ดี”อาร์กัสตอบ

                    “หืม?  หมอนั่นเป็นนักพรตเหรอ!” เคนิสร้องออกมา 

    เธอเองก็พยายามติดตามเรื่องราวของเขาเช่นกัน  แม้จะถามวาเลเรียส แต่เจ้าตัวดูเหมือนว่าจะรำคาญที่จะเล่าเรื่องเก่าแก่พวกนั้น  เหรอบางทีวาเลเรียสเองก็ลืมไปแล้ว เพราะเขาสนใจก็แต่การค้นคว้าและวิจัยทางการแพทย์

                    “ขอรับ  เขาเป็นนักพรตผู้เชี่ยวชาญด้านพิฆาตความมืดชั้นแนวหน้าของยุคนั้น  ชื่อเสียงโด่งดังแต่ ทำตัวลึกลับ  เขามีผมสีดำ  ตาสีฟ้าเข้ม  ชอบแอบงีบบนต้นไม้ บางทีก็ร่วงลงมาเองบ้าง เอ่อ ใช่แล้วพวกเราเคยเดินทางโดยใช้เส้นทางนี้ไปซางตานีโอเหมือนกันนะ  ผ่านมาพันปีแล้วเหรอ พอมาที่นี่แล้วยังคิดว่ามันผ่านไปเมื่อไม่นานนี้เอง” นักพรตเล่าอย่างร่าเริง

     เขา ดูมีความสุขเมื่อพูดถึงดาร์คบริสตั้นคนนั้น แต่ความเศร้าแปลกๆก็ยังคงแฝงอยู่ลึกๆในทุกคำพูด มันคือความอาลัยอาวรถึงบุคคล ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว  แต่ว่ายังคงเหลือแค่เขาที่ถูกสาปแช่งไม่ให้ตายและถูกทอดทิ้งไว้

    “ดูท่านายจะสนิทกับดาร์ค บริสตั้นรุ่นที่แล้วมาก  เป็นนักบวชในคณะเดียวกันเหรอไง”

    “  ใช่ ขอรับ  เพราะแม้แต่เสื้อของข้าชุดนี้”
    อาร์กัสพูดพลางชี้มาที่ชุดคลุมสีน้ำตาลเข้มเก่าๆขาดรุ่งริ่งที่เขาสวมอยู่

    “  ไม้เท้าด้ามนี้” 
              เขาว่าพลางชูไม้เท้าให้เคนิสดูใกล้ๆ ไม้เท้าเก่าๆที่มองไปแล้วก็เป็นแค่กิ่งไม้ยาวๆ  มันถูกพันด้วยเชือกหนังกับไม้อีกท่อนที่สั้นกว่าเป็นลักษณะไม้กางเขน  เคนิสพิจารณามันครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มีอำนาจพิเศษอะไรเลยสักนิด แม้ว่าเรื่องรูปลักษณ์จะผ่านเกณฑ์ สามารถใช้สอบในวิชาพิฆาตความมืดได้  แต่ในทันทีที่เคนิสยื่นมือไปแตะมันเพียงปลายเล็บ  ก็ต้องรีบชักมือกลับออกมา  เพราะท่อนไม้ธรรมดาเมื่ออยู่ในมือของบุรุษตรงหน้ามันกลับทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ อำนาจศักดิ์สิทธิ์เหลือล้นจนคะเนไม่ได้   เคนิสมองเขาพลางพิจารณาใหม่ในใจ  และรู้สึกว่าชายคนนี้


     

    ไม่ธรรมดา!

     

    เสียงในใจของเธอบอกอย่างนั้น  นี่สินะความเก่งกาจของนักพรตรุ่นแรกๆที่พรตรุ่นหลังเทียบไม่ติด

    “ไม้เท้าด้ามนี้ ข้าก็ได้มันมาจากเขา  จากดาร์ค บริสตั้น คนนั้น”

    อาร์กัสพูดต่อจนจบ 

    "ถ้างั้นมาทดสอบหน่อยเป็นไง   ฉันเองก็อยากรู้ว่านักพรตผู้พิฆาตความมืดยุคแรกๆ กับของมือสองจากดาร์ค บริสตั้น รุ่นก่อน  จะแน่แค่ใหน"

      

    สิ้น ประโยคนั้น พรตหนุ่มก็แทบไม่ทันตั้งตัว  เมื่อหญิงสาวตรงหน้าอยู่ๆก็เกิดอยากทดสอบฝีมือการต่อสู้ของเขา  เจ้าหล่อนยกหมัดซัดเปรี้ยงไม่ยั้งจนอาร์กัสต้องพยายามหลบอย่างสุดความสามารถ 

     

                    “การเคลื่อนไหวไม่มีปัญหา เสียงก็ตะโกนได้ไม่ติดขัด ถือว่าร่างกายของนายเชื่อมต่อกันสนิทดีแล้ว ยินดีด้วย พรตปีศาจอาร์กัส  การรักษาครั้งนี้ของวาเลเรียสประสบผลสำเร็จ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน”

    เคนิสพูดไปอีกเรื่อง ขณะมองเขายืนหอบแฮกๆ  แต่อาร์กัสเพิ่งรู้สึกตัวในตอนนี้เอง  ว่าคำพูดเมื่อครู่นั่นเป็นแค่การยั่วยุ เพื่อทดสอบร่างกายหลังการรักษา
    เท่านั้น

                    “ใช่จริงๆด้วย”อาร์กัสว่า

     ร่างกายของเขาเบาขึ้นมาก  และเคลื่อนไหวคล่องกว่าเมื่อก่อน อีกทั้งไม่รู้สึกเจ็บหรือชาตรงไหนแล้ว

                    “วาเลเรียสเป็นหมอที่เก่งกาจก็จริงๆ  นายเองก็ห้ามทำอะไรเสี่ยงตายเกินไปอีก  เพราะถ้าร่างเป็นชิ้นๆกลับมาอีกครั้ง จ้างยังไงฉันก็จะไม่เข้าไป สุสานโบราณอีกแน่”

                    “ขะ ขอบคุณ”  อาร์กัสพูดเสียงเบา

                    “อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน!

                    “ขอบคุณมาก  ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองคน เคนิส  วาเลเรียส บริสตั้น”

    เคนิสได้ยินดังนั้นก็ขยับยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะสื่อสารทางจิต พูดกับใครอีกคนในสุสานโบราณ

     

                         “นายได้ยินมั้ย  วาเลเรียส  มนุษย์พูดถึงนายว่า “ขอบคุณนะ””

                           “หึ  อย่ามาเกลี้ยกล่อมข้าให้ยากเลย เคนิส ” เสียงตอบกลับของวาเลเรียสดังขึ้นผ่านจิตกลับมาทันที

                          "แต่ความจริงนายก็แอบดีใจใช่มั้ย  ยังไงหมอ  ก็คือหมอ”เคนิสตอบกลับ

                           “ยังไงสำหรับข้า มนุษย์ก็คือศัตรู สิ่งที่พวกมันทำกับข้า ยังไงข้าก็ไม่ลืมหรอก”

    เสียง อันกราดเกี้ยวของวาเลเรียสตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ  แต่ความจริงแล้วเขากำลังขยับรอยยิ้มบางๆออกมาด้วยความยินดี นานแล้วที่ไม่มีมนุษย์พูดกับเขาแบบนั้น 
                     หมอปีศาจทิ้งตัวเองนอนราบกับพื้นเย็นๆมืดทึบอย่างสิ้นเรี่ยวแรง เขาเสียพลังชีวิตไปมากในการต่อกระดูก เส้นประสาท เส้นเลือดเส้นเอ็น กล้ามเนื้อและอวัยวะทั้งหมดของนักพรตอาร์กัส จนถึงกับลุกไม่ไหว  ข้างๆตัวเขานั้นมีเพียงตุ๊กตาผู้คุมวิญญาณเก่าๆอีกตัวที่เฝ้าดูแลอยู่

                           “ให้ตายสิ คนเจ้าคิดเจ้าแค้น” เคนิสบ่น

                          “เคนิส  ……

                          “อะไร    “

                          “ระวัง ไอ้ตัวที่โผล่มาใหม่ด้วยละ  ไม่ใช่แค่มันตนเดียว ข้ารู้สึกได้”

                         “เข้าใจแล้ว นายเองก็กางเขตอาคมแรงๆไว้แล้วกัน”

    เคนิสยุติการติดต่อกับวาเลเรียสเพียงเท่านั้น เมื่ออาร์กัสเริ่มแปลกใจที่เห็นเธอเงียบไปพักใหญ่

                    “เจ้าเป็นอะไรไปเคนิส”อาร์กัสถามกลับอย่างเป็นห่วง

                    “ช่างฉันเถอะ  รีบกลับซางตานีโอกันได้แล้ว”

     พวก เขารีบตรงดิ่งเข้าสู่เมืองซางตานีโอ  สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้านั้นคือผู้มาจากความมืด ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของมันคือช่วงชิงกล่องอีทูลัส และคืนชีพจอมปีศาจลูซิเฟอร์นายเหนือของพวกมันอีกครั้ง





    END/Bristan family 1

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×