คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ศีรษะของนักพรต
“เงามืด กลืนกิน ทุกชีวิต
ดวงจิต เคียดแค้น เป็นหนักหนา สาปแช่ง ทุกสิ่ง สิ้นชีวา
ทุกวิญญา ร่วงสู่ อเวจี”
ใครคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งบนกำแพงเมืองซาตานีโอยามค่ำคืน ใครคนนั้น สวมชุดหนังเข้ารูป และสวมฮูดคลุมใบหน้าเอาไว้ เสียงเพลงที่เปล่งออกมา แม้จะห้าวหาญแต่ก็ฟังออกว่า เป็นเสียงของสตรี และ พริบตานั้น สายลมก็พัดเอากลิ่นคาวเลือด โหมกระหน่ำเข้ามาราวกับสารท้ารบ พร้อมกับของแถมเป็นศีรษะหนึ่งที่ลอยละลิ่วขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“เพลงฮิตประจำเมืองนี้ กำลังจะเป็นจริงอีกครั้งจนได้ ตำนานกล่องอีทูลัส...... ”
เธอเอ่ยขึ้นเสียงเรียบพร้อมกับคว้าศีรษะนั้นเอาไว้ เจ้าหล่อนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ พร้อมกับปล่อยรังสีอำมหึตออกมาข่มขวัญอีกฝ่ายเช่นกัน ปีศาจตนนั้นพยายามจะเข้ามาในเมือง คงเป็นเพราะตำนานชื่อดังของเมืองซางตานีโอ กล่องอีทูลัส!ที่เชื่อว่าเป็นของจริง กล่องกักจอมมารในตำนาน ที่ลือกันไปทั่วว่า มันถูกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในเมืองซางตานีโอ จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังทางด้านวรรณกรรมโบราณและประวัติศาสตร์ มีผู้คนพลุกพล่านตลอดแม้จะเป็นในยามค่ำคืน และนอกจากนั้น ยังมีสถาบันการศึกษาทางด้านอักษรศาตร์และวรรณคดีโบราณที่โด่งดังที่สุดในเจ็ดหัวเมือง แต่อย่างไรเสียก็ไม่อาจโด่งดังเท่ากับการที่มหาวิหารซางตานีโอเปิดหลักสูตรผู้พิฆาตความมืดระดับผู้เชี่ยวชาญขึ้น ทำให้มีนักบวชผู้พิฆาตความมืดแห่กันมาศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก
“แต่ว่ามี ผู้มา จากสวรรค์
อีกหนึ่งนั้น ตระกูลกล้า เลิศราศี ผนึกมาร ซาตาน มากฤทธี”
กักขังที่ อีทูลัส กล่องสามใบ”
หญิงสาวคนนั้นร้องเพลงต่อจนจบ เจ้าหล่อนมีดวงตาและผมสีดำสนิทเช่นเดียวกับยามกลางคืน เมื่อมองเผินๆแล้ว ก็เหมือนกับผู้หญิงชาวเมืองซางตานีโอทั่วไป แต่ภายใต้เครื่องแบบองค์รักษ์ของมหาวิหารนั้น หล่อนคือผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบปีศาจพิฆาตความมืดอันดับต้นๆของเมืองซางตานีโอ ซ้ำยังได้รับความไว้วางใจจากอาร์คบิชอปกาเบรียลที่ 23 ให้เป็นผู้ดูแลเครื่องอาคมสำหรับพิฆาตความมืดทั้งหมดในคณะนักบวชแห่งซางตานีโอ
“ จะว่าไปแล้ว .....ตำนานของกล่องกักปีศาจมันก็เกิดขึ้นในเมืองนี้ ”
เธอกอดศีรษะนั่นไว้แน่น พร้อมกับยืนขึ้นมองไปยังด้านนอกกำแพงเมืองขนาดใหญ่ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ด้านนอกนั่น ต้องไม่ธรรมดา เพราะเลือดในกายของเธอก็เดือดพล่าน เมื่อสัมผัสถึงจิตชั่วร้ายที่อยู่ใกล้ๆ ได้อย่างชัดเจน มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอยู่ตรงนั้น มันคือสิ่งที่พวกชาวเมืองหวาดกลัวกันนักหนา และเรียกมันว่า ปีศาจ!
“จับกุมผู้บุกรุกได้หรือเปล่า แมรี่!”
หญิงสาวผมดำเอ่ยถามผู้มาใหม่ ที่เพิ่งปรากฏตัวจากเงามืดพร้อมกับม้าปีศาจดำสนิท แมรี่บีบเคียวในมืออย่างแรงด้วยความเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ปีศาจดัลลาฮันในคราบพนักงานสาวเมดผมทอง ที่เพิ่งกลับมาจากการทำความสะอาดร้านสังฆภัณฑ์ให้มหาวิหาร กำลังวิตกกังวลถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วรายงาน เมื่อปีศาจตนนั้นได้ลบจิตแล้วหายตัวไป
“เป้าหมายได้จากไปแล้ว และดิฉันตรวจจับไม่ได้ค่ะ ท่านเคนิส!”
เคนิสเบิกตากว้าง หันไปมองแมรี่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดพอๆกัน
"แทบไม่มีเลยสักครั้งที่ไนท์แมร์ ม้าของเธอจะไล่ตามพวกปีศาจไม่ทัน และแทบไม่มีเลยสักครั้งที่ดัลลาฮันจะทำเป้าหมายหลุดมือไป" เคนิสว่าอย่างผิดหวัง
“นั่นเพราะมันไม่ใช่ปีศาจทั่วไปท่านเคนิส ! นั่นนะ ถ้าดิฉันจำไม่ผิด มันคือปีศาจระดับนายพล ”
สิ้นคำตอบของแมรี่ เคนิสก็ตื่นตระหนกจนร้องลั่น
“อะไรนะ ! ”เคนิสแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“มันฆ่าพวกนักพรตสายพิฆาตความมืดที่อาร์คบิชอปกาเบรียลส่งไปประจำการที่หมู่บ้านทางเหนือเสียเรียบ แล้วที่โยนหัวเข้ามาในเมืองก็เพื่อข่มขู่พวกเราที่อยู่ข้างใน เพราะมันเข้ามาในเมืองไม่ได้ค่ะ”
คนฟังได้ยินก็ถึงกับหน้าถอดสี ตาเหลือกออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ปีศาจระดับนายพลตนนั้นยังเข้ามาในเมืองไม่ได้ หาใช่เพราะหวาดกลัวรังสีอำมหิตของเธอ แต่เป็นเพราะเขตแดนศักดิ์สิทธิ์อารักขาเมืองที่สร้างขึ้นโดยอาร์คบิชอปแห่งซางตานีโอ
“นี่มันตลกร้ายชัดๆ ! ยุคสมัยนี้มันจะมีปีศาจระดับนั้นข้ามขอบเขตมาได้ยังไง แถมยังมีปัญญาฆ่านักบวชสายพิฆาตความมืดระดับยอดฝีมือนั่นได้อีก เป็นไปไม่ได้หรอก!”
หญิงสาวผมดำยังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นฝีมือพวกผู้ก่อการร้าย ไม่ก็โจนป่าอะไรพวกนั้น แต่นี่กลับหาว่าเป็นฝีมือปีศาจระดับนายพล และจะให้เชื่อได้อย่างไร ในเมื่อพวกมันทุกตนถูกส่งลงนรกไปในสงครามเมื่อพันปีก่อนหมดแล้ว แต่เสียงลึกๆในใจกำลังร้องโหวกเหวกในห้วงคิดอย่างหนัก
พวกมันโผล่มากันแล้ว !
แม้เธอจะรู้ว่าแมรี่เป็นดัลลาฮัน แต่นั่นก็เป็นปีศาจท้องถิ่นที่คนทั่วไปรู้จัก อีกทั้งยังเร่ร่อนอยู่ในโลกนี้มาช้านาน และได้รับอนุญาติจากอาร์คบิชอปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่นี่เป็นพวกใหม่ที่โผล่มาจากนรก !นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น
กึก กึก !
ทันใดนั้นเคนิสก็ต้องหยุดคิดเรื่องปีศาจอย่างฉับพลัน เพราะชายผู้มีแต่หัวเริ่มขยับเขยื้อนอยู่ในอ้อมแขนของเธออย่างไม่น่าเป็นไปได้ คนคนนี้ ตายไปแล้วแน่แน่ เธอค่อยๆก้มลง พร้อมกับยกศีรษะอุ่นๆนั้นขึ้นมาในระดับสายตา แล้วทันใดนั้นเอง ชายผู้มีแต่หัวใบหน้าซีดขาวไร้ชีวิตนั้น ค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าหม่นหมองจ้องมองตอบกลับหญิงสาวผมดำอย่างไม่น่าเป็นไปได้
“แกมันปีศาจ หรืออะไรกันแน่!”
เพิ่งจะมารู้สึกเอาคราวนี้เองว่าความหวาดกลัวเป็นเช่นไร เมื่อสมองไม่สามารถประมวลผลหาสาเหตุได้ ไม่มีคำบอกเล่า ไม่มีข้อมูลอะไรในหัวหรือข้อมูลในตำราเล่มไหนมาอธิบายสาเหตุของคนที่เหลือแต่หัว และลำตัวขาดออกไปแล้วจะสามารถเคลื่อนไหวใบหน้า แลบลิ้นปลิ้นตาได้อย่างนี้ คำตอบเดียวที่เธอสรุปได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่าเจ้านี่ต้องเป็นผีดิบหรือศพที่เคลื่อนไหวได้อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อหัวนั้นอยู่ๆก็เริ่มขยับปากอ้า พะงาบๆเหมือนปลาในตู้โชว์ เคนิสก็ตัดสินใจว่าควรขว้างหัวประหลาดนี้ออกไปไกลๆ แต่แมรี่ร้องห้ามไว้
“ท่านเคนิส ใจเย็นๆก่อนค่ะ ชายผู้นี้ยังไม่ตาย”
สาวเมดร้องปราม แต่การปราบนั้นก็ยิ่งทำให้คนสติแตกไปแล้วนั้นยิ่งขวัญกระเจิงไปไกลลิบ เพราะชายคนนี้เหลือเพียงแค่ศีรษะแต่กลับยังไม่ตาย แบบนี้ไม่ใช่คนแล้ว!
"เหลือแต่หัว ....นี่นะ !”
เคนิสพยายามสงบสติลง ค่อยๆรวบรวมความกล้าขยับศีรษะนั้นมาดูใกล้ๆอีกที เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ความกลัวเมื่อครู่อยู่ๆก็ถูกความสงสารครอบงำเสียแทนที่ ใบหน้าขาวซีดนั้นดูอิดโรย ทั้งบาดแผลทั้งคราบเลือดคราบดินเกรอะกรังไปทั่วใบหน้า
“จะบอกอะไรฉันเหรอ”
เคนิสถามหัวนั้น ชายผู้มีแต่หัวเองก็พยายามตอบกลับ เขาพยายามพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกจากปากเขาได้เลยแม้แต่น้อย ชายผมทองยิ่งดันทุรัง อาปากพูดด้วยใบหน้าซีดขาดเลือดนั่นอยู่พักใหญ่ ราวกับจะบอกเรื่องสำคัญเร่งด่วน เคนิสมองเขาด้วยความสงสารก่อนจะตอบกลับไป
“พอแล้ว! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทั้งคอ ทั้งหลอดลม ทั้งปอดของนายไม่ได้อยู่ที่นี่ นายพูดอะไรไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่ได้ยิน”
คนถือหัวบรรยายเป็นฉากๆได้อย่างสยอดสยองมันทำให้ชายผมทองที่มีแต่หัวนั้น ตระหนักถึงสภาพของตนเอง พร้อมกับมีสีหน้าสลดลงทันที เขาหยุดอ้าปากพูดแล้ว ได้แต่เปิดตาสีฟ้าซีดทรมานจ้องมาแทนที่ ทันใดนั้นดัลลาฮันในคราบสาวเมด ก็ลากถุงกระสอบออกมาจากเงามืด ซึ่งสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือร่างของชายผมทองที่เหลือเพียงศีรษะนั่นเอง สาวเมดผมทอง ได้รับศพนี้มาจากเหล่านักพรตผู้พิฆาตความมืดคนหนึ่งที่ถูกส่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในหมู่บ้านทางเหนือตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ
“นี่น่าจะเป็นร่างของเขา”
สาวเมดยื่นกระสอบนั่นให้เคนีส หญิงสาวผมดำจึงค่อยๆเปิดถุงกระสอบดู จากนั้นก็ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี เมื่อเห็นว่าร่างนั้นมีสภาพแย่กว่าที่คิดไว้มาก เพราะร่างกายเขานั้นถูกสับจนเละ ทั้งตับไตไส้พุง หัวใจ ถูกตัดขาดออกมานอกร่างกาย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ อวัยภายในที่ถูกตัดขาด ก็ยังทำงานตามหน้าที่ของมันอยู่ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะหัวใจ ที่ต่อให้ถูกตัดออกมาแล้วก็ยังเต้นตุบๆอยู่อย่างนั้น
“ทรมารมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม แต่ก็ยังสาปแช่งไม่ให้ตาย เธอรู้มั้ยแมรี่ ว่ามันเป็นใครที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้”
มันเป็นใครที่กล้าล้อเล่นกับมนุษย์ ให้เจ็บปวดสาหัสแต่ก็ไม่ยอมให้ตายพ้นทรมาร
“ดิฉันไม่ทราบนามของมัน แต่นั่นคือ สมุนของลูซิเฟอร์”
สิ้นทำตอบของแมรี่ เคนีสถึงกับเงียบและแทบทรุดกับพื้น นี่มันเรื่องจริงหรือนี่ !ชายผู้มีแต่หัวได้ยินดังนั้นก็ยิ่งพยายามอ้าปากพูดเขาดูทรมารมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องบอกเรื่องสำคัญนี้ให้ได้ ปีศาจพวกนั้นมันพยายามจะขโมยกล่องอีทูลัส
“ฉันบอกว่าพอแล้วไง ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! ”
เคนิสบอกกับชายผู้มีแต่หัว
“ฉันจะพาเขาไปหาหมอ”เคนิสเอ่ยขึ้นพลางแบกถุงกระสอบขึ้นมาไว้บนไหล่
“ตัวขาดกระจุยแบบนี้ จะมีหมอที่ไหนรักษาได้อีกหรือคะ จากที่ดูไปแล้ว สาเหตุที่เขาไม่ตายน่าจะเพราะถูกสาป”สาวเมดว่าพลางมองไปที่หัวในมือของเคนิส
“ฉันรู้จักหมอปีศาจเจ๋งๆคนหนึ่ง ส่วนเธอช่วยเปิดทางให้ทีเถอะแมรี่ ไม่สิดัลลาฮัน ฉันจะไปสุสารโบราณ”
ว่าแล้วภายใต้ร่างสาวน้อยชุดเมดนั้นก็ปรากฏร่างโครงกระดูกของยมทูตในชุดคลุมดำสนิทซ้อนทับขึ้นมาแทนที่ จอมภูตดัลลาฮันเรียกเคียวเข้ามือแล้วฟันฉับไปในอากาศ ก็ปรากฏบรรยากาศสีดำเป็นทางเข้าไปสู่สถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพ
“แล้วก็ขอยืมม้า”
“ก็ได้คะ”
แมรี่เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะให้ม้าฝันร้ายกับเคนิส ไนท์แมร์สะบัดหัว ร้องลั่นอย่างดีใจเมื่อมันพบกับเคนิส ก่อนที่จะลูบหัวมันเบาๆเป็นเชิงทักทาย
“พาฉันไปสุสารโบราณ”
สิ้นคำม้าฝันร้ายก็ห้อตะเบ็ง พาเคนิสพร้อมกับชายหัวขาดหายวาบไปสู่สุสานโบราณทันที พริบตานั้นสถานที่ลึกลับแห่งเมืองซางตานีโอ ที่ไม่มีใครเข้ามาถึงก็ปรากฏตรงหน้า สุสารโบราณในตำนานเก่าแก่ที่มีเขตแดนอำพรางรักษาความปลอดภัยสูงสุดกันเอาไว้
หญิงสาวผมดำลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินลากกระสอบไปบนถนนคอนกรีต โดยที่มืออีกข้างกอดหัวชายผมทองเอาไว้แน่น บรรยากาศภายในสุสารโบราณนั้นไม่น่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดทนอยู่รอดได้เนื่องจากอากาศเสียอย่างรุนแรงจากการย่อยสลายซากศพอันไม่ธรรมดา เธอมองเห็นป้ายหลุมศพขาวโพลนไปทั้งเนินฝังศพรอต้อนรับราวกับข่มขวัญ มีทั้งกระดูกเก่าๆของมนุษย์ที่ตายแบบผิดปกติพิสดาร ทั้งที่เป็นโรคระบาดร้ายแรงจนไม่อาจฝังในสุสารทั่วไปได้ รวมทั้งซากของปีศาจก็ถูกนำมากำจัดที่นี่ แต่สภาพที่เห็นเคนิสรู้สึกว่า เจ้าของสุสารคงจะไม่ได้กลบฝังหรือเผาทำลายศพแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่นำศพมากองๆทิ้งไว้ปล่อยให้เน่าเปื่อยไปเอง ทำให้ทั้งสุสารโบราณมีกลิ่มเหม็นคลุ้ง และก๊าซพิษที่เกิดจากการเน่าเปื่อยนั้นถึงกับทำให้ต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นยังยืนต้นตาย ด้วยรูปร่างบิดเบี้ยวผิดปกติเพราะไอพิษ นี่เองคงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เจ้าของสุสารสร้างเขตแดนรักษาความปลอดภัยอันทรงพลังกันเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ใดๆก็ตามหลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้
“มาที่นี่ทีไร รู้สึกแย่ทุกที” เคนิสบ่น
เธอเดินลากกระสอบไปบนทางคอนกรีต ที่เต็มไปด้วยกระดูกขาวโพลนเกลื่อนกลาดไปทั่ว เมื่อเดินเหยียบก็ดังกรอบแกรบ ราวกับย้ำเตือนถึงอันตราย เพราะถ้าหากยังฝืนเข้าไปลึกกว่านี้ เธออาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพวกที่ทอดร่างเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งเนินสุสารนี้เป็นแน่
และที่ตรงหน้าไกลลิบนั้นมีบ้านโบราณหลังเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง ผู้ดูแลสุสารอาศัยอยู่ในนั้นโดยไม่ยอมออกมาข้างนอกนับร้อยๆปีแล้ว บริเวณข้างๆบ้านของเขายังเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ยืนต้นตาย มีโครงกระดูกมนุษย์แขวนโตงเตง เบียดเสียดกันบนต้นเต็มไปหมด ไม่มีสรรพเสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากสายลมเหม็นๆ ที่เมื่อพัดกระทบโครงกระดูกบนต้นไม้แห้งเหี่ยว ก็ทำให้เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง แต่ละโครงโยกเยกกระทบกันไปมาราวกับมีชีวิต
“นานวันเข้ายิ่งรสนิยมห่วยแตก”
เคนิสเริ่มบ่นอย่างเหลืออด เธอถอนหายใจแล้วรีบเดินไปจนถึงหน้าประตูบ้าน ทั้งหยักใย ทั้งเถาวัลย์ม้วนตัวขึ้นเลื้อยไปมาพันรอบตัวบ้านเต็มไปหมดแล้ว ทั้งรา มอส เฟิร์น ขึ้นจนบานประตูเขียวคล้ำดำปี๋ ที่นี่แทบไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิต แต่เธอรู้แน่ๆว่าชายคนนั้นยังสิงสถิตอยู่ข้างใน เคนิสวางถุงกระสอบลงแล้วตัดสินใจเคาะประตูบ้านเก่าๆหลังนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บุรุษผิวขาวซีด นั่งบนโต๊ะทำงาน ที่มีกองเอกสาร และโหลใส่อวัยวะต่างๆเต็มไปหมด เขามีโหล ดองดวงตามนุษย์มากมายหลากสีสัน พวกมันกลอกไปมา แล้วกลอกมาจ้องมองที่เขาเป็นตาเดียว ชายผิวซีดขาวสนิท ดวงตาสีทอง สะท้อนแสงในความมืด เขามีผมยาวสีดำหยักโสก สวมเสื้อโคทสีขาวเก่าๆ รอบตัวนั้นมีพิกซีกินซากบินว่อนไปทั่ว และยังมีตุ๊กตาผู้หญิงเก่าๆตัวหนึ่งนั่งนิ่งบนโต๊ะอยู่ใกล้ๆ เขาทำตัววุ่นตลอดเวลาเหมือนกับว่าจะหมกมุ่นศึกษาอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย ! วาเลเรียส”
เสียงตะโกนของหญิงสาวคนหนึ่งดังลั่นพร้อมกับเสียงทุบประตูรัวๆดังโคมๆ มันทำลายสมาธิของเขาอย่างหนัก ทำให้บุรุษที่กำลังนั่งพิจารณาเอกสารบางอย่าง ต้องถอนหายใจกัดฟันกรอดๆแล้วลุกไปยังต้นเสียงที่ก่อความรำคาญนั่นอย่างหงุดหงิดสุดทน
“มีธุระอะไร! เคนีส”
เขาแหงมประตูเล็กน้อยเพื่อคุยกับผู้มาเยือน เขากางเขตแดนป้องกันเอาไว้แล้ว แต่เธอคนนี้ยังมักเข้ามาก่อกวนเสมอ แม้ว่าจะเป็นคนจากตระกูลเดียวกัน แต่เขาก็ไม่อยากพบมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น
“ช่วยเขาที!”
หญิงสาวผมดำ ยื่นหัวของชายผมทองให้เขา พร้อมกับเปิดถุงกระสอบบรรจุร่างกายที่ถูกสับเป็นชิ้นให้วาเลเรียส
“ชำแหละมาแล้วก็ดี ถ้าเป็นซากศพก็เอาไปโยนทิ้งข้างนอกนั่น ” วาเลเรียสตอบก่อนจะปิดประตูไล่
“เดี๋ยว !” เคนิสร้องปราม
“เขายังไม่ตาย!”
“อะไรนะ!”
“เขาถูกคำสาป ที่ทำให้ตายไม่ได้!”
วาเลเรียสถึงกับรีบเปิดประตูบ้านออกมาอีกครั้ง เขาเหลือบมองไปยังศีรษะของชายผมทองในมือของเคนิสแวปหนึ่ง ก่อนที่จะขยับยิ้มออกมา นานแล้วที่เขาไม่เคยเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้ สำหรับเขาที่เป็นหมอปีศาจ การได้พบเเจอผู้ป่วยต้องคำสาปในลักษณะใกล้เคียงกับเขาถือว่าเป็นโชคดีอย่างเหลือเชื่อ
"ถ้าอย่างนั้น ก็เข้ามาสิ"
วาเลเรียสว่าพลางฉีกยิ้มโหดเหี้ยม เขายอมให้เคนิสเข้ามาในบ้านของเขาและเริ่มทำการรักษาชายผมทองคนนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END / ศีรษะของนักพรต
ความคิดเห็น