คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เด็กหนุ่มสายลับ (Spy boy)
“อิสซาเบลล่า ถูกกำจัดไปเสียแล้ว”
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังเก้าอี้ว่างเพียงตัวเดียวท่ามกลางห้องประชุมมืดทึบ เก้าอี้ทั้ง 7 ตัวถูกตั้งเรียงรายคู่กับโต๊ะประชุมยาวเหยียด เตรียมพร้อมไว้รับรองการนัดพบกันของผู้มาเยือนทั้งเจ็ด แต่กลายเป็นว่าบัดนี้ กลับมีผู้นั่งบนเก้าอี้เพียงหกคนเท่านั้น
“ช่วยไม่ได้ ก็หล่อนอยากเปิดตัวแรงเอง”
น้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นจากเก้าอี้ตัวที่ห้า
“ใครเป็นคนทำ!”
“ก็จะใครซะอีก นอกจากพวกบริสตั้น!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงอะไรสักอย่างแตกดังเพล้ง ! ใครสักคนในห้องบีบแก้วไวน์ในมือจนแตกละเอียดด้วยความโกรธจัดเมื่อได้ยินเพียงชื่อ “บริสตั้น” แม้ผู้ประชุมอีกสี่คนจะยังไม่ยอมพูดอะไร แต่ความรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรงก็ทำให้ห้องทั้งห้องร้อนระอุ
“ฝ่ายนั้น........... เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
น้ำเสียงเยือกเย็นชวนขนลุกราวกับเสียงภูตผีดังขึ้นจากบุรุษผู้นั่งเก้าอี้ประธาน ท่ามกลางห้องโถงประชุมขนาดใหญ่มืดสนิท มีเพียงตรงหน้าเขาเท่านั้น ที่มีเทียนจุดให้ความสว่าง ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ใช้ฮูดคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นสะท้อนแสงเทียนวาววับออกมา ทุกคนเห็นเขากำลังมองหนังสือที่กางไว้เล่มหนึ่ง ก่อนที่พริบตานั้นเจ้าตัวก็ยิ้มเหยียด เมื่อรายชื่อในนั้นเริ่มจางลงและหายวับไปต่อหน้าต่อตาเขา
“จริงเหรอ! ท่านซามาเอล”
“อื...ม”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรีรอกันอยู่อีกทำไม ไปกำจัดพวกมนุษย์โสโครกให้หมดๆได้แล้ว”
หลังจากนั้นก็เริ่มมีเสียงร้องสนับสนุนดังลั่นทั้งห้องประชุม เหล่าขุนพลปีศาจที่เพิ่งคืนชีพกันครบได้ไม่นานนัก อีกทั้งยังโชคร้ายหนึ่งในเจ็ดถูกกำจัดไปเรียบร้อยด้วยฝีมือของคู่อาฆาตเก่าแก่ ทั้งหมดต่างพากันคันไม้คันมือ จิตใจคับแค้นแทบระเบิด เกิดความชิงชังต่อมนุษย์อย่างเหลือแสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลบริสตั้น
“เชิญตามสบาย แต่อย่ายุ่งกับพวกบริสตั้นเด็ดขาด!”
คำพูดนั้นทำเอาขุนพลปีศาจทั้งห้า นั่งอึ้งกันเป็นแถว ด้วยไม่เข้าใจว่าซามาเอลจะห้ามพวกเขาไปทำไม หรืออยู่ๆเกิดห่วงสวัสดิภาพ รักพวกพ้องขึ้นมากะทันหัน กลัวว่าจะมีใครบางคนในหมู่พวกเขาต้องถูกกำจัดไปอีก แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของซามาเอลที่เหล่าขุนพลปีศาจรู้จักอย่างแน่นอน
“ข้าจะเป็นผู้ส่งพวกมันลงนรกด้วยตัวข้าเอง เชิญพวกเจ้าเล่นกับพวกมนุษย์ตามใจชอบเถอะ เพราะจุดประสงค์ของข้าคือคืนชีพนายท่าน”
ว่าแล้วพริบตานั้น เปลวเทียนก็ดับลงในทันที พร้อมๆกับที่ชายชุดดำซามาเอลก็ได้จากไปแล้วเช่นกัน
“ฉันรู้ว่าท่านซามาเอลรักนายท่านมาก พวกเราเองก็เช่นกัน แต่ที่บอกว่าจะเก็บพวกบริสตั้นไว้เล่นคนเดียวเนี่ยฉันไม่ยอมนะ!”
“เงียบทีเถอะเฮลเลน่า ไปละเลงเลือดกันดีกว่า เมื่อนายท่านคืนชีพขึ้นมาท่านจะได้ยินดี”
“ถ้างั้นก็จงล้างคอรอได้เลย เจ้าพวกทูตสวรรค์ !”
สิ้นเสียงนั้น ขุนพลปีศาจทั้งหมด ต่างก็ลุกขึ้นแยกย้ายกลับไปทำตามจุดมุ่งหมายของตน พวกเขาแฝงกายอย่างแนบเนียน ปะปนกับพวกมนุษย์ การเตรียมการนับร้อยๆปีบัดนี้ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อีกด้านหนึ่งการเรียนในระดับโปรครั้งแรกของฟีเดอาโก้ เด็กหนุ่มผมขาวแห่งร้านสังฆภัณฑ์ก็เริ่มขึ้น เจ้าหนูที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเคยเดินป้วนเปี้ยนเรียนชั้นพื้นฐาน ก็ได้เลือนขั้นแบบกะทันหัน มันเป็นการก้าวกระโดดจากระดับฝึกหัดมาเป็นชั้นโปรระดับผู้เชี่ยวฉาญได้ภายในไม่กี่วัน ซึ่งตามธรรมเนียมปกติต้องใช้เวลานับสิบปีหรือมากกว่านั้น คนในชั้นเรียนจึงมีประชากรส่วนใหญ่อายุยี่สิบปลายๆจนถึงห้าสิบ หรือบางคนก็ชราจนผมขาวโพลนกันแล้ว มันทำให้เด็กหนุ่มหน้าซีดกลัวว่าความจะแตก สายลับต้องไม่ทำตัวเด่น ต้องเข้ามาอย่างแนบเนียนไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่ไอ้แบบที่คนทั้งห้องหันขวับมาจ้องเขาพริบเป็นตาเดียวด้วยความตกตะลึงแบบนี้ งานสายสืบคงเละ
ความแตกวันแรกแน่ๆ
สายลับฟีเดอาโก้เริ่มเครียดจัด เหงื่อแตกพลักๆ เมื่อสายตาของผู้ร่วมชั้นเรียนแต่ละคนนั้น ยังจับจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทำไมอยู่ๆเด็กที่เพิ่งเรียนในชั้นฝึกหัด ดูจากรูปลักษณ์อายุก็น่าจะประมาณสิบห้าปีเท่านั้น แต่ดันข้ามขั้นมาเรียนรวมกับพวกที่เขาเป็นมืออาชีพกันแล้วแบบนี้ได้ อีกทั้งมีข่าวลือแปลกๆเรื่องใช้เส้นอาร์คบิชอป แต่ถึงกระนั้นมันก็เหลือเชื่อเกินไป
“เฮ้ยเด็กใหม่ มานั่งตรงนี้สิ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาช่วยเขาไว้ทันเวลา ฟีเดอาโก้หันขวับไปที่ต้นเสียง ก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่
“ขอบคุณครับ”
ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นขณะนั่งลงข้างๆเขา
“เออ ไม่เป็นไร ก็มันว่างตรงนี้ที่เดียว”
และตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มรู้ก็สึกถึงสาเหตุที่ยังมีที่ว่างเหลืออยู่ข้างๆชายคนนี้ บุรุษผู้มีดวงตาสีทองราวกับปีศาจ ให้ความรู้สึกว่าสามารถมองฝ่ายตรงข้ามได้ทะลุปรุโปร่ง รวมทั้งบรรยากาศหนาวเหน็บวังเวงชวนขนลุก แบบนี้ใครจะอยากมานั่งใกล้ เขามีผมสีเงินยาวเงางาม ผิวขาวซีดอย่างน่ากลัว ฟีเดอาโก้เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง บางทีการถูกกวักมือเรียกให้มานั่งใกล้ๆแบบนี้ เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างแล้วก็เป็นได้ แผนการมาสืบข่าวคราวไส้ศึกคงจะได้ความแตกเอาสามนาทีแรกตั้งแต่เข้าห้องเรียนแน่ๆ
“นายอายุเท่าไหร่”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มถูกชายผมเงินคนนั้นระดมยิงคำถาม
“สิบห้าครับ”
“งั้นเหรอ ไม่เลวนะ ฉันใช้เวลาเรียน 10 ปี เพื่อเป็นพรตสายพิฆาตความมืด จากนั้นก็มาเรียนต่อระดับโปรทางด้านกักกันวัตถุอัปมงคลอีก 4 ปี เพื่อเข้าทำงานในมหาวิหาร ตอนนี้อายุฉันก็ยี่สิบเก้าปีไปแล้ว ถือว่าอายุน้อยสุดสำหรับโปร นายไปทำยังไงถึงเข้าเรียนได้ ตั้งแต่ยังตัวเท่านี้”
ฟีเดอาโก้ได้แต่นั่งเอ๋อสมองว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด เขาไม่ได้เตรียมใจที่จะโดนระดมยิงคำถามพวกนี้มาแต่แรก ทั้งที่คิดว่าแค่เข้ามานั่งเรียนแล้วแอบเก็บข้อมูลที่ผิดปกติกลับไปก็เท่านั้น
“เขาว่ากันว่า นายใช้เส้นอาร์คบิชอปเข้ามา จริงเหรอเปล่า”
เด็กหนุ่มยังถูกถามต่อเรื่อยๆ จนเขาเริ่มที่จะปวดหัว เอาวะใช้เส้นก็ใช้เส้น
“จริงครับ”
ฟีเดอาโก้ยอมรับตรงๆ ใครจะไปกล้าบอกละว่า เขาปลอมตัวมาสืบข่าวตามหาสายของปีศาจที่แทรกซึมอยู่ที่ไหนสักแห่งในแผนกนี้
“นั่นสิ ที่จริงก็สมควรอยู่หรอก จะให้พวกที่เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ไปนั่งเรียนตั้งแต่ขั้นฝึกหัด จนจบหลักสูตรเป็นสิบสิบปี ตามกฎระเบียบได้ยังกัน”
ชายผมเงินเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ฟีเดอาโก้ต้องหันขวับไปมองเขาด้วยความตกใจ
ทำไมหมอนี่ถึงรู้ว่าเขาเคยเรียนขั้นฝึกหัด ซ้ำยังรู้ว่าเขามีฝีมือระดับไหน นี่มันหมายความว่ายังไง!
“เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันยังเห็นนายป้วนเปี้ยนเรียนในคลาสฝึกหัด แล้วยังเห็นนายเข้าๆออกๆร้านสังฆภัณฑ์ของมหาวิหารบ่อยๆ พอถามร้านค้าแถวๆนั้นดู ก็ได้คำตอบว่านายเป็นช่างทำคทากับอาวุธลงอาคม”
คำพูดของชายผมเงินนั้นทำให้ฟีเดอาโก้แน่ใจทีเดียวว่า ตัวเขาถูกคนคนนี้เฝ้ามองอยู่แน่ๆ
“คุณทำอย่างนี้ทำไม”
“อะไรละ ที่ว่าทำ “อย่างนี้””
“ทำไมต้องเฝ้ามองผมด้วย”
“..............................”
ชายผมเงินคนนั้นเงียบไปพักหนึ่ง ดูท่าทางแล้วเขาคงจะถูกเข้าใจผิด ถูกคิดว่าเป็นพวกสโตกเกอร์ ถ้ำมองคนอื่น
“ฉันแค่สนใจนายนิดหน่อย”
“อะไรนะ!”
“นานๆทีจะเห็นชาวลอร์แซมเบิร์กสายพันธุ์แท้เหมือนกันมาเรียนที่นี่นะสิ”
คำตอบที่ว่ามานั้นไม่ทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้ฟีเดอาโก้ถึงกับตื่นตระหนก รู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนี้เป็นครั้งแรก เพราะแม้แต่เรื่องที่เขาเคยอยู่ที่ลอร์แซมเบิร์กซึ่งข้อมูลนี้ถือว่าลับสุดยอดแล้วชายคนนี้รู้ได้ ยังไง
“พอที ไม่ต้องทำตาเหลือกแบบนั้น ฉันดูแค่สีผมกับสีตาของนาย ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นชาวลอร์แซมเบิร์ก”
“อย่างนั้นเองหรือครับ”
ฟีเดอาโก้ค่อยเบาใจลงบ้าง อย่างน้อยๆชายคนนี้คงไม่ได้รู้ลึก จนถึงขั้นรู้ว่าตัวเขาคือกล่องอีทูลัสกักวิญญาณของลูซิเฟอร์ไว้ หากเป็นเช่นนั้นคงต้องลบความทรงจำไม่ก็ทำให้หายสาบสูญไปซะ
“สีผมที่เป็นโทนสีเทา สีขาว หรือ สีเงิน รวมถึงสีของดวงตา ที่เป็นสีทอง หรือสีเขียว สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าเป็นชาวลอร์แซมเบิร์กสายเลือดบริสุทธิ์ ฉันแค่เห็นชาวเมืองบ้านเกิดเดียวกันมาเรียนที่นี่ ก็เลยแอบสงสัยว่านายมาทำอะไรที่ซางตานีโอกันแน่เท่านั้น ฉันไม่ใช่พวกสโตกเกอร์หรือพวกน่าสงสัยอะไรนะ วางใจได้เลย”
แม้มันจะเป็นความจริงเรื่องที่เขามีสีผมขาวโพลนทั้งหัว ดวงตาสีทองแบบคนสัญชาติลอร์แซมเบิร์ก แม้กระทั่งอาร์คบิชอบราฟาเอลก็ยังมีผมสีเงิน ตาสีเขียว อมทอง ด้วย จึงไม่แปลกนักที่จะถูกเข้าใจว่าเป็นคนเมืองลอร์แซมเบิร์กง่ายๆ
“นายชื่อฟีเดอาโก้ใช่มั้ยเด็กใหม่”
“คุณรู้แม้แต่ชื่อของผมเลยหรือครับ!”
ชายผมเงินคนนั้นเห็นฟีเดอาโก้ทำตาเหลือกด้วยความตกใจ ก็รีบชี้ไปที่รายชื่อนักเรียนบนผนังใกล้ๆพวกเขา
“ชื่อนายขีดเส้นแดงไว้อย่างเด่น ใครๆก็เห็น หืม!”
ชายคนนั้นอยู่ๆก็ทำปากการ่วงจากมือด้วยความตกใจ ดวงตาสีทองของเขาเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่อกเสื้อของเจ้าหนูคนข้างตัว บัดนี้เขาพอจะรู้แล้วว่า ทำไมเจ้าเด็กนี่จึงเรียนในชั้นระดับพื้นฐานไม่ได้
“สัญลักษณ์กางเขนหนาม นายเป็นเอ็กซอซิสชั้นเซียนเลยเหรอเนี่ย !”
สำหรับคนทั่วไปแล้วตรากางเขนหนามเป็นที่รู้กันว่าเป็นสัญลักษณ์ของสุดยอดนักปราบปีศาจสามอันดับแรกที่พวกอาร์คบิชอปทั้ง 7 นครได้มอบให้กับผู้ที่เหมาะสม ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือตราประจำตระกูล บริสตั้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่พวกรุ่นแรกๆได้ตู่เอาไว้เพื่อกลบเกลื่อนความจริง ฟีเดอาโก้ยิ้มแห้งๆนึกโมโหกับมุขโกหกงี่เง่าอีกเรื่องที่ทำให้เขาปวดหัว แต่มันก็ช่วยได้มากเพราะทำให้คนที่เห็น เลิกสงสัยในการเข้าเรียนแบบข้ามขั้นนี้ไปได้
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“ฉันเข้าใจแล้ว ว่าทำไมอาร์คบิชอปถึงให้นายมาเรียนคลาสนี้ ยินดีต้อนรับไอ้หนู แล้วนาย .....ตอนอยู่ลอร์แซมเบิร์กทำมาหากินอะไรก่อนเข้าเรียนที่ซางตานีโอ เรียนคลาสนี้ได้ทางบ้านต้องรวยเชียวนะ”
ฟีเดอาโก้เริ่มขยับยิ้มแห้งๆ นี่เขาต้องมาเจอกับไอ้จอมจุ้นจ้านขุดคุ้ยตั้งคำถามตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนเลยงั้นเหรอ! ซ้ำร้ายยังถูกมันเฝ้ามองอีกตั้งหาก สรุปแล้วตัวเขามาสอดแนมหรือถูกสอดแนมกันแน่
“ผมเป็นทาสครับ”
คำตอบนั้นทำให้ชายผมเงินเงียบไปพักหนึ่ง เขามองเจ้าหนูข้างๆตนตาปริบๆ ตอนแรกแม้จะไม่เชื่อนัก แต่ที่ข้อมือของฟีเดอาโก้มีร่องรอยการถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนของทาสอยู่จริงๆ ที่ปากบางๆนั้นยังมีร่อยรอยการถูกเย็บที่บริเวณริมฝีปากให้ประกบติดกัน แม้รอยแผลทั้งหมดนั้นจะจางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว
“ทำไมนายต้องถูกเย็บปากด้วย”
“เพราะพวกนั้นไม่อยากให้ผมพูด”
นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ชายผมเงินเลือกที่จะไม่ตั้งคำถามอะไรอีกต่อไป เขาหันหน้ากลับแล้วนั่งเงียบ ในใจไม่ได้นึกสงสาร แต่กำลังขบคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่ต้องมีการเย็บปากทาสแบบนั้น แสดงว่าเจ้าเด็กนี่ต้องรู้ข้อมูลสำคัญบางอย่าง จนถูกเย็บปากเพื่อกันไม่ให้พูดแน่ๆ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่ถามอะไรนายอีก โทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
แล้วชายผมเงินก็หยุดตั้งคำถามจริงๆ เพราะพริบตานั้นเองอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบวัตถุอัปมงคลก็เข้ามาสอนในชั้น ฟีเดอาโก้เริ่มทำเป็นกางหนังสือ และจดบันทึก ทำตัวเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าการแยกแยะสิ่งของต้องสาป ที่มีจิตชั่วร้ายสถิตอยู่นั้น สำหรับคาบเรียนนี้ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก
เด็กหนุ่มเห็นผู้สอนใช้เครื่องไม้เครื่องมือตรวจสอบตั้งหลายชิ้น อีกทั้งบรรยายวิธีใช้วิธีสังเกตมิเตอร์แปลกๆนั่นจนเขาเริ่มปวดหัว ซ้ำยังต้องให้พรตสายพิฆาตความมืดอีกสี่คนกางเขตอาคมไว้
“ดูยุ่งยากจังเลย”
“นั่นเป็นวิธีสำหรับพวกไม่มีญาณ ไร้จิตสัมผัสใดๆ”
ชายผมเงินเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินฟีเดอาโก้บ่นพึมพำออกมา การตรวจสอบสิ่งของแปดเปื้อนความชั่วร้ายดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างเหลือเชื่อ สำหรับนักบวชธรรมดา การจับวัตถุพวกนั้นก็ต้องใช้ถุงมือกันสิ่งชั่วร้าย และทำการตรวจสอบหรือเคลื่อนย้ายในเขตอาคมเท่านั้น
“อย่างนายแค่มองก็น่าจะรู้แล้วสินะ”
“ครับ”
“ถ้างั้นของสามอย่างบนโต๊ะนั่น นายว่าเป็นอันไหนที่เป็นวัตถุอัปมงคล”
ฟีเดอาโก้มองไปที่ของสามอย่างบนโต๊ะของผู้สอน บนนั้นมีแหวน รองเท้า และมีดสั้น วางไว้เพื่อให้ผู้เข้าเรียนแต่ละคนทดลองตรวจสอบหาวัตถุอัปมงคล โดยวิธีการที่เรียนในคาบเรียนนั้นมันดูวุ่นวายจนเด็กหนุ่มถอนหายใจ ฟีเดอาโก้หลับตาลง ก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องไปที่วัตถุสามชิ้น และสิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่แค่ภาพวัตถุ แต่มันสะท้อนไอทมิฬสีดำของจิตชั่วร้ายกลับมาด้วย เด็กหนุ่มเห็นมีดสั้นเล่มนั้น กำลังแผ่ความมืดออกมาเหมือนกับกลุ่มควันสีดำสนิทที่มีชีวิต สิ่งนั้นฟุ้งกระจายออกมา มีเสียงร้องโหยหวน กรีดร้องจากผู้ที่อยู่ในแดนนรก
“มีดนั่น !”
“เออ มีดของผู้ใช้ศาสตร์มืด จิตชั่วที่กำลังออกมานั้น ไม่ใช่จิตชั่วธรรมดา แต่มันเป็นเจตภูต ที่เกิดจากการหลอมรวมของวิญญาณมนุษย์และจิตปีศาจในนรก ”
ฟีเดอาโก้มองไปยังมีดนั้น เขามองเห็นวิญญาณสีดำที่กำลังร้องโหยหวนอย่างทรมาน พวกมันเป็นวิญญาณที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้อีกแล้ว เพราะเมื่อยังเป็นมนุษย์พวกนั้นได้ทำสิ่งเลวร้ายมากมายตามความปรารถนาของตนโดยอาศัยอำนาจจากปีศาจ ดวงวิญญาณเริ่มตายจากความดี ค่อยๆชั่วช้าลงและในที่สุดเมื่อกลายเป็นวิญญาณสีดำสนิท ก็จะถูกดึงลงสู่หลุมนรก กลายเป็นเจตภูตร่ำร้องด้วยความหิวกระหาย ต้องการกลืนกินดวงวิญญาณอื่นๆอย่างไร้ที่สิ้นสุด พลังอำนาจสีดำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย สามารถกัดกินผู้ที่แตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ ทว่าอำนาจจากเจตภูตยิ่งมีมากเท่าใด ก็ยิ่งทวีอำนาจทรงพลัง ให้กับผู้ใช้ศาสตร์มืดเท่านั้น เพียงแต่เมื่อถึงที่สุดแล้วผู้ใช้เองก็ต้องเป็นดุจเดียวกับเจตภูต ถูกความชั่วร้ายกัดกินร่างกายและวิญญาณ ตายอย่างทรมานทั้งในโลกนี้และในนรกอันไม่รู้จบ
“ของอันตรายขนาดนั้น ควรเอาใส่กล่องกักปีศาจแล้วลงอาคมไว้ดีกว่านะครับ เอาออกมาในที่เปิดโล่งแบบนี้ถ้าไปแปดเปื้อนใครเข้า หรือเจตภูตหลุดออกไปนอกห้อง มันได้เป็นภัยร้ายแรงแน่”
ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นด้วยความไม่ไว้วางใจ แถมผู้สอนเองพอสอนเสร็จก็จากไป ทิ้งของอัปมงคลไว้กับนักเรียน แม้มันจะเป็นเจตภูตที่มีอำนาจน้อย และถึงจะมีนักบวชสายพิฆาตความมืดถึงสี่คนกางเขตอาคมไว้แล้ว แต่เขาก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่าสี่คนนั่นจะเอาอยู่หรือไม่
“ก็เพราะนี่เป็นชั้นเรียนของพวกโปร แต่ที่นายพูดมานั่นสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญนะ นายยังไม่ตอบเลยว่าของสามอย่างนั่นอันไหนเป็นวัตถุอัปมงคล”
“ ทั้งสามชิ้นเลยครับ”
“หืม?”
“แม้จะเป็นจิตชั่วร้ายที่ไม่เข้มข้นเท่ามีดนั่น แต่ทั้งในแหวนและรองเท้าก็มีจิตชั่วอ่อนๆ”
คำตอบนั่นของฟีเดอาโก้ทำให้บุรุษผมเงินขยับยิ้มออกมา เขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มเขียนคำตอบในแบบทดสอบ ว่า สามชิ้น ในข้อสอบที่ถามคำถามเดียวกับเขา
“ลองนายตอบแบบนั้นได้ตกคลาสนี้วันแรกแน่”
“เอ๋! ผมตอบผิดเหรอ”
“ของที่จัดว่าเป็นวัตถุอัปมงคล หมายถึง วัตถุที่สามารถส่งผลร้ายต่อผู้ที่สัมผัสหรือมีไว้ในครอบครองได้ แหวนกับรองเท้านั่นแม้จะมีจิตชั่วร้ายอ่อนๆจากผู้สวมใส่ที่อาจเป็นฆาตกร หรือแม้แต่คิดเรื่องเลวๆ แต่นั่นก็ไม่สามารถทำอันตรายใครได้ หรอก”
ชายผมเงินชี้ไปที่หนังสือเรียนหน้าสิบห้าพลางหัวเราะเยาะเบาๆ ในนั้นมีการอธิบายความหมายของวัตถุอัปมงคลแบบที่กล่าวมาเป๊ะ
“ไอ้หนูบอกไว้เลยว่า ถ้าเป็นโปรแค่ภาคปฏิบัตินายตกแน่”
ฟีเดอาโก้ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เมื่อรู้ว่าความสามารถภาคปฏิบัติที่เจอกับสถานการณ์จริง มันไม่เพียงพอกับความรู้ที่ต้อง ใช้ในคลาสของพวกโปรเลยสักนิด แล้วนี่เขาต้องหัดใช้เครื่องมือพวกนั้น แถมยังต้องมานั่งท่องหนังสืออีกเป็นร้อยๆเล่มใช่มั้ย เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดๆนึกโมโหกับแผนการของเหล่าเจ็ดอาร์คบิชอปที่ส่งตัวเขามาที่นี่ แต่ทันใดนั้นเอง เพียงครู่เดียวที่เขากำลังก้มหน้าก้มตามองหนังสือเรียน อยู่ๆเสียงระเบิดจากอะไรสักอย่าง ก็ดังตูมตามลั่นสนั่นห้องเรียน ร่างของนักบวชที่กางเขตอาคมคนหนึ่ง กระเด็นออกมาด้วยแรงจากการระเบิดผ่านหน้าเขาเฉียดฉิวไปกระแทกกับพื้นแล้วสลบแน่นิ่ง
“เกิดอะไรขึ้นครับ!”
ฟีเดอาโก้ร้องถามชายผมเงินด้วยความตกใจ เพราะดูเหมือนว่าคนในชั้นจะทำมิเตอร์วัดจิตชั่วร้ายระเบิดขณะใช้ตรวจสอบจิตชั่วร้ายจากมีดของผู้ใช้ศาสตร์มืด
“เอาแล้วมั้ยละ !”
ชายผมเงินเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อพบว่า เจตภูตในมีดลงอาคมนั้น อยู่ๆมันก็เก่งขึ้นมาเฉยๆอย่างผิดธรรมชาติ จิตชั่วร้ายขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นแล้วทำลายเขตอาคมที่นักบวชทั้งสี่กางเอาไว้ ความร้ายกาจของมันทำให้แม้แต่มิเตอร์ของนักเรียนที่กำลังหัดวัดค่าสิ่งชั่วร้ายอยู่นั้นถึงกับระเบิดออกมา เมื่ออำนาจของมันสูงลิบลิ่วเกินขีดความสามารถของเครื่องวัดไปแล้ว
กลุ่มเจตภูตสีดำโพยพุ่งออกมาจากมีดบินร่อนฉวัดเฉวียน พุ่งใส่คนในห้องหมายจะกลืนกินวิญญาณพวกเขาแม้จะพอมีวิธีการเอาตัวรอดจากเจตภูตร้ายได้บ้าง แต่บางคนนั้นสร้างเขตอาคมป้องกันตัวเองไม่ทัน
“หนีไป!”
ฟีเดอาโก้ร้องลั่น เด็กหนุ่มกระโดดหลบเจตภูตขึ้นไปเหยียบบนโต๊ะเรียน
“ฉันกางเขตอาคมกักมันไม่หมด!”
ชายผมเงินว่า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างสนุกตื่นเต้นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเครียดจัดทันที เมื่อเจตภูตที่เขาควบคุมไว้ได้สามสี่ตนนั้น จะเรียกพักเรียกพวกแห่กันมาอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันตน ต่างโพล่พรวดออกมาจากกลุ่มควันสีดำที่ยังแผ่ออกมารอบๆมีดสั้นเล่มนั้นเรื่อยๆ ห้องเรียนทั้งห้องดูเหมือนจะเป็นสีดำของยามกลางคืนไปเสียแล้ว ทั้งเสียงเอะอะโวยวายลั่น นักเรียนวิ่งพล่านชนกันเอง รีบหนีเอาตัวรอด บ้างล้มลุกคลุกคลาน เจตภูตที่ตอนแรกมีแค่สองสามตนนั้น อยู่ๆก็โผล่มาเป็นร้อยเป็นพัน !
“ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย!”
นักบวชบางคนเริ่มถูกเจตภูตครอบงำ ห้องทั้งห้องตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับรังของเจตภูตในนรกไปเสียแล้ว
“บ้าเอ้ย”
เด็กหนุ่มผมขาวโวยวายออกมาอย่างโมโหสุดขีด เขาไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากกางสายสิญจน์เลเซอร์ด้วยมือทั้งสองข้าง สายสิญจน์ที่เมื่อครั้งโบราณกาลถูกนำมาใช้ดักจับกักขังภูตผีปีศาจ หรือสร้างเขตอาคม สายสิญจน์ที่เคยเป็นเพียงแค่เชือกลงอาคม บัดนี้ถูกพัฒนาโดยตระกูลบริสตั้น กลายเป็นเลเซอร์แสงศักดิ์สิทธิ์สีแดงเรืองรอง ปรากฏขึ้นทั่วทั้งห้อง
“นั่นมันอะไรเนี่ย!”
หลายคนร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นแสงเลเซอร์ปรากฏเบียดเสียดซ้อนทับกันเต็มห้องเรียน ราวกับใยในรังของแมงมุม พร้อมๆกับเจตภูตทั้งหมดนับร้อยพันตน ถูกตรึงไว้แน่นิ่งกลางอากาศเสียง่ายๆ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะล้วงเอากล่องอะไรสักอย่างในกระเป๋าเป้ออกมา ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้น ชายผมสีเงินที่อยู่ใกล้ๆกำลังจับจ้องด้วยดวงตาสีทองอย่างตื่นเต้น
ใช่แล้ว ! ตอนนี้แหละ เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เห็นทักษะการปราบปีศาจจากสุดยอดหนึ่งในสามเอ็กซอซิส ระดับท็อปของเจ็ดหัวเมือง
แต่โชคร้ายนัก ที่การคาดหวังของชายผมเงินจะต้องพังพินาศไปในพริบตา เพราะเมื่อดูดีๆแล้ว กล่องเล็กๆที่เจ้าหนูฟีเดอาโก้เพิ่งล้วงออกมาใช้เป็นอาวุธสู้กับปีศาจนั้นมันจะเป็นแค่.......
“กล่องดินสอเนี่ยนะ!”
ชายผมเงินร้องออกมาด้วยผิดหวัง เพราะสิ่งที่เจ้าหนูนั่นเอาออกจากเป้มาสู้กับเจตภูตนับร้อยพัน มันจะเป็นแค่กล่องพลาสติกใส่เครื่องเขียน ไม่ใช่กล่องกักปีศาจในตำนานแบบที่เขาจิตนาการไว้
“วุ่นวายที่สุด”
ฟีเดอาโก้บ่นงึมงำพลางเทดินสอ ยางลบ ปากกา ในกล่องใบนั้นทิ้งไปอย่างโมโห มันดูจะเป็นการกระทำสุดงี่เง่า จนนักเรียนบางคนเริ่มหัวเราะเยาะ หลายคนมองเขาด้วยความงุนงงสงสัย ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเจ้าหนูคนนี้กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นทุกอย่างก็ถูกเฉลย หมู่เจตภูตเป็นพันๆตนที่โดนตรึงไว้ด้วยเลเซอร์จนห้องมืดสนิท อยู่ๆก็ถูกกล่องดินสอธรรมดาสูบลงกล่องจนสิ้นซาก ห้องเรียนที่เคยมืดสนิทก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง การรับมือกับปีศาจสุดแปลกและเด็ดขาดของฟีเดอาโก้ ทำเอาคนทั้งห้องหันขวับ จ้องพรึบมองเขาเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มได้แต่ยืนค้างพลางยิ้มแห้งๆใส่ แล้วทำตัวเนียนเปลี่ยนเรื่องเป็นแนะนำสินค้าตัวใหม่ของร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อเอาตัวรอดและทำลายความเงียบ
“นี่คือกล่องอีทูลัสมินิครับ สนใจก็มาเลือกซื้อกันได้ที่ร้านสังฆภัณฑ์เมืองซางตานีโอ”
เหตุการณ์นี้ทำให้กล่องอีทูลัสมินิ สินค้านำเข้าจากเมืองรีแบร์ ขายหมดเกลี้ยงทั้งร้านภายในวันเดียว การแนะนำสินค้าของเขาได้ผล แต่ก็ดูเหมือนว่าปัญหาจะไม่จบลงแค่นั้น เพราะยังมีนักเรียนอีกคนยังนอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น เขาคือหนึ่งในสี่ผู้ที่กางเขตอาคมเมื่อครู่นั่นเอง และดูเหมือนว่าจะถูกเจตภูตเข้าสิงได้เสียแล้ว
“รีบพาเขาไปพบอาร์คบิชอป เร็ว!”
พวกนักเรียนในห้องตื่นตระหนก พยายามจะพาเขาไปพบอาร์คบิชอปกาเบรียลผู้เชี่ยวชาญการขับไล่เจตภูตแต่ฟีเดอาโก้ยืนขวางประตูไว้ ร้องห้ามไม่ให้ผู้ใดแตะต้องชายที่ถูกสิง การสัมผัสร่างกายของผู้ถูกเจตภูตสิงโดยตรงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง วิญญาณจะแปดเปื้อน ถูกความชั่วร้ายกัดกินจนถึงแก่ชีวิต
“ไม่เป็นไรครับ เขายังถูกเจตภูตกัดกินไม่ลึกมาก”
นักเรียนทั้งหมดต่างเข้ามามุมดูเด็กหนุ่มผมขาวทำการรักษาผู้ถูกเจตภูตเข้าสิง นักบวชที่สามารถทำการไล่เจตภูตได้นั้นมีแต่พวกที่ต้องผ่านหลักสูตรการขับไล่ปีศาจชั้นสูง ซึ่งในคลาสของพวกเขาเองยังศึกษาไม่ถึงขั้นนั้น แต่เจ้าหนูเองก็ไม่ได้ใช้ศาสตร์ขั้นสูงอะไร เขาแค่ล้วงเอากระติกใส่น้ำดื่มออกจากกระเป๋าเป้ แล้วเทน้ำใส่ผู้ถูกสิง หลายคนมองด้วยความงุนงง ไม่อาจเข้าใจว่าแค่เอาน้ำราดเนี่ยจะช่วยอะไรได้
“ระวังนะครับทุกคน ช่วยถอยออกมาหน่อย”
พริบตาเดียวเจตภูตก็พุ่งหนีออกจากร่างผู้ถูกสิง ดูเหมือนน้ำที่ราดลงไปเมื่อครู่จะไม่ใช่น้ำธรรมดาเสียแล้ว
“นั่นมันน้ำแสกใช่มั้ย!”
คนที่มองดูอยู่ถามฟีเดอาโก้ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ การใช้น้ำแสกชำระล้างความชั่วร้ายของเจตภูตในระยะแรกของการถูกเข้าสิง มันเป็นวิธีพื้นฐานง่ายๆที่ผู้ใดก็ตามหากได้ร่ำเรียนหลักสูตรพิฆาตความมืดจะรู้จักกันดี เพียงแต่ไม่มีใครพกน้ำแสกติดตัวมากันเท่านั้น ทั้งหมดมองเห็น แสงสีดำสว่างวาปออกมาพร้อมกับถูกกล่องอีทูลัสมินิสูบหายวับไปอย่างง่ายดาย
การรับมือกับปีศาจที่สุดแปลกพิสดารของเด็กหนุ่มผมขาว ที่ไม่เคยเห็นใครที่ไหนเขาทำแบบนี้มาก่อน เจ้าหนูที่ดูเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาแต่เมื่อต้องรับมือกับสิ่งชั่วร้าย กลับเป็นยอดฝีมือที่ทำเอาพวกที่เรียนสายพิฆาตความมืดเป็นสิบๆปีอย่างพวกเขายังไม่อาจเทียบติด
“เอาละแยกย้ายกันดีกว่าครับ เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความผิดปกติแล้ว”
ทั้งหมดพากันทยอยกลับที่นั่งของตนเมื่อเจ้าหน้าที่มหาวิหารเข้ามาตรวจสอบความเสียหาย มันเป็นช่วงเวลาห้าชั่วโมงที่รู้สึกว่านานราวกับเป็นอาทิตย์ในความคิดของฟีเดอาโก้ เด็กหนุ่มมองเห็นแต่ละคนต่างแยกย้ายกันออกจากห้องไปเมื่อสิ้นสุดเวลาเรียนแล้ว แต่ชายผมเงินข้างๆยังนั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น
“แกนี่มันเจ๋งแฮะ ภายนอกก็เด็กธรรมดาชัดๆ”
ชายผมเงินเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกทึ่ง เมื่อเจ้าหนูที่ดูยังไงก็สุดธรรมดา แต่ข้าวของที่มันพกมาเรียนนั่นคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นอาวุธปราบปีศาจไปได้ กล่องที่ดูไปแล้วเป็นกล่องดินสอธรรมดาๆแต่ดันเป็นสุดยอดกล่องกักปีศาจ ส่วนกระติกน้ำดื่มดูไม่ต่างจากที่เด็กนักเรียนทั่วไปใส่ติดกระเป๋ามาเรียนนั้น จะไม่ได้บรรจุน้ำธรรมดา แต่ดันเป็นน้ำเสก! ส่วนของอื่นๆในกระเป๋านั่น ไม่ว่าจะเป็นปากกาหรือดินสอ เมื่อพิจารณามองดีๆแล้วมันเป็นปืนปากกากระสุนเงินชัดๆ ทั้ง เสื้อผ้ารองเท้า ถุงมือ ทั้งหมดล้วนเป็นอุปกรณ์ปราบปีศาจที่สร้างดัดแปลงมาให้ดูแนบเนียนทั้งนั้น
“ฉันไม่รู้นะว่า โปรอย่างนายเข้ามาทำอะไรในแผนกนี้กันแน่ ดูจากทักษะและอาวุธอาคมที่พกติดตัวแล้วไม่น่าจะแค่มาเรียน”
ฟีเดอาโก้เหงื่อแตกผลักๆเมื่อได้ยินคำพูดของชายผมเงิน เขาเริ่มหน้าซีด เพราะดูเหมือนว่าความจะแตกย่อยยับแล้ว
“ผมเออ....ความจริงแล้ว มันก็แค่ของขายในร้าน”
“นั่นสิ ! ไอ้หนูเซลล์แมนจากร้านสังฆภัณฑ์ แอบทำตัวเนียนเข้ามาเรียนระดับโปรเพื่อขายของ”
“ใช่แล้วครับ”
“นายโกหก!”
ชายผมเงินตะคอกด้วยความโกรธจัด เขากำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนออกมา ดวงตาสีทองอำมหิตจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่พอใจ สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการโกหก และ เสแสร้ง
“ผมก็พูดความจริงแล้วนะครับ”
“ใช่เลย ! แต่นายพูดความจริงไม่หมดเท่านั้นเอง”
ฟีเดอาโก้ถอนหายใจ เมื่อรู้ว่ายังไงก็ไม่สามารถปิดบังอะไรชายคนนี้ได้แม้แต่น้อย จึงพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ
“จริงครับ ผมต้องขอโทษด้วย เพราะผมบอกความจริงได้เพียงเท่านี้”
ฟีเดอาโก้ตอบตรงๆ คำตอบนั้นจากเด็กหนุ่มทำให้บุรุษผมเงินค่อยๆคลายความโกรธลงบ้าง เขาค่อยๆสงบจิตใจแล้วกลับเป็นปกติ
“ช่างเถอะ อย่างน้อยนายก็พูดความจริง ฉันเองก็จะพูดความจริงบ้าง ไม่ว่านายจะเข้ามาทำอะไรที่นี่ แต่ขออย่างเดียวอย่าขวางทางงานของฉัน!”
ชายผมเงินพูดอย่างข่มขู่ ส่วนฟีเดอาโก้ได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบกลับ ที่แท้หมอนี่เองก็แฝงตัวเข้ามาในแผนกกักกันวัตถุอัปมงคลเพื่อจุดประสงค์บางอย่างเหมือนกันกับเขา
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะขวางทาง”
“ไม่รู้สิ ฉันแค่เตือนนายไว้ก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นบอกผมได้มั้ย ? คุณมาทำอะไรที่นี่กันแน่ผมจะได้ไม่บังเอิญไปขวางทาง”
“ฉันมาตามหาคน เขาเป็นญาติของฉัน ”
ฟีเดอาโก้ได้ยินน้ำเสียงเศร้าๆเจือปนมาเล็กน้อยจากปากของชายผมเงินคนนั้น
“ญาติเหรอครับ”
“ใช่ เขาถูกลักพาตัวไป ถูกกักขังไว้ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ ฉันได้ข่าวมาอย่างนั้น จึงมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ไง”
บัดนี้ฟีเดอาโก้พอจะเข้าใจเหตุผลที่เขาถูกชายคนนี้ติดตาม แอบสืบข้อมูลต่างๆนาๆแล้ว ที่แท้เพราะคิดว่าเขาเป็นชาวลอร์แซมเบิร์กเหมือนกันกับญาติคนนั้น คิดว่าบางทีถ้ารู้เรื่องของเขาแล้วอาจจะพอสืบหาข่าวคราวญาติคนนั้นได้บ้าง หรือพอจะรู้อะไรเพียงเล็กน้อยก็ยังดี
“ถูกลักพาตัว ! คุณแจ้งความแล้วประกาศหาเหรอยังครับ บางทีผมอาจจะช่วยหาญาติคุณด้วย”
ชายผมเงินหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินฟีเดอาโก้พูดแบบนั้น เขายืนขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมออกจากห้อง
“ขอบใจ แต่ฉันลองหมดทุกวิธีแล้ว”
“งั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอรูปถ่ายญาติคุณแล้วก็ชื่อของเขาด้วยครับ ผมจะได้ช่วยกระจายข่าวตามหาอีกแรง”
“ทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ และฉันเองก็ไม่คิดจะบอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับญาติของฉันให้นายรู้ด้วย ว่าแต่นายเถอะ จะยอมบอกฉันได้มั้ยว่านายแฝงตัวมาเรียนในนี้ทำไม”
“ผมก็มาตามหาคนเหมือนกันครับ”
ฟีเดอาโก้บอกชายผมเงินไปเท่าที่เขาสามารถบอกได้ เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้แล้วลุกขึ้นยืน เตรียมหนีหากถูกมันเซ้าซี้หาข้อมูลที่ลึกเกินไป
“เอ๋?! อย่าบอกนะว่านายมาตามหาญาติเหมือนฉัน”
“เปล่าครับเขาไม่ใช่ญาติ”
“งั้นเหรอ แล้วเขาเป็นใครกัน”
“เขาเป็นภัยระดับประเทศเลยครับ”
“เฮ้ย !”
“แล้วว่ากันว่าแฝงตัวอยู่ในแผนกนี้ ผมเลยมาสอดแนม”
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ภาระกิจใหญ่หลวงเลยนะ”
ชายผมเงินเองก็ลุกขึ้นเหมือนกัน พวกเขารีบเดินออกจากแผนกกักกันวัตถุอัปมงคลไปที่ลานกว้างด้านหน้ามหาวิหาร ซึ่งจากลานกว้างนี้ไปจะมีถนนคอนกรีตเชื่อมต่ออยู่สิบกว่าสาย ผู้คนอยู่เต็มลานไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นนักบวช นักท่องเที่ยวและนักศึกษา เดินว่อนกันขวักไขว่ ด้วยเสื้อผ้าและเครื่องแบบที่แปลกตากว่าสถานที่อื่นๆในเมืองซางตานีโอ
ฟีเดอาโก้ใช้จังหวะนี้เองรีบบอกลาชายผมเงิน แล้วเผ่นแนบอย่างรวดเร็วปะปนกับฝูงชนจากไปทันที เด็กหนุ่มหอบแฮกๆนึกโล่งใจ เมื่อไม่เห็นชายผมเงินคนนั้นแล้ว งานสายสืบวันแรกเล่นเอาเขาแทบจะเป็นบ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต้องมานั่งใกล้และสนทนากับชายผู้ดูเหมือนจะมองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่งนั่น
พรุ่งนี้จะไม่นั่งใกล้มันเด็ดขาด !
เด็กหนุ่มคิดในใจพลางกัดฟันกรอดๆด้วยความโมโห เขาเลี้ยวแยกตรงหน้าไปยังฝั่งตะวันออกของเมืองซางตานีโอ มันเป็นเส้นทางที่เขาใช้เพื่อเดินกลับร้านสังฆภัณฑ์ทุกครั้งที่ต้องมามหาวิหาร และที่สำคัญมันผ่านร้านขนมเค้กสุดโปรดของเขาด้วย
“เอาเหมือนเดิมครับ”
เด็กหนุ่มบอกแม่ค้าร้านขนมเค้กหน้าตาสะสวยที่ยืนขายของอยู่ หล่อนยิ้มทักทายแล้วก้มลงเอาเค้กช็อคโกแลตที่เขามักซื้อเป็นประจำออกมาใส่กล่อง ฟีเดอาโก้เห็นเค้กนั่นแล้วแทบน้ำตาไหลพร่าง เมื่อคืนนี้ของหวานสุดโปรดของเขาได้ถูกอาร์คบิชอปยูริเอลจากเมืองรีแบร์ รวมหัวกันกับอาร์คบิชอปราฟาเอลจากเมืองลอร์แซมเบิร์ก ซัดเรียบตัดหน้าเขาไปอย่างน่าเสียดายระหว่างรอประชุมอาร์คบิชอป เด็กหนุ่มมือสั่นเทาเมื่อเห็นเค้กสูตรพิเศษของร้านถูกนำใส่กล่องเรียบร้อย เขาพยายามควบคุมน้ำลายในปากเพื่อไม่ให้มันหยดติ๋งๆออกมา
“ฉันขอแบบนั้นสักสี่ห้ากล่องด้วย”
ทันใดนั้นก็มีเสียงห้าวๆของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง มันเป็นเสียงที่ฟีเดอาโก้ไม่อยากจะได้ยินสุดๆ ตั้งแต่อยู่ในชั้นเรียนแล้ว
“อ๊ะ ! บราเดอร์แซม ”
อยู่ๆแม่สาวคนขายเค้กก็ดีใจเสียออกนอกหน้า หล่อนทำเค้กที่กำลังจะยื่นให้ลูกค้าหลุดออกจากมือ หล่นตุบ ลงพื้นไปต่อหน้าต่อตาฟีเดอาโก้ เด็กหนุ่มยืนค้างนิ่ง เมื่อเห็นเค้กของเขาหล่นคว่ำลง เละแป๊ะ ที่พื้น
เอ็งตายซะเถอะ ไอ้ !
เด็กหนุ่มถึงกับต้องรีบข่มอารมตัวเองเพื่อไม่ให้พลั้งปากพูดอย่างที่คิดออกไป ไม่เช่นนั้นวาจาสิทธิ์ของเขาคงได้สังหารชายคนนั้นไปจริงๆ
“ไม่ได้เจอเสียนานเลย วันนี้ลมอะไรพัดมาที่ร้านฉันหรือคะ”
“ไม่ใช่ลมอะไรหรอก เพราะเธอน่ารักมากตั้งหาก ถ้าฉันมาแถวนี้ต้องแวะมาหาเธออยู่แล้ว”
ฟีเดอาโก้กัดฟันกรอดๆด้วยความโมโห เขาเห็นชายผมเงินคนที่เขาไม่อยากเจอะไม่อยากเจออีกเลยตั้งแต่อยู่ในชั้นเรียนแล้ว กำลังยืนพล่ามจีบแม่ค้าสาวอยู่ อย่างนั้น และดูท่าทางแม่ค้าคนนั้นจะรีบจัดแจงเค้กช็อกโกแลตจำนวนห้ากล่องสุดท้ายให้บุรุษผมเงินนั่นไปทั้งหมด โดยที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มผมขาวยืนโด่เด่มองตาปริบๆ
“ถ้าเป็นบราเดอร์แซม ฉันลดให้เป็นราคาพิเศษเลย”
“ขอบคุณครับ เธอเป็นแม่ค้าที่สวยจังนะ จิตใจก็งามด้วย ไว้ฉันเลิกเป็นบราเดอร์เมื่อไหร่จะมาสู่ขอให้ได้เชียว”
ดูเหมือนไอ้มุขจีบสาวนั่นจะได้ผลดีเกินคาด บวกกับใบหน้างดงามยิ้มแย้มแปล่งประกายนั้น ทำให้เจ้าหล่อนจ้องตาค้างแล้วยื่นเค้กช็อกโกแลตทั้งห้ากล่องให้ชายผมเงินที่ชื่อแซมนั่นไปฟรีๆ โดยไม่คิดเงินแม้สักเหรียญเดียว สรุปแล้วมันเป็นนักบวชแน่เรอะ!
“ไง ฟีเดอาโก้ บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ”
แซมว่าขณะเดินตามหลังฟีเดอาโก้ออกจาร้านเค้ก
“ครับ เจออีกแล้วบังเอิญจริงๆ”
“นายเรียกฉันว่า แซม ก็ได้”
ฟีเดอาโก้ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น เขากำลังอดกลั่นข่มอารมตัวเองไม่ให้ทำเรื่องโง่ๆออกไป และที่สำคัญเค้กของโปรดก็หมดเกลี้ยง ห้ากล่องสุดท้ายถูกชายที่ชื่อแซมถือไว้ในมือจนหมด
“เอาไปสิ ฉันให้ทั้งหมดนี่แหละ”
“ขอบคุณครับ แต่อย่าดีกว่า”
“ที่จริงแล้วฉัน ไม่ชอบขนมหวานหรอกนะ”
เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินจากไปเสียเฉยๆ สรุปแล้วที่พูดจาจีบแม่ค้านั่นเพราะอยากได้ของฟรีเหรอเนี่ย ช่างเป็นบุคคลที่อันตรายจริงๆ และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ร้านเค้กร้านเดียว ชายผมเงินตีสนิทกับทุกคนไปทั่ว ฟีเดอาโก้ได้ยินคนแถวนั้นร้องทักชายผมเงินกันลั่น เมื่อเขาเดินผ่านไปถึง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า พวกนักเรียนนักศึกษา หรือแม้แต่พวกวัยรุ่นที่ออกมาจับกลุ่มกันตอนใกล้ค่ำ
“ไงแซม !”
“ไงพวก”
และดูไปแล้วคนทั้งถนนจะรู้จักชายที่ชื่อแซมกันหมด เขาร้องทักทุกคนที่เห็น อีกทั้งดูท่าจะเป็นมิตรกับคนไปทั่ว ใครที่เขายังไม่รู้จักก็จะเข้าไปทำความรู้จักและตีสนิทได้อย่างรวดเร็ว แต่การกระทำทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการเสแสร้ง แท้จริงแล้วเขากำลังออกตามหาข่าวคราวของญาติเพียงคนเดียวที่หายสาบสูญไปเท่านั้น
“ช่วยไม่ได้ รีบกลับดีกว่า”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆด้วยความผิดหวัง เขาเดินห่อเหี่ยวไปจนถึงหน้าร้านสังฆภัณฑ์ รู้สึกว่าแขนขาขยับได้ยากลำบาก ฝืดเคืองไปหมด ร่างกายหนักอึ้ง ราวกับแบกข้าวสารทั้งกระสอบไว้ข้างหลัง การเรียนวันแรกถึงกับทำให้เหนื่อยหมดแรงขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วแบบนี้เขาจะซ่อมคทาอีกไม่รู้กี่พันด้ามบนห้องไหวมั้ยนะ
ฟีเดอาโก้หยุดหน้าประตูร้านสังฆภัณฑ์ที่ยังล็อกปิดสนิทเมื่อยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน เขาจึงหันหลังควานหาลูกกุญแจจากกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้ และตอนนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในถุงหิ้วขนาดใหญ่ ผูกโตงเตงติดกับสายสะพายกระเป๋าเป้ของเขา สิ่งนั้นคือเค้กทั้งห้ากล่อง ที่แซมเป็นคนซื้อไว้ ฟีเดอาโก้เบิกตาค้างมองเค้กพวกนั้นด้วยความตกใจ หมอนั่นมันเอามาผูกอยู่ที่เป้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพราะที่แน่ๆเขาไม่รู้สึกตัวเลยว่า บราเดอร์แซมคนนั้นเข้ามาใกล้จนถึงขั้นสามารถผูกเค้กทั้งห้ากล่องที่เป้ของเขาได้ตอนไหน ชายคนนั้นเคลื่อนไหวได้เงียบกริบ ไม่เหลือสัมผัสให้ตรวจจับได้ อีกทั้งวาจาที่สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้กระทำตามความต้องการของตนเอง รวมถึงสายตาที่อ่านฝ่ายตรงข้ามได้ทะลุปรุโป่รง
หมอนั่นมันเป็นใครกันแน่!
ฟีเดอาโก้หรี่ตาลงพลางขบคิดด้วยความหวาดระแวง ชายที่ชื่อแซมจะเป็นนักบวชชาวลอร์แซมเบิร์ก เข้ามาตามหาญาติเหรออะไรก็ช่าง แต่ที่สามารถลบจิตสัมผัสจนแม้แต่เขายังตรวจจับไม่ได้ นั้น ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ไม่รู้สึกถึงจิตของปีศาจ ไม่รู้สึกถึงจิตชั่วของเจตภูต ไม่รู้สึกถึงอำนาจชั่วร้ายใดๆ แต่ที่สัมผัสอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง นั่นตั้งหากมันดูผิดปกติเกินไป อาจเป็นนักบวชผู้ไร้พลัง เหรอถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คือปีศาจชั้นสูงที่สามารถลบกลิ่นไอตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแนบเนียน
เด็กหนุ่มยิ้มเหยียดออกมา การเข้าเรียนวันแรกของเขาดูจะไม่เหนื่อยเสียเปล่าอย่างที่คิด เป้าหมายที่ต้องตรวจสอบหาพบง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ ตัวจริงของแซมแห่งลอร์แซมเบิร์กเป็นใครกันแน่ เด็กหนุ่มก้มมองขนมเค้กในถุง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในร้างสังฆภัณฑ์แห่งเมืองซางตานีโอ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“นายใช้วิธีรุนแรงเกินไปนะ มิคาเอล ถ้าเกิดเจตภูตทำร้ายนักเรียนพวกนั้นจนตายไปจริงๆ ฉันคงเดือดร้อน”
อาร์คบิชอปผมทองเอ่ยขึ้นในห้องพักส่วนตัวของที่ทำการมหาวิหาร ตรงหน้าเขานั้นมีชายผมดำที่ยังแต่งตัวเป็นนักดนตรีสวมชุดหนัง นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้
“เกรย์ บริสตั้น ก็อยู่ในห้องด้วยทั้งคน เจตภูตพวกนั้นไม่คณามือมันหรอก แต่นายก็เห็นแล้วใช่มั้ยกาเบรียล”
“อืม เจตภูตในมีดของผู้ใช้ศาสตร์มืดมีปฏิกิริยากับใครบางคนในนั้น”
เจตภูตที่พุ่งออกมาจากมีดของผู้ใช้ศาสตร์มืดตนแล้วตนเล่าในชั้นเรียนเมื่อตอนกลางวัน เป็นหลักฐานชั้นดีถึงการมีตัวตนของผู้ใช้ศาสตร์มืดในหมู่ผู้เรียนทั้งห้าสิบคนนั้น ทั้งที่ในยามปกติเจตภูตจะหลับใหลภายในวัตถุสิงสถิต มีธรรมชาติเป็นจิตชั่วไม่มีกายเนื้อ จำเป็นต้องมีผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ซึ่งสื่อกลางนั้นได้รับการเรียกขานว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดมาตั้งแต่ในยุคโบราณ เป็นผู้ที่รับเอาเจตภูตเข้ามาในร่างกายตนเอง
“คราวนี้น่าจะหาเจอง่ายขึ้นแล้ว ฉันคงต้องไปไล่ล่าพวกมันในซิลเทียเรสบ้าง”
“ขอบใจมากนะมิคาเอล นายเองก็อย่าถอดวิญญาณมาที่นี่บ่อยนัก”
“เออน่า ”
สิ้นคำอาร์คบิชอบมิคาเอลก็หายวับไปในทันที ซิลเทียเรสอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัยนัก แม้เพียงสองสามนาทีการถอดจิตออกจากร่าง ก็อาจเกิดผลร้ายสุดจะคาดคิดได้ กาเบรียลลุกขึ้นยืน มองท้องฟ้าทางหน้าต่าง เขาเห็นเมฆมืดทึบดำทมิฬปรากฏขึ้นทางทิศใต้ พร้อมกับสายลมโหมพัดรุนแรงเข้ามาปะทะ มันไม่ใช่ลมบริสุทธิ์เหมือนกับที่พัดมาจากป่าเดียวดาย แต่มันคือสัญญาณเตือนถึงหายนะ
“สายลมจากนรก!”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
END/ เด็กหนุ่มสายลับ
ความคิดเห็น