ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Etolus boxes (กล่องอีทูลัส)

    ลำดับตอนที่ #10 : เด็กหนุ่มสายลับ (Spy boy)

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 61


     

                    “อิสซาเบลล่า ถูกกำจัดไปเสียแล้ว”

    ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังเก้าอี้ว่างเพียงตัวเดียวท่ามกลางห้องประชุมมืดทึบ  เก้าอี้ทั้ง 7 ตัวถูกตั้งเรียงรายคู่กับโต๊ะประชุมยาวเหยียด  เตรียมพร้อมไว้รับรองการนัดพบกันของผู้มาเยือนทั้งเจ็ด  แต่กลายเป็นว่าบัดนี้ กลับมีผู้นั่งบนเก้าอี้เพียงหกคนเท่านั้น

                    “ช่วยไม่ได้  ก็หล่อนอยากเปิดตัวแรงเอง”

    น้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นจากเก้าอี้ตัวที่ห้า 

                    “ใครเป็นคนทำ!

                    “ก็จะใครซะอีก  นอกจากพวกบริสตั้น!

    ทันใดนั้น ก็มีเสียงอะไรสักอย่างแตกดังเพล้ง ! ใครสักคนในห้องบีบแก้วไวน์ในมือจนแตกละเอียดด้วยความโกรธจัดเมื่อได้ยินเพียงชื่อ  “บริสตั้น”  แม้ผู้ประชุมอีกสี่คนจะยังไม่ยอมพูดอะไร  แต่ความรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรงก็ทำให้ห้องทั้งห้องร้อนระอุ

                    “ฝ่ายนั้น........... เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

    น้ำเสียงเยือกเย็นชวนขนลุกราวกับเสียงภูตผีดังขึ้นจากบุรุษผู้นั่งเก้าอี้ประธาน   ท่ามกลางห้องโถงประชุมขนาดใหญ่มืดสนิท มีเพียงตรงหน้าเขาเท่านั้น ที่มีเทียนจุดให้ความสว่าง   ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ  ใช้ฮูดคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า  ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นสะท้อนแสงเทียนวาววับออกมา  ทุกคนเห็นเขากำลังมองหนังสือที่กางไว้เล่มหนึ่ง  ก่อนที่พริบตานั้นเจ้าตัวก็ยิ้มเหยียด   เมื่อรายชื่อในนั้นเริ่มจางลงและหายวับไปต่อหน้าต่อตาเขา

                    “จริงเหรอท่านซามาเอล”

                    “อื...ม”

                    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรีรอกันอยู่อีกทำไม ไปกำจัดพวกมนุษย์โสโครกให้หมดๆได้แล้ว”

                    หลังจากนั้นก็เริ่มมีเสียงร้องสนับสนุนดังลั่นทั้งห้องประชุม  เหล่าขุนพลปีศาจที่เพิ่งคืนชีพกันครบได้ไม่นานนัก  อีกทั้งยังโชคร้ายหนึ่งในเจ็ดถูกกำจัดไปเรียบร้อยด้วยฝีมือของคู่อาฆาตเก่าแก่  ทั้งหมดต่างพากันคันไม้คันมือ จิตใจคับแค้นแทบระเบิด  เกิดความชิงชังต่อมนุษย์อย่างเหลือแสน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลบริสตั้น

                    “เชิญตามสบาย   แต่อย่ายุ่งกับพวกบริสตั้นเด็ดขาด!

                    คำพูดนั้นทำเอาขุนพลปีศาจทั้งห้า นั่งอึ้งกันเป็นแถว   ด้วยไม่เข้าใจว่าซามาเอลจะห้ามพวกเขาไปทำไม  หรืออยู่ๆเกิดห่วงสวัสดิภาพ รักพวกพ้องขึ้นมากะทันหัน   กลัวว่าจะมีใครบางคนในหมู่พวกเขาต้องถูกกำจัดไปอีก  แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของซามาเอลที่เหล่าขุนพลปีศาจรู้จักอย่างแน่นอน

                    “ข้าจะเป็นผู้ส่งพวกมันลงนรกด้วยตัวข้าเอง   เชิญพวกเจ้าเล่นกับพวกมนุษย์ตามใจชอบเถอะ  เพราะจุดประสงค์ของข้าคือคืนชีพนายท่าน”

    ว่าแล้วพริบตานั้น เปลวเทียนก็ดับลงในทันที  พร้อมๆกับที่ชายชุดดำซามาเอลก็ได้จากไปแล้วเช่นกัน

                    “ฉันรู้ว่าท่านซามาเอลรักนายท่านมาก  พวกเราเองก็เช่นกัน  แต่ที่บอกว่าจะเก็บพวกบริสตั้นไว้เล่นคนเดียวเนี่ยฉันไม่ยอมนะ!

                 “เงียบทีเถอะเฮลเลน่า ไปละเลงเลือดกันดีกว่า  เมื่อนายท่านคืนชีพขึ้นมาท่านจะได้ยินดี”

                 “ถ้างั้นก็จงล้างคอรอได้เลย เจ้าพวกทูตสวรรค์ !

     

    สิ้นเสียงนั้น ขุนพลปีศาจทั้งหมด ต่างก็ลุกขึ้นแยกย้ายกลับไปทำตามจุดมุ่งหมายของตน พวกเขาแฝงกายอย่างแนบเนียน  ปะปนกับพวกมนุษย์ การเตรียมการนับร้อยๆปีบัดนี้ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

                       อีกด้านหนึ่งการเรียนในระดับโปรครั้งแรกของฟีเดอาโก้   เด็กหนุ่มผมขาวแห่งร้านสังฆภัณฑ์ก็เริ่มขึ้น  เจ้าหนูที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเคยเดินป้วนเปี้ยนเรียนชั้นพื้นฐาน  ก็ได้เลือนขั้นแบบกะทันหัน  มันเป็นการก้าวกระโดดจากระดับฝึกหัดมาเป็นชั้นโปรระดับผู้เชี่ยวฉาญได้ภายในไม่กี่วัน ซึ่งตามธรรมเนียมปกติต้องใช้เวลานับสิบปีหรือมากกว่านั้น  คนในชั้นเรียนจึงมีประชากรส่วนใหญ่อายุยี่สิบปลายๆจนถึงห้าสิบ หรือบางคนก็ชราจนผมขาวโพลนกันแล้ว  มันทำให้เด็กหนุ่มหน้าซีดกลัวว่าความจะแตก   สายลับต้องไม่ทำตัวเด่น  ต้องเข้ามาอย่างแนบเนียนไม่ให้เป็นที่สังเกต   แต่ไอ้แบบที่คนทั้งห้องหันขวับมาจ้องเขาพริบเป็นตาเดียวด้วยความตกตะลึงแบบนี้  งานสายสืบคงเละ

                          ความแตกวันแรกแน่ๆ

           สายลับฟีเดอาโก้เริ่มเครียดจัด เหงื่อแตกพลักๆ เมื่อสายตาของผู้ร่วมชั้นเรียนแต่ละคนนั้น ยังจับจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความสงสัยใคร่รู้  ทำไมอยู่ๆเด็กที่เพิ่งเรียนในชั้นฝึกหัด  ดูจากรูปลักษณ์อายุก็น่าจะประมาณสิบห้าปีเท่านั้น    แต่ดันข้ามขั้นมาเรียนรวมกับพวกที่เขาเป็นมืออาชีพกันแล้วแบบนี้ได้   อีกทั้งมีข่าวลือแปลกๆเรื่องใช้เส้นอาร์คบิชอป แต่ถึงกระนั้นมันก็เหลือเชื่อเกินไป

                    “เฮ้ยเด็กใหม่  มานั่งตรงนี้สิ”

    ทันใดนั้นก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาช่วยเขาไว้ทันเวลา  ฟีเดอาโก้หันขวับไปที่ต้นเสียง  ก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่

                    “ขอบคุณครับ”

    ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นขณะนั่งลงข้างๆเขา 

                    “เออ  ไม่เป็นไร ก็มันว่างตรงนี้ที่เดียว”

     และตอนนั้นเอง  เด็กหนุ่มรู้ก็สึกถึงสาเหตุที่ยังมีที่ว่างเหลืออยู่ข้างๆชายคนนี้   บุรุษผู้มีดวงตาสีทองราวกับปีศาจ ให้ความรู้สึกว่าสามารถมองฝ่ายตรงข้ามได้ทะลุปรุโปร่ง  รวมทั้งบรรยากาศหนาวเหน็บวังเวงชวนขนลุก  แบบนี้ใครจะอยากมานั่งใกล้   เขามีผมสีเงินยาวเงางาม ผิวขาวซีดอย่างน่ากลัว  ฟีเดอาโก้เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง  บางทีการถูกกวักมือเรียกให้มานั่งใกล้ๆแบบนี้  เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างแล้วก็เป็นได้  แผนการมาสืบข่าวคราวไส้ศึกคงจะได้ความแตกเอาสามนาทีแรกตั้งแต่เข้าห้องเรียนแน่ๆ

                    “นายอายุเท่าไหร่”

    จากนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มถูกชายผมเงินคนนั้นระดมยิงคำถาม 

                    “สิบห้าครับ”

                    “งั้นเหรอ  ไม่เลวนะ ฉันใช้เวลาเรียน 10 ปี เพื่อเป็นพรตสายพิฆาตความมืด  จากนั้นก็มาเรียนต่อระดับโปรทางด้านกักกันวัตถุอัปมงคลอีก 4 ปี เพื่อเข้าทำงานในมหาวิหาร ตอนนี้อายุฉันก็ยี่สิบเก้าปีไปแล้ว   ถือว่าอายุน้อยสุดสำหรับโปร  นายไปทำยังไงถึงเข้าเรียนได้ ตั้งแต่ยังตัวเท่านี้”

                    ฟีเดอาโก้ได้แต่นั่งเอ๋อสมองว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด  เขาไม่ได้เตรียมใจที่จะโดนระดมยิงคำถามพวกนี้มาแต่แรก ทั้งที่คิดว่าแค่เข้ามานั่งเรียนแล้วแอบเก็บข้อมูลที่ผิดปกติกลับไปก็เท่านั้น

                    “เขาว่ากันว่า นายใช้เส้นอาร์คบิชอปเข้ามา จริงเหรอเปล่า”

    เด็กหนุ่มยังถูกถามต่อเรื่อยๆ  จนเขาเริ่มที่จะปวดหัว  เอาวะใช้เส้นก็ใช้เส้น

                    “จริงครับ”

    ฟีเดอาโก้ยอมรับตรงๆ  ใครจะไปกล้าบอกละว่า  เขาปลอมตัวมาสืบข่าวตามหาสายของปีศาจที่แทรกซึมอยู่ที่ไหนสักแห่งในแผนกนี้

                    “นั่นสิ ที่จริงก็สมควรอยู่หรอก  จะให้พวกที่เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ไปนั่งเรียนตั้งแต่ขั้นฝึกหัด จนจบหลักสูตรเป็นสิบสิบปี ตามกฎระเบียบได้ยังกัน”

    ชายผมเงินเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย  แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ฟีเดอาโก้ต้องหันขวับไปมองเขาด้วยความตกใจ

    ทำไมหมอนี่ถึงรู้ว่าเขาเคยเรียนขั้นฝึกหัด ซ้ำยังรู้ว่าเขามีฝีมือระดับไหน  นี่มันหมายความว่ายังไง!

                    “เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันยังเห็นนายป้วนเปี้ยนเรียนในคลาสฝึกหัด  แล้วยังเห็นนายเข้าๆออกๆร้านสังฆภัณฑ์ของมหาวิหารบ่อยๆ  พอถามร้านค้าแถวๆนั้นดู ก็ได้คำตอบว่านายเป็นช่างทำคทากับอาวุธลงอาคม”

     

    คำพูดของชายผมเงินนั้นทำให้ฟีเดอาโก้แน่ใจทีเดียวว่า  ตัวเขาถูกคนคนนี้เฝ้ามองอยู่แน่ๆ

                    “คุณทำอย่างนี้ทำไม”

                    “อะไรละ ที่ว่าทำ “อย่างนี้””

                    “ทำไมต้องเฝ้ามองผมด้วย”

                    “..............................”

    ชายผมเงินคนนั้นเงียบไปพักหนึ่ง  ดูท่าทางแล้วเขาคงจะถูกเข้าใจผิด ถูกคิดว่าเป็นพวกสโตกเกอร์ ถ้ำมองคนอื่น

                    “ฉันแค่สนใจนายนิดหน่อย”

                    “อะไรนะ!

                    “นานๆทีจะเห็นชาวลอร์แซมเบิร์กสายพันธุ์แท้เหมือนกันมาเรียนที่นี่นะสิ”

     

    คำตอบที่ว่ามานั้นไม่ทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นแม้แต่น้อย  ซ้ำยังทำให้ฟีเดอาโก้ถึงกับตื่นตระหนก รู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนี้เป็นครั้งแรก  เพราะแม้แต่เรื่องที่เขาเคยอยู่ที่ลอร์แซมเบิร์กซึ่งข้อมูลนี้ถือว่าลับสุดยอดแล้วชายคนนี้รู้ได้ ยังไง

                    “พอที   ไม่ต้องทำตาเหลือกแบบนั้น   ฉันดูแค่สีผมกับสีตาของนาย  ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นชาวลอร์แซมเบิร์ก”

                    “อย่างนั้นเองหรือครับ”

    ฟีเดอาโก้ค่อยเบาใจลงบ้าง  อย่างน้อยๆชายคนนี้คงไม่ได้รู้ลึก  จนถึงขั้นรู้ว่าตัวเขาคือกล่องอีทูลัสกักวิญญาณของลูซิเฟอร์ไว้   หากเป็นเช่นนั้นคงต้องลบความทรงจำไม่ก็ทำให้หายสาบสูญไปซะ

                    “สีผมที่เป็นโทนสีเทา  สีขาว หรือ สีเงิน  รวมถึงสีของดวงตา ที่เป็นสีทอง หรือสีเขียว    สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าเป็นชาวลอร์แซมเบิร์กสายเลือดบริสุทธิ์   ฉันแค่เห็นชาวเมืองบ้านเกิดเดียวกันมาเรียนที่นี่ ก็เลยแอบสงสัยว่านายมาทำอะไรที่ซางตานีโอกันแน่เท่านั้น  ฉันไม่ใช่พวกสโตกเกอร์หรือพวกน่าสงสัยอะไรนะ วางใจได้เลย”

     แม้มันจะเป็นความจริงเรื่องที่เขามีสีผมขาวโพลนทั้งหัว  ดวงตาสีทองแบบคนสัญชาติลอร์แซมเบิร์ก  แม้กระทั่งอาร์คบิชอบราฟาเอลก็ยังมีผมสีเงิน ตาสีเขียว อมทอง ด้วย จึงไม่แปลกนักที่จะถูกเข้าใจว่าเป็นคนเมืองลอร์แซมเบิร์กง่ายๆ

    “นายชื่อฟีเดอาโก้ใช่มั้ยเด็กใหม่”

    “คุณรู้แม้แต่ชื่อของผมเลยหรือครับ!

    ชายผมเงินคนนั้นเห็นฟีเดอาโก้ทำตาเหลือกด้วยความตกใจ  ก็รีบชี้ไปที่รายชื่อนักเรียนบนผนังใกล้ๆพวกเขา

                    “ชื่อนายขีดเส้นแดงไว้อย่างเด่น  ใครๆก็เห็น    หืม!

    ชายคนนั้นอยู่ๆก็ทำปากการ่วงจากมือด้วยความตกใจ  ดวงตาสีทองของเขาเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่อกเสื้อของเจ้าหนูคนข้างตัว  บัดนี้เขาพอจะรู้แล้วว่า ทำไมเจ้าเด็กนี่จึงเรียนในชั้นระดับพื้นฐานไม่ได้

    “สัญลักษณ์กางเขนหนาม  นายเป็นเอ็กซอซิสชั้นเซียนเลยเหรอเนี่ย !

    สำหรับคนทั่วไปแล้วตรากางเขนหนามเป็นที่รู้กันว่าเป็นสัญลักษณ์ของสุดยอดนักปราบปีศาจสามอันดับแรกที่พวกอาร์คบิชอปทั้ง 7 นครได้มอบให้กับผู้ที่เหมาะสม  ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือตราประจำตระกูล  บริสตั้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่พวกรุ่นแรกๆได้ตู่เอาไว้เพื่อกลบเกลื่อนความจริง  ฟีเดอาโก้ยิ้มแห้งๆนึกโมโหกับมุขโกหกงี่เง่าอีกเรื่องที่ทำให้เขาปวดหัว  แต่มันก็ช่วยได้มากเพราะทำให้คนที่เห็น เลิกสงสัยในการเข้าเรียนแบบข้ามขั้นนี้ไปได้

    “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

    “ฉันเข้าใจแล้ว  ว่าทำไมอาร์คบิชอปถึงให้นายมาเรียนคลาสนี้  ยินดีต้อนรับไอ้หนู   แล้วนาย .....ตอนอยู่ลอร์แซมเบิร์กทำมาหากินอะไรก่อนเข้าเรียนที่ซางตานีโอ   เรียนคลาสนี้ได้ทางบ้านต้องรวยเชียวนะ”

    ฟีเดอาโก้เริ่มขยับยิ้มแห้งๆ นี่เขาต้องมาเจอกับไอ้จอมจุ้นจ้านขุดคุ้ยตั้งคำถามตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนเลยงั้นเหรอ!  ซ้ำร้ายยังถูกมันเฝ้ามองอีกตั้งหาก  สรุปแล้วตัวเขามาสอดแนมหรือถูกสอดแนมกันแน่

    “ผมเป็นทาสครับ”

    คำตอบนั้นทำให้ชายผมเงินเงียบไปพักหนึ่ง  เขามองเจ้าหนูข้างๆตนตาปริบๆ  ตอนแรกแม้จะไม่เชื่อนัก แต่ที่ข้อมือของฟีเดอาโก้มีร่องรอยการถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนของทาสอยู่จริงๆ ที่ปากบางๆนั้นยังมีร่อยรอยการถูกเย็บที่บริเวณริมฝีปากให้ประกบติดกัน  แม้รอยแผลทั้งหมดนั้นจะจางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว

                    “ทำไมนายต้องถูกเย็บปากด้วย”

                    “เพราะพวกนั้นไม่อยากให้ผมพูด”

    นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ชายผมเงินเลือกที่จะไม่ตั้งคำถามอะไรอีกต่อไป  เขาหันหน้ากลับแล้วนั่งเงียบ  ในใจไม่ได้นึกสงสาร แต่กำลังขบคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่ต้องมีการเย็บปากทาสแบบนั้น   แสดงว่าเจ้าเด็กนี่ต้องรู้ข้อมูลสำคัญบางอย่าง  จนถูกเย็บปากเพื่อกันไม่ให้พูดแน่ๆ

                    “เข้าใจแล้ว   ฉันจะไม่ถามอะไรนายอีก  โทษทีนะ”

                    “ไม่เป็นไรครับ”

    แล้วชายผมเงินก็หยุดตั้งคำถามจริงๆ  เพราะพริบตานั้นเองอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบวัตถุอัปมงคลก็เข้ามาสอนในชั้น   ฟีเดอาโก้เริ่มทำเป็นกางหนังสือ และจดบันทึก ทำตัวเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ   ดูเหมือนว่าการแยกแยะสิ่งของต้องสาป  ที่มีจิตชั่วร้ายสถิตอยู่นั้น สำหรับคาบเรียนนี้ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก

    เด็กหนุ่มเห็นผู้สอนใช้เครื่องไม้เครื่องมือตรวจสอบตั้งหลายชิ้น  อีกทั้งบรรยายวิธีใช้วิธีสังเกตมิเตอร์แปลกๆนั่นจนเขาเริ่มปวดหัว    ซ้ำยังต้องให้พรตสายพิฆาตความมืดอีกสี่คนกางเขตอาคมไว้

                    “ดูยุ่งยากจังเลย”

                    “นั่นเป็นวิธีสำหรับพวกไม่มีญาณ  ไร้จิตสัมผัสใดๆ”

    ชายผมเงินเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินฟีเดอาโก้บ่นพึมพำออกมา   การตรวจสอบสิ่งของแปดเปื้อนความชั่วร้ายดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างเหลือเชื่อ สำหรับนักบวชธรรมดา  การจับวัตถุพวกนั้นก็ต้องใช้ถุงมือกันสิ่งชั่วร้าย และทำการตรวจสอบหรือเคลื่อนย้ายในเขตอาคมเท่านั้น  

                    “อย่างนายแค่มองก็น่าจะรู้แล้วสินะ”

                    “ครับ”

                    “ถ้างั้นของสามอย่างบนโต๊ะนั่น   นายว่าเป็นอันไหนที่เป็นวัตถุอัปมงคล”

     

    ฟีเดอาโก้มองไปที่ของสามอย่างบนโต๊ะของผู้สอน  บนนั้นมีแหวน   รองเท้า  และมีดสั้น วางไว้เพื่อให้ผู้เข้าเรียนแต่ละคนทดลองตรวจสอบหาวัตถุอัปมงคล โดยวิธีการที่เรียนในคาบเรียนนั้นมันดูวุ่นวายจนเด็กหนุ่มถอนหายใจ   ฟีเดอาโก้หลับตาลง  ก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องไปที่วัตถุสามชิ้น  และสิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่แค่ภาพวัตถุ  แต่มันสะท้อนไอทมิฬสีดำของจิตชั่วร้ายกลับมาด้วย  เด็กหนุ่มเห็นมีดสั้นเล่มนั้น  กำลังแผ่ความมืดออกมาเหมือนกับกลุ่มควันสีดำสนิทที่มีชีวิต  สิ่งนั้นฟุ้งกระจายออกมา  มีเสียงร้องโหยหวน กรีดร้องจากผู้ที่อยู่ในแดนนรก

                    “มีดนั่น !

                    “เออ  มีดของผู้ใช้ศาสตร์มืด  จิตชั่วที่กำลังออกมานั้น ไม่ใช่จิตชั่วธรรมดา  แต่มันเป็นเจตภูต ที่เกิดจากการหลอมรวมของวิญญาณมนุษย์และจิตปีศาจในนรก ”
     

    ฟีเดอาโก้มองไปยังมีดนั้น  เขามองเห็นวิญญาณสีดำที่กำลังร้องโหยหวนอย่างทรมาน  พวกมันเป็นวิญญาณที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้อีกแล้ว  เพราะเมื่อยังเป็นมนุษย์พวกนั้นได้ทำสิ่งเลวร้ายมากมายตามความปรารถนาของตนโดยอาศัยอำนาจจากปีศาจ  ดวงวิญญาณเริ่มตายจากความดี ค่อยๆชั่วช้าลงและในที่สุดเมื่อกลายเป็นวิญญาณสีดำสนิท ก็จะถูกดึงลงสู่หลุมนรก  กลายเป็นเจตภูตร่ำร้องด้วยความหิวกระหาย  ต้องการกลืนกินดวงวิญญาณอื่นๆอย่างไร้ที่สิ้นสุด  พลังอำนาจสีดำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย   สามารถกัดกินผู้ที่แตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ   ทว่าอำนาจจากเจตภูตยิ่งมีมากเท่าใด ก็ยิ่งทวีอำนาจทรงพลัง ให้กับผู้ใช้ศาสตร์มืดเท่านั้น  เพียงแต่เมื่อถึงที่สุดแล้วผู้ใช้เองก็ต้องเป็นดุจเดียวกับเจตภูต  ถูกความชั่วร้ายกัดกินร่างกายและวิญญาณ ตายอย่างทรมานทั้งในโลกนี้และในนรกอันไม่รู้จบ

     

                    “ของอันตรายขนาดนั้น  ควรเอาใส่กล่องกักปีศาจแล้วลงอาคมไว้ดีกว่านะครับ  เอาออกมาในที่เปิดโล่งแบบนี้ถ้าไปแปดเปื้อนใครเข้า หรือเจตภูตหลุดออกไปนอกห้อง มันได้เป็นภัยร้ายแรงแน่”

     

    ฟีเดอาโก้เอ่ยขึ้นด้วยความไม่ไว้วางใจ  แถมผู้สอนเองพอสอนเสร็จก็จากไป  ทิ้งของอัปมงคลไว้กับนักเรียน  แม้มันจะเป็นเจตภูตที่มีอำนาจน้อย และถึงจะมีนักบวชสายพิฆาตความมืดถึงสี่คนกางเขตอาคมไว้แล้ว  แต่เขาก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่าสี่คนนั่นจะเอาอยู่หรือไม่ 

     

    “ก็เพราะนี่เป็นชั้นเรียนของพวกโปร   แต่ที่นายพูดมานั่นสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญนะ นายยังไม่ตอบเลยว่าของสามอย่างนั่นอันไหนเป็นวัตถุอัปมงคล”

    “ ทั้งสามชิ้นเลยครับ”

    “หืม?

    “แม้จะเป็นจิตชั่วร้ายที่ไม่เข้มข้นเท่ามีดนั่น   แต่ทั้งในแหวนและรองเท้าก็มีจิตชั่วอ่อนๆ”

    คำตอบนั่นของฟีเดอาโก้ทำให้บุรุษผมเงินขยับยิ้มออกมา  เขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มเขียนคำตอบในแบบทดสอบ ว่า  สามชิ้น  ในข้อสอบที่ถามคำถามเดียวกับเขา

                    “ลองนายตอบแบบนั้นได้ตกคลาสนี้วันแรกแน่”

                    “เอ๋!   ผมตอบผิดเหรอ”

                    “ของที่จัดว่าเป็นวัตถุอัปมงคล หมายถึง วัตถุที่สามารถส่งผลร้ายต่อผู้ที่สัมผัสหรือมีไว้ในครอบครองได้  แหวนกับรองเท้านั่นแม้จะมีจิตชั่วร้ายอ่อนๆจากผู้สวมใส่ที่อาจเป็นฆาตกร หรือแม้แต่คิดเรื่องเลวๆ   แต่นั่นก็ไม่สามารถทำอันตรายใครได้ หรอก”

     

    ชายผมเงินชี้ไปที่หนังสือเรียนหน้าสิบห้าพลางหัวเราะเยาะเบาๆ ในนั้นมีการอธิบายความหมายของวัตถุอัปมงคลแบบที่กล่าวมาเป๊ะ

                    “ไอ้หนูบอกไว้เลยว่า  ถ้าเป็นโปรแค่ภาคปฏิบัตินายตกแน่”

    ฟีเดอาโก้ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เมื่อรู้ว่าความสามารถภาคปฏิบัติที่เจอกับสถานการณ์จริง มันไม่เพียงพอกับความรู้ที่ต้อง      ใช้ในคลาสของพวกโปรเลยสักนิด  แล้วนี่เขาต้องหัดใช้เครื่องมือพวกนั้น  แถมยังต้องมานั่งท่องหนังสืออีกเป็นร้อยๆเล่มใช่มั้ย  เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดๆนึกโมโหกับแผนการของเหล่าเจ็ดอาร์คบิชอปที่ส่งตัวเขามาที่นี่  แต่ทันใดนั้นเอง เพียงครู่เดียวที่เขากำลังก้มหน้าก้มตามองหนังสือเรียน  อยู่ๆเสียงระเบิดจากอะไรสักอย่าง  ก็ดังตูมตามลั่นสนั่นห้องเรียน   ร่างของนักบวชที่กางเขตอาคมคนหนึ่ง กระเด็นออกมาด้วยแรงจากการระเบิดผ่านหน้าเขาเฉียดฉิวไปกระแทกกับพื้นแล้วสลบแน่นิ่ง

                    “เกิดอะไรขึ้นครับ!

      ฟีเดอาโก้ร้องถามชายผมเงินด้วยความตกใจ   เพราะดูเหมือนว่าคนในชั้นจะทำมิเตอร์วัดจิตชั่วร้ายระเบิดขณะใช้ตรวจสอบจิตชั่วร้ายจากมีดของผู้ใช้ศาสตร์มืด

                    “เอาแล้วมั้ยละ !

    ชายผมเงินเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น   เมื่อพบว่า เจตภูตในมีดลงอาคมนั้น  อยู่ๆมันก็เก่งขึ้นมาเฉยๆอย่างผิดธรรมชาติ  จิตชั่วร้ายขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นแล้วทำลายเขตอาคมที่นักบวชทั้งสี่กางเอาไว้  ความร้ายกาจของมันทำให้แม้แต่มิเตอร์ของนักเรียนที่กำลังหัดวัดค่าสิ่งชั่วร้ายอยู่นั้นถึงกับระเบิดออกมา  เมื่ออำนาจของมันสูงลิบลิ่วเกินขีดความสามารถของเครื่องวัดไปแล้ว 

                 กลุ่มเจตภูตสีดำโพยพุ่งออกมาจากมีดบินร่อนฉวัดเฉวียน  พุ่งใส่คนในห้องหมายจะกลืนกินวิญญาณพวกเขาแม้จะพอมีวิธีการเอาตัวรอดจากเจตภูตร้ายได้บ้าง   แต่บางคนนั้นสร้างเขตอาคมป้องกันตัวเองไม่ทัน 

                    “หนีไป!

    ฟีเดอาโก้ร้องลั่น  เด็กหนุ่มกระโดดหลบเจตภูตขึ้นไปเหยียบบนโต๊ะเรียน 

                    “ฉันกางเขตอาคมกักมันไม่หมด!

    ชายผมเงินว่า  ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างสนุกตื่นเต้นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเครียดจัดทันที  เมื่อเจตภูตที่เขาควบคุมไว้ได้สามสี่ตนนั้น  จะเรียกพักเรียกพวกแห่กันมาอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันตน ต่างโพล่พรวดออกมาจากกลุ่มควันสีดำที่ยังแผ่ออกมารอบๆมีดสั้นเล่มนั้นเรื่อยๆ    ห้องเรียนทั้งห้องดูเหมือนจะเป็นสีดำของยามกลางคืนไปเสียแล้ว   ทั้งเสียงเอะอะโวยวายลั่น  นักเรียนวิ่งพล่านชนกันเอง  รีบหนีเอาตัวรอด   บ้างล้มลุกคลุกคลาน  เจตภูตที่ตอนแรกมีแค่สองสามตนนั้น อยู่ๆก็โผล่มาเป็นร้อยเป็นพัน !

                    “ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย!

    นักบวชบางคนเริ่มถูกเจตภูตครอบงำ ห้องทั้งห้องตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับรังของเจตภูตในนรกไปเสียแล้ว

     

                    “บ้าเอ้ย” 

    เด็กหนุ่มผมขาวโวยวายออกมาอย่างโมโหสุดขีด  เขาไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากกางสายสิญจน์เลเซอร์ด้วยมือทั้งสองข้าง   สายสิญจน์ที่เมื่อครั้งโบราณกาลถูกนำมาใช้ดักจับกักขังภูตผีปีศาจ หรือสร้างเขตอาคม  สายสิญจน์ที่เคยเป็นเพียงแค่เชือกลงอาคม บัดนี้ถูกพัฒนาโดยตระกูลบริสตั้น  กลายเป็นเลเซอร์แสงศักดิ์สิทธิ์สีแดงเรืองรอง  ปรากฏขึ้นทั่วทั้งห้อง 

                    “นั่นมันอะไรเนี่ย!

    หลายคนร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นแสงเลเซอร์ปรากฏเบียดเสียดซ้อนทับกันเต็มห้องเรียน ราวกับใยในรังของแมงมุม    พร้อมๆกับเจตภูตทั้งหมดนับร้อยพันตน ถูกตรึงไว้แน่นิ่งกลางอากาศเสียง่ายๆ    ก่อนที่เด็กหนุ่มจะล้วงเอากล่องอะไรสักอย่างในกระเป๋าเป้ออกมา   ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้น   ชายผมสีเงินที่อยู่ใกล้ๆกำลังจับจ้องด้วยดวงตาสีทองอย่างตื่นเต้น       

                            ใช่แล้ว  ! ตอนนี้แหละ   เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เห็นทักษะการปราบปีศาจจากสุดยอดหนึ่งในสามเอ็กซอซิส ระดับท็อปของเจ็ดหัวเมือง 

                 แต่โชคร้ายนัก  ที่การคาดหวังของชายผมเงินจะต้องพังพินาศไปในพริบตา    เพราะเมื่อดูดีๆแล้ว  กล่องเล็กๆที่เจ้าหนูฟีเดอาโก้เพิ่งล้วงออกมาใช้เป็นอาวุธสู้กับปีศาจนั้นมันจะเป็นแค่.......

    “กล่องดินสอเนี่ยนะ!

    ชายผมเงินร้องออกมาด้วยผิดหวัง เพราะสิ่งที่เจ้าหนูนั่นเอาออกจากเป้มาสู้กับเจตภูตนับร้อยพัน    มันจะเป็นแค่กล่องพลาสติกใส่เครื่องเขียน ไม่ใช่กล่องกักปีศาจในตำนานแบบที่เขาจิตนาการไว้

     

    “วุ่นวายที่สุด”

    ฟีเดอาโก้บ่นงึมงำพลางเทดินสอ ยางลบ ปากกา ในกล่องใบนั้นทิ้งไปอย่างโมโห  มันดูจะเป็นการกระทำสุดงี่เง่า  จนนักเรียนบางคนเริ่มหัวเราะเยาะ  หลายคนมองเขาด้วยความงุนงงสงสัย   ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเจ้าหนูคนนี้กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่   

                        เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นทุกอย่างก็ถูกเฉลย   หมู่เจตภูตเป็นพันๆตนที่โดนตรึงไว้ด้วยเลเซอร์จนห้องมืดสนิท  อยู่ๆก็ถูกกล่องดินสอธรรมดาสูบลงกล่องจนสิ้นซาก   ห้องเรียนที่เคยมืดสนิทก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง   การรับมือกับปีศาจสุดแปลกและเด็ดขาดของฟีเดอาโก้  ทำเอาคนทั้งห้องหันขวับ จ้องพรึบมองเขาเป็นตาเดียว    เด็กหนุ่มได้แต่ยืนค้างพลางยิ้มแห้งๆใส่   แล้วทำตัวเนียนเปลี่ยนเรื่องเป็นแนะนำสินค้าตัวใหม่ของร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อเอาตัวรอดและทำลายความเงียบ

                    “นี่คือกล่องอีทูลัสมินิครับ  สนใจก็มาเลือกซื้อกันได้ที่ร้านสังฆภัณฑ์เมืองซางตานีโอ”  

     

    เหตุการณ์นี้ทำให้กล่องอีทูลัสมินิ  สินค้านำเข้าจากเมืองรีแบร์ ขายหมดเกลี้ยงทั้งร้านภายในวันเดียว    การแนะนำสินค้าของเขาได้ผล     แต่ก็ดูเหมือนว่าปัญหาจะไม่จบลงแค่นั้น  เพราะยังมีนักเรียนอีกคนยังนอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น   เขาคือหนึ่งในสี่ผู้ที่กางเขตอาคมเมื่อครู่นั่นเอง    และดูเหมือนว่าจะถูกเจตภูตเข้าสิงได้เสียแล้ว

                    “รีบพาเขาไปพบอาร์คบิชอป  เร็ว!

    พวกนักเรียนในห้องตื่นตระหนก พยายามจะพาเขาไปพบอาร์คบิชอปกาเบรียลผู้เชี่ยวชาญการขับไล่เจตภูตแต่ฟีเดอาโก้ยืนขวางประตูไว้  ร้องห้ามไม่ให้ผู้ใดแตะต้องชายที่ถูกสิง  การสัมผัสร่างกายของผู้ถูกเจตภูตสิงโดยตรงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง  วิญญาณจะแปดเปื้อน ถูกความชั่วร้ายกัดกินจนถึงแก่ชีวิต 

                    “ไม่เป็นไรครับ  เขายังถูกเจตภูตกัดกินไม่ลึกมาก”

    นักเรียนทั้งหมดต่างเข้ามามุมดูเด็กหนุ่มผมขาวทำการรักษาผู้ถูกเจตภูตเข้าสิง  นักบวชที่สามารถทำการไล่เจตภูตได้นั้นมีแต่พวกที่ต้องผ่านหลักสูตรการขับไล่ปีศาจชั้นสูง ซึ่งในคลาสของพวกเขาเองยังศึกษาไม่ถึงขั้นนั้น   แต่เจ้าหนูเองก็ไม่ได้ใช้ศาสตร์ขั้นสูงอะไร  เขาแค่ล้วงเอากระติกใส่น้ำดื่มออกจากกระเป๋าเป้  แล้วเทน้ำใส่ผู้ถูกสิง  หลายคนมองด้วยความงุนงง  ไม่อาจเข้าใจว่าแค่เอาน้ำราดเนี่ยจะช่วยอะไรได้    

                    “ระวังนะครับทุกคน  ช่วยถอยออกมาหน่อย”

    พริบตาเดียวเจตภูตก็พุ่งหนีออกจากร่างผู้ถูกสิง  ดูเหมือนน้ำที่ราดลงไปเมื่อครู่จะไม่ใช่น้ำธรรมดาเสียแล้ว

                    “นั่นมันน้ำแสกใช่มั้ย!

    คนที่มองดูอยู่ถามฟีเดอาโก้  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  การใช้น้ำแสกชำระล้างความชั่วร้ายของเจตภูตในระยะแรกของการถูกเข้าสิง มันเป็นวิธีพื้นฐานง่ายๆที่ผู้ใดก็ตามหากได้ร่ำเรียนหลักสูตรพิฆาตความมืดจะรู้จักกันดี   เพียงแต่ไม่มีใครพกน้ำแสกติดตัวมากันเท่านั้น  ทั้งหมดมองเห็น แสงสีดำสว่างวาปออกมาพร้อมกับถูกกล่องอีทูลัสมินิสูบหายวับไปอย่างง่ายดาย  

    การรับมือกับปีศาจที่สุดแปลกพิสดารของเด็กหนุ่มผมขาว   ที่ไม่เคยเห็นใครที่ไหนเขาทำแบบนี้มาก่อน  เจ้าหนูที่ดูเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาแต่เมื่อต้องรับมือกับสิ่งชั่วร้าย  กลับเป็นยอดฝีมือที่ทำเอาพวกที่เรียนสายพิฆาตความมืดเป็นสิบๆปีอย่างพวกเขายังไม่อาจเทียบติด

                    “เอาละแยกย้ายกันดีกว่าครับ  เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความผิดปกติแล้ว”

    ทั้งหมดพากันทยอยกลับที่นั่งของตนเมื่อเจ้าหน้าที่มหาวิหารเข้ามาตรวจสอบความเสียหาย    มันเป็นช่วงเวลาห้าชั่วโมงที่รู้สึกว่านานราวกับเป็นอาทิตย์ในความคิดของฟีเดอาโก้   เด็กหนุ่มมองเห็นแต่ละคนต่างแยกย้ายกันออกจากห้องไปเมื่อสิ้นสุดเวลาเรียนแล้ว   แต่ชายผมเงินข้างๆยังนั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น

    “แกนี่มันเจ๋งแฮะ   ภายนอกก็เด็กธรรมดาชัดๆ”

    ชายผมเงินเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกทึ่ง    เมื่อเจ้าหนูที่ดูยังไงก็สุดธรรมดา  แต่ข้าวของที่มันพกมาเรียนนั่นคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นอาวุธปราบปีศาจไปได้     กล่องที่ดูไปแล้วเป็นกล่องดินสอธรรมดาๆแต่ดันเป็นสุดยอดกล่องกักปีศาจ   ส่วนกระติกน้ำดื่มดูไม่ต่างจากที่เด็กนักเรียนทั่วไปใส่ติดกระเป๋ามาเรียนนั้น  จะไม่ได้บรรจุน้ำธรรมดา แต่ดันเป็นน้ำเสก!  ส่วนของอื่นๆในกระเป๋านั่น ไม่ว่าจะเป็นปากกาหรือดินสอ   เมื่อพิจารณามองดีๆแล้วมันเป็นปืนปากกากระสุนเงินชัดๆ ทั้ง เสื้อผ้ารองเท้า ถุงมือ ทั้งหมดล้วนเป็นอุปกรณ์ปราบปีศาจที่สร้างดัดแปลงมาให้ดูแนบเนียนทั้งนั้น 

                    “ฉันไม่รู้นะว่า  โปรอย่างนายเข้ามาทำอะไรในแผนกนี้กันแน่    ดูจากทักษะและอาวุธอาคมที่พกติดตัวแล้วไม่น่าจะแค่มาเรียน”

    ฟีเดอาโก้เหงื่อแตกผลักๆเมื่อได้ยินคำพูดของชายผมเงิน  เขาเริ่มหน้าซีด  เพราะดูเหมือนว่าความจะแตกย่อยยับแล้ว

                    “ผมเออ....ความจริงแล้ว  มันก็แค่ของขายในร้าน”

                    “นั่นสิ !  ไอ้หนูเซลล์แมนจากร้านสังฆภัณฑ์   แอบทำตัวเนียนเข้ามาเรียนระดับโปรเพื่อขายของ”

                    “ใช่แล้วครับ”

                    “นายโกหก!

    ชายผมเงินตะคอกด้วยความโกรธจัด  เขากำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนออกมา ดวงตาสีทองอำมหิตจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่พอใจ   สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการโกหก และ เสแสร้ง

                    “ผมก็พูดความจริงแล้วนะครับ”

                    “ใช่เลย ! แต่นายพูดความจริงไม่หมดเท่านั้นเอง”

    ฟีเดอาโก้ถอนหายใจ เมื่อรู้ว่ายังไงก็ไม่สามารถปิดบังอะไรชายคนนี้ได้แม้แต่น้อย    จึงพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ

                    “จริงครับ  ผมต้องขอโทษด้วย เพราะผมบอกความจริงได้เพียงเท่านี้”

    ฟีเดอาโก้ตอบตรงๆ  คำตอบนั้นจากเด็กหนุ่มทำให้บุรุษผมเงินค่อยๆคลายความโกรธลงบ้าง  เขาค่อยๆสงบจิตใจแล้วกลับเป็นปกติ

                    “ช่างเถอะ อย่างน้อยนายก็พูดความจริง   ฉันเองก็จะพูดความจริงบ้าง   ไม่ว่านายจะเข้ามาทำอะไรที่นี่  แต่ขออย่างเดียวอย่าขวางทางงานของฉัน!

                    ชายผมเงินพูดอย่างข่มขู่      ส่วนฟีเดอาโก้ได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบกลับ   ที่แท้หมอนี่เองก็แฝงตัวเข้ามาในแผนกกักกันวัตถุอัปมงคลเพื่อจุดประสงค์บางอย่างเหมือนกันกับเขา

     

                    “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะขวางทาง”

                    “ไม่รู้สิ   ฉันแค่เตือนนายไว้ก่อน”

                    “ถ้าอย่างนั้นบอกผมได้มั้ย คุณมาทำอะไรที่นี่กันแน่ผมจะได้ไม่บังเอิญไปขวางทาง”

                    “ฉันมาตามหาคน   เขาเป็นญาติของฉัน  ”

    ฟีเดอาโก้ได้ยินน้ำเสียงเศร้าๆเจือปนมาเล็กน้อยจากปากของชายผมเงินคนนั้น

                    “ญาติเหรอครับ”

                    “ใช่   เขาถูกลักพาตัวไป   ถูกกักขังไว้ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้  ฉันได้ข่าวมาอย่างนั้น จึงมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ไง”

    บัดนี้ฟีเดอาโก้พอจะเข้าใจเหตุผลที่เขาถูกชายคนนี้ติดตาม แอบสืบข้อมูลต่างๆนาๆแล้ว  ที่แท้เพราะคิดว่าเขาเป็นชาวลอร์แซมเบิร์กเหมือนกันกับญาติคนนั้น   คิดว่าบางทีถ้ารู้เรื่องของเขาแล้วอาจจะพอสืบหาข่าวคราวญาติคนนั้นได้บ้าง   หรือพอจะรู้อะไรเพียงเล็กน้อยก็ยังดี

    “ถูกลักพาตัว คุณแจ้งความแล้วประกาศหาเหรอยังครับ  บางทีผมอาจจะช่วยหาญาติคุณด้วย”
     

    ชายผมเงินหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินฟีเดอาโก้พูดแบบนั้น    เขายืนขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมออกจากห้อง

    “ขอบใจ   แต่ฉันลองหมดทุกวิธีแล้ว”

    “งั้นเหรอครับ  ถ้าอย่างนั้นผมขอรูปถ่ายญาติคุณแล้วก็ชื่อของเขาด้วยครับ ผมจะได้ช่วยกระจายข่าวตามหาอีกแรง”

    “ทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ และฉันเองก็ไม่คิดจะบอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับญาติของฉันให้นายรู้ด้วย  ว่าแต่นายเถอะ จะยอมบอกฉันได้มั้ยว่านายแฝงตัวมาเรียนในนี้ทำไม”

                    “ผมก็มาตามหาคนเหมือนกันครับ”

    ฟีเดอาโก้บอกชายผมเงินไปเท่าที่เขาสามารถบอกได้  เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้แล้วลุกขึ้นยืน  เตรียมหนีหากถูกมันเซ้าซี้หาข้อมูลที่ลึกเกินไป

                    “เอ๋?! อย่าบอกนะว่านายมาตามหาญาติเหมือนฉัน”

                    “เปล่าครับเขาไม่ใช่ญาติ”

                    “งั้นเหรอ  แล้วเขาเป็นใครกัน”

                    “เขาเป็นภัยระดับประเทศเลยครับ”

                    “เฮ้ย !

                    “แล้วว่ากันว่าแฝงตัวอยู่ในแผนกนี้  ผมเลยมาสอดแนม”

                    “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง  ภาระกิจใหญ่หลวงเลยนะ”

    ชายผมเงินเองก็ลุกขึ้นเหมือนกัน  พวกเขารีบเดินออกจากแผนกกักกันวัตถุอัปมงคลไปที่ลานกว้างด้านหน้ามหาวิหาร ซึ่งจากลานกว้างนี้ไปจะมีถนนคอนกรีตเชื่อมต่ออยู่สิบกว่าสาย   ผู้คนอยู่เต็มลานไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นนักบวช  นักท่องเที่ยวและนักศึกษา   เดินว่อนกันขวักไขว่  ด้วยเสื้อผ้าและเครื่องแบบที่แปลกตากว่าสถานที่อื่นๆในเมืองซางตานีโอ   

                      ฟีเดอาโก้ใช้จังหวะนี้เองรีบบอกลาชายผมเงิน  แล้วเผ่นแนบอย่างรวดเร็วปะปนกับฝูงชนจากไปทันที  เด็กหนุ่มหอบแฮกๆนึกโล่งใจ  เมื่อไม่เห็นชายผมเงินคนนั้นแล้ว  งานสายสืบวันแรกเล่นเอาเขาแทบจะเป็นบ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  การต้องมานั่งใกล้และสนทนากับชายผู้ดูเหมือนจะมองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่งนั่น

                                    พรุ่งนี้จะไม่นั่งใกล้มันเด็ดขาด !

    เด็กหนุ่มคิดในใจพลางกัดฟันกรอดๆด้วยความโมโห  เขาเลี้ยวแยกตรงหน้าไปยังฝั่งตะวันออกของเมืองซางตานีโอ  มันเป็นเส้นทางที่เขาใช้เพื่อเดินกลับร้านสังฆภัณฑ์ทุกครั้งที่ต้องมามหาวิหาร และที่สำคัญมันผ่านร้านขนมเค้กสุดโปรดของเขาด้วย  

                       “เอาเหมือนเดิมครับ”

    เด็กหนุ่มบอกแม่ค้าร้านขนมเค้กหน้าตาสะสวยที่ยืนขายของอยู่   หล่อนยิ้มทักทายแล้วก้มลงเอาเค้กช็อคโกแลตที่เขามักซื้อเป็นประจำออกมาใส่กล่อง   ฟีเดอาโก้เห็นเค้กนั่นแล้วแทบน้ำตาไหลพร่าง  เมื่อคืนนี้ของหวานสุดโปรดของเขาได้ถูกอาร์คบิชอปยูริเอลจากเมืองรีแบร์ รวมหัวกันกับอาร์คบิชอปราฟาเอลจากเมืองลอร์แซมเบิร์ก  ซัดเรียบตัดหน้าเขาไปอย่างน่าเสียดายระหว่างรอประชุมอาร์คบิชอป   เด็กหนุ่มมือสั่นเทาเมื่อเห็นเค้กสูตรพิเศษของร้านถูกนำใส่กล่องเรียบร้อย   เขาพยายามควบคุมน้ำลายในปากเพื่อไม่ให้มันหยดติ๋งๆออกมา

                         “ฉันขอแบบนั้นสักสี่ห้ากล่องด้วย”

    ทันใดนั้นก็มีเสียงห้าวๆของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง   มันเป็นเสียงที่ฟีเดอาโก้ไม่อยากจะได้ยินสุดๆ ตั้งแต่อยู่ในชั้นเรียนแล้ว

                          “อ๊ะ ! บราเดอร์แซม ”

    อยู่ๆแม่สาวคนขายเค้กก็ดีใจเสียออกนอกหน้า หล่อนทำเค้กที่กำลังจะยื่นให้ลูกค้าหลุดออกจากมือ หล่นตุบ ลงพื้นไปต่อหน้าต่อตาฟีเดอาโก้   เด็กหนุ่มยืนค้างนิ่ง  เมื่อเห็นเค้กของเขาหล่นคว่ำลง เละแป๊ะ ที่พื้น

                                             เอ็งตายซะเถอะ ไอ้ !

     

    เด็กหนุ่มถึงกับต้องรีบข่มอารมตัวเองเพื่อไม่ให้พลั้งปากพูดอย่างที่คิดออกไป  ไม่เช่นนั้นวาจาสิทธิ์ของเขาคงได้สังหารชายคนนั้นไปจริงๆ

                    “ไม่ได้เจอเสียนานเลย วันนี้ลมอะไรพัดมาที่ร้านฉันหรือคะ”

                    “ไม่ใช่ลมอะไรหรอก  เพราะเธอน่ารักมากตั้งหาก  ถ้าฉันมาแถวนี้ต้องแวะมาหาเธออยู่แล้ว”

    ฟีเดอาโก้กัดฟันกรอดๆด้วยความโมโห  เขาเห็นชายผมเงินคนที่เขาไม่อยากเจอะไม่อยากเจออีกเลยตั้งแต่อยู่ในชั้นเรียนแล้ว  กำลังยืนพล่ามจีบแม่ค้าสาวอยู่ อย่างนั้น  และดูท่าทางแม่ค้าคนนั้นจะรีบจัดแจงเค้กช็อกโกแลตจำนวนห้ากล่องสุดท้ายให้บุรุษผมเงินนั่นไปทั้งหมด  โดยที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มผมขาวยืนโด่เด่มองตาปริบๆ

                    “ถ้าเป็นบราเดอร์แซม ฉันลดให้เป็นราคาพิเศษเลย”

                    “ขอบคุณครับ   เธอเป็นแม่ค้าที่สวยจังนะ  จิตใจก็งามด้วย  ไว้ฉันเลิกเป็นบราเดอร์เมื่อไหร่จะมาสู่ขอให้ได้เชียว”

     

    ดูเหมือนไอ้มุขจีบสาวนั่นจะได้ผลดีเกินคาด  บวกกับใบหน้างดงามยิ้มแย้มแปล่งประกายนั้น  ทำให้เจ้าหล่อนจ้องตาค้างแล้วยื่นเค้กช็อกโกแลตทั้งห้ากล่องให้ชายผมเงินที่ชื่อแซมนั่นไปฟรีๆ โดยไม่คิดเงินแม้สักเหรียญเดียว    สรุปแล้วมันเป็นนักบวชแน่เรอะ!

                    “ไง ฟีเดอาโก้ บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ”

    แซมว่าขณะเดินตามหลังฟีเดอาโก้ออกจาร้านเค้ก

                    “ครับ  เจออีกแล้วบังเอิญจริงๆ”

                    “นายเรียกฉันว่า แซม ก็ได้”

    ฟีเดอาโก้ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น   เขากำลังอดกลั่นข่มอารมตัวเองไม่ให้ทำเรื่องโง่ๆออกไป  และที่สำคัญเค้กของโปรดก็หมดเกลี้ยง  ห้ากล่องสุดท้ายถูกชายที่ชื่อแซมถือไว้ในมือจนหมด 

                    “เอาไปสิ  ฉันให้ทั้งหมดนี่แหละ”

                    “ขอบคุณครับ  แต่อย่าดีกว่า”

                    “ที่จริงแล้วฉัน ไม่ชอบขนมหวานหรอกนะ”

    เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินจากไปเสียเฉยๆ  สรุปแล้วที่พูดจาจีบแม่ค้านั่นเพราะอยากได้ของฟรีเหรอเนี่ย   ช่างเป็นบุคคลที่อันตรายจริงๆ และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ร้านเค้กร้านเดียว ชายผมเงินตีสนิทกับทุกคนไปทั่ว       ฟีเดอาโก้ได้ยินคนแถวนั้นร้องทักชายผมเงินกันลั่น เมื่อเขาเดินผ่านไปถึง  ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า  พวกนักเรียนนักศึกษา หรือแม้แต่พวกวัยรุ่นที่ออกมาจับกลุ่มกันตอนใกล้ค่ำ

                    “ไงแซม !

                    “ไงพวก”

    และดูไปแล้วคนทั้งถนนจะรู้จักชายที่ชื่อแซมกันหมด   เขาร้องทักทุกคนที่เห็น  อีกทั้งดูท่าจะเป็นมิตรกับคนไปทั่ว  ใครที่เขายังไม่รู้จักก็จะเข้าไปทำความรู้จักและตีสนิทได้อย่างรวดเร็ว   แต่การกระทำทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการเสแสร้ง  แท้จริงแล้วเขากำลังออกตามหาข่าวคราวของญาติเพียงคนเดียวที่หายสาบสูญไปเท่านั้น

     

                    “ช่วยไม่ได้  รีบกลับดีกว่า”

    เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆด้วยความผิดหวัง   เขาเดินห่อเหี่ยวไปจนถึงหน้าร้านสังฆภัณฑ์  รู้สึกว่าแขนขาขยับได้ยากลำบาก ฝืดเคืองไปหมด  ร่างกายหนักอึ้ง  ราวกับแบกข้าวสารทั้งกระสอบไว้ข้างหลัง   การเรียนวันแรกถึงกับทำให้เหนื่อยหมดแรงขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วแบบนี้เขาจะซ่อมคทาอีกไม่รู้กี่พันด้ามบนห้องไหวมั้ยนะ

                    ฟีเดอาโก้หยุดหน้าประตูร้านสังฆภัณฑ์ที่ยังล็อกปิดสนิทเมื่อยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน   เขาจึงหันหลังควานหาลูกกุญแจจากกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้  และตอนนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในถุงหิ้วขนาดใหญ่  ผูกโตงเตงติดกับสายสะพายกระเป๋าเป้ของเขา   สิ่งนั้นคือเค้กทั้งห้ากล่อง  ที่แซมเป็นคนซื้อไว้   ฟีเดอาโก้เบิกตาค้างมองเค้กพวกนั้นด้วยความตกใจ  หมอนั่นมันเอามาผูกอยู่ที่เป้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  เพราะที่แน่ๆเขาไม่รู้สึกตัวเลยว่า  บราเดอร์แซมคนนั้นเข้ามาใกล้จนถึงขั้นสามารถผูกเค้กทั้งห้ากล่องที่เป้ของเขาได้ตอนไหน   ชายคนนั้นเคลื่อนไหวได้เงียบกริบ  ไม่เหลือสัมผัสให้ตรวจจับได้   อีกทั้งวาจาที่สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้กระทำตามความต้องการของตนเอง รวมถึงสายตาที่อ่านฝ่ายตรงข้ามได้ทะลุปรุโป่รง

     

                                                    หมอนั่นมันเป็นใครกันแน่!

     

    ฟีเดอาโก้หรี่ตาลงพลางขบคิดด้วยความหวาดระแวง   ชายที่ชื่อแซมจะเป็นนักบวชชาวลอร์แซมเบิร์ก  เข้ามาตามหาญาติเหรออะไรก็ช่าง    แต่ที่สามารถลบจิตสัมผัสจนแม้แต่เขายังตรวจจับไม่ได้ นั้น ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน  ไม่รู้สึกถึงจิตของปีศาจ  ไม่รู้สึกถึงจิตชั่วของเจตภูต  ไม่รู้สึกถึงอำนาจชั่วร้ายใดๆ  แต่ที่สัมผัสอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง นั่นตั้งหากมันดูผิดปกติเกินไป  อาจเป็นนักบวชผู้ไร้พลัง  เหรอถ้าไม่อย่างนั้น  เขาก็คือปีศาจชั้นสูงที่สามารถลบกลิ่นไอตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแนบเนียน

    เด็กหนุ่มยิ้มเหยียดออกมา   การเข้าเรียนวันแรกของเขาดูจะไม่เหนื่อยเสียเปล่าอย่างที่คิด  เป้าหมายที่ต้องตรวจสอบหาพบง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ  ตัวจริงของแซมแห่งลอร์แซมเบิร์กเป็นใครกันแน่  เด็กหนุ่มก้มมองขนมเค้กในถุง  ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในร้างสังฆภัณฑ์แห่งเมืองซางตานีโอ

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                   

    “นายใช้วิธีรุนแรงเกินไปนะ มิคาเอล  ถ้าเกิดเจตภูตทำร้ายนักเรียนพวกนั้นจนตายไปจริงๆ ฉันคงเดือดร้อน”

    อาร์คบิชอปผมทองเอ่ยขึ้นในห้องพักส่วนตัวของที่ทำการมหาวิหาร   ตรงหน้าเขานั้นมีชายผมดำที่ยังแต่งตัวเป็นนักดนตรีสวมชุดหนัง  นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้

     

     “เกรย์ บริสตั้น ก็อยู่ในห้องด้วยทั้งคน เจตภูตพวกนั้นไม่คณามือมันหรอก  แต่นายก็เห็นแล้วใช่มั้ยกาเบรียล”

    “อืม   เจตภูตในมีดของผู้ใช้ศาสตร์มืดมีปฏิกิริยากับใครบางคนในนั้น”

     

    เจตภูตที่พุ่งออกมาจากมีดของผู้ใช้ศาสตร์มืดตนแล้วตนเล่าในชั้นเรียนเมื่อตอนกลางวัน  เป็นหลักฐานชั้นดีถึงการมีตัวตนของผู้ใช้ศาสตร์มืดในหมู่ผู้เรียนทั้งห้าสิบคนนั้น ทั้งที่ในยามปกติเจตภูตจะหลับใหลภายในวัตถุสิงสถิต  มีธรรมชาติเป็นจิตชั่วไม่มีกายเนื้อ  จำเป็นต้องมีผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง  ซึ่งสื่อกลางนั้นได้รับการเรียกขานว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดมาตั้งแต่ในยุคโบราณ  เป็นผู้ที่รับเอาเจตภูตเข้ามาในร่างกายตนเอง

     

    “คราวนี้น่าจะหาเจอง่ายขึ้นแล้ว   ฉันคงต้องไปไล่ล่าพวกมันในซิลเทียเรสบ้าง” 

                    “ขอบใจมากนะมิคาเอล  นายเองก็อย่าถอดวิญญาณมาที่นี่บ่อยนัก”

                    “เออน่า ”

    สิ้นคำอาร์คบิชอบมิคาเอลก็หายวับไปในทันที  ซิลเทียเรสอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัยนัก   แม้เพียงสองสามนาทีการถอดจิตออกจากร่าง  ก็อาจเกิดผลร้ายสุดจะคาดคิดได้   กาเบรียลลุกขึ้นยืน มองท้องฟ้าทางหน้าต่าง   เขาเห็นเมฆมืดทึบดำทมิฬปรากฏขึ้นทางทิศใต้ พร้อมกับสายลมโหมพัดรุนแรงเข้ามาปะทะ  มันไม่ใช่ลมบริสุทธิ์เหมือนกับที่พัดมาจากป่าเดียวดาย   แต่มันคือสัญญาณเตือนถึงหายนะ

                                                       “สายลมจากนรก!



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    END/ เด็กหนุ่มสายลับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×