คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กล่องอีทูลัส (Etolus boxes)
“เงามืด กลืนกิน ทุกชีวิต
ดวงจิต เคียดแค้น เป็นหนักหนา
สาปแช่ง ทุกสิ่ง สิ้นชีวา
ทุกวิญญา ร่วงสู่ อเวจี”
พรตพเนจรผู้หนึ่ง ปรากฏตัวยามบ่ายบนถนนของหมู่บ้านในถิ่นห่างไกล เขาเดินเท้าเปล่า ย่ำไปบนถนนลูกรังชื้นเเฉะ พลางขับลำนำเป็นบทเพลงตำนานโบราณเก่าแก่ ดินสีน้ำตาลแดงเข้ม บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมต่อการเพาะปลูก ต้นไม้ขนาดใหญ่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้จะไม่ขึ้นเบียดเสียดรกทึบ แต่มันก็ทำให้สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ซ้ำยังออกผลสุก เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ท้องถิ่น และยังเหมาะต่อการหมักไวน์อีกด้วย
“พอทีเถอะ นักพรต ! ไอ้เรื่องโบราณนี่ ข้าได้ยินมานานตั้งแต่ก่อนเป็นทารกด้วยซ้ำ ข้าเบื่อเต็มทน”
ชายวัยกลางคนหัวล้านเกลี้ยง เอ่ยขัดพรตนักขับลำนำสวมฮูดในชุดคลุมเก่าๆ สีน้ำตาลเข้มขาดรุ่งริ่ง ที่นานๆครั้งจะปรากฏตัวมาให้เห็นในหมู่บ้าน เขาก้มเร่งมือตัดฟืนต่อไปแต่หูก็ยังฟังอยู่
“ แต่ว่ามี ผู้มา จากสวรรค์” พรตคนนั้นทำเป็นไม่ใส่ใจและเริ่มร้อง
“อีกหนึ่งนั้น ตระกูลกล้า เลิศราศี
ผนึกมาร ซาตาน มากฤทธี”
กักขังที่ อีทูลัส กล่องสามใบ”
คนขับลำนำไม่ทันร้องจบ ก็ถูกร้องต่อโดยชาวบ้านที่บังเอิญเดินผ่าน และบางส่วนก็กำลังเก็บผลไม้เพื่อนำไปหมักไวน์ เรื่องราวของกล่องอีทูลัส เป็นนิทานยอดฮิต ที่คนเฒ่าคนแก่ มักเล่าให้เด็กๆฟังตั้งแต่ในสมัยโบราณจนถึงยุคปัจจุบันก็ยังเล่ากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ว่า ผู้เล่าเริ่มแรกเป็นใคร แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายเชื่อว่า กล่องกักปีศาจทั้งสามใบมีอยู่จริงๆ และได้กักขังวิญญาณและอำนาจมืดของจอมซาตานที่เคยปรากฏตัวบนโลก และสาปแช่งทุกชีวิตนั้น ถูกผนึกลงกล่องกักปีศาจที่ชื่อว่า อีทูลัส โดยฝีมือของนักขับไล่ปีศาจจากตะกูลบริสตั้น ว่ากันว่า กล่องทั้งสามนี้ ยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในเมืองซางตานีโอ ทางตอนใต้ของหมู่บ้าน
“เล่าเรื่องอื่นได้หรือไม่ ท่านนักพรต! เรื่องกล่องอีทูลัส ใบหนึ่งกักพลังมืด ใบหนึ่งกักพลังอำนาจของทูตสวรรค์ อีกใบที่กักวิญญาณ ของลูซิเฟอร์ ……!”
ชายตัดฟืนเริ่มบ่น แต่พริบตานั้น เขาก็ต้องปิดปากเงียบ เมื่อสายตาของชาวบ้านบริเวณนั้น จ้องเขม็งมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง !
“เจ้าไม่ควรเอ่ยชื่อนั้น ! ”
หญิงชราที่กำลังเก็บผลไม้ร้องลั่น เธอชี้นิ้วแห้งๆสั่นเทามาที่คนตัดฟืน อย่างหวาดกลัว การเอ่ยนามของเทวดาตกสวรรค์ตนนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามของชาวบ้านมานานนม ด้วยกลัวลางร้ายและหายนะ และที่สำคัญกลัวว่า ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงนั้นจะมาเยือนพร้อมกับหายนะ
“นี่แนะ แม่เฒ่า แทนที่จะว่าข้า ทำไมท่านไม่ไปว่าเจ้าพรตนั่นเล่า มันเดินเร่ร่อนเล่าเรื่องพวกนี้ ไม่เห็นมันจะตายเลย เชื่อไปได้อย่างไร”
“นั่นก็เพราะว่าข้าคือพรตเร่ร่อน ที่ไม่อาจตายได้”
ประโยคเดียวเล่นเอาคนฟังเงียบกริบ ก่อนที่บางคนจะเริ่มหัวเราะออกมา นี่คงเป็นมุขของนักขับลำนำที่โม้จนเกินจริง แต่แม้จะโม้อย่างไรก็ควรโม้ให้น่าเชื่อถือกว่านี้ เพราะถ้ายังเป็นมนุษย์ก็ต้องสิ้นชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
“ถ้าท่านบอกว่าท่านไม่สามารถตายได้ ถ้าอย่างนั้นหนุ่มเอ๋ย เจ้านะ อายุเท่าไหร่กัน”
หญิงโสเภนีทรงโต ใส่เสื้อเปิดหน้าอกกว้าง เอ่ยแซวด้วยความขบขัน ซ้ำยังเริ่มหัวเราะคิกๆ เธอเดินผ่านมาแถวนั้นแล้วหลิ่วตาใส่พรตหนุ่ม ตามนิสัยของเธอ
“ ชีวิตของข้านั้นยาวนานมานับพันปีแล้ว”
คราวนี้ทั้งเสียงโห่ ทั้งเสียงหัวเราะดั่งลั่น ต่อให้นี่เป็นนิทานหรืออะไรก็ช่าง แต่ชายขี้โม้คนนี้มันกล้าดียังไงตู่เรื่องตัวเองตายไม่ได้และอายุพันกว่าปีเช่นนี้ พวกเขาเองก็สุดที่จะเชื่อลง นิทานเรื่องนี้มันห่วยเกินไป
“ตัวข้ามีชีวิตอยู่ในช่วงที่ความมืดครอบครองโลกนี้ ข้าถูกคนของความมืดสาปแช่งไม่ให้ตาย”
เสียงของเขาแม้จะฟังดูเนิบๆเรียบๆ แต่มันเต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆนาๆ ทั้งเคียดแค้น และทรมาร เขา ไม่ได้มาแสดงตลก เขาไม่ได้เข้ามาที่นี่เพื่อมาฟังพวกเกิดมาทีหลังโดยไม่ได้รับรู้อะไร มาหัวเราะเยาะ เขาเริ่มกัดฟันกรอดๆอย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวนะ! ข้ารู้แล้ว ที่แท้ ท่านก็จะเล่าเรื่องพรตปีศาจ อาร์กัส แห่งป่าเดียวดายใช่มั้ย ว่ากันว่ามันถูกความมืด กลืนกิน …… ”
“ข้าไม่ได้ดั้นด้นมาที่นี่ เพื่อฟังเรื่องของตัวเอง ! สิ่งที่ข้าอยากบอกกับพวกท่าน ก็คือ เรื่องอำนาจมืดดำพวกนั้นหาใช่เรื่องเล่าอีกต่อไป บัดนี้มันกลับมาแล้ว และ มัน ได้เข้ามาที่นี่ปะปนกับพวกท่าน!”
คราวนี้เสียงฮือฮาดังลั่น บางคนก็เริ่มหัวเราะ เมื่อพวกเขาเริ่มคิดแล้วว่า มีชายบ้าคนหนึ่งเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อมาป่าวประกาศเรื่องปีศาจ หรืออะไรสักอย่างที่กำลังจะกลับมายึดครองโลก
“ใครมันจะไปเชื่อลงวะ” เด็กวัยรุ่นยิ้มเยาะแต่ก็ทนนั่ง ทนฟังอยู่นาน
“สิ่งที่ข้าอยากบอกพวกท่านอีกเรื่องก็คือ กล่องทุกใบบนโลกนี้ บางกล่องนั้นก็ไม่ควรเปิด !”
พรตหนุ่มดึงฮูดคลุมศรีษะออก ผมสีทองสั้นเปล่งประกายเมื่อต้องแสงตะวัน ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องไปยังกล่องไม้ใบเก่าๆซึ่งเด็กหญิงตัวเล็กๆข้างๆหญิงโสเภนีกอดไว้แน่น
“มันก็ไม่ใช่กล่องอีทูลัสหรอก !” เด็กหญิงตอบเสียงแผ่วเบา
เธอได้กล่องเก่าๆใบนี้มาจากไหนนะ เด็กหญิงถามตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะจดจำอะไรไม่ได้ เธอรู้แค่ว่าต้องเอามันมา ต้องเปิดให้ได้ ปล่อยฉันออกไป ต้องออกไปให้ได้ ต้องหามันให้เจอ ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาพวกนี้เป็นของใครกัน มันไม่ใช่เธอแน่ๆ บางอย่างที่พยายามออกจากกล่องมาให้ได้ มีเสียงเรียกบางอย่างจู่โจมเข้าสู่ห้วงคิดของเด็กหญิงโดยตรง อย่างไม่หยุดหย่อน มันร้องเรียกเธออยู่อย่างนั้น จนในที่สุดเด็กหญิงก็ตัดสินใจเปิดมัน
“ถึงมันจะไม่ใช่กล่องอีทูลัส แต่ก็ยังมีกล่องอีกมากที่กักสิ่งช่วยร้ายอยู่ในนั้น ! ส่งกล่องนั่นมานี่”
อาร์กัสเอ่ยเสียงเข้ม เขายื่นมือไปที่เด็กหญิง แล้วพยายามแย่งกล่องจากเธอ
“นี่ท่านนักพรต ! แบบนี้มันจะเกินไป!”
หญิงโสเภนีเริ่มเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อพรตบ้าคนนั้นนอกจากจะเพ้อเรื่องปีศาจยึดครองโลกแล้ว ยังจะพยายามแย่งของจากมือเด็ก แต่ว่าในพริบตานั้น อะไรบางอย่างก็ทำเธอเลือกที่จะเงียบ เมื่ออยู่ๆความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง ทั้งหนาวสะท้านไปทั้งกาย เลือดในกายปั่นป่วน และสัญชาตญาณบ่งบอกแล้วว่าเด็กที่อยู่ข้างๆ ไม่ใช่มนุษย์!
“หลบไปซะ!” อาร์กัสร้องลั่น
อยู่ๆกล่องไม้ในอ้อมกอดของเด็กหญิงก็ระเบิดกระจุยของมันเองอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ความมืดดำทมิฬไหลทะลักพุ่งออกมาแล้วก่อตัวราวกับแส้มีชีวิต พุ่งหวืดออกมาจากรอบตัวเด็กปีศาจด้วยความเร็วระดับมัจจุราช เป็นความเร็วที่ไม่อาจหลบหนีพ้น ไอพิษทมิฬ ความมืดทะมึนที่ระเบิดออกมานั้น เป็นความมืดที่จะสูบโลหิตมนุษย์ทุกหยด
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดด !
หญิงโสเภนีร้องลั่นอย่างหวาดกลัว ความมืดคมกริบราวกับหอกเหล็กกล้าพุ่งทะลวงหน้าอกเธออย่างจัง เสียแต่ว่าผู้ที่รับเคราะห์แทน กลับเป็นนักพรตบ้า ที่เอาตัวเข้ามาขวาง ความมืดทั้งหมดเปลี่ยนทิศไม่โจมตีมนุษย์ทุกชีวิตในบริเวณนั้น แต่ว่ามันกลับพุ่งเข้าหานักพรตผมทองนั่นเพียงคนเดียว
“รีบหนีไป เร็ว !” อาร์กัสร้องลั่น
มนุษย์ทุกคนที่นั่นเมื่อได้สติก็พากันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่ !” ปีศาจในร่างเด็กร้องถาม
“จงกลับไปนรกซะ ไปอยู่กับนายของแก”อาร์กัสสั่งเสียงเรียบ
“อย่ามาปากดีกับข้า ไอ้มนุษย์โสโครก”
พริบตานั้นด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ก็ทำให้ผีร้ายทวีอำนาจมืดรุนแรงขึ้น ก่อนที่ัจะเรียกดาบโลหิตขนาดใหญ่เข้ามือแล้วพุ่งจู่โจมพรตหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง ดาบใหญ่ของมันฟันฉับลงมาอย่างไร้ปราณี แต่อาร์กัสมีอาวุธเพียงไม้เท้าเก่าๆยกขึ้นป้องกันตัวเองเท่านั้น
“น่าสังเวช กิ่งไม้นั่น จะช่วยชีวิตแกได้แค่ไหนกันเชียว!”
พรตบ้านั่นรับการโจมตีของมันด้วยไม้เท้ากิ่งไม้ เสียแต่ว่ากิ่งไม้นั้นกลับมีผลรุนแรงมากอย่างที่มันคาดไม่ถึง
เมื่อความมืดทั้งหมดกำลังสลายไป และที่สำคัญ ร่างกายของมันกำลังสลายกลายเป็นผงคลีดิน มันเปิกตาค้างด้วยความตื่นตระหนก เพราะกิ่งไม้นั่นไม่ธรรมดา ไม่สิ หมอนี่ตั้งหาก มันเป็นใครกันแน่ แล้วเมื่อปีศาจพิจารณาพรตนั้นอยู่นาน มันก็ขยับยิ้มเหยียดออกมา
“หรือว่า แกคือ ไอ้พรตน่าสมเพชที่ข้าเคยสาปแช่งเมื่อนานแสนนานมาแล้า ช่างน่าดีใจเสียจริง แบบนี้แกไม่ต่างอะไรกับทาสของข้าสินะ อาร์กัส ”
มันเรียกชื่อเขาได้ถูกต้อง ซ้ำยังหัวเราะลั่นด้วยความดีใจ ก่อนที่พริบตานั้น ร่างกายของมันจะระเบิดพลังมืดทรงพลังออกมา อาร์กัสเริ่มตื่นตระหนก ตัวของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะรู้ว่าไม่อาจชนะได้ เขารู้ดีว่าปีศาจตนนี้ร้ายกาจแค่ไหน มันไม่ได้กระจอกแบบปีศาจอื่นๆที่เขาเคยเจอมา เป็นเขาเองที่ประเมินกำลังศัตรูผิดไป เป็นเพราะว่าเขาจับจิตอ่อนๆของมันได้ และที่สำคัญเขาไม่คิดว่าปีศาจที่เคยส่งมันลงนรกไปแล้ว จะกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง เขาควรรีบติดต่ออาร์คบิชอปเพื่อขอกำลังเสริม หรือที่จริงแล้วต่อให้เรียกนักบวชผู้เชียวชาญด้านพิฆาตความมืดมาทั้งหมด ก็ไม่อาจหวังอะไรได้ เมื่อต้องยืนประจัญหน้าปีศาจตนนี้ เขาทรุดลงกับพื้น ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ความมืดดำเหล่านั้น มีผลกับคำสาปในร่างเขาอย่างใหญ่หลวง มันทำให้เขาไม่อาจต่อต้านมันได้
“เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ อาร์กัส ว่าข้าเป็นใคร”
ว่าแล้วร่างเด็กหญิงก็ค่อยๆกลายสภาพไป หมอกสีดำห้อมล้อมเธอก่อนที่จะปรากฏร่างจริงของมันออกมา ปีศาจผู้มีรูปลักษณ์งดงาม มีความมืดเป็นอาภรณ์ ซ้ำยังเป็นปีศาจระดับนายพล เป็นปีศาจที่รับมือยากและอันตรายที่สุดในบรรดาปีศาจทั้งมวล ในที่สุดยุคที่เศษซากแห่งความมืดในครั้งอดีตได้หวนกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้ง เหล่าผู้ซ่อนเร้นในความมืดจากขุมนรก อาศัยจิตใจอันชั่วช้าของมนุษย์และคืนชีพขึ้นมา เจตนาเพียงหนึ่งเดียวที่มันต้องการคือคืนชีพนายของมันเพื่อนำพาวิญญาณมนุษย์ให้ตกต่ำยิ่งกว่าเดรัจฉาน
สิ่งที่เขาต้องทำคือต้องแจ้งใครสักคน จะให้มันเอากล่องอีทูลัสแล้วคืนชีพลูซิเฟอร์ไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ขยับปากพูดเขายังทำไม่ได้
“มีใครได้ยินเสียงขอข้าบ้าง ได้โปรดเถอะ! ช่วยตอบกลับที ใครก็ได้”
เสียงบุรุษร่ำร้องออกมาราวกับที่ไกลแสนไกล ความมืดมิดได้เข้าปกคลุม บัดนี้เขาไม่อาจรู้สึกใดๆได้ ประสาทสัมผัสทุกสิ่งได้สูญเสียไปหมดสิ้น เขาทำได้เพียง ร่ำร้องออกไปโดยไร้เสียง
“เปล่าประโยชน์ อาร์…..กัส…………”
เสียงของปีศาจแหบแห้งเอ่ยขึ้น พร้อมกระทืบลงไปยังร่างที่บาดเจ็บสาหัสของพรตหนุ่ม มันยกดาบใหญ่ยักษ์ จ่อไปที่ต้นคอของเขา
“แกมันไอ้ตัวเกะกะ !”
ปีศาจร้องลั่นด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ แล้วกระชากศรีษะของนักพรตขึ้นมา
“ข้าต้องเสียเวลาไปนับพันปี เพราะพวกบริสตั้น และมนุษย์อย่างแก ตอบมานะ กล่องอีทูลัสอยู่ใหน!”
มันร้องอย่างคุ้มคลั่ง แต่นักพรตไม่อาจตอบสิ่งใดได้
“ ในเมื่อแกปากหนักนัก ก็จงเละเป็นชิ้นๆทั้งที่ไม่ตายไปซะ แกมันตายไม่ได้ใช่มั้ยละ อาร์กัส”
มันยกดาบขนาดใหญ่กระหน่ำสับไปที่ร่างของเขาอย่างโหดเหี้ยม อากัสไม่อาจร่ำร้องออกมาได้ แต่ก็ตะโกนก้องอย่างไร้เสียง
“บริสตั้น!!”
ร่างของเขาขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ แต่ว่าด้วยคำสาปแช่งที่ไม่ให้ตายนั้น ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสจนไม่อาจบรรยายได้ เส้นประสาทรับรู้ความรู้สึกทุกเส้นยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นทำให้เขาอยากจะร่ำร้องขอความตายให้พ้นความทรมานนี้
“แล้วไปหาตัวเอาเองนะจ๊ะ อาร์กัส”
ว่าแล้วมันก็ตรงดิ่งไปทางใต้พร้อมกับหิ้วศีรษะของอาร์กัสไปยังเมืองๆหนึ่งที่มีตำนานเล่าว่า กล่องอีทูลัสถูกเก็บรักษาอยู่ที่นั่น มันปาหัวของอาร์กัสเข้าไปในเมืองนั้นเป็นดั่งประกาศสงครามก่อนที่จะยิ้มเยาะอย่างสะใจ มือของมันกำไม้กางเขนไม้ของนักพรตไว้แน่น ก่อนที่มันจะทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบย่ำด้วยความเกลียดชัง
“ข้าจะละเลงเลือด! สิ่งสร้างที่รักของแกให้นองแผ่นดิน รวมทั้งพวกแกด้วย”
“ บริสตั้น!”
END/ chapter 1 กล่องอีทูลัส
ความคิดเห็น