ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Thief of Kanowal

    ลำดับตอนที่ #25 : ย้อนอดีต – เตือนใจ...

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 48


    เสียงเอะอะวุ่นวายจากด้านนอกทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆกระพริบตาน้อยๆก่อนปรับสายตาให้ชินกับแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างเล็กๆด้านข้าง...



    ข้าวของมากมายที่ดูเหมือนจะไม่ใช้หรือไม่ได้ผ่านการถูกใช้มานานแล้วกองระเกะระกะอยู่ตามมุมต่างๆของห้องแคบๆที่เด็กหนุ่มอาศัยเป็นที่หลับนอนเมื่อคืน...



    ...ที่นี่?...คงเป็นห้องเก็บของ...



    เคนินสะบัดหัวน้อยๆไล่ความรู้สึกมึนๆออกไปก่อนเริ่มลำดับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้...



    ...ถ้อยคำของผู้เป็นแม่...ที่เอ่ยถึงความรู้สึกที่มีต่อลูก...



    ...ไม่รู้ว่าทำไม...แต่ไม่อาจห้ามน้ำตาให้หยุดไหลได้...



    ...ไม่ได้ร้องเพราะเจ็บปวด...ไม่ได้ร้องเพราะเสียใจ...



    ...แต่ร้อง...เพราะความรักที่แม่มอบให้...มันมากมายจนไม่อาจต้านทานไหว...



    ...ความรักของแม่...ที่ไม่เคยได้รับรู้มาตลอด15ปีที่ลืมตาดูโลก...



    น้ำตาหยาดใสเริ่มปริ่มที่ขอบตาอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะปาดทิ้งไป...



    ...ไม่ใช่เวลามาร้องไห้...ไม่ใช่เวลามาอ่อนแอ...



    ...ความรักของแม่...จะไม่ทำให้สูญเปล่า...



    เสียงเอะอะจากด้านนอกยังคงดังไม่ขาดสายทำเอานิสัยอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง



    เคนินเปิดประตูออกไปเบาๆก่อนจะค่อยๆย่องออกมาจากห้องเก็บของนั้น...



    ผู้คนมากมายกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดนู่นจัดนี่จนไม่มีใครสนใจมาสังเกตเห็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลทีเดินมาปะปนกับเขาแม้แต่น้อย...



    “น้าๆ เขามีงานอะไรกันหรอ?...ทำไมดูวุ่นวายเชียว?”เคนินเอ่ยถามสาวใช้ที่กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่แถวนั้น



    “นี่เจ้าหนู...เธอไปมุดอยู่ที่ไหนมา? ก็วันนี้เป็นวันฉลองงานเลี้ยงครบเดือนให้แด่องค์รัชทายาทน่ะสิ”สาวใช่ตอบ



    “อ้อ...เข้าใจแล้ว...ขอบใจจ้าน้า”พูดจบเด็กหนุ่มก็ผละออกไปเดินดูคนอื่นๆเตรียมตัวจัดงานเลี้ยงตามหน้าที่ของตน



    “อ้าว!...เจ้าหนูสังกัดห้องครัว!!!”เสียงใหญ่ทุ้มที่เคนินจำได้ว่าเป็นพ่อครัวคนที่ตะปบไหล่เขาเมื่อวานดังขึ้นจากข้างหลัง ทำเอาเคนินสะดุ้งน้อยๆ



    “เอ่อ...มีอะไรหรอครับลุง?”เคนินถามพลางยิ้มแหยๆให้



    “ยังมีหน้ามาถามอีก? รีบๆมาช่วยยกของเร็วๆเข้า อย่ามาอู้!!!”ร่างใหญ่ออกคำสั่งพลางชี้ให้เคนินไปยกของที่วางไว้



    “ตามชั้นมา...ของนั่นต้องเอาไปไว้ที่ห้องโถง”พูดจบเจ้าตัวก็เดินนำหน้าหัวขโมยตัวดีที่ตอนนี้แปลสภาพมาเป็นจับกังไปซะแล้ว...(=_=”)



    สองข้างทางเดินต่างประดับประดาด้วยข้าวของมีค่า สมเกียรติ์ที่เป็นพระราชวังของกษัตริย์แห่งสามดินแดน ทำเอาหัวขโมยตัวดีที่ไม่สำนึกว่า

    เป็นองค์รัชทายาทเริ่มคันไม้คันมือ อยากหยิบฉวยไปซะชิ้นสองชิ้น ติดอยู่แต่ไอ้ของที่แบกมามันก็หนักอยู่เอาการ แถมยังมีข้าราชบริภารที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ขวักไขว่...



    “ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมีนักฆ่าบุกห้องขององค์ราชินี แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ”เสียงข้าราชการผู้ใหญ่สองคนกำลังสนทนากันดังแว่วมาให้ได้ยิน ทำเอาเด็กหนุ่มตัวต้นเหตุหายใจไม่ทั่วท้อง...



    ...ไม่ใช่นักฆ่าซักกะหน่อย...แค่หัวขโมยตัวน้อยๆเท่านั้นเอง...



    “คงเป็นบุญญาธิการของเสด็จราชินี...”เสียงข้าราชการอีกคนตอบ



    “แต่ถึงกระนั้นองค์กษัตริย์คาโลก็ควรยกเลิกงานเลี้ยงนี้เสีย...เพื่อความปลอดภัยของพระองค์และองค์รัชทายาท...”



    “เราตัดสินใจดีแล้วที่จะจัดงานนี้...ท่านทั้งสองอย่าได้กังวล...”เสียงเข้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาบทสนทนาหยุดชะงักลงทันที



    “เอ่อ...ขอประทานอภัยฝ่าบาท...กระหม่อมพูดไปมิได้ระวังปาก ขอทรงอภัย...”ข้าราชการทั้งสองคุกเข่าลงพลางหมอบนิ่งอย่างเกรงว่าจะถูกตัดหัวเสียบประจานข้อหานินทากษัตริย์ซึ่งๆหน้า...



    “เราอภัย...ท่านทั้งสองมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ”กษัตริย์หนุ่มเอ่ยพลางหันไปทางอื่น...ก่อนลอบถอนหายใจ...



    ...ตัดสินใจดีแล้วแน่หรือ?...ที่จัดงานนี้?...



    ...บางทีเหตุการณ์เมื่อคืนอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ...



    ...แต่หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...หากเป็นเรื่องที่จงใจ...



    ...เฟรินต้องมีอันตราย...เป็นเพราะการตัดสินใจของเขา...



    “ขอฝ่าบาททรงอย่าคิดมากไป...”เสียงใสๆของเด็กหนุ่มดังขึ้นเรียกให้คาโลหันไปมองต้นเสียง แต่กลับมองเห็นไม่ชัดเพราะเจ้าตัวโดนข้าว

    ของที่แบกมาบังไว้จนเกือบมิด...



    “การตัดสินใจของฝ่าบาท คือการตัดสินใจของราชา...ฝ่าบาทต้องหนักแน่นเพราะเพียงคำๆเดียวของฝ่าบาท อาจสั่งให้คนนับร้อยไปตายก็ยังได้?” วิธีการพูดที่ถือดีมาสั่งสอนพระราชาอย่างเขาทำเอาคาโลขมวดคิ้วน้อยๆ



    ...แต่ที่ยิ่งกว่านั้น...คือเสียงของเด็กหนุ่มนั่น...



    ...เหมือนกับเสียงของคนๆหนึ่งในร่างผู้ชายที่เขาเคยได้ยินจนคุ้นหู...



    “ดังนั้น...เมื่อฝ่าบาทตัดสินใจทำสิ่งใด...ขอให้ทรงมั่นใจ อย่าได้ลังเล...ขอให้ฝ่าบาท...ทรงเชื่อมั่นในตนเอง...”เสียงเอ่ยของเด็กหนุ่มยังเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่คาโลก็ขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน...



    ...เพราะทุกอย่างที่เด็กหนุ่มเอ่ย...มันโดนเข้าที่กลางหัวใจพอดี...



    “เจ้าเป็นใครกัน?”คาโลเอ่ยถามเสียงเข้ม แต่กลับไม่มีน้ำเสียงโมโหปนอยู่แม้แต่น้อย



    “กระหม่อมเป็น...คนที่ฝ่าบาทก็รู้ว่าใคร...”



    คาโลทำท่าจะเอ่ยถามต่อ เพราะคำตอบที่ได้มันไม่เห็นจะช่วยแก้ความข้องใจให้เขาแม้แต่น้อย แต่คำถามที่จะเอ่ยกลับถูกขัดด้วยเสียงหวานๆของใครคนหนึ่ง



    “โธ่...ป้านาเดีย...หยิบนิดหยิบหน่อยขนมมันก็ไม่หมดวังหรอกน่า”



    “แต่คุณเฟรินหยิบคุกกี้มาทานไป3กล่องแล้วนะเพคะ...”นาเดียเอ่ยขัดขึ้น



    คาโลมองภาพตรงหน้าที่ชวนให้ปวดหัวยิ่งนัก...ก็เจ้าตัวดีที่ไม่เคยสำนึกฐานะของตนกำลังสวาปามขนมที่จะใช้เสริฟในงานเลี้ยงแถบจะหมดเกลี้ยง...



    ...มันจะหัดสำนึกบ้างได้ไหมว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงแห่งสองดินแดน เป็นราชินีแห่งสามดินแดน แล้วยังเป็นแม่ของลูกเขาอีกด้วย...



    กษัตริย์หนุ่มหันกลับมามองหาเด็กหนุ่มปากกล้าที่คุยด้วยเมื่อครู่...แต่ก็พบว่าเจ้าตัวเดินยกของห่างออกไปไกลเสียแล้ว...



    คาโลหลับตาลงนึกถึงถ้อยคำของเด็กหนุ่มที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริง



    “คุณเฟรินพอก่อนเถอะเพคะ เดี๋ยวฝ่าบาทก็ทรงพิโรธเอาหรอก”นาเดียเอ่ยเตือนหญิงสาวที่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวห้องอาหารพลางหยิบนู่นหยิบนี่เข้าปากเรื่อยๆ...



    “ก็ช่างไอ้น้ำแข็งมันสิป้า...ถึงมันโกรธแล้วจะทำอะไรผมได้?”หญิงสาวตอบพลางหัวเราะลั่น



    “...ก็ทำลูกให้นายอีกซักคนดีมั้ย...เฟริน?...”เสียงเข้มเอ่ยขึ้นที่ข้างหูทำเอาแม่ตัวดีปิดปากเงียบพลางส่ายหน้าดิกๆ



    “ไอ้บ้า!!!...ลูกคนแรกเพิ่งจะครบเดือนดี จะเอาอีกคนแล้วรึไง?”เฟรินบ่นอุบ



    “ก็เคยบอกแล้วไง...คาโนวาลเป็นเมืองของนักรบและนักรัก...”คาโลกระซิบเบาๆทำเอาคนฟังหน้าขึ้นสี ขณะที่นาเดียค่อยๆถอยห่างออกไป ปล่อยให้สามีภรรยาเคลียกันเอง...



    “ไอ้บ้า!!!...ไอ้ลามก!!!” เสียงหวานเหวขึ้นพลางเจ้าตัวก็ทุบอกคนตรงหน้าดังอั้ก แต่คนจะถูกทุบหลบทันพลางคว้าข้อมือพร้อมดึงร่างบางเข้ามาแนบอก



    “ดื้อแบบนี้คงต้องสั่งสอนกันหน่อย...” สิ้นเสียงกษัตริย์น้ำแข็งก็ลากราชินีตัวดีเข้าห้องท่ามกลางเสียงโวยวายของคนถูกลาก



    “ไอ้น้ำแข็งบ้า ปล่อยน้า~~ปล่อยเซ่~~~ ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!”



    แล้วเสียงร้องของหญิงสาวก็เงียบหายไป...ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง...



    **********



    อีกด้านหนึ่งของปราสาท ร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกำลังยืนหอบหายใจถี่แรง มีข้างขวากุมที่หน้าอกแน่น



    ...ไม่ใช่ว่าไม่สบาย แต่ตื่นเต้นจนแทบจะหายใจไม่ทัน...



    ...ก็เมื่ออยู่ๆปากเจ้ากรรมมันดันพาหาเรื่องไปเทศนาสั่งสอนกษัตริย์แห่งสามดินแดนซึ่งๆหน้าอย่างนั้น!!!...



    ...แถมยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้าอีกต่างหาก...



    “โอย...จะบ้าตาย...”เคนินนึกอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายกับการกระทำสิ้นคิดของตน



    “นี่ไอ้หนู!!! แกคิดจะอู้อีกแล้วหรอ???”เสียงของร่างใหญ่ที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เรียกสติเด็กหนุ่มให้กลับคืนมา



    “โธ่...ลุงนี่...อู้เอ้ออะไรก็ยืนอยู่นี่เห็นๆ....”เคนินบ่นน้อยๆ



    “ไม่ต้องมาพูดดี...ในครัวกำลังยุ่งเดี๋ยวชั้นต้องไปจัดการ...”คนเป็นพ่อครัวเอ่ย



    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมอะ?...”เคนินถาม



    “นายน่ะ...ฝ่ายรับรองกำลังขาดคนเสริฟอาหาร แกไปช่วยเขาก็แล้วกัน”พูดจบร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกดันไปหาบรรดาสาวใช้ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดตกแต่งและยกอาหารออกไปเสริฟ



    “เอาจริงอะลุง?”เคนินทำหน้าแหย...



    “เออ...แกไม่ต้องมาพูดมาก รีบไปทำงานได้แล้ว” แล้วร่างใหญ่ก็คว้าถาดอาหารและของว่างมาใส่มือเด็กหนุ่มทันทีพร้อมแววตาที่บ่งบอกว่า...ห้ามเถียง...



    “เฮ้อ...ครับๆๆเข้าใจแล้วๆ...”เคนินเดินคอตกออกไปพร้อมถาดอาหารในมือเพื่อทำหน้าที่ที่เพิ่งได้รับสดๆร้อนๆ



    ...อย่างน้อยเป็นบริกร...ก็ดีกว่าเป็นจับกังหละนะ...



    **********

    ง่า...กู้คืนจากมันสมองอันน้อยนิดได้เท่านี้อ่า...ไว้กู้ได้อีกแล้วจามาอัพต่อให้น้อ...

    ...ตอนนี้งานการท่วมหัวเอาตัวไม่รอดแย้ววว ฮืออๆๆๆ...ถ้าอัพช้าก็ต้องขออภัยจริงๆคับ...

    ...ขอบคุณสำหรับผู้ที่คอยติดตามอ่านฟิคเรื่องนี้นะค้าบบบ...

    ขอบคุณมากๆค้าบบบ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×