ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (มี E-BOOK) เล่ห์ร้ายในจวนรัก Lust Manor [Clean Version]

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 67


    บทที่ 9

     

    “คิดแล้วเชียวว่ามันต้องมีจุดประสงค์แอบแฝง” หลิวเฟิงกัดฟันกรอด มือที่จับถ้วยชาของเขากำแน่นจนเส้นเลือดที่ฝ่ามือปูดโปน ความโกรธยังคงฉายชัดบนใบหน้าของเขา แต่เมื่อหันไปมองหญิงสาวข้างกายเขาก็ค่อยๆ คลายสีหน้าลงเพื่อไม่ให้นางเข้าใจผิดได้ว่าเขาโกรธนางไปด้วย

    “เจ้าออกไปทำอะไรข้างนอกนั่น?”

    “ไปหาท่านอย่างไรเล่า”

    แม้คำตอบนั้นจะฟังดูเข้าทีแต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความหงุดหงิดใจของหลิวเฟิงแต่อย่างใด

    “ข้าออกไปส่งหยางฟาน สหายอีกคนของข้า ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียวนานนัก คราวนี้เจ้าก็ได้รู้แล้วว่าแขกที่มาถึงเมื่อคืนเป็นจงเหริน แต่เจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากเขา ทำไมถึงปล่อยให้เขาเข้าใกล้เจ้าได้ขนาดนั้น”

    ซางฉีกำลังจะอธิบายแต่ก็ถูกขัดด้วยคำพูดของหลิวเฟิงที่ยังคงพูดต่อไป “จงเหรินกล้ากอดรั้งเจ้าในจวนของข้า คงมั่นใจอยู่หลายส่วนว่าเจ้าจะตอบรับความรู้สึกของมัน” หลิวเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชาก่อนจะคว้าต้นแขนของซางฉีแล้วดึงร่างบางให้ขึ้นมาเกยอยู่บนตัก ยิ่งไปกว่านั้นแขนแกร่งยังโอบรัดรอบเอวคอด เรียกเลือดฝาดให้สูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าของซางฉี เขาถือโอกาสนั้นมองสำรวจใบหน้าของนางไม่วางตาและปรารถนาที่จะเห็นมันแดงก่ำมากกว่าเดิม

    “ข้ากำลังจะไปหาท่านแต่กลับถูกคุณชายจงเหรินดึงเข้าไปกอดเสียกอด ข้าพยายามหลบเลี่ยงเขาแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ”

    หลิวเฟิงไม่ได้สนใจคำตอบนั้นเท่าไรนัก เขากำลังสนใจสีหน้ายามกระวนกระวายใจของนางมากกว่า และแล้วใบหน้า อึม ครึมของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาน้อยๆ สร้างความสับสนขึ้นในใจของคนมอง

    “นี่ท่าน… ไม่ได้โกรธข้าอยู่จริงๆ นี่นา”

    “ใช่ ข้าไม่โกรธเจ้า แต่ข้าก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่เจ้าถูกเขากอด เช่นนี้คงต้องจับเจ้าอาบน้ำใหม่แล้วกระมัง”

    “นายท่าน! ไม่เอานะจะ-อึก” นางไม่สามารถเอ่ยจบประโยคได้เมื่อถูกชายหนุ่มทาบทับริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว

    หลิวเฟิงค่อยๆ บดเบียดริมฝีปากของนางอย่างช้าๆ มือซ้ายคล้องเอวบางและมือขวาประคองศีรษะด้านหลังของซางฉี ขณะที่หญิงสาวหลับตาโอนอ่อนให้กับสัมผัสอ่อนโยนที่ทั้งสองต่างถวิลหา กายบางตอบสนองต่อการสัมผัสของกายแกร่งด้วยความคุ้นเคย นางจูบตอบเขากลับไปแต่นั่นก็เป็นก่อนที่เขาจะส่งคำขู่อย่างไม่จริงจังให้กับนาง

    “เจ้าเป็นของข้าคนเดียว ต่อไปอย่าให้ใครมาแตะต้องตัวเจ้าเช่นนั้นอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า! เข้าใจหรือไม่?”

    คำเตือนนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าหลิวเฟิงหึงหวงคนของตน แต่มันกลับทำให้คนฟังนึกน้อยใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

    “ซางฉี?” ชายหนุ่มจ้องมองดวงหน้างามที่แลดูเศร้าซึมลงไปถนัดตา

    หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาเคลือบหยาดน้ำใส นางสูดลมหายใจก่อนจะค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ ทว่าชัดเจน

    “ข้าไม่เคยให้ใครมาแตะต้องตัวข้านอกจากท่าน ข้าไม่เคยมีใจให้ผู้ใด... ทำไมท่านถึงไม่รู้... ทั้งกายและใจของข้ามันเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว”

    สิ้นประโยคนั้นหลิวเฟิงก็จู่โจมลงมาบดขยี้ริมฝีปากของนางอย่างรุนแรง หัวใจของเขาพองโตหลังได้ยินคำพูดของหญิงสาว

    ซางฉีมึนงงไปชั่วขณะ นางพยายามจะผลักเขาออกแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้แล้วเป็นฝ่ายวางมือลงบนลาดไหล่ของเขาอย่างอ่อนแรง นางตอบรับสัมผัสอันดูดดื่มของหลิวเฟิงจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายผละริมฝีปากจากมาอย่างอ้อยอิ่งแล้วจึงแนบหน้าผากของเขาเข้ากับนางท่ามกลางลมหายใจอุ่นที่รินรดใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่

    “แต่งงานกับข้านะ ฮูหยิน” หลิวเฟิงกล่าวคำพูดนั้นออกมาด้วยใจจริงพลางส่งผ่านความรู้สึกรักผ่านแววตาที่จ้องมองซางฉีอย่างลึกซึ้ง

    ซางฉียังคงนิ่งงันทว่าภายในใจนั้นสั่นไหวจนก้อนเนื้อภายในอกเต้นแรงจนอกแกร่งของชายหนุ่มรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของนางที่เต้นไม่เป็นสับ และหากเสียงหัวใจของนางคือคำตอบ ยามนี้มันก็ได้ยอมจำนนต่อชายหนุ่มทั้งหมดแล้ว

    หญิงสาวยังคงตกใจกับคำขอแต่งงานที่ชายหนุ่มโพล่งออกมาอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว และหลิวเฟิงอาศัยจังหวะที่ซางฉีชะงักกายอยู่นั้น จูบนางอีกครั้งเพื่อเรียกสตินางคืนมา คราวนี้เขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของหญิงสาว ก่อนจะค่อยๆ เปลื้องอาภรณ์ท่อนบนของนางออก

    ซางฉีปลดปล่อยเสียงครางออกมาเป็นระยะขณะที่ปากและมือของชายหนุ่มยังคงปรนเปรอนางอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงหวีดครางของนางดังกระเส่าขึ้นเรื่อยๆ

    “อ๊ะ… ฮ้า… อะ อ๊า…”

    “ตรงนี้ของเจ้ากำลังมีความสุขมากเลย มันหลั่งน้ำออกมาเคลือบนิ้วข้าไปหมดแล้ว”

    “อ๊ะ นายท่าน”

    “ยามที่นิ้วของข้าเข้าไปเต้นระบำอยู่ในตัวเจ้า เจ้าชอบไหม”

    “ทำไมท่านถึงพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อาย คนลามก อ๊ะ อื้อ”

    “นายท่าน! ข้านำสำรับอาหารของท่านกับเถ้าแก่เนี้ยมาให้แล้วขอรับ!” ทันใดนั้นเสียงของบ่าวรับใช้คนหนึ่งดังขึ้นที่หน้าเรือน

    “เจ้าอยากกินข้าวยามนี้ หรืออยากกินข้าวยามอู่”

    ทั้งสองต่างสบสายตากัน เมื่อซางฉีไม่ได้ให้คำตอบ หลิวเฟิงจึงวางร่างของนางลงกลางเตียงก่อนจะทาบทับกายลงบนเรือนร่างบางแล้วจูบนางอย่างดูดดื่มแทนการยืนยันคำตอบว่าวันนี้ พวกเขาจะกินข้าวมื้อแรกในยามอู่

     

    ซางฉีนั่งเท้าคางเหม่อมองซองกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเลื่อนลอย เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่านางถูกหลิวเฟิงลักพาตัวมาที่นี่ ความเศร้าก็คืบคลานเข้ามาในใจของนางอย่างไม่อาจห้าม เมื่อนางสงสัยว่าชีวิตของนางที่นี่จะสิ้นสุดลงเมื่อไร

    ในตอนนั้นเองที่มีมือคู่หนึ่งโอบรอบเอวนางไว้อย่างหลวมๆ สัมผัสที่คุ้นเคยส่งผ่านความอบอุ่นมาให้แก่นางและมอบความรู้สึกปลอดภัยแตกต่างจากที่เคยเป็น ซางฉีครางรับในลำคอแต่ไม่ได้หันหน้าไปมองร่างสูงที่เข้ามาแนบชิด

    หลิวเฟิงวางคางลงบนไหล่ของหญิงสาวก่อนจะจุมพิตต้นคอขาวเบาๆ ด้วยความรักใคร่ หากเป็นก่อนหน้านี้ซางฉีคงจะตัวแข็งเกร็งเพราะสัมผัสนั้นของเขาแล้ว แต่ยามนี้นางคุ้นเคยกับมันจนไม่มีใจคิดปัดป้อง แต่สิ่งที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงคือใบหน้าของนางที่แดงระเรื่อเพราะความขวยเขิน

    “กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”

    “ข้ากำลังคิดถึงเรื่องของเราเจ้าค่ะ”

    คำตอบที่แสนตรงไปตรงมานั้นทำให้หลิวเฟิงรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาวาดรอยยิ้มอันเจิดจ้าขึ้นบนใบหน้าก่อนจะจุมพิตแก้มแดงของซางฉีอย่างหมั่นเขี้ยวจนเกิดเสียง การจู่โจมของชายหนุ่มนั้นทำให้ร่างบางสั่นสะท้านจนตัวเซ

    “..อึก นายท่าน!”

    สัมผัสอันนุ่มนวลจากริมฝีปากของหลิวเฟิงทำให้ซางฉีรู้สึกร้อนวูบวาบตามผิวกายที่ถูกสัมผัส นางเอนซบแผ่นอกแกร่งของชายหนุ่มที่นั่งซ้อนตะกรองกอดนางอยู่ด้านหลัง

    “ต่อไปห้ามเจ้าเรียกข้าว่านายท่านอีก ให้เรียกว่า ท่านพี่”

    “นายท่าน! ไม่ได้นะเจ้าคะ เรายังไม่ได้แต่งงานกัน”

    “งั้นก็เรียกชื่อข้าเฉยๆ เรียกนายท่านมันดูห่างเหินเกินไป”

    “อื้ม… หลิวเฟิง”

    “ดี… คราวนี้เจ้าจะบอกข้าได้รึยังว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใช่เรื่องเดียวกับข้าไหม?”

    “คงทำให้ท่านผิดหวังแล้ว ท่านน่ะ คงจะคิดถึงเรื่องแต่งงาน แต่ว่าข้ากำลังคิดถึงเรื่องกลับเมืองหลวง กลับไปใช้ชีวิตปกติของเราสองคน”

    คำพูดของซางฉีทำให้หลิวเฟิงก้มมองเสี้ยวหน้าของนาง อากัปกิริยาที่แลดูห่อเหี่ยวนี้ทำให้ชายหนุ่มอยากขจัดมันออกไปแล้วแทนที่ด้วยความสุขอย่างที่เขารู้สึก

    “ข้าไม่ใช่คนกลับกลอก ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะพาเจ้ากลับร้านเย่เฉินหลังจากอาการบาดเจ็บของเจ้าหายดี ข้าย่อมไม่บิดพลิ้ว แต่ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่า ต่อไปเราจะมาอยู่ที่จวนนี้ เพราะที่นี่คือเรือนหอของเรา”

    แม้จะไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายแต่เมื่อได้ยินหลิวเฟิงเอ่ยออกมาเช่นนั้น ซางฉีก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี ครั้นนางจินตนาการถึงนางและเขาในสถานะของสามีภรรยาและพวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันในจวนหลังนี้ ภาพที่ไม่เคยวาดไว้ก็ชัดเจนเสียจนหาความแตกต่างจากเรื่องราวในยามนี้ไม่ได้

    “เรือนหอ?” ซางฉีทวนคำนั้นพลันรู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า เมื่อสถานที่ที่มีทั้งความทรงจำเลวร้ายและความรู้สึกอบอุ่นใจแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นบ้านหลังสุดท้ายของนาง แม้ไม่ใช่ความต้องการของนางตั้งแต่แรก แต่ยามนี้นางปราศจากความต้องการอันแรงกล้าที่จะหนีไปจากที่นี่ เพราะนางไม่จำเป็นต้องหนีอีกต่อไปแล้ว

    “ท่านตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกเลยหรือ?” ซางฉีเอ่ยถามเพื่อให้หายคลางแคลงใจ

    “ใช่ ข้าตั้งใจสร้างที่นี่ไว้เป็นเรือนหอ ข้าฝันอยากมีบ้านที่ปลีกวิเวกจากผู้คนเช่นนี้มาตลอด จวนหลังนี้จึงเริ่มสร้างขึ้นเมื่อสามปีก่อน มีเพียงคนงานที่จวนคนเก่าคนแก่เท่านั้นที่รู้จักที่นี่ และข้าไม่เคยพาใครย่างกายเข้ามา”

    “งั้นก่อนที่ท่านจะลักพาข้ามา ท่านเคยคิดไหมว่า วันหนึ่งข้าจะเป็นฮูหยินของท่าน”

    “ข้าคิด แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดออกไป เดิมทีการสู่ขอเจ้าควรจะเป็นเรื่องง่าย แต่ข้าได้ยินจากคนอื่นๆ ว่าเจ้าปฏิเสธทุกคนที่มาสู่ขอ คุณชายพวกนั้นต่างก็มีฐานะและชาติตระกูลดี เจ้ายังปฏิเสธ หากเป็นข้า เหตุใดเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น เมื่อข้าพาเจ้ามากักขังไว้ที่นี่ ข้าเฝ้าคิดว่าเจ้าจะเรียกร้องขอให้ข้ารับผิดชอบด้วยการแต่งกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ทำ เจ้าไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดไว้ เจ้าอยู่นอกเหนือแผนการของข้าเสมอ แต่เชื่อเถอะว่า ข้าไม่มีแผนการใดที่จะทำให้เจ้ามารัก และข้าจะไม่มีทางบังคับเจ้าเพื่อสิ่งนั้น แต่เมื่อวานนี้ เจ้าบอกว่าทั้งกายและใจของเจ้าเป็นของข้า นั่นก็แปลว่าในใจเจ้ามีข้า เจ้าช่วยบอกข้าให้ชื่นใจอีกสักครั้งได้ไหม ว่าในใจเจ้ามีข้า”

    ซางฉีนิ่งเงียบไปนาน มิใช่เพราะนางไร้ใจ แต่เป็นเพราะว่านางไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งนางจะได้ลงเอยกับคนในใจของนาง

    “ซางฉี…” หลิวเฟิงเรียกนางเสียงแผ่วเบา เขายังคงสงบนิ่งแม้ว่าใจจะเตรียมพร้อมแล้วสำหรับคำตอบที่อาจทำให้เขาผิดหวัง ยามนี้เขาเอี้ยวตัวมาด้านข้างเพื่อสบมองใบหน้าของนางอย่างชัดเจน ครั้นเห็นริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยคล้ายจะเอื้อนเอ่ย เขาก็ยื่นใบหน้าเข้าไปประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบา

    “จูบนี้ เพื่อยืนยันว่าข้ารักเจ้า”

    “ข้าก็… รักท่าน… หลิวเฟิง…” ซางฉียกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่มที่เคลื่อนห่างจากนางไปเพียงเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามมองเข้าไปในดวงตาอันแสนลุ่มลึกของอีกฝ่ายเพื่อยืนยันสิ่งที่นางกำลังจะพูดนับจากนี้

    “ท่านรู้ไหม ข้าชมชอบท่านมานานมากแล้ว แต่ข้าไม่อาจเผยความรู้สึกออกไป เหตุที่ข้าคอยปฏิเสธคนที่มาสู่ขอ ไม่ใช่เพราะยังไม่เจอคนที่ถูกใจ แต่เป็นเพราะว่าข้ายังไม่พร้อมจะไปจากท่าน ตราบใดที่ข้ายังไม่อาจตัดใจจากท่านได้ ข้าก็จะไม่ไม่มีวันแต่งให้กับผู้ใด”

    ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันเบาๆ อีกครั้งด้วยการเริ่มต้นจากหญิงสาว จุมพิตที่แผ่วเบาครั้งนี้ช่างให้ความรู้สึกเย้ายวนและน่าดึงดูดใจได้อย่างน่าประหลาด นางเป็นฝ่ายผละใบหน้าจากมาช้าๆ พลางโอบอุ้มใบหน้าของหลิวเฟิงไว้ด้วยสองมือ นัยน์ตาทอประกายของนางสะท้อนความรักและความหวัง ยิ่งไปกว่านั้นนางทำให้หลิวเฟิงตื้นตันดีใจเสียจนยิ้มไม่หุบ

    “ซางฉี ข้าอยากรีบกลับจวนซ่งไปเตรียมสินสอดให้เจ้าเสียเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    ซางฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ “ท่านจะรีบร้อนไปใย ในเมื่อยามนี้ เราสองคนก็เหมือนสามีภรรยากันแล้ว ท่านเพิ่งบอกข้าเองว่าที่นี่คือเรือนหอ เช่นนั้นก็เท่ากับว่า เราสองคนร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาหลายคืนแล้ว” ซางฉีเอ่ยแล้วเบือนหน้าหนีไปเพื่อซ่อนใบหน้าอันแดงระเรื่อด้วยความอายให้กับสิ่งที่นางเพิ่งกล่าวมา

    “ที่เจ้าพูดนั้นก็ถูก แต่ข้าย่อมต้องให้เกียรติเจ้า จะไม่ละเลยเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงานเด็ดขาด” หลิวเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าประดับยิ้มและรู้สึกสุขใจที่ทำให้หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างมีความสุข

    “ก่อนหน้านี้เจ้าได้เปิดดูภายในซองจดหมายนั่นหรือยัง?” หลิวเฟิงหมายถึงซองจดหมายบนโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ตรงหน้า

    ซางฉีจ้องมองมันอย่างสนใจก่อนจะหยิบมันชูขึ้นมาในระดับสายตา “ข้าเพิ่งสังเกตเห็นมันก่อนหน้านี้และคิดว่ามันเป็นของท่านเลยไม่ได้ถือวิสาสะเปิดอ่าน”

    “มันคือวันเดือนปีเกิดของข้า”

    เมื่อได้ยินดังนั้นซางฉีจึงค่อยๆ วางมันลงบนโต๊ะแล้วหันมองหลิวเฟิงเพื่อฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ

    “เราสองคนต่างก็เป็นกำพร้า หลายปีก่อนข้าหอบสมบัติทั้งหมดที่มีมาตั้งรกรากใหม่ที่นี่พร้อมกับบ่าวไม่กี่คน เจ้าเองก็เดินทางเข้าเมืองมาหางานทำเพียงตัวคนเดียวจนได้เข้าทำงานที่ร้านเย่เฉิน ในเมื่อเราทั้งสองไม่มีญาติผู้ใหญ่อยู่แล้ว เราแลกวันเดือนปีเกิดกันเสียตอนนี้ จากนั้นเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง ข้าจะส่งขบวนของหมั้นไปให้เจ้าที่ร้านเย่เฉิน เราจะแต่งงานกันที่จวนสกุลซ่ง จากนั้นจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน เจ้าจะไม่ต้องเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านเย่เฉินอีกแล้ว แต่จะเป็น ฮูหยินซ่ง”

    “ข้า…”

    “ทำไมหรือ?”

    “ข้ายังตั้งตัวไม่ทัน จู่ๆ เรื่องของเราก็เปลี่ยนแปลงมาถึงขั้นนี้”

    หลิวเฟิงโน้มใบหน้าเข้าไปมอบจุมพิตให้ซางฉีในทันที จุมพิตครั้งที่สามนี้หนักแน่นและเนิ่นนานเพื่อเน้นย้ำความรู้สึกแท้จริงที่ไม่มีวันเลือนหายแม้สัมผัสของเขาจะค่อยๆ เคลื่อนจากไปในที่สุด

    “จากนี้เราจะมีแต่ความสุข” หลิวเฟิงเอ่ยประชิดริมฝีปากของหญิงสาว “ข้า ซ่งหลิวเฟิงจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าอีก”

    “หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็จะอยู่ข้างกายท่านตลอดไป”

     

    E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1

    เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]

    สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×