ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (มี E-BOOK) เล่ห์ร้ายในจวนรัก Lust Manor [Clean Version]

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 67


    บทที่ 7

     

    ความเงียบของราตรีกาลถูกทำลายด้วยเสียงของสายฝนที่เทกระหน่ำ ความหนาวเย็นที่มาพร้อมกับฝนทำให้ร่างบางขดตัวซุกไออุ่นอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ซางฉีลืมตาขึ้นมาภายในความมืดเพียงชั่วแวบก่อนจะหลับตาลงเพราะความเกียจคร้าน ฝ่ามือเอื้อมออกไปข้างกายเพื่อคลำหาคนที่นอนอยู่เคียงข้างแต่แล้วก็พบเพียงความว่างเปล่า

    นางกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ดังเช่นที่เคยเป็นมาตลอด

    “ข้าหวังอะไรอยู่นะ”

    ซางฉีรำพันกับตนเอง เสียงนั้นฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะเยาะให้กับความเขลาของตนที่คาดหวังในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าจะไม่วันเกิดขึ้น ความผิดหวังเคลื่อนเข้ามาในใจนางอย่างไม่อาจห้าม ก่อนที่นางจะบังคับตนเองให้ลุกลงจากเตียงเพื่อเดินไปจุดไฟที่โต๊ะข้างๆ หญิงสาวก้าวเท้าข้างที่บาดเจ็บออกไปอย่างทุลักทุเลและเกือบจะล้มลงในก้าวที่สามถ้าหากไม่ได้ใครอีกคนเข้ามาประคองร่างของนางไว้เสียก่อน

    “ซางฉี! จะทำอะไรน่ะ?” หลิวเฟิงถามอย่างโมโหทันทีที่เขาช่วยซางฉีไว้ไม่ให้ล้มลงหน้าคว่ำ

    ซางฉีค่อยๆ ผละออกจากร่างสูงแล้วยืดกายยืนตรงอย่างมั่นคงท่ามกลางความมืดที่แทบมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย นางถอยห่างจากหลิวเฟิงเล็กน้อยราวกับต้องการจะสร้างเกราะป้องกันให้ตนเอง การกระทำนั้นทำให้หลิวเฟิงรู้สึกได้ถึงการปฏิเสธ แต่เขากลับเข้าใจมันได้ในทันที เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจซางฉีที่ได้รับบาดเจ็บมาก่อน การที่หญิงสาวจะแปลกใจหรือไม่ไว้ใจเขานั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ดูผิดแผก

    “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เขาเอ่ยขึ้นและหวังว่ามันจะสร้างความสบายใจให้นางได้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความประหม่าของหญิงสาว ทำให้เขาอยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อบอกนางว่า ‘เจ้าไม่เป็นไรแล้วนะ’

    “ซางฉี?”

    เมื่อเงาร่างของหญิงสาวยังคงไม่ขยับเขยื้อนและไม่มีซุ่มเสียงใดเล็ดรอดออกมาจากเจ้าของกาย หลิวเฟิงจึงเดินเข้าไปคว้าแขนของซางฉีให้โอบขึ้นมาบนไหล่ของเขาก่อนจะช้อนแขนตนเองใต้ข้อพับขาของหญิงสาวเพื่ออุ้มนางกลับไปส่งที่เตียงอีกครั้ง ครั้นวางร่างของนางลงบนเตียงอย่างระมัดระวังเขาก็ผละกายออกไปจุดเทียนที่มุมข้างๆ ตามต่อด้วยเชิงเทียนทั้งหมดทุกอัน ไม่นานภายในห้องก็มีแสงสว่างเรืองรองของเปลวเทียนส่องสว่างให้เห็นกันและกันอย่างชัดเจน

    หลิวเฟิงเดินกลับไปหาซางฉีด้วยแววตาโหยหา เขานั่งคุกเข่าลงข้างเตียงเพื่อตรวจดูผ้าพันแผลของนาง

    “เลือดซึมออกมาแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งเดินจะดีกว่า” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นบอกหญิงสาวด้วยแววตาที่สะท้อนความห่วงใย

    บัดนี้ยังคงไม่มีฝ่ายใดยอมละสายตาออกจากกัน ซางฉีคิดเพียงแต่จะตักตวงช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นัยน์ตาที่ซื่อตรงและส่งผ่านความห่วงใยอันลึกซึ้งมาให้แก่นาง ทำให้นางอยากจะเก็บแววตาคู่นั้นเอาไว้จับจ้องเพียงแต่นางผู้เดียวตลอดไป

    “ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าปล่อยให้เจ้าอยู่ลำพัง” หลิวเฟิงรู้สึกผิดที่ทิ้งให้นางต้องตื่นขึ้นมาไม่พบใครและเกือบจะหกล้มเมื่อครู่หากว่าเขาเข้ามาประคองร่างนางไว้ไม่ทัน

    ซางฉีนิ่งงันหลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ความห่วงใยที่เขาแสดงออกยังคงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันสำหรับนาง

    “ที่ท่านพูดหมายความว่า… ท่านจะนอนที่นี่กับข้าหรือ…”

    “ใช่ แต่ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ข้ากลับไปนอนห้องเดิมก็ได้”

    “ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” ซางฉีรีบปฏิเสธเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

    หลิวเฟิงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้นางมากขึ้นอย่างให้ความสนใจ “งั้นก็แปลว่าข้าอยู่ได้… ใช่หรือไม่?”

    “เจ้าค่ะ” นางตอบกลับเสียงอ้อมแอ้มและก็ทำให้หลิวเฟิงเผยยิ้มออกมาอย่างพอใจในคำตอบ

    ร่างบางสบตาร่างสูงที่นั่งคุกเข่าตรงหน้านางด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน หลิวเฟิงมองดูใบหน้าแดงระเรื่อของซางฉีพลันรู้สึกโลภมากขึ้นจนอยากเห็นแก้มแดงฝาดของหญิงสาวยามที่ถูกเขาโอบกอด แต่ตอนนี้เขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นและสนใจเรื่องอาการของนางเป็นสำคัญ

    “ข้าไปเตรียมอาหารมาให้นะ เจ้ารออยู่ในห้องดีๆ และก็อย่าเดินให้มากล่ะ” หลิวเฟิงลุกขึ้นแล้วจึงเดินไปยังประตูที่เปิดอยู่ เขาจ้องมองซางฉีเป็นครั้งสุดท้ายพลางค่อยๆ เลื่อนประตูให้ปิดลง

    แม้หลิวเฟิงจะจากไปแล้วแต่นัยน์ตาของซางฉียังคงจับจ้องอยู่ที่เดิม นับตั้งแต่นางกลับมาชายผู้นั้นได้ขอนางแต่งงานเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาซางฉีก็สงสัยในความต้องการที่แท้จริงของชายหนุ่ม ในตอนแรกดูเหมือนไม่มีทางที่นายท่านจะคิดแต่งนางเป็นภรรยา แต่แล้วเขาก็เอ่ยคำพูดนั้นบนเตียงอย่างกะทันหัน และซางฉีก็ยังไม่พร้อมที่จะแต่งให้กับเขา เมื่อระหว่างเรานั้นยังมีเรื่องที่ไม่ชัดเจนอยู่มากมาย

     

    หลิงเฟิงก้าวเข้าไปในห้องที่เพิ่งเดินจากมา เขาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะเล็กๆ ก่อนจะยกชามข้าวต้มเข้าไปป้อนซางฉีที่นั่งรอเขาอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่เกร็งเล็กน้อย

    “อ้าปากเร็วสิ”

    หลิวเฟิงไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายปฏิเสธ เขานั่งลงข้างนางแล้วตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าให้คลายร้อนก่อนจะจ่อเข้าไปใกล้ๆ ริมฝีปากของหญิงสาว ชายหนุ่มจ้องมองซางฉีกินข้าวต้มที่เขาป้อนอย่างสบายอกสบายใจ ครั้นอีกฝ่ายปฏิเสธที่จะทานต่อเพราะอิ่มแล้ว เขาก็ไม่ได้บังคับแต่กลับเดินไปวางชามข้าวต้มลงบนถาดอาหารแล้วหยิบถ้วยยายื่นส่งให้หญิงสาว

    “หยางฟานเปลี่ยนยาเป็นสูตรน้ำเพื่อสรรพคุณที่ดีขึ้น แนะนำให้ดื่มลงไปในอึกเดียวจะได้ไม่ต้องทนขม”

    “เจ้าค่ะ” ซางฉีรับถ้วยชาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เข้ามาถือไว้ก่อนจะกลั้นใจกระดกมันลงคอในอึกเดียว

    จังหวะนั้นหลิวเฟิงหมุนตัวไปหยิบถ้วยน้ำพุทราเชื่อมที่วางเหลืออยู่เป็นถ้วยสุดท้ายขึ้นมากระดกใส่ปากแล้วก้าวเข้าไปคว้าต้นคอของซางฉีขึ้นมาประกบริมฝีปากเพื่อมอบน้ำหวานดับขมให้ด้วยปากของตนเอง

    ซางฉีตกใจและชะงักไปชั่วขณะแต่เพียงไม่นานก็ตอบรับเรียวลิ้นที่แทรกเข้ามาพร้อมกับดื่มกลืนของเหลวรสหวานที่ได้รับจากชายหนุ่ม นางไม่เพียงลิ้มรสชาติพุทราเชื่อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรสชาติของเขาด้วย ยามนี้รสจูบของชายหนุ่มกลับเผ็ดร้อนตรงข้ามกับรสหวานที่ติดอยู่ในโพรงปาก และก่อนที่อะไรจะดำเนินไปไกลกว่านั้น ซางฉีก็ผันหน้าหนีจากจุมพิตที่ยากจะต้านทานครั้งนี้

    “เราทำเรื่องเช่นนี้กันมามากแล้ว ยามนี้เรื่องที่เราควรทำมากที่สุดคือการพูดคุยกันนะเจ้าคะ”

    หลิวเฟิงมองตอบนางอย่างเข้าใจเหตุผลและเริ่มกังวลถึงสิ่งที่ซางฉีกำลังจะพูดออกมาต่อจากนี้

    “ทำไมท่านถึงจะแต่งกับข้า?”

    “ข้าทำผิดต่อเจ้า”

    “ท่านพูดเช่นนี้ แปลว่าท่านจะแต่งงานกับทุกคนที่ท่านทำผิดต่อนางงั้นหรือเจ้าคะ?”

    “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น นอกจากเจ้าแล้วข้าจะไม่แต่งกับใครอีก”

    “ท่านเริ่มคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”

    “เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรือ?”

    “ข้าจะได้รู้ว่าเหตุที่ท่านจะแต่งข้า เป็นเพราะเวทนาหรือเพราะเหตุใด” คราวนี้ซางฉีเอ่ยต่อโดยไม่สบสายตาอีกฝ่าย “ท่านไม่เคยรักใคร่ชอบพอข้ามาก่อน เช่นนั้นการแต่งงานก็เป็นหนทางให้ท่านสามารถทำเรื่องบัดสีกับข้าได้โดยไม่ผิดศีลธรรม ข้าพูดถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ?”

    คำพูดของซางฉียิ่งทำให้หลิวเฟิงรู้สึกแย่ขึ้นเท่านั้น เขาถอนหายใจแรงก่อนจะหันหลังให้ซางฉีที่ยังคงวางสายตาอยู่บนพื้น

    “ถ้าขอบอกว่าข้าชอบเจ้า…”

    “ท่านเริ่มรู้สึกแบบนั้นเมื่อไรกัน?”

    “หลังจากคืนแรกที่ลักพาตัวเจ้ามา”

    “งั้นเหตุผลที่ท่านลักพาตัวข้ามา… ตั้งแต่แรก… ก็เพียงเพื่อสนองตัณหาของท่านเท่านั้น…”

    “เพราะข้าเห็นแก่ตัว” หลิวเฟิงหันกลับไปกล่าว น้ำเสียงอันเจ็บปวดของเขาเรียกสายตาของหญิงสาวให้เดินทางกลับมาสบประสานกันอีกครั้ง

    “ข้าทนไม่ได้ที่รู้ว่ามีใครต่อใครชอบเจ้า ทนไม่ได้ถ้าเจ้าจะกลายเป็นภรรยาของผู้อื่น เจ้ารู้ไหมว่าข้าอยากทำเรื่องชายหญิงกับเจ้ามาโดยตลอด… ข้าปรารถนาในตัวเจ้ามานาน และตอนนี้ข้าก็ชอบเจ้ามากอย่างที่ไม่คิดว่าจะชอบใครได้อีก”

    หลิวเฟิงเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาจากใจ นั่นเป็นความพยายามอย่างที่สุดในการสารภาพความรู้สึกที่เขามีต่อซางฉี

    หญิงสาวเสใบหน้าไปมองด้านข้างหลังจากนั้น พวงแก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อให้กับคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ และก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรต่อไป เสียงเรียกอันคุ้นเคยของสหายผู้หนึ่งก็ดังมาจากภายในห้องโถง ทำให้หลิวเฟิงถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์หลังถูกรบกวนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

    “ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย รอข้าอยู่นี่นะ” หลิวเฟิงเอ่ยแล้วจึงเดินออกไปพบแขกที่มารบกวนความสงบของจวนในยามค่ำ เขาเดินมานั่งยังห้องโถงที่ที่มีร่างของจงเหรินนั่งคอยอยู่

    แทนที่จะกล่าวทักทายสหายของตน หลิวเฟิงกลับจ้องไปที่จงเหรินด้วยแววตาตำหนิ

    “ข้าตั้งใจมาเยี่ยมซางฉี คิดว่าวันนี้นางคงฟื้นแล้ว”

    “ยามนี้ดึกเกินไปสำหรับการเยี่ยมคนป่วย และข้าก็เพิ่งส่งนางเข้านอนเมื่อครู่”

    จงเหรินสังเกตได้ว่าหลิวเฟิงไม่เต็มใจและเผลอแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมา

    “เพราะฝนตกระหว่างทางทำให้ข้าเดินทางมาถึงช้า แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว คืนนี้ข้าขอค้างที่จวนของท่านได้หรือไม่ พรุ่งนี้จะได้มาพบซางฉีก่อนที่จะเดินทางกลับ”

    หลิวเฟิงพยายามควบคุมสีหน้าของตนอย่างยิ่งยวด เขาจำเป็นต้องเสแสร้งต้อนรับสหายที่จวนของเขา ทั้งที่ภายในใจนั้นอยากจะตอบกลับไปว่าคืนนี้เขาไม่สะดวก ทั้งหมดก็เพียงเพราะว่าเขาไม่อยากให้จงเหรินได้พบกับซางฉี

    “ย่อมได้”

    “ซางฉีบาดเจ็บเช่นนี้ งั้นเรื่องดูกิจการใหม่ของพวกท่านก็คงต้องพักไว้ก่อนสินะ”

    “ก็จนกว่านางจะหายดี”

    “เรื่องกิจการใหม่ของท่าน จริงๆ ท่านหารือกับข้าก็ได้นี่ เราสองคนทำการค้าด้วยกันมาก็มาก เหตุใดครั้งนี้ท่านถึงเลือกที่จะบอกให้รู้แค่เพียงนาง” จงเหรินเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เขาสงสัยมาตลอดว่าหลิวเฟิงกำลังทำอะไรบางอย่างในช่วงที่ผ่านมาโดยอ้างว่ามันเกี่ยวข้องกับกิจการใหม่ เกรงว่าเรื่องที่หลิวเฟิงอยากปิดบังเห็นทีคงจะเกี่ยวข้องกับซางฉีเป็นแน่

    “เพราะยังไม่ได้อะไรมาสักอย่างเดียว ข้าเลยยังไม่เอ่ยเรื่องนี้กับท่าน รวมถึงเรื่องที่จะชักชวนท่านมาร่วมลงทุนด้วยหรือไม่นั้น ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ” หลิวเฟิงเริ่มด้วยการโกหกและลงท้ายด้วยการพูดความจริง เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะเชื่อคำพูดเหล่านั้น

    ทว่าเจ้าของคำถามหาได้อยากรู้คำตอบนั้นจริงๆ ไม่ สิ่งที่จงเหรินอยากรู้มากที่สุดในยามนี้คือความสัมพันธ์ของหลิวเฟิงและซางฉี เพียงแต่เขายังหาจังหวะเอ่ยถามออกไปตามตรงไม่ได้เท่านั้นเอง

    “จริงสิ จวนหลังนี้ใหญ่และก็ใหม่กว่าจวนของท่านในเมืองหลวง ดูเหมาะที่จะอยู่อาศัยมากกว่าจะใช้มาพักผ่อนหย่อนใจ ท่านคงไม่ได้คิดจะย้ายออกจากเมืองหลวงหรอกนะ”

    “ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว”

    หลิวเฟิงไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้ ตราบใดที่คำตอบไม่เกี่ยวข้องกับซางฉีของเขา เขาก็พร้อมจะบอกกับจงเหรินอย่างตรงไปตรงมา

    “ถ้าเช่นนั้นท่านจะย้ายมาเมื่อไรหรือ?”

    “ไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่ก็คงอีกไม่นาน”

    “เพราะยังต้องจัดการเรื่องกิจการใหม่นั่นสินะ”

    เมื่อได้ฟังความเห็นเช่นนั้น หลิวเฟิงจึงคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องจวนหลังนี้อีกต่อไป

    “ที่บอกว่าคงอีกไม่นานนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับกิจการใหม่หรอก กิจการใหม่ของข้าจะมีหรือไม่มีก็ยังไม่แน่ แต่วันมงคลของข้าจะต้องมีอย่างแน่นอน”

    “ท่านหมายถึง…” จงเหรินเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วไม่กล้าคาดเดาอะไรต่อ เขาสบตาเจ้าของคำพูดที่เป็นฝ่ายยืนยันคำพูดที่อยู่ในใจของเขา

    “วันแต่งงานของข้าอย่างไรเล่า” หลิวเฟิงเผยความตั้งใจจริงของเขาออกมาเป็นครั้งแรก

    “ข้าตั้งใจสร้างที่นี่ไว้เป็นเรือนหอของข้ากับฮูหยิน”

     

     

     

    E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1

    เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]

    สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×