ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (มี E-BOOK) เล่ห์ร้ายในจวนรัก Lust Manor [Clean Version]

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 67


    บทที่ 5

     

    เวลาสองชั่วยามบนรถม้าช่างยาวเหลือเกินในความรู้สึกของซางฉี ยิ่งหญิงสาวตกอยู่ภายใต้อาณัติของหลิวเฟิง ช่วงเวลานี้ก็ได้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความทรมาน หลิวเฟิงมิอาจอดทนรอให้พวกเขาเดินทางเข้าสู่เรือนหลักได้แต่อย่างใด ทันทีที่อุ้มร่างที่พันห่อด้วยอาภรณ์ของซางฉีเข้ามาสู่สวนหย่อม เขาก็พานางขึ้นไปยังศาลาชมจันทร์แล้วจัดการวางร่างของนางลงบนพื้นไม้ที่ไร้การดูแลหรือทำความสะอาด ทำให้ฝุ่นผงบนพื้นศาลาไม้เปรอะเปื้อนแขนขาบางส่วนของทั้งคู่

    “นายท่าน… อย่าเจ้าค่ะ…” ซางฉีคร่ำครวญทั้งน้ำตาขณะพยายามผลักไสหลิวเฟิงให้ออกห่าง

    ทว่าชายหนุ่มผู้โหดร้ายดั่งสัตว์เดรัจฉานกลับไร้ความปราณีใดใดทั้งสิ้น เขาไม่ยินและไม่ยลความเจ็บปวดของหญิงสาว หลิวเฟิงใคร่อยากจะครอบครองซางฉีมากเสียจนไม่สนใจสิ่งใด

    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว หลิวเฟิงกระชากอาภรณ์ที่พันห่อร่างของซางฉีให้เปิดเปลือยเรือนร่างนี้อีกครั้ง แล้วตามด้วยการปลดเปลื้องชุดของตนเองออกอย่างเร่งรีบ นัยน์ตาคมปราบจ้องมองซางฉีที่นอนสะอื้นไห้อยู่บนพื้น การกระทำครั้งนี้นั้นถือได้ว่ารุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งที่ซางฉีได้สัมผัสมาในวันนี้ ครั้นสัตว์ร้ายตนนี้ปลดปล่อยเชื้อพันธุ์ของตนจนเอ่อล้น ซางฉีก็พลิกตัวคว่ำหน้าแล้วพยายามตะเกียกตะกายไปตามพื้นไม้ แต่ไม่ทันไรมือใหญ่ก็คว้าเอวของนางไว้แล้วยกสะโพกของนางขึ้นสูงพร้อมกับคร่อมร่างทับลงมาให้เขาได้สัมผัสกับนางอีกครา

    ชายหนุ่มจงใจปล่อยซางฉีให้คลานออกไปหาแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เพื่อที่เขาจะได้ทอดสายตามองร่างอันงดงามของหญิงสาวทอประกายใต้แสงจันทร์เช่นนี้เอง เป็นครั้งแรกที่นางได้เรียนรู้ความแตกต่างว่าสิ่งใดคือความปรารถนาและสิ่งใดคือความโกรธแค้น ซางฉีร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเหลือคณนา เมื่อสัตว์ร้ายตนนี้ฉีกกระชากร่างของนางจนเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ

    หลิวเฟิงดึงแขนสองข้างของซางฉีให้เหยียดตึงไปด้านหลัง จนร่างกายของหญิงสาวแอ่นโค้งราวกับคันธนู เรียกเอาเสียงคร่ำครวญอันน่าภิรมย์ดังออกมาจากริมฝีปากคู่สวย ครานี้หลิวเฟิงจับร่างบางให้พลิกกายมาเผชิญหน้าร่างของซางฉีไถลอยู่บนผ้าหนึ่งผืนที่ไม่ได้ตั้งใจใช้รองร่างของนางบนพื้นไม้แต่อย่างใด ยามนี้ดูไม่ออกอีกแล้วว่ามันเคยเป็นอาภรณ์ส่วนใดของนาง

    ครั้นกายแกร่งนำพานางพุ่งทะยานไปถึงฝั่ง ซางฉีพลันปล่อยแขนออกจากหลิวเฟิงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบสองแก้ม หัวใจเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย นางซ่อนใบหน้าไว้หลังท่อนแขนแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น

    “ข้าอยากตาย” คำพูดอันไม่เป็นมงคลดังออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริกของหญิงสาว

    ประโยคเดียวที่หยุดสัตว์ร้ายของหลิวเฟิงและทำให้ใจของชายหนุ่มว้าวุ่น เขาคว้าแขนเรียวแล้วดึงมันออกเพื่อค้นหาความจริงในแววตาคู่นั้น หลิวเฟิงจ้องมองนัยน์ตาแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หยาดน้ำตายังเกาะอยู่ที่หางตาของนางไม่จางหาย

    “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไร?” หลิวเฟิงอยากขอให้นางไม่ได้หมายความเช่นนั้น

    “ข้าบอกว่าข้าอยากตาย ท่านได้ยินไหม ข้าอยากตาย!”

    “เจ้าตายไม่ได้ เจ้าเป็นของข้า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย!”

    “ท่านทำเช่นนี้กับข้าทำไม ถ้าท่านไม่ได้รักข้า ท่านก็ปล่อยข้าไปเถอะ ไม่เช่นนั้น ก็ฆ่าข้าเสีย!”

    หลิวเฟิงสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ในประโยคของหญิงสาวและมันได้สร้างความกังวลใจให้กับเขาขึ้นเป็นครั้งแรก

    “ข้าขอโทษ… มาเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับเรือน”

    ซางฉีลุกขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของหลิวเฟิงก่อนจะถูกช้อนตัวขึ้นอุ้มพาไปยังเรือนหลักที่มืดมิดไร้แสงสว่าง มีเพียงแสงจันทร์ส่องนำทางให้แก่ร่างสูง ครั้นชายหนุ่มวางร่างของนางลงชั่วคราวที่ห้องโถง เขาก็เร่งรุดจุดไฟที่เชิงเทียนจนครบทุกมุมของเรือน เสร็จแล้วจึงเดินกลับมาอุ้มนางเพื่อพาไปยังอ่างอาบน้ำก่อนจะผละกายจากไปโดยไม่ทิ้งคำพูดอะไรไว้ และซางฉีดีใจที่เป็นเช่นนั้น เพราะในที่สุดเขาปล่อยนางเป็นอิสระเสียที

    ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ร่างบางบนเตียงสั่นสะท้าน ซางฉีผล็อยหลับไปหนึ่งชั่วยามหลังจากชำระล้างร่างกายในอ่างและตื่นขึ้นเพราะเสียงของชายหนุ่มที่ดั่งแว่วเข้ามาในห้องนอน เมื่อมั่นใจว่าเสียงนั้นคือนายท่านของตน นางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนหน้าประตูกั้นห้อง และเงี่ยหูฟังบทสนทนาของชายหนุ่มกับใครบางคนในห้องโถง

    ซางฉีสงสัยอย่างยิ่งยวดว่านายท่านของนางกำลังสนทนากับผู้ใด ในเมื่อจวนหลังนี้เดิมทีมีเพียงนางและเขาเพียงสองคน ส่วนคนรถที่บังคับม้ามาส่งพวกนางในคืนนี้ก็คงเดินทางกลับไปในทันที เช่นนั้นใครก็ตามที่อยู่ในห้องโถงกับนายท่านยามนี้จะต้องเป็นคนสนิทที่รู้จักสถานที่แห่งนี้ด้วยอย่างแน่นอน

    “ข้าล่ะกังวลแทบแย่ว่าจะเดินทางมาถึงช้าเกินไป คืนนี้เดินทางมาถึงกลางดึก รบกวนเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับหลิวเฟิงเอ่ยแก่เจ้าของจวนหลังจากเข้ามานั่งพักและดื่มชาที่เย็นชืดได้ครู่หนึ่ง

    “ไม่รบกวนหรอก หากมาเร็วกว่านี้ต่างหากล่ะถึงจะเป็นการรบกวน”

    “เจ้าหมายความว่าอย่างไร… อ้อ หมายถึงแม่นางที่อยู่ในห้องใช่หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้าพลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้

    “ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ สินะ เดิมทีข้าตั้งใจจะบอกเจ้าพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าเจ้าจะคาดเดาได้เสียก่อน”

    หลิวเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย เพราะคาดการณ์วันมาถึงของสหายผิดไป เขาจึงไม่ได้เตรียมห้องไว้ต้อนรับ นอกจากเรือนหลักที่เขายอมยกให้ซางฉีพักอาศัยอยู่เพียงลำพังเพื่อความสะดวกใจของนางแล้ว ก็มีเพียงเรือนทางทิศตะวันออกเท่านั้นที่เขาใช้อาศัยอยู่ เมื่อสหายนั่งรถม้ามาถึงจวนในยามดึกสงัด เขาจึงต้องรับรองอีกฝ่ายที่เรือนหลังนี้แล้วปล่อยให้คนรถที่ติดตามมาพร้อมสหายออกไปจัดเตรียมห้องพักที่เรือนทางทิศตะวันตก ส่วนเรือนของเขานั้นนับตั้งแต่ได้ใช้รับรองซางฉีในช่วงแรกๆ ที่มาถึงมันก็ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปเสียแล้ว

    “ว่าแต่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้อยู่คนเดียว”

    “นั่นไงหลักฐาน สายคาดเอวของชุดสตรี เจ้าไม่เห็นเหรอว่ามันตกอยู่ใต้เก้าอี้ที่เจ้านั่งอยู่” ชายหนุ่มชี้นิ้วบอกตำแหน่งของเจ้าสิ่งนั้น พาให้สายตาคมกริบของหลิวเฟิงเลื่อนลงมองก่อนที่ชายหนุ่มจะก้มไปหยิบมันขึ้นมากุมเอาไว้บนตัก

    “เจ้าแต่งภรรยาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมถึงไม่เชิญข้ามาร่วมงานมงคล เรื่องสำคัญเช่นนี้แม้แต่จดหมายก็ไม่เขียนมาบอกกล่าว”

    “ข้ายังไม่ได้แต่งภรรยา”

    “งั้น… อย่าบอกนะว่าพวกเจ้า… หนีตามกันมา มิน่าเล่า จวนตั้งใหญ่โตขนาดนี้ถึงได้ไม่มีบ่าวรับใช้แม้แต่คนเดียว ที่แท้เจ้าก็ทำเรื่องผิดประเพณีนี่เอง” ชายหนุ่มว่าพลางกอดอกมองคหบดีหนุ่มด้วยสายตาคาดโทษ แต่ประโยคต่อมาของอีกฝ่ายก็สร้างความงงงวยให้แก่เขา

    “พวกข้าไม่ได้หนีตามกันมา”

    “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดยุ่งเป็นปม ลางสังหรณ์บอกเขาว่าสิ่งที่สหายผู้นี้กำลังจะบอกแก่เขาจะต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไร

    “ข้าพาใครบางคนมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว และที่ข้าให้คนส่งจดหมายไปเชิญเจ้ามาก็เพราะเรื่องนี้ ตระกูลของเจ้ามีชื่อเสียงเรื่องปรุงยา เจ้าพอจะมียาตำรับไหนที่ป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ยาไม่ทรมานหรือได้รับความเจ็บปวดน้อยที่สุดบ้างหรือไม่?”

    สิ้นเสียงของหลิวเฟิงทั่วทั้งจวนก็ตกอยู่ในความเงียบดังที่มันเคยดำเนินมาก่อนหน้านี้ในยามที่ปราศจากคนทั้งคู่ ก่อนที่เสียงถอนหายใจเบาๆ จะดังออกมาจากแขกผู้มาเยือน

    “มี”

    สีหน้าของหลิวเฟิงผ่อนคลายลงหลังได้ยินคำตอบที่ตนต้องการ

    “เจ้าจะขอให้ข้าปรุงยาเพื่อแม่นางผู้นั้น?”

    “ใช่” หลิวเฟิงยืนยันคำตอบในทันใด

    “เจ้ากับนาง…”

    “เป็นอย่างที่เจ้าพูด ข้าทำเรื่องผิดประเพณีกับนาง”

    “ที่ข้าอยากรู้ คือนางเป็นอะไรกับเจ้า”

    เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้หลิวเฟิงไม่ปล่อยให้สหายรอคอยคำตอบนานนัก เขาให้คำตอบที่จริงแท้ไม่ปิดบัง

    “นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่ร้านของข้า”

    “แค่นั้นหรือ?”

    “ยังมีอะไรได้อีก”

     

    ซางฉีถอยกายออกมาด้วยความรู้สึกบีบแน่นในทรวงอก น้ำเสียงอันเย็นชาของชายหนุ่มยังก้องกังวานในโสตประสาทของนาง ยามนี้ก้อนเนื้อในอกราวคล้ายถูกบีบจนแหลกสลายอย่างสมบูรณ์ นางค่อยๆ ก้าวกลับไปที่เตียงด้วยร่างกายที่โอนเอนเพราะแข่งขาที่อ่อนเปลี้ย น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างเงียบเชียบโดยไร้เสียงสะอื้น บัดนี้ทุกอย่างชัดแจ้งแก่ใจแล้วว่าหลิวเฟิงมิได้มีใจต่อนาง ทว่าเหตุใดหลิวเฟิงจึงลักพาตัวนางมาหลังจากรับรู้ว่ามีคุณชายจากสกุลต่างๆ ชอบพอและต้องการตบแต่งนางเป็นภรรยา

    คำที่บอกว่านางเป็นของเขามันหมายความว่าอย่างไร

    คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้นางตาย เป็นเพียงคำพูดตามสัญชาติเท่านั้นหาได้มีความรู้สึกใดเคลือบแฝงจริงหรือ

    ซางฉีรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่เขลา นางถูกพรากความบริสุทธิ์และหัวใจที่ไร้เดียงสาไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ทั้งสูญเสียศักดิ์ศรีและอิสรภาพ ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในห้วงแห่งกามารณ์เพื่อปรนเปรอชายหนุ่มอย่างไม่จบสิ้น

    ใช่แล้ว

    เหตุผลที่เขาลักพานางมาที่นี่เป็นเช่นนี้เอง

    เพียงเพื่อสนองตัณหาของอีกฝ่าย

    คุณชายซ่งผู้ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชาไร้หัวใจ แต่บุรุษเพศก็ยังเป็นบุรุษเพศผู้มีความต้องการอันเปี่ยมล้น และนางก็บังเอิญเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา หลิวเฟิงใช้ประโยชน์จากสถานะนายบ่าวมาเอาเปรียบนางเพราะเชื่อว่าจะควบคุมนางได้ การที่เขาไม่ต้องการให้นางตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรคนแรกแก่เขา นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าเขาคิดเช่นไรกับนาง บัดนี้หญิงสาวรู้สึกว่านางมีค่าน้อยเสียยิ่งกว่านางคณิกาในหอนางโลมเสียอีก

    เมื่อตระหนักได้ดังนั้นซางฉีก็ค่อยๆ เอนกายลงนอนบนเตียงพลางเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่อีกแล้ว ยามนั้นเปลือกตาสีน้ำนมจึงค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า แววตาอันแสนเจ็บปวดสะท้อนความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    หลิวเฟิงก้าวเดินออกมาจากห้องครัวหลังจากเตรียมอาหารเช้าให้ซางฉีเสร็จสิ้น ในมือของเขาถือถาดสำรับอาหารที่เหมือนกับเมื่อวานตรงไปยังเรือนหลักดังเช่นเช้าวันก่อน เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในเรือน เขากลับไม่พบซางฉีอยู่ภายในห้อง ชายหนุ่มเดินหาทั่วทั้งเรือนทั่วทุกมุมห้องแต่ก็ไม่พบหญิงสาว ครั้นวิ่งออกมาสำรวจนอกเรือน หัวใจของเขาพลันหล่นวูบทันทีเมื่อเห็นรอยเท้าบนพื้นดินตรงไปยังทิศตะวันตกอันเป็นหนทางเข้าสู่ป่าซึ่งเป็นเส้นทางตรงข้ามกับถนนสายยาวด้านหน้าจวนที่หญิงสาวเคยใช้มันเป็นเส้นทางในการหลบหนีมาตลอด

    หลิวเฟิงกังวลในความปลอดภัยของหญิงสาวขึ้นมาจับใจ ซางฉีไม่เคยหลบหนีในตอนกลางคืนเช่นนี้ ในใจของชายหนุ่มร้อนรุ่ม ไม่กล้าคิดถึงสภาพของหญิงสาวที่หลบหนีเข้าไปในป่าแต่เพียงลำพัง ครั้นตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาก็รีบวิ่งไปปลุกสหายของตนที่เรือนเพื่อขอความช่วยเหลือให้เข้าไปตามหาหญิงสาวด้วยกันในป่า โดยทั้งสองคนตกลงกันว่าจะทำหน้าที่แยกกันตามหา หากใครพบนางก่อนก็ให้นำตัวนางกลับมาที่จวนแล้วจุดพลุไฟให้สัญญาณบอกแก่อีกคนว่าทั้งคู่ได้เดินทางกลับมาแล้ว ส่วนบ่าวชายผู้ติดตามมาพร้อมกับสหายของหลิวเฟิงได้รับคำสั่งให้ค้นหาทั่วทุกมุมของแต่ละเรือน และหากไม่เจอตัวนางก็ให้ควบม้าไปตามถนนแล้วค้นหาไปจนกว่าจะถึงเมืองหลวง สุดท้ายค่อยแจ้งแค่คนที่จวนสกุลซ่งให้กระจายกันออกตามหาโม่ซางฉี

     

    “ซางฉี!” หลิวเฟิงตะโกนเรียกชื่อหญิงสาวด้วยเสียงแหบแห้ง เขาออกตามหาซางฉีไปครึ่งค่อนวันทว่าบัดนี้ยังไม่พบร่องรอยใดใดของหญิงสาว

    ชายหนุ่มเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ขณะหอบหายใจเอาอากาศเข้าสู่ปอด ในตอนนั้นเองที่สายตาของเขาเลื่อนลงไปเห็นรอยเลือดแห้งบนพืชหนามชนิดหนึ่ง หลิวเฟิงรีบพุ่งตัวออกไปมองหาร่องรอยของสิ่งที่ดูเหมือนคราบเลือด แล้วเขาก็เห็นรอยหยดเลือดแห้งตามใบไม้ใบหญ้าที่พอจะช่วยชี้นำทิศทางไปหาต้นตอของมัน

    “ซางฉี! ถ้าเจ้าได้ยินเสียงข้า! อย่าหลบหนีอีกเลย! กลับไปกับข้าเถอะ! ซางฉี!”

     

    ค่ำคืนนั้นดวงจันทร์ทอแสงสกาวประดับด้วยหมู่ดาวทอแสงระยิบระยับ หิ่งห้อยบินล่องในพงไพร แว่วเสียงแมลงและสิ่งมีชีวิตที่คืบคลานในผืนป่า

    ผ่านไปหนึ่งคืนแล้วนับตั้งแต่ซางฉีหนีออกมาจากจวน หญิงสาวเมื่อยล้าเพราะการเดินทางอันยาวไกลไร้จุดหมาย นางนั่งลงบนพื้นหญ้าเอนหลังพิงต้นไม้พลางเงยหน้าหาแสงจันทร์ที่ลอดผ่านแมกไม้ลงมาสู่พื้นดิน ร่างกายของนางได้รับความเย็น อีกทั้งบาดแผลที่ข้อเท้ายิ่งนานเข้าก็ให้รู้สึกเจ็บปวดจนนางก้าวเดินต่อไปอีกไม่ไหว

    นางนึกเสียใจให้กับการตัดสินใจหลบหนีอันแสนโง่เขลาครั้งนี้ การหนีไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้นางเดินทางเข้าใกล้ความตายไปทุกขณะ และนางโทษใครไม่ได้นอกจากตัวนางเองที่ปล่อยให้อารมณ์ชักนำ นางควรจะเจรจากับหลิวเฟิงอย่างจริงจังเพื่อต่อรองให้อีกฝ่ายยอมปล่อยนางไป ทว่ามันสายไปเสียแล้ว นางกลับไปที่นั่นไม่ได้ และยามนี้ตัวนางก็เริ่มร้อนขึ้นเพราะพิษไข้ ขาซ้ายบวมจนรู้สึกหนักอึ้ง นางชันเข่าขึ้นมาแนบอกอย่างพยายามให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับร่างกายที่อ่อนล้าและร่ำร้องการพักผ่อน ขณะเดียวกันอาการปวดท้องเพราะความหิวก็กลับมาโจมตีนางพร้อมๆ กับความเจ็บปวดที่ข้อเท้า ทำให้นางสูญสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น เพียงไม่นานสติของนางก็ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงร่างบอบบางที่ล้มลงนอนบนพื้นท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ

     

    “ซางฉี! ซางฉีตื่นสิ! ซางฉี!”

    หลิวเฟิงเรียกชื่อซางฉีราวกับคนเสียสติ สองมือประคองร่างบางขึ้นมาพิงโคนต้นไม้ ก่อนเขย่าไหล่บางอย่างแรงเพื่อปลุกนางให้ฟื้นขึ้นมา ไม่นานซางฉีก็ฟื้นขึ้นอย่างเชื่องช้า เพียงครู่เดียวที่หญิงสาวได้สติกลับมา นางรีบดันหน้าอกของชายหนุ่มให้ออกห่างก่อนจะถูกหลิวเฟิงรวบกอดเอาไว้อย่างหลวมๆ อ้อมกอดของชายหนุ่มนั้นอบอุ่นอ่อนโยน ทำให้ซางฉีรู้สึกปลอดภัยจนเคลิ้มสลบลงไปอีกครั้ง

    “ซางฉี อย่าหลับนะ ตื่นสิ ตื่น!”

    หลิวเฟิงตรวจดูร่างกายของนางและพบว่าข้อเท้าที่บาดเจ็บข้างนั้นบวมเปล่ง รองเท้าถูกเกี่ยวจนขาดไปถึงถุงเท้า ชายหนุ่มไม่รอช้าเขาแบกร่างของซางฉีไว้บนหลังแล้วพานางกลับไปยังจวนอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง

    “ซางฉี! อดทนไว้!”

    คำพูดนั้นไม่อาจไปถึงหญิงสาวที่หมดสติอยู่บนหลังของเขา แต่อย่างน้อยเขาก็เจอนางแล้ว เขาจับนางได้แม้ว่านางจะหนีไปจากเขาสักกี่ครั้งก็ตาม

    หลิวเฟิงสัญญากับตนเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะหนีไปจากเขา

     

     

     

    E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1
    เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]

    สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×