คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4
บทที่ 4
แม้งานเลี้ยงในจวนหลี่จะมีผู้คนมากมายแต่หลิวเฟิงกลับโดดเด่นที่สุดก็ว่าได้ ยามนี้ซางฉีนั่งอยู่บริเวณมุมหนึ่งของห้องโถงพร้อมกับเถ้าแก่เนี้ยร้านหมิงเย่ ด้านหน้าของจื่อลู่นั้นเป็นที่นั่งของ ไป๋เหิง แม่นางจากสกุลวาณิชที่มีคู่ค้าอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือตระกูลซ่งของหลิวเฟิงที่พวกนางทำงานให้
“นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่านายท่านของพวกเจ้าน่ะเป็นที่สนใจของบรรดาแขกเหรื่อมากแค่ไหน โดยเฉพาะบรรดาแม่นางเหล่านั้น” ไป๋เหิงหันหลังมาป้องปากเอ่ยกับซางฉีและจื่อลู่เบาๆ
ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งต่อหน้าซางฉี เพียงแค่นึกถึงท่าทางของนายท่านหลิวเฟิงยามอยู่กับแม่นางตานซา ความเศร้าก็เข้ามาแทนที่ในใจนาง
“ซางฉี สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลยนะ” จื่อลู่ที่สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของคนข้างกายเอ่ยถามเถ้าแก่เนี้ยร้านอาภรณ์อย่างห่วงใย
“ข้าไม่เป็นไร เดินทางมาทั้งวันเลยรู้สึกเหนื่อยก็เท่านั้น”
“เจ้าเดินทางมาพร้อมกับหลิวเฟิงหนิ เขาเองก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกัน เจ้าว่าคืนนี้… แม่นางตานซาจะชวนเขาพักที่จวนหรือไม่”
ครั้นได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาของแม่นางไป๋ ซางฉีก็มีสีหน้าปั้นยาก ภายในอกรู้สึกหนักอึ้งจนอยากจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่ว่าหลิวเฟิงกับตานซาจะมีความสัมพันธ์เช่นไร นางมีสิทธิ์อะไรมาคาดเดาการกระทำของพวกเขา คำตอบคือ ไม่
“ข้าไม่รู้…”
“พวกเจ้าน่าจะได้เห็นพวกเขาที่ศาลาริมน้ำ ดูสนิทสนมกันมากเชียวล่ะ”
แม้ซางฉีจะไม่เห็นภาพนั้นเพราะไม่ได้ติดตามทั้งคู่ไปตลอด แต่นางก็พอจะจินตนาการถึงภาพนั้นได้ ยามนี้เองที่ซางฉีเพิ่งมาคิดเสียดายใจที่ไม่ยอมหนีไป นางไม่น่าเลือกเดินกลับมาที่นี่ อย่างน้อยถ้านั่งรอเขาอยู่ภายในรถม้า นางก็คงไม่ต้องทนฟังสิ่งที่นางไม่อยากได้ยิน
“นายท่านของเราไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยนะ หรือว่า…” จื่อลู่เอ่ยขึ้นด้วยนัยน์ตาลุกวาว
“นายท่านของเจ้าเป็นที่เลื่องลือกันในหมู่สตรีว่าไม่ใช่ประเภทที่รักหยกถนอมบุปผา [1] ข้าเชื่อว่าแม่นางทั้งหลายคงอยากรู้ไม่น้อยว่าสตรีที่จะคว้าใจคุณชายซ่งมาครองได้จะเป็นคนเช่นไร”
“กับแม่นางตานซาก็ดูเหมาะสมกัน ใช่ไหมเล่า” จื่อลู่ออกความเห็น
ซางฉีนั่งฟังอย่างเงียบๆ พลางขบกัดริมฝีปากล่างของตนอย่างไม่รู้ตัว นางเพ่งความสนใจไปยังจอกสุราในมือ ก่อนจะใช้มันเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกสิ่งรอบกาย แต่ประโยคต่อมาของแม่นางไป๋ที่แว่วเข้าหูกลับเป็นเหมือนน้ำที่เดือดจัดเทลงมาบนกายนาง
“ข้าจะเล่าความลับให้พวกเจ้าฟัง บ่าวที่จวนของข้าเคยเห็นนายท่านของพวกเจ้ากับตานซาเดินจับมือกันบนถนนสายรองในคืนหนึ่ง บ่าวของข้ายังมั่นใจด้วยว่าพวกนางไม่ได้ตาฝาดแน่”
“แบบนี้หรือไม่ที่เรียกว่า พลอดรักใต้แสงจันทร์”
“บางทีตอนนี้พวกเขาสองคนอาจจะมีใจชอบพอกันอยู่ก็เป็นได้”
จื่อลู่ลอบมองปฏิกิริยาของซางฉีในยามนี้เพื่อยืนยันสิ่งที่นางสงสัย ทันทีที่แม่นางไป๋ลุกออกไปพบใครบางคนข้างนอกเรือน จื่อลู่ก็หันไปจับแขนของซางฉีเพื่อหยุดหญิงสาวจากการดื่มสุรา
“เจ้าชอบซ่งหลิวเฟิงใช่หรือไม่?”
ตั้งแต่พบกันครั้งนี้จื่อลู่สัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของอีกฝ่าย บัดนี้นางจึงตัดสินใจกระซิบถามหญิงสาวไปตรงๆ
ซางฉีจ้องกลับไปที่จื่อลู่ นางไม่แปลกใจที่เถ้าแก่เนี้ยเหลาสุราจะสงสัยเช่นนั้น ยามนี้ไม่สำคัญเลยว่านางจะยืนยันคำตอบของนางว่าอย่างไร เมื่อผลลัพธ์ที่ได้คือความเจ็บปวดเสียใจที่นางไม่เคยคิดหาทางรับมือกับมันมาก่อน
พวกนางจ้องมองกันและกันอยู่เช่นนั้น แม้จื่อลู่จะได้รับคำตอบของนางแล้ว แต่นางต้องบอกบางอย่างเพื่อเตือนอีกฝ่ายในฐานะสหาย
“อย่ารักเขาเด็ดขาด เขาเย็นชาไร้ใจ ทั้งยังชอบวางอำนาจ เขาไม่คู่ควรกับเจ้าเท่าคุณชายจากตระกูลวาณิชพวกนั้นหรอก”
“ข้ารู้... ขอบคุณนะ อาจื่อ ขอบคุณจริงๆ”
ซางฉีส่งยิ้มแกนๆ ให้กับเถ้าแก่เนี้ยที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ข้าขอตัวไปสร่างเมาด้านนอกก่อนนะ”
“ข้าไปกับเจ้านะ”
“ไม่เป็นไร ข้าไปคนเดียวได้”
ซางฉีโกหกจื่อลู่คำโต นางไม่ได้ออกมาจากสถานที่จัดงานเพื่อสร่างเมา นางเพียงแค่ไม่อาจทนคิดถึงเรื่องของหลิวเฟิงและไม่อาจนั่งดื่มต่อไปได้เพราะเกรงว่าอีกไม่นานนางคงจะร้องไห้โฮออกมาต่อหน้าจื่อลู่ บัดนี้นางไม่เหลือความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับหลิวเฟิงหลังจากตระหนักในความรู้สึกของตนว่าความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด และสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดในยามนี้คือการออกไปจากที่นี่ก่อนที่หลิวเฟิงจะพบเห็นนาง
ไม่สิ นางไม่ได้หนี นางแค่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเรือนต่างหาก
ซางฉีเดินออกมาไกลมากพอที่จะไม่ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน เบื้องหน้าของนางคือศาลาริมน้ำที่แม่นางไป๋เล่าว่าพบเห็นนายท่านหลิวเฟิงอยู่กับแม่นางตานซาที่นั่น ขณะที่กำลังใจลอยไปยังศาลาแสนสวยตรงนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลังของนาง
“แม่นางท่านนี้เหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”
ชายร่างสูงใหญ่ก้าวเดินขึ้นมาหยุดยืนใกล้ๆ หญิงสาว เมื่อทั้งคู่หันไปสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็จำกันได้ในทันที
“คุณชายจงเหริน” ซางฉีส่งยิ้มบางให้หุ้นส่วนร้านเย่เฉินและยังถือได้ว่าเป็นสหายคนสนิทของหลิวเฟิง
“หลิวเฟิงไม่ได้บอกว่าเจ้าก็มาด้วย คงเพราะไม่อยากให้เราพบกันเป็นแน่ เขาหวงเจ้ามากจริงๆ”
ซางฉีแทบไม่อยากเชื่อประโยคสุดท้ายของจงเหริน นางทำเพียงแค่ยิ้มรับโดยไม่คิดแม้แต่จะสร้างบทสนากับชายหนุ่ม ลางสังหรณ์บอกนางว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นหากนางยังอยู่ที่นี่กับเขานานกว่านี้
“ขะ… ข้าต้องรีบไป ไว้ค่อยพบกันใหม่คราวหน้านะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็... ไว้พบกันใหม่คราวหน้านะซางฉี”
ทันทีที่ทั้งคู่ค้อมศีรษะบอกลากัน พวกเขาต่างเดินแยกกันไปคนละทาง ซางฉีรีบเดินผ่านประตูโค้งออกจากบริเวณนี้ไปอย่างตื่นตระหนก หัวใจเต้นเร็วราวกับถูกจับได้ว่ากำลังกระทำความผิด
ทางด้านของหลิวเฟิงเมื่อเดินกลับมาในเรือนเห็นจงเหรินกลับมารวมกลุ่มกับต้าตง ชายหนุ่มก็รีบปรับอารมณ์ตนเองแต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของสหายทั้งสามคนจนได้
“นี่ หลิวเฟิง เกิดอะไรขึ้นหรือ ดูท่านอารมณ์ไม่ดี” จงเหรินเอ่ยถามเพื่อนคหบดีผู้เป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนของเขา
“ไม่มีอะไร”
แต่บรรยากาศที่หลิวเฟิงสร้างกลับตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขาปลีกตัวจากวงสนทนาด้วยการร่ำสุราไปหลายจอก และจงเหรินก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับสหายของเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ถึงสาเหตุของมัน
“นี่ก็ใกล้จะยามซวีแล้ว ก่อนที่ฟ้าจะมืดข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่า ข้าไม่ได้กลับจวนมาหลายวัน มีบางเรื่องที่ต้องจัดการ ขอบคุณท่านโหวที่เชิญข้ามาร่วมงานเลี้ยง ข้าขอตัวลา”
หลิวเฟิงไม่รอฟังคำพูดต่อมาของบรรดาสหายที่คุ้นเคย เขาลุกขึ้นเดินไปยังประตูทางออกของเรือนรับรองแขกฝ่ายชายอย่างรวดเร็ว ประการแรกเพื่อหลีกหนีเสียงเซ็งแซ่ของดนตรีและบรรดาแขกเหรื่อ ประการที่สองเพื่อตามหาเหยื่อของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่ง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซางฉีกำลังก้าวเดินออกจากประตูจวนสกุลหลี่ ทว่าในจังหวะนั้นข้อมือของนางก็ถูกหลิวเฟิงฉุดกระชากอย่างแรงจนเสียการทรงตัว ร่างสูงกึ่งจูงกึ่งลากนางไปยังประตูข้างเพื่อขึ้นรถม้าของจวนซ่งที่จอดพักอยู่
บัดนี้ดูเหมือนชะตากรรมอันเลวร้ายได้เกิดขึ้นกับซางฉีเสียแล้ว เมื่อเข้ามาอยู่กันตามลำพังในรถม้าคันหรู ซางฉีก็พยายามดึงแขนออกจากอุ้งมือของหลิวเฟิงเป็นสิ่งแรก
“นะ นายท่าน ปล่อยข้าเจ้าค่ะ... ข้าเจ็บ” ซางฉีจ้องมองนายท่านของนางแล้วก็หยุดชะงัก เมื่อสบนัยน์ตาอันแข็งกร้าวที่มองจ้องมาราวกับจะทำลายล้างนางด้วยกระแสแห่งความโกรธเกรี้ยว
ยามนี้หลิวเฟิงไม่รีรอที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงอีกด้านหนึ่งของเขาออกมาให้หญิงสาวตรงหน้าเห็น สัตว์ร้ายที่อยู่ในกายมันได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างแรงกล้าเพราะการกระทำก่อนหน้านี้ของซางฉี บัดนี้สิ่งที่เขาต้องการก็คือหญิงสาวผู้นี้
“ออกรถ!” หลิวเฟิงหันไปร้องสั่งคนรถให้เคลื่อนรถม้าออกตัว พร้อมกันนั้นเขายังก้าวไปสอดกลอนประตูรถม้าแล้วพุ่งความสนใจกลับมาที่เหยื่อตัวน้อยของเขา
ซางฉีขยับร่างอันแข็งทื่อหนีไปชิดมุมของรถม้าอย่างหวาดกลัว
“ข้าไม่ได้จะหนีนะเจ้าคะ ข้าแค่จะออกมารอท่านหน้าประตูจวนเท่านั้น ท่านเชื่อข้าเถอะ”
หลิวเฟิงลูบไล้ใบหน้าของซางฉีอย่างอ่อนโยน ในขณะที่มืออีกข้างลูบไล้เรือนผมด้านหลังของหญิงสาว ก่อนที่วินาทีต่อมาเขาจะดึงใบหน้าของนางเข้ามาใกล้ในระยะประชิด
“อ้าปาก” เสียงกระซิบอันยั่วยวนของหลิวเฟิงกระตุ้นให้เหยื่อยอมจำนนต่อเขาอย่างง่ายดาย
ซางฉีไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือเพราะความหลงใหลที่นางมีต่อหลิวเฟิงกันแน่ที่ทำให้นางโอนอ่อน ทันทีที่ริมฝีปากของนางอ้าออก ริมฝีปากของชายหนุ่มก็ประกบทับลงมาพร้อมกับลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของนาง
“ปากนี้ไม่อนุญาตให้คุยกับชายอื่น” หลิวเฟิงถอนใบหน้าออกมากระซิบเอ่ยอย่างชิดใกล้ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มต้นปลดอาภรณ์บางส่วนของตนออก
ซางฉีที่ก้มหน้าหนีเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่จะถูกฉวยใบหน้าให้หันกลับไปประสานสายตากับเขาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นแก่นกายของเขาก็จ่อเข้ามาที่ริมฝีปากของนาง นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้าง มันจ้องมองชายหนุ่มด้วยความไร้เดียงสา ก่อนที่อึดใจต่อมาริมฝีปากของนางจะถูกบังคับให้อ้าออกกว้างเพื่อตอบรับแก่นกายสมบูรณ์แบบที่ดุนดันเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ
“อาห์... ซางฉี”
หลิวเฟิงดึงร่างของนางลงมานอนหงายบนพื้นแล้วเร่งมือถอดอาภรณ์ของหญิงสาวด้วยความชำนาญ ก่อนจะแทรกกายเข้าไประหว่างเรียวขาสวยเพื่อสานต่อบทลงทัณฑ์ในครั้งนี้
ภาพเบื้องหน้าทำให้ลมหายใจของเขาชะงักไปชั่วครู่ มันช่างดึงดูดสายตาพร้อมกับเพิ่มความกระสันของเขาได้เป็นอย่างดี
ความรู้สึกที่เขาหลั่งรินลงในร่างกายของซางฉีในวันนี้มันมากมายเสียจนไหลย้อนออกมาไม่หมดสิ้น ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว
“หน้าไม่อายสิ้นดี เจ้ากล้าออกไปต่อร่อต่อกระซิกกับจงเหริน ทั้งๆ ที่ตรงนี้ของเจ้ามีน้ำของข้าไหลออกมางั้นหรือ เจ้ากล้าดีอย่างไรโม่ซางฉี!” หลิวเฟิงคำราม
ร่างของซางฉีกระตุกสั่นอยู่ภายใต้สัมผัสของหลิวเฟิงที่ชวนให้ทั้งหลงใหลและเจ็บปวด
กายแกร่งโน้มตัวลงประสานฝ่ามือกับร่างบาง เขาบีบกำสองมือของนางไว้มั่นขณะตอกอัดสะโพกเข้าใส่หญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง สองกายเปลือยเปล่าสอดประสานกันอยู่ภายในรถม้าที่แล่นอยู่บนเส้นทางอันยาวไกล และไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกันอย่างง่ายดาย
“เมื่อครู่คนรับใช้ของข้ามาส่งข่าว บอกว่าสองคนนั้นเดินทางกลับไปแล้ว คนเฝ้าประตูยังบอกอีกว่าเห็นคุณชายหลิวเฟิงฉุดกระชากแม่นางโม่ออกไป เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคนกันนะ” ท่านโหวผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ท่าทางครั้งสุดท้ายของหลิวเฟิงก็แปลกตา” จงเหรินครุ่นคิดถึงสหายที่มีท่าทางเหมือนหงุดหงิดใจอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“หรือว่าเจ้านั่นจะโกรธซางฉี”
จงเหรินมองออกไปนอกหน้าต่างยามราตรีกาล ภายในใจเริ่มว้าวุ่นเมื่อนึกย้อนถึงตอนที่ได้พบหลิวเฟิงและซางฉีในวันนี้ หากเขาคาดเดาไม่ผิด การที่หลิวเฟิงฉุดกระชากซางฉีออกไปด้วยความโกรธเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะไปเห็นเขาอยู่กับหญิงสาวตามลำพัง อีกทั้งท่าทีของหญิงสาวที่ราวคล้ายจะหลบเลี่ยงเขาก็อาจเป็นเพราะไม่อยากให้เกิดคำติฉินนินทาจนล่วงรู้ไปถึงหูของหลิวเฟิง
ซางฉีคงไม่อยากให้เกิดการหึงหวงขึ้นก็เป็นได้กระมัง แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียแล้ว
“จงเหริน! ท่านใจลอยไปถึงไหนกัน เรากำลังพูดถึงหลิวเฟิงกับเถ้าแก่เนี้ยของเขาอยู่นะ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลิวเฟิงจะกล้าลงมือกับสตรี ไม่ว่าจะโกรธกันเพราะเหตุใด บุรุษก็ไม่ควรรังแกสาวงาม”
คำพูดของต้าตงทำให้จงเหรินเริ่มวิตกกังวลไม่น้อย
“แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่”
“แล้วท่านล่ะ เป็นห่วงซางฉีเช่นนี้ ท่านเป็นอะไรกับนาง”
“ข้าเป็นหุ้นส่วนร้านเย่เฉิน นางเป็นเถ้าแก่เนี้ย ก็นับได้ว่าเราเป็นสหายทางการค้า”
“แค่สหายทางการค้าแต่กลับถึงขั้นเป็นห่วงเป็นใย ไม่เอาน่าจงเหริน นี่ท่านมองไม่ออกจริงๆ หรือว่าหลิวเฟิงสนใจนาง ท่านต้องหักห้ามใจก่อนที่จะหลวมตัวไปชอบนางเข้า”
คำพูดของต้าตงช่วยให้ความสงสัยของจงเหรินกระจ่างแจ้ง ต้าตงจ้องมองเขาด้วยสายตาส่อแววเป็นกังวลเล็กน้อย และสิ่งที่เขาทำได้ในยามนี้คือการถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“ถ้าเช่นนั้น ท่านลองคิดสิว่า ซางฉีมีใจให้หลิวเฟิงหรือไม่”
สหายทั้งสองคนเงียบลง ก่อนที่ต้าตงจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยต่อ “ข้าไม่รู้ บางทีคงมีเพียงหลิวเฟิงและนางเท่านั้นที่รู้ ทำไม หรือท่านมีความคิดจะแย่งชิงนางมาหากท่านแน่ใจว่านางไม่ได้ชอบหลิวเฟิง”
“เปล่าเสียหน่อย”
“งั้นท่านจะอยากรู้ไปทำไม?”
“นั่นเพราะว่าสหายที่ดีจะต้องตักเตือนกัน หากหลิวเฟิงทำไม่ดีกับซางฉี ทำให้ซางฉีบริหารกิจการร้านเย่เฉินไม่ได้เหมือนเดิม ถึงตอนนั้นนอกจากหลิวเฟิง ข้าเองก็เป็นคนที่เสียผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน”
“สมแล้วกับที่เป็นท่าน ช่างคิดได้ถี่ถ้วนนัก”
จงเหรินเลิกคิ้วใส่สหายของตนที่เพิ่งสัพยอกเขาเมื่อครู่ “ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?”
ต้าตงยื่นมือมาตบไหล่จงเหรินก่อนจะเดินถือจอกเหล้าออกไปส่งแขก ทิ้งให้จงเหรินนั่งทอดถอนใจที่ไม่รู้ว่าตนควรจะรู้สึกเช่นไรหลังจากได้รับรู้ว่าซ่งหลิวเฟิงมีใจให้โม่ซางฉี
และเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักถึงความรู้สึกที่เขามีต่อนาง ทั้งที่วันนี้ควรจะเป็นโอกาสของเขาที่จะได้ใกล้ชิดนางแท้ๆ แต่ดูเหมือนมันจะสายไปเสียแล้ว เขารู้ดีว่าหลิวเฟิงไม่ใช่คนที่จะชายตามองหญิงสาวอย่างง่ายดาย ชายผู้นี้เย็นชากับสตรีทุกผู้ทุกนาง ยกเว้นเพียงแต่หลี่ตานซา แต่แทนที่จงเหรินจะคิดเปรียบเทียบหญิงสาวทั้งสองคนว่าผู้ใดกันแน่ที่เหมาะสมกับสหายของตน เขากลับคิดว่าซ่งหลิวเฟิงต่างหากที่ไม่เหมาะสมกับโม่ซางฉี
[1] รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวนจีนหมายถึง บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี
E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1
เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]
สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น
ความคิดเห็น