ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (มี E-BOOK) เล่ห์ร้ายในจวนรัก Lust Manor [Clean Version]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 67


    บทที่ 4

     

    แม้งานเลี้ยงในจวนหลี่จะมีผู้คนมากมายแต่หลิวเฟิงกลับโดดเด่นที่สุดก็ว่าได้ ยามนี้ซางฉีนั่งอยู่บริเวณมุมหนึ่งของห้องโถงพร้อมกับเถ้าแก่เนี้ยร้านหมิงเย่ ด้านหน้าของจื่อลู่นั้นเป็นที่นั่งของ ไป๋เหิง แม่นางจากสกุลวาณิชที่มีคู่ค้าอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือตระกูลซ่งของหลิวเฟิงที่พวกนางทำงานให้

    “นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่านายท่านของพวกเจ้าน่ะเป็นที่สนใจของบรรดาแขกเหรื่อมากแค่ไหน โดยเฉพาะบรรดาแม่นางเหล่านั้น” ไป๋เหิงหันหลังมาป้องปากเอ่ยกับซางฉีและจื่อลู่เบาๆ

    ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งต่อหน้าซางฉี เพียงแค่นึกถึงท่าทางของนายท่านหลิวเฟิงยามอยู่กับแม่นางตานซา ความเศร้าก็เข้ามาแทนที่ในใจนาง

    “ซางฉี สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลยนะ” จื่อลู่ที่สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของคนข้างกายเอ่ยถามเถ้าแก่เนี้ยร้านอาภรณ์อย่างห่วงใย

    “ข้าไม่เป็นไร เดินทางมาทั้งวันเลยรู้สึกเหนื่อยก็เท่านั้น”

    “เจ้าเดินทางมาพร้อมกับหลิวเฟิงหนิ เขาเองก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกัน เจ้าว่าคืนนี้… แม่นางตานซาจะชวนเขาพักที่จวนหรือไม่”

    ครั้นได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาของแม่นางไป๋ ซางฉีก็มีสีหน้าปั้นยาก ภายในอกรู้สึกหนักอึ้งจนอยากจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

    ไม่ว่าหลิวเฟิงกับตานซาจะมีความสัมพันธ์เช่นไร นางมีสิทธิ์อะไรมาคาดเดาการกระทำของพวกเขา คำตอบคือ ไม่

    “ข้าไม่รู้…”

    “พวกเจ้าน่าจะได้เห็นพวกเขาที่ศาลาริมน้ำ ดูสนิทสนมกันมากเชียวล่ะ”

    แม้ซางฉีจะไม่เห็นภาพนั้นเพราะไม่ได้ติดตามทั้งคู่ไปตลอด แต่นางก็พอจะจินตนาการถึงภาพนั้นได้ ยามนี้เองที่ซางฉีเพิ่งมาคิดเสียดายใจที่ไม่ยอมหนีไป นางไม่น่าเลือกเดินกลับมาที่นี่ อย่างน้อยถ้านั่งรอเขาอยู่ภายในรถม้า นางก็คงไม่ต้องทนฟังสิ่งที่นางไม่อยากได้ยิน

    “นายท่านของเราไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยนะ หรือว่า…” จื่อลู่เอ่ยขึ้นด้วยนัยน์ตาลุกวาว

    “นายท่านของเจ้าเป็นที่เลื่องลือกันในหมู่สตรีว่าไม่ใช่ประเภทที่รักหยกถนอมบุปผา [1] ข้าเชื่อว่าแม่นางทั้งหลายคงอยากรู้ไม่น้อยว่าสตรีที่จะคว้าใจคุณชายซ่งมาครองได้จะเป็นคนเช่นไร”

    “กับแม่นางตานซาก็ดูเหมาะสมกัน ใช่ไหมเล่า” จื่อลู่ออกความเห็น

    ซางฉีนั่งฟังอย่างเงียบๆ พลางขบกัดริมฝีปากล่างของตนอย่างไม่รู้ตัว นางเพ่งความสนใจไปยังจอกสุราในมือ ก่อนจะใช้มันเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกสิ่งรอบกาย แต่ประโยคต่อมาของแม่นางไป๋ที่แว่วเข้าหูกลับเป็นเหมือนน้ำที่เดือดจัดเทลงมาบนกายนาง

    “ข้าจะเล่าความลับให้พวกเจ้าฟัง บ่าวที่จวนของข้าเคยเห็นนายท่านของพวกเจ้ากับตานซาเดินจับมือกันบนถนนสายรองในคืนหนึ่ง บ่าวของข้ายังมั่นใจด้วยว่าพวกนางไม่ได้ตาฝาดแน่”

    “แบบนี้หรือไม่ที่เรียกว่า พลอดรักใต้แสงจันทร์”

    “บางทีตอนนี้พวกเขาสองคนอาจจะมีใจชอบพอกันอยู่ก็เป็นได้”

    จื่อลู่ลอบมองปฏิกิริยาของซางฉีในยามนี้เพื่อยืนยันสิ่งที่นางสงสัย ทันทีที่แม่นางไป๋ลุกออกไปพบใครบางคนข้างนอกเรือน จื่อลู่ก็หันไปจับแขนของซางฉีเพื่อหยุดหญิงสาวจากการดื่มสุรา

    “เจ้าชอบซ่งหลิวเฟิงใช่หรือไม่?”

    ตั้งแต่พบกันครั้งนี้จื่อลู่สัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของอีกฝ่าย บัดนี้นางจึงตัดสินใจกระซิบถามหญิงสาวไปตรงๆ

    ซางฉีจ้องกลับไปที่จื่อลู่ นางไม่แปลกใจที่เถ้าแก่เนี้ยเหลาสุราจะสงสัยเช่นนั้น ยามนี้ไม่สำคัญเลยว่านางจะยืนยันคำตอบของนางว่าอย่างไร เมื่อผลลัพธ์ที่ได้คือความเจ็บปวดเสียใจที่นางไม่เคยคิดหาทางรับมือกับมันมาก่อน

    พวกนางจ้องมองกันและกันอยู่เช่นนั้น แม้จื่อลู่จะได้รับคำตอบของนางแล้ว แต่นางต้องบอกบางอย่างเพื่อเตือนอีกฝ่ายในฐานะสหาย

    “อย่ารักเขาเด็ดขาด เขาเย็นชาไร้ใจ ทั้งยังชอบวางอำนาจ เขาไม่คู่ควรกับเจ้าเท่าคุณชายจากตระกูลวาณิชพวกนั้นหรอก”

    “ข้ารู้... ขอบคุณนะ อาจื่อ ขอบคุณจริงๆ”

    ซางฉีส่งยิ้มแกนๆ ให้กับเถ้าแก่เนี้ยที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    “ข้าขอตัวไปสร่างเมาด้านนอกก่อนนะ”

    “ข้าไปกับเจ้านะ”

    “ไม่เป็นไร ข้าไปคนเดียวได้”

    ซางฉีโกหกจื่อลู่คำโต นางไม่ได้ออกมาจากสถานที่จัดงานเพื่อสร่างเมา นางเพียงแค่ไม่อาจทนคิดถึงเรื่องของหลิวเฟิงและไม่อาจนั่งดื่มต่อไปได้เพราะเกรงว่าอีกไม่นานนางคงจะร้องไห้โฮออกมาต่อหน้าจื่อลู่ บัดนี้นางไม่เหลือความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับหลิวเฟิงหลังจากตระหนักในความรู้สึกของตนว่าความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด และสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดในยามนี้คือการออกไปจากที่นี่ก่อนที่หลิวเฟิงจะพบเห็นนาง

    ไม่สิ นางไม่ได้หนี นางแค่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเรือนต่างหาก

    ซางฉีเดินออกมาไกลมากพอที่จะไม่ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน เบื้องหน้าของนางคือศาลาริมน้ำที่แม่นางไป๋เล่าว่าพบเห็นนายท่านหลิวเฟิงอยู่กับแม่นางตานซาที่นั่น ขณะที่กำลังใจลอยไปยังศาลาแสนสวยตรงนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลังของนาง

    “แม่นางท่านนี้เหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”

    ชายร่างสูงใหญ่ก้าวเดินขึ้นมาหยุดยืนใกล้ๆ หญิงสาว เมื่อทั้งคู่หันไปสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็จำกันได้ในทันที

    “คุณชายจงเหริน” ซางฉีส่งยิ้มบางให้หุ้นส่วนร้านเย่เฉินและยังถือได้ว่าเป็นสหายคนสนิทของหลิวเฟิง

    “หลิวเฟิงไม่ได้บอกว่าเจ้าก็มาด้วย คงเพราะไม่อยากให้เราพบกันเป็นแน่ เขาหวงเจ้ามากจริงๆ”

    ซางฉีแทบไม่อยากเชื่อประโยคสุดท้ายของจงเหริน นางทำเพียงแค่ยิ้มรับโดยไม่คิดแม้แต่จะสร้างบทสนากับชายหนุ่ม ลางสังหรณ์บอกนางว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นหากนางยังอยู่ที่นี่กับเขานานกว่านี้

    “ขะ… ข้าต้องรีบไป ไว้ค่อยพบกันใหม่คราวหน้านะเจ้าคะ”

    “เช่นนั้นก็... ไว้พบกันใหม่คราวหน้านะซางฉี”

    ทันทีที่ทั้งคู่ค้อมศีรษะบอกลากัน พวกเขาต่างเดินแยกกันไปคนละทาง ซางฉีรีบเดินผ่านประตูโค้งออกจากบริเวณนี้ไปอย่างตื่นตระหนก หัวใจเต้นเร็วราวกับถูกจับได้ว่ากำลังกระทำความผิด

    ทางด้านของหลิวเฟิงเมื่อเดินกลับมาในเรือนเห็นจงเหรินกลับมารวมกลุ่มกับต้าตง ชายหนุ่มก็รีบปรับอารมณ์ตนเองแต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของสหายทั้งสามคนจนได้

    “นี่ หลิวเฟิง เกิดอะไรขึ้นหรือ ดูท่านอารมณ์ไม่ดี” จงเหรินเอ่ยถามเพื่อนคหบดีผู้เป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนของเขา

    “ไม่มีอะไร”

    แต่บรรยากาศที่หลิวเฟิงสร้างกลับตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขาปลีกตัวจากวงสนทนาด้วยการร่ำสุราไปหลายจอก และจงเหรินก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับสหายของเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ถึงสาเหตุของมัน

    “นี่ก็ใกล้จะยามซวีแล้ว ก่อนที่ฟ้าจะมืดข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่า ข้าไม่ได้กลับจวนมาหลายวัน มีบางเรื่องที่ต้องจัดการ ขอบคุณท่านโหวที่เชิญข้ามาร่วมงานเลี้ยง ข้าขอตัวลา”

    หลิวเฟิงไม่รอฟังคำพูดต่อมาของบรรดาสหายที่คุ้นเคย เขาลุกขึ้นเดินไปยังประตูทางออกของเรือนรับรองแขกฝ่ายชายอย่างรวดเร็ว ประการแรกเพื่อหลีกหนีเสียงเซ็งแซ่ของดนตรีและบรรดาแขกเหรื่อ ประการที่สองเพื่อตามหาเหยื่อของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่ง

    ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซางฉีกำลังก้าวเดินออกจากประตูจวนสกุลหลี่ ทว่าในจังหวะนั้นข้อมือของนางก็ถูกหลิวเฟิงฉุดกระชากอย่างแรงจนเสียการทรงตัว ร่างสูงกึ่งจูงกึ่งลากนางไปยังประตูข้างเพื่อขึ้นรถม้าของจวนซ่งที่จอดพักอยู่

    บัดนี้ดูเหมือนชะตากรรมอันเลวร้ายได้เกิดขึ้นกับซางฉีเสียแล้ว เมื่อเข้ามาอยู่กันตามลำพังในรถม้าคันหรู ซางฉีก็พยายามดึงแขนออกจากอุ้งมือของหลิวเฟิงเป็นสิ่งแรก

    “นะ นายท่าน ปล่อยข้าเจ้าค่ะ... ข้าเจ็บ” ซางฉีจ้องมองนายท่านของนางแล้วก็หยุดชะงัก เมื่อสบนัยน์ตาอันแข็งกร้าวที่มองจ้องมาราวกับจะทำลายล้างนางด้วยกระแสแห่งความโกรธเกรี้ยว

    ยามนี้หลิวเฟิงไม่รีรอที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงอีกด้านหนึ่งของเขาออกมาให้หญิงสาวตรงหน้าเห็น สัตว์ร้ายที่อยู่ในกายมันได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างแรงกล้าเพราะการกระทำก่อนหน้านี้ของซางฉี บัดนี้สิ่งที่เขาต้องการก็คือหญิงสาวผู้นี้

    “ออกรถ!” หลิวเฟิงหันไปร้องสั่งคนรถให้เคลื่อนรถม้าออกตัว พร้อมกันนั้นเขายังก้าวไปสอดกลอนประตูรถม้าแล้วพุ่งความสนใจกลับมาที่เหยื่อตัวน้อยของเขา

    ซางฉีขยับร่างอันแข็งทื่อหนีไปชิดมุมของรถม้าอย่างหวาดกลัว

    “ข้าไม่ได้จะหนีนะเจ้าคะ ข้าแค่จะออกมารอท่านหน้าประตูจวนเท่านั้น ท่านเชื่อข้าเถอะ”

    หลิวเฟิงลูบไล้ใบหน้าของซางฉีอย่างอ่อนโยน ในขณะที่มืออีกข้างลูบไล้เรือนผมด้านหลังของหญิงสาว ก่อนที่วินาทีต่อมาเขาจะดึงใบหน้าของนางเข้ามาใกล้ในระยะประชิด

    “อ้าปาก” เสียงกระซิบอันยั่วยวนของหลิวเฟิงกระตุ้นให้เหยื่อยอมจำนนต่อเขาอย่างง่ายดาย

    ซางฉีไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือเพราะความหลงใหลที่นางมีต่อหลิวเฟิงกันแน่ที่ทำให้นางโอนอ่อน ทันทีที่ริมฝีปากของนางอ้าออก ริมฝีปากของชายหนุ่มก็ประกบทับลงมาพร้อมกับลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของนาง

    “ปากนี้ไม่อนุญาตให้คุยกับชายอื่น” หลิวเฟิงถอนใบหน้าออกมากระซิบเอ่ยอย่างชิดใกล้ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มต้นปลดอาภรณ์บางส่วนของตนออก

    ซางฉีที่ก้มหน้าหนีเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่จะถูกฉวยใบหน้าให้หันกลับไปประสานสายตากับเขาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นแก่นกายของเขาก็จ่อเข้ามาที่ริมฝีปากของนาง นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้าง มันจ้องมองชายหนุ่มด้วยความไร้เดียงสา ก่อนที่อึดใจต่อมาริมฝีปากของนางจะถูกบังคับให้อ้าออกกว้างเพื่อตอบรับแก่นกายสมบูรณ์แบบที่ดุนดันเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ

    “อาห์... ซางฉี”

    หลิวเฟิงดึงร่างของนางลงมานอนหงายบนพื้นแล้วเร่งมือถอดอาภรณ์ของหญิงสาวด้วยความชำนาญ ก่อนจะแทรกกายเข้าไประหว่างเรียวขาสวยเพื่อสานต่อบทลงทัณฑ์ในครั้งนี้

    ภาพเบื้องหน้าทำให้ลมหายใจของเขาชะงักไปชั่วครู่ มันช่างดึงดูดสายตาพร้อมกับเพิ่มความกระสันของเขาได้เป็นอย่างดี

    ความรู้สึกที่เขาหลั่งรินลงในร่างกายของซางฉีในวันนี้มันมากมายเสียจนไหลย้อนออกมาไม่หมดสิ้น ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว

    “หน้าไม่อายสิ้นดี เจ้ากล้าออกไปต่อร่อต่อกระซิกกับจงเหริน ทั้งๆ ที่ตรงนี้ของเจ้ามีน้ำของข้าไหลออกมางั้นหรือ เจ้ากล้าดีอย่างไรโม่ซางฉี!” หลิวเฟิงคำราม

    ร่างของซางฉีกระตุกสั่นอยู่ภายใต้สัมผัสของหลิวเฟิงที่ชวนให้ทั้งหลงใหลและเจ็บปวด

    กายแกร่งโน้มตัวลงประสานฝ่ามือกับร่างบาง เขาบีบกำสองมือของนางไว้มั่นขณะตอกอัดสะโพกเข้าใส่หญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง สองกายเปลือยเปล่าสอดประสานกันอยู่ภายในรถม้าที่แล่นอยู่บนเส้นทางอันยาวไกล และไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกันอย่างง่ายดาย

     

    “เมื่อครู่คนรับใช้ของข้ามาส่งข่าว บอกว่าสองคนนั้นเดินทางกลับไปแล้ว คนเฝ้าประตูยังบอกอีกว่าเห็นคุณชายหลิวเฟิงฉุดกระชากแม่นางโม่ออกไป เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคนกันนะ” ท่านโหวผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

    “ท่าทางครั้งสุดท้ายของหลิวเฟิงก็แปลกตา” จงเหรินครุ่นคิดถึงสหายที่มีท่าทางเหมือนหงุดหงิดใจอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

    “หรือว่าเจ้านั่นจะโกรธซางฉี”

    จงเหรินมองออกไปนอกหน้าต่างยามราตรีกาล ภายในใจเริ่มว้าวุ่นเมื่อนึกย้อนถึงตอนที่ได้พบหลิวเฟิงและซางฉีในวันนี้ หากเขาคาดเดาไม่ผิด การที่หลิวเฟิงฉุดกระชากซางฉีออกไปด้วยความโกรธเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะไปเห็นเขาอยู่กับหญิงสาวตามลำพัง อีกทั้งท่าทีของหญิงสาวที่ราวคล้ายจะหลบเลี่ยงเขาก็อาจเป็นเพราะไม่อยากให้เกิดคำติฉินนินทาจนล่วงรู้ไปถึงหูของหลิวเฟิง

    ซางฉีคงไม่อยากให้เกิดการหึงหวงขึ้นก็เป็นได้กระมัง แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียแล้ว

    “จงเหริน! ท่านใจลอยไปถึงไหนกัน เรากำลังพูดถึงหลิวเฟิงกับเถ้าแก่เนี้ยของเขาอยู่นะ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลิวเฟิงจะกล้าลงมือกับสตรี ไม่ว่าจะโกรธกันเพราะเหตุใด บุรุษก็ไม่ควรรังแกสาวงาม”

    คำพูดของต้าตงทำให้จงเหรินเริ่มวิตกกังวลไม่น้อย

    “แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่”

    “แล้วท่านล่ะ เป็นห่วงซางฉีเช่นนี้ ท่านเป็นอะไรกับนาง”

    “ข้าเป็นหุ้นส่วนร้านเย่เฉิน นางเป็นเถ้าแก่เนี้ย ก็นับได้ว่าเราเป็นสหายทางการค้า”

    “แค่สหายทางการค้าแต่กลับถึงขั้นเป็นห่วงเป็นใย ไม่เอาน่าจงเหริน นี่ท่านมองไม่ออกจริงๆ หรือว่าหลิวเฟิงสนใจนาง ท่านต้องหักห้ามใจก่อนที่จะหลวมตัวไปชอบนางเข้า”

    คำพูดของต้าตงช่วยให้ความสงสัยของจงเหรินกระจ่างแจ้ง ต้าตงจ้องมองเขาด้วยสายตาส่อแววเป็นกังวลเล็กน้อย และสิ่งที่เขาทำได้ในยามนี้คือการถอนหายใจออกมาอย่างแรง

    “ถ้าเช่นนั้น ท่านลองคิดสิว่า ซางฉีมีใจให้หลิวเฟิงหรือไม่”

    สหายทั้งสองคนเงียบลง ก่อนที่ต้าตงจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยต่อ “ข้าไม่รู้ บางทีคงมีเพียงหลิวเฟิงและนางเท่านั้นที่รู้ ทำไม หรือท่านมีความคิดจะแย่งชิงนางมาหากท่านแน่ใจว่านางไม่ได้ชอบหลิวเฟิง”

    “เปล่าเสียหน่อย”

    “งั้นท่านจะอยากรู้ไปทำไม?”

    “นั่นเพราะว่าสหายที่ดีจะต้องตักเตือนกัน หากหลิวเฟิงทำไม่ดีกับซางฉี ทำให้ซางฉีบริหารกิจการร้านเย่เฉินไม่ได้เหมือนเดิม ถึงตอนนั้นนอกจากหลิวเฟิง ข้าเองก็เป็นคนที่เสียผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน”

    “สมแล้วกับที่เป็นท่าน ช่างคิดได้ถี่ถ้วนนัก”

    จงเหรินเลิกคิ้วใส่สหายของตนที่เพิ่งสัพยอกเขาเมื่อครู่ “ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?”

    ต้าตงยื่นมือมาตบไหล่จงเหรินก่อนจะเดินถือจอกเหล้าออกไปส่งแขก ทิ้งให้จงเหรินนั่งทอดถอนใจที่ไม่รู้ว่าตนควรจะรู้สึกเช่นไรหลังจากได้รับรู้ว่าซ่งหลิวเฟิงมีใจให้โม่ซางฉี

    และเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักถึงความรู้สึกที่เขามีต่อนาง ทั้งที่วันนี้ควรจะเป็นโอกาสของเขาที่จะได้ใกล้ชิดนางแท้ๆ แต่ดูเหมือนมันจะสายไปเสียแล้ว เขารู้ดีว่าหลิวเฟิงไม่ใช่คนที่จะชายตามองหญิงสาวอย่างง่ายดาย ชายผู้นี้เย็นชากับสตรีทุกผู้ทุกนาง ยกเว้นเพียงแต่หลี่ตานซา แต่แทนที่จงเหรินจะคิดเปรียบเทียบหญิงสาวทั้งสองคนว่าผู้ใดกันแน่ที่เหมาะสมกับสหายของตน เขากลับคิดว่าซ่งหลิวเฟิงต่างหากที่ไม่เหมาะสมกับโม่ซางฉี

     


    [1] รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวนจีนหมายถึง บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี

     

    E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1
    เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]

    สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×