คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
บทที่ 3
“คืนนั้น หลังจากท่านวางยาสลบลงในชาของข้าแล้ว ท่านก็พาข้าขึ้นรถม้ามาเช่นนี้หรือเจ้าคะ” ซางฉีเอ่ยถามขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากที่นางและนายท่านโดยสารรถม้าที่นำทางโดยคนงานของจวนซ่งที่หญิงสาวไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน
หลิวเฟิงเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายก่อนจะไขข้อข้องใจนั้นให้แก่นางด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “ใช่แล้ว หนทางไกลเช่นนี้ข้าไม่โง่แบกเจ้าขึ้นหลังม้ามาตามลำพังหรอก”
แทนที่จะพอใจในคำตอบแต่ซางฉีกลับเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น “งั้นก็ต้องมีคนพาเรามา คนที่รู้จักที่นี่นอกจากท่าน เป็นเขาสินะเจ้าคะ” ซางฉีหมายถึงคนรถที่กุมบังเหียนม้าอยู่ด้านนอกนั่น
หลิวเฟิงกระตุกยิ้มอย่างยียวน “นอกจากเขาก็ยังมีคนงานที่รู้อีกสองสามคน แต่อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ พวกเขาล้วนฟังคำสั่งจากข้าคนเดียว”
ซางฉีผันหน้าหนีไปบ่นพึมพำกับตนเองหลังตระหนักได้ว่าหนทางในการหนีไปจากจวนลึกลับของนายท่านเป็นเรื่องยากมากเพียงใด คล้อยหลังจากนั้นหญิงสาวหันไปทอดสายตามองทุ่งหญ้าเขียวขจีข้างทางและแหล่งน้ำสายยาวที่ทอประกายระยิบระยับจากแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนั้นคือความสงบสุขที่นางหาได้เพียงชั่วคราว ก่อนที่สายลมจะพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางราวกับแรงลมที่มาพร้อมกับสายฝน ทำให้ซางฉีรีบปิดประตูหน้าต่างแล้วเอนกายกลับมานั่งหลังตรงอย่างรู้สึกเสียดายช่วงเวลาอันน่าภิรมย์นี้
ในขณะที่ทางฝั่งของหลิวเฟิงไม่ได้ถูกรบกวนจากสายลมกรรโชก เขาจึงสามารถวางศอกไว้ที่กรอบหน้าต่างที่เปิดไว้พลางเหลือบมองซางฉีผู้ซึ่งน่าชื่นชมมากกว่าภาพธรรมชาติด้านนอกเป็นไหนๆ นางดูสดใสเหลือเกินในยามที่เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนต้องแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เฉดสีของเครื่องสำอางที่แต่งแต้มบนใบหน้าอันงดงามทำให้หลิวเฟิงเผลอตกตะลึงในครั้งแรกที่ได้จ้องมองนางอย่างพินิจ
ช่วงเวลาอันเงียบสงบที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกันบนถนนสายนี้ทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ฉายขึ้นมาในหัว หลิวเฟิงรู้ดีว่าซางฉีคงอยากจะลืมความทรงจำเหล่านั้น ผิดกับเขาที่เลือกในสิ่งที่ตรงกันข้าม เรื่องราวเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นซางฉีที่พยายามหลบหนีและถูกเขาจับได้บนถนนสายนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนเป็นสิ่งที่น่าจดจำสำหรับเขา เช่นเดียวกับความทรงจำที่ทุ่งหญ้าและหนองน้ำเหล่านั้น เขาเคยจับตัวนางที่นั่นได้หลายครั้งและลงทัณฑ์นางที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ ไม่ว่าซางฉีจะหนีไปไกลเพียงใดหรือซ่อนตัวอยู่แห่งหนใด หลิวเฟิงก็จะพานางกลับมาอยู่ด้วยกันในจวนตามความประสงค์ของเขา
การเดินทางผ่านถนนแห่งความทรงจำอันมีค่าและยากจะลืมเลือนครานี้ หลิวเฟิงเก็บมันเอาไว้ในใจและให้มันกลายเป็นความทรงจำอันแสนหวาน การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ครั้งสำคัญของเขาและนางที่เกิดจากความชิดใกล้และความขัดแย้งที่มีต่อกันนี้จะมีจุดจบเช่นไร หลิวเฟิงจะเป็นผู้กำหนดมันเอง
เขาเผยให้ซางฉีได้เห็นความเลวร้ายของเขาเกือบทั้งหมดแล้ว ต่อจากนี้เขาจะค่อยๆ ให้นางได้เห็นตัวตนที่แท้จริงทั้งหมดของเขา
“นายท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยนะเจ้าคะว่าเรากำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของผู้ใด” ซางฉีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
นัยน์ตาของนางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ทางฝั่งที่นั่งของชายหนุ่ม แม้ขณะที่สนทนากับนายท่านนางก็ยังคงหลีกเลี่ยงการเมียงมองอีกฝ่าย และยามนี้ความสนใจของนางคืองานเลี้ยงที่นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยสักอย่าง การที่นายท่านไม่ใส่ใจจะบอกเล่าพลอยทำให้นางคิดว่างานเลี้ยงที่ว่านั้นคงจัดขึ้นเล็กๆ อย่างเป็นกันเอง ทว่าชุดสวยที่อีกฝ่ายจัดเตรียมให้กับนางนั้นดูทางการเกินกว่าจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ของสหายคนสนิท
“เราจะไปจวนหลี่ แสดงความยินดีให้กับหลี่ต้าตง เมื่อเร็วๆ นี้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นโหว [1] ”
“มิน่าเล่า ท่านถึงให้ข้าแต่งตัวเต็มเครื่องเสียขนาดนี้ ใครได้เห็นก็คงจะรู้ในทันทีว่าข้าคือเถ้าแก่เนี้ยร้านเย่เฉิน”
“เจ้าเหมาะกับชุดนี้มาก ซางฉี ใส่ออกมาแล้ว… ดูสวยกว่าลูกท่านหลานเธอตั้งหลายเท่า”
ซางฉีหันมองคนพูดด้วยแววตาตื่นและขอบคุณอยู่ในที คำชมของเขาทำเอานางถึงกับพูดไม่ออก ครั้นตระหนักได้ว่าระยะห่างของพวกเขาในยามนี้แตกต่างไปจากที่ควรจะเป็นอีกทั้งสุ่มเสี่ยงที่จะถูกชายหนุ่มเอาเปรียบได้ง่าย นางจึงลุกขึ้นไปนั่งยังเบาะนั่งด้านข้างติดหน้าต่างอันเป็นตำแหน่งที่นั่งของนางเสมอมา ทว่าการกระทำนั้นกลับสร้างความไม่พอใจให้ชายหนุ่ม
“เป็นอะไรของเจ้า กลับมานั่งข้างข้านี่”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“ซางฉี!”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยให้กับเสียงตะคอกของนายท่าน เมื่อก่อนนี้เขาไม่เคยเสียงดังหรือตะคอกใส่นางเลย แต่หลังจากที่เขาลักพาตัวนางมาที่จวนลึกลับ เขากลับใช้กำลังและอำนาจข่มเหงนางไม่เว้นแม้แต่การกระทำอันเล็กน้อยเช่นนี้
“เป็นอะไรไป ทำไมมองข้าแล้วก็ถอยห่างไปนั่งตรงนั้น”
“นี่เป็นที่นั่งประจำของข้า ข้าเป็นเพียงลูกจ้างทำงานให้กิจการของท่าน ข้าไม่อาจเสียมารยาทนั่งข้างนายท่านหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ถือ จงจำไว้ว่านับแต่นี้ไป เจ้ามีสิทธิ์นั่งข้างกายข้า เข้าใจหรือไม่?”
“แต่…”
“จะนั่งข้างข้าหรือจะนั่งบนตักข้า”
“นั่ง… นั่งข้างนายท่านเจ้าค่ะ” ซางฉีเปลี่ยนใจทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายอย่างไม่มีทางเลือกอื่น นางลุกขึ้นไปนั่งเคียงข้างเขา ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก พลางคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีทางที่นางจะขัดขืนเขาได้เลย
ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากาศอีกครั้ง แม้พวกเขาจะใกล้ชิดกันก็ตามแต่กำแพงแห่งความสัมพันธ์ได้ขวางกั้นพวกเขาไว้ เป็นที่รู้กันของทั้งคู่ว่าหากไม่มีใครเริ่มต้นบทสนทนาก่อน พวกเขามักจะปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันไปเช่นนั้นจนกว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งเบื่อหน่ายแล้วเป็นฝ่ายโพล่งออกมาเพื่อทำลายความเงียบงัน
“รู้ไหมว่ากว่าจะถึงเมืองต้องใช้เวลากี่ชั่วยาม”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ นายท่านเป็นคนพาข้ามาก็ย่อมต้องรู้อยู่แล้วสิเจ้าคะ”
“สองชั่วยาม ใช้เวลาเดินทางสองชั่วยาม” หลิวเฟิงหันไปกล่าวกับหญิงสาวด้วยสีหน้าที่สะท้อนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างไม่คิดปกปิดก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาที่ทำให้คนฟังเสียววูบที่ช่องท้อง
“ระหว่างนี้เราก็น่าจะทำอะไรแก้เบื่อด้วยกันนะ”
ซางฉีลุกพึ่บแล้วย้ายไปนั่งบนเบาะข้างหน้าต่างในทันที หลิวเฟิงเปล่งเสียงหัวเราะลั่นรถม้า ก่อนที่ครู่ต่อมาเขาจะกระชากแขนหญิงสาวให้ถลาเข้ามาในอ้อมกอดของตน
“จะทำอะไรเจ้าคะนายท่าน!”
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมนั่งข้างข้าดีๆ ก็ต้องนั่งบนตักข้าไปจนกว่าข้าจะพอใจ”
“นายท่านกลั่นแกล้งข้า” ใบหน้าของหญิงสาวจากที่ตื่นตกใจค่อยๆ งอง้ำ กลายเป็นภาพที่ถูกใจคนมองเป็นอย่างมาก
“ปล่อยข้าลงเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวนายท่านจะเมื่อย”
“ตัวเจ้าเบาราวกับหมอน ข้านั่งแบบนี้ได้ทั้งวัน หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าข้าแข็งแรงเพียงใด จำได้ไหมตอนที่เจ้าอยู่บนตักข้า ข้าควบคุมจังหวะไม่ยั้งแรงจนกายเจ้าโยกคลอนไปหมด”
“นายท่าน!” ซางฉีรีบยกมือขึ้นปิดปากหลิวเฟิงด้วยความอาย นางปิดปากเขาได้ไม่ทันไรมือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของนางแล้วดึงมันให้ละออกจากใบหน้าของเขา
ยามนี้ชายหนุ่มกระตุกยิ้มข้างมุมปากอย่างที่ชอบทำเสมอมา “แบบนี้แสดงว่าเจ้าคงจำมันได้สินะ”
“เจ้าค่ะ ระ… เรา… อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะเจ้าคะ”
“ไม่ให้พูดถึงงั้นให้ทำได้หรือไม่”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ!”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากให้ข้าปล่อยหรอกหรือ”
“ท่านอย่ามาทำเจ้าเล่ห์ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะนั่งอยู่บนตักท่านแบบนี้ คอยดูสิว่าท่านจะทนได้นานแค่ไหน” หญิงสาวกล่าวอย่างท้าทายก่อนที่นางจะได้รู้ไม่นานหลังจากนั้นว่าความอดทนของชายหนุ่มนั้นแสนสั้นเพียงใด
“ไหลออกมาเยอะจริงๆ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อย
ซางฉีแหลกลานอยู่ใต้ร่างเขานับครั้งไม่ถ้วน หลายวันที่ผ่านมาเขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยปลดปล่อยในร่างบางไปกี่ครั้ง รู้เพียงว่ามันช่างมากมายและไม่เคยพอสำหรับเขา
หลิวเฟิงหลงใหลเรือนร่างของซางฉี หลงใหลการเติมเต็มนางจนมากล้น หลงใหลภาพที่นางจำนนต่อเขาอย่างหมดสิ้น และหลงใหลเสียงเฉาะแฉะที่เกิดขึ้นบริเวณหว่างขาของหญิงสาว
เคราะห์ดีที่เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้นอกเนื้อผ้า
แต่ไม่ใช่สำหรับเรือนร่างส่วนอื่นๆ
หลิวเฟิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับรอยจูบตามทรวงอกและหน้าท้องของซางฉี และยังมีรอยช้ำจางๆ บริเวณเอวที่เกิดจากการบีบเค้นของชายหนุ่ม
หลิวเฟิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบรรจงเช็ดเมือกสีมุกที่เปรอะเปื้อนอยู่บนนั้น ซางฉีทำเพียงแค่หลับตา ปล่อยให้เขาทำความสะอาดช่วงล่างของนางที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง ไม่นานหลังจากนั้นหลิวเฟิงก็แต่งกายให้พวกเขาทั้งคู่กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงดึงร่างบางให้ขึ้นมานั่งแนบกายเขาอยู่บนเบาะนั่ง
“ถ้ายามนี้เราอยู่ด้วยกันที่จวน ข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้าลงจากเตียงเป็นแน่”
ใบหูของคนฟังแดงแจ๋เช่นเดียวกับพวงแก้ม นางพยายามจะสลัดกายออกจากวงแขนของชายหนุ่มแต่ก็ไม่สำเร็จอีกทั้งเมื่อขยับกายมันยังนำความปวดร้าวมาให้กับกายท่อนล่างของนางอีกด้วย ซางฉีจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาคาดโทษ แต่อึดใจต่อมากลับถูกดันศีรษะให้เอนซบลงมาบนอกแกร่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะจุมพิตลงบนขมับของนางแล้วผละออกไปด้วยใบหน้าประดับยิ้ม
งานเลี้ยงที่หลิวเฟิงและซางฉีเข้าร่วมคลาคล่ำไปด้วยแขกคนสำคัญมากมายในยามโหย่ว [2] เรื่องน่ายินดีอย่างเดียวของซางฉีในยามนี้คือการได้แยกจากหลิวเฟิงไปยังที่นั่งของฝั่งผู้หญิง ชั่วครู่ที่หลิวเฟิงผละกายห่างจากนาง ชายหนุ่มก็ถูกรายล้อมไปด้วยแขกเหรื่อที่เข้ามาทักทายเป็นอย่างที่ซางฉีคาดไว้ไม่มีผิด เช่นนั้นนางจึงอาศัยจังหวะนั้นปลีกตัวไปอยู่ลำพังชั่วครู่
“ซางฉี!”
ขณะเร่งฝีเท้าเพื่อหลีกหนีสายตาของผู้อื่น ซางฉีได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง เมื่อนางหยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง หญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาจับแขนนาง
ซางฉีตกใจในคราแรกครั้นสังเกตอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาในที่สุด “จื่อลู่?”
หญิงสาวร่างท้วมหัวเราะคิกคักอย่างดีใจ เผิงจื่อลู่ คือเถ้าแก่ร้านเหลาสุราของนายท่าน ด้วยเหตุนี้นางจึงมีโอกาสพบกันอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในยามที่หลิวเฟิงใช้ หมิงเย่เหลา เป็นสถานที่พบปะสังสรรรค์ของบรรดาลูกน้องและผู้ร่วมทำกิจการทั้งหลาย
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน เจ้าดูผอมลงกว่าเดิมตั้งเยอะ”
“อย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้ตัวเลย”
“นี่ ซางฉี กิจการใหม่ของนายท่านคืออะไรรึ?” คำถามของจื่อลู่สร้างความงงงวยให้ซางฉีในทันใด
“กิจการใหม่อะไร? ทำไมข้าไม่รู้?”
“เอ๊ะ... จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไปหานายท่านที่จวนเมื่อห้าวันก่อน พ่อบ้านซ่งบอกข้าว่า นายท่านออกไปหากิจการใหม่กับเจ้าตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ทั้งยังไม่ได้บอกใครว่าจะใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน เรื่องนี้เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?”
ซางฉีแสร้งทำสีหน้าราวกับว่านางหลงลืมบางอย่างไปชั่วขณะ ทั้งที่แท้จริงแล้วนางกำลังกระวนกระวายใจไปกับคำโกหกของหลิวเฟิงจนไม่รู้จะตอบจื่อลู่อย่างไรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย
เดินทางไปหากิจการใหม่อะไรกัน ดูเหมือนกิจการเดียวที่เหมาะสมกับนายท่านในยามนี้ เห็นทีคงจะมีแต่หอคณิกากระมัง
“ใช่แล้วๆ ข้าไปช่วยนายท่านหากิจการใหม่ แต่ยังไม่ได้อะไรก็ต้องเร่งกลับมาร่วมงานเลี้ยงนี้เสียก่อน”
“นั่นสินะ ถ้าไม่ใช่เพราะจวนหลี่ใช้งานเลี้ยงมาเป็นข้ออ้างให้บ้านรองของตัวเองได้เจรจาการค้าอย่างสะดวก ตระกูลวาณิชหรือเถ้าแก่เนี้ยอย่างเราคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานนี้หรอก”
ซางฉีพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับคำพูดของจื่อลู่
“เอ่อ จริงด้วย ข้าเพิ่งนึกได้ว่าลืมของสำคัญไว้ที่รถม้า งั้นข้าไปก่อนนะ”
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ข้ายังไม่ได้ถามเรื่อง…”
ซางฉีรีบเดินหนีไปจากเถ้าแก่เผิงอย่างรวดเร็ว เดิมทีนางดีใจที่ได้พบเจอคนรู้จักและหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวช่วยในการหลบหนีของนางได้ น่าเสียดายที่นางต้องล้มเลิกความคิดนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยเรื่องของนางกับนายท่าน นางกลัวว่าตนเองจะแต่งเรื่องโกหกที่ไม่เข้าท่า เช่นนั้นการไม่พูดจากับใครจึงถือเป็นความปลอดภัยที่สุด
“ซางฉี เจ้าก็มาด้วยหรือ?”
หญิงสาวแทบหยุดฝีเท้าไม่ทันเมื่อมีร่างของบุรุษหนุ่มโผล่มาพบนางที่หัวมุมของเรือน ครานี้นางจำคนตรงหน้าไม่ได้เลยให้นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นวาณิชจากตระกูลใดสักตระกูลหนึ่ง เหตุที่คิดเช่นนั้นเพราะตัวนางเองค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่แวดวงกิจการร้านรวง แต่เป็นด้านที่นางไม่กล้าโอ้อวดมันกับใครทั้งสิ้น
“ได้เห็นเจ้าในชุดที่ทอและตัดด้วยฝีมือของช่างแห่งร้านเย่เฉิน เพียงเท่านี้ข้าก็มีเรื่องเล่าที่ควรค่าแก่ห้าร้อยตำลึงทอง เจ้ารู้หรือไม่ น้องชายข้าเอาแต่รบเร้าข้า เขาถามถึงเจ้าเกือบทุกวันในยามที่ข้าเดินทางผ่านร้านเย่เฉิน ข้าล่ะหน่ายใจ เขาเอาแต่ถามคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คนที่ร้านเจ้าบอกว่าเจ้าเดินทางไปทำธุระนอกเมืองกับคุณชายหลิวเฟิง ใครจะคิดล่ะว่าวันนี้ข้าจะได้มาเจอเจ้าที่นี่”
ซางฉียิ้มเจื่อนให้กับคนผู้นี้ที่รู้จักนางฝ่ายเดียว นัยน์ตามองผ่านไหล่คนตรงหน้าไปอย่างหาจุดหมาย ใจของนางร้อนรนขึ้นทุกขณะเมื่ออยากจะเร่งรุดออกไปแต่กลับถูกขวางทางไว้ถึงสองหน ยิ่งนางเสียเวลานานเท่าไร โอกาสที่นางจะหนีไปจากหลิวเฟิงก็ลดน้อยลงเท่านั้น โอกาสที่นางจะอยู่ไกลหูไกลตาของหลิวเฟิงเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง นางจึงไม่อาจเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระเช่นนี้
“ครั้งหน้าข้าจะต้อนรับคุณชายอย่างดีที่ร้านเย่เฉิน ข้า-”
“ซางฉี!”
เป็นอีกครั้งที่ชื่อของนางถูกเรียกหา นางจำเสียงนั้นได้และไม่กล้าหันกลับไปสบมองคนผู้นั้น จากสถานการณ์ที่ต้องการจะหลบหนีกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางสบตาคนตรงหน้าอย่างขอโทษขอโพยทันที
หลิวเฟิงเดินเข้ามาหาพวกนางอย่างรวดเร็วด้วยความหงุดหงิดใจ มือที่ว่องไวของเขาคว้าแขนของซางฉีไว้ก่อนจะดึงนางเข้ามาใกล้ชิดกายพลางกล่าวกับชายตรงหน้าโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องหญิงสาวตัวดี
“ข้ามีบางเรื่องจะหารือกับนาง ขออภัยคุณชาย ข้าและซางฉีขอลา”
ซางฉีสบตาหลิวเฟิงด้วยนัยน์ตาวูบไหว ความกลัวและความโกรธผสมกันอยู่ภายในและความกลัวที่มีมากกว่าก็เป็นฝ่ายปราชัย มันทำให้นางก้มหน้าเดินตามชายหนุ่มไปอย่างจำนน
หลิวเฟิงแผ่กลิ่นอายที่คุ้นเคยออกมาขณะเดินนำซางฉีไปอย่างฉุนเฉียว “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าคิดจะหนีข้า ซางฉี นับจากนี้ข้าขอสั่ง ห้ามเจ้าพูดคุยกับชายอื่น”
ซางฉีเหลือบมองนายท่านผู้เอาแต่ใจของนางตาขวาง “รู้ไหมว่าท่านกำลังทำเหมือนหึงหวงข้า”
“ข้าเป็นพวกหวงของ อะไรที่ข้าครอบครองก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้เชยชม”
ประโยคนั้นฟังราวคล้ายคำเตือนที่มอบให้กับหญิงสาว แต่ในอีกแง่มันกลับคล้ายคำสารภาพจากชายหนุ่ม
ซางฉีตีความหมายนั้นได้ว่าภายในใจของเขามีนางอยู่ ทันใดนั้นเองหลิวเฟิงก็สังเกตเห็นสีแดงระเรื่อบนพวงแก้มของหญิงสาว กิริยาขวยเขินของนางช่างน่ามอง และมีอานุภาพมากพอจะทำให้ความโกรธของหลิวเฟิงสลายหายไปในพริบตา พาลให้เขาอยากจับนางเข้ามาประกบปากจูบเสียนี่กระไร
“พี่หลิวเฟิง”
ทั้งคู่ละสายตาจากกันอย่างเสียดาย เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งร้องเรียกชายหนุ่มมาแต่ไกล หญิงสาวในชุดสีชมพูอ่อนก้าวเดินมาพร้อมคุณชายท่านหนึ่ง เขามีรูปร่างผอมบาง ทั้งยังแผ่กระแสแห่งความคุ้นเคยบางอย่างออกมาจากแววตาคู่นั้นยามจ้องมองมาทางนางและหลิวเฟิง ทำให้ซางฉีเดาได้ว่าชายผู้นี้คงจะเป็นท่านโหว ทว่าหญิงสาวผู้นั้นคือ…
“น้องตานซา ต้าตง”
ภายในท้องของซางฉีรู้สึกถึงแรงบีบรัดอย่างประหลาดยามที่มองภาพแผ่นหลังของชายหนุ่มเดินไปหาสาวงามผู้นั้น หลิวเฟิงเดินกลับเข้างานไปพร้อมคนทั้งคู่โดยสลับหันไปพูดคุยกับต้าตงทางซ้ายและตานซาทางขวา ทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติโดยไม่ได้สังเกตเห็นซางฉีผู้ยืนมองจากด้านหลัง
หญิงสาวมองดูพวกเขาด้วยแววตาที่หม่นหมอง นางก้าวเดินตามพวกเขาไปโดยรักษาระยะห่างและเฝ้าดูพวกเขาอย่างเงียบงัน มองภาพแผ่นหลังของชายผู้สง่างามไม่แพ้ใครในงานเลี้ยงวันนี้ ทว่าใจของนางกลับร้อนรุ่มเมื่อได้เห็นความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างนายท่านหลิวเฟิงและแม่นางตานซา
ซางฉีหมุนกายเดินจากมาเมื่อพบว่าไม่มีประโยชน์ที่นางจะปรากฏตัวเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย และที่สำคัญนางไม่อยากพาตัวเองไปเผชิญกับความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนา ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นยามเห็นภาพเหล่านั้นของนายท่านกับแม่นางตานซา แม้เพียงเล็กน้อยนางก็ไม่ต้องการจะรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น
ในที่สุดนางก็พบว่าตนเองยืนอยู่เพียงลำพังใกล้ประตูทางออกพร้อมกับความรู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางพยายามอย่างหนักที่จะหักห้ามความรู้สึกนี้ เหตุใดนางจึงรู้สึกอยากร้องไห้ออกมากันเล่า
[1] บรรดาศักดิ์ชั้น 'โหว' เป็นบรรดาศักดิ์รองจากชั้น กง ได้รับยศจากการสืบสกุล หรือได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ เนื่องจากมีความดีความชอบ
[2] ยามโหย่ว หน่วยนับเวลาโบราณของจีน เทียบเท่ากับระยะเวลาช่วง 17.00 น. - 18.59 น.
E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1
เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]
สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น
ความคิดเห็น