คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
บทที่ 2
ฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหันในตอนเย็นทำให้หลิวเฟิงตื่นขึ้นจากการงีบหลับ เขาเหยียดกายขึ้นนั่งตัวตรงพลางหันไปมองซางฉีที่ยังคงนอนหลับอยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางแลดูอิดโรยเสียจนเขานึกอยากตำหนิตนเองที่เป็นสาเหตุของมัน
ชั่วขณะนั้นเขาจ้องมองซางฉีด้วยความหลงใหล ใบหน้าของนางยังคงงดงามแม้ในยามหลับ ทว่าความเศร้าก็เข้ามาแทนที่ในหัวใจที่เย็นชาของเขา เมื่อคิดว่าต่อจากนี้เขาต้องกลับไปทำหน้าที่นายท่านซ่ง คหบดีผู้จัดการบริหารร้านรวงต่างๆ
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ลุกจากเตียงแล้วถอดชุดลำลองที่สวมใส่อยู่เปลี่ยนไปเป็นชุดที่ทอขึ้นด้วยไหมราคาแพงและปักลวดลายอย่างประณีต เสร็จจากนั้นก็ไม่ลืมเดินย้อนกลับมาที่เตียงเพื่อคลุมผ้าห่มผืนใหม่ให้ซางฉีแล้วจึงเดินไปจุดเทียนตามแต่ละจุดของห้องเพื่อเพิ่มแสงสว่าง ก่อนที่ร่างสูงจะเดินจากไป เขาหันกลับมามองซางฉีเป็นครั้งสุดท้ายพลางหวังใจว่าเมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะหนีไปจากเขาอีกตลอดกาล
พายุฝนที่โหมกระหน่ำปลุกซางฉีให้ตื่นขึ้นในยามซวี [1] นางที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สักพักแล้วนั้นกำลังนั่งอย่างเฉื่อยชาอยู่บริเวณห้องโถง ร่างบางจำได้เลือนรางว่าในห้องโถงแห่งนี้ ณ ที่นั่งตรงนี้ นางลงเอยอย่างไรหลังจากเรื่องราวที่พวกเขากระทำในห้องตำราเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ใบหน้าของนางร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงสภาพอันไม่น่าดูของตนในยามที่ถูกนายท่านอุ้มนางกลับมาที่เรือนหลัก ในตอนนั้นผมเผ่าของนางกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าพันห่อเรือนร่างเพียงน้อยชิ้น คล้อยหลังไม่นานมันก็ถูกโยนทิ้งลงบนพื้นภายในห้องโถงเพื่อให้ผู้เป็นนายทาบทับกายลงมาแทนอาภรณ์ที่ห่อคลุมเรือนร่าง เมื่อหวนนึกถึงเรื่องนั้นภายในท้องของนางก็รู้สึกปั่นป่วนขึ้นทันที
ซางฉีสะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อขับไล่ความทรงจำที่เต็มไปด้วยตัณหานั้นออกไป นางจะหลงใหลจอมเย็นชาผู้นั้นมิได้เด็ดขาด คนอย่างนายท่านไม่เคยกระทำการใดโดยไม่หวังผล
แต่เหตุใดต้องเป็นนางด้วยเล่า?
ซางฉีเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง ในตอนนั้นเองที่หลิวเฟิงก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างเงียบเชียบพลางเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ชิดนาง
“ข้าสวยมากจนทำให้ท่านห้ามใจไม่ได้ เลยคิดจะจูบข้าทั้งที่กำลังหลับอยู่หรือเจ้าคะ” ซางฉีเอ่ยอย่างรู้ดีว่ามีคนกำลังเฝ้ามองนางอยู่เบื้องหน้า นางลืมตาขึ้นมองร่างสูงเพื่อจะพบว่านางยั่วยุชายหนุ่มไม่สำเร็จอีกตามเคย
“จะยั่วยวนข้า หรือจะช่วยข้าทำอาหารเย็น” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มข้างมุมปากก่อนจะเดินนำออกไปยังทิศทางสู่ห้องครัว และเป็นการบังคับให้ซางฉีเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย
เมื่อถึงห้องครัวที่อยู่ในส่วนของเรือนหลังเล็กห่างออกมาไม่ไกล ชายหนุ่มก็ตรงปรี่ไปยังวัตถุดิบที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วจัดการเตรียมส่วนผสมอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งตำราอาหาร ในขณะที่ซางฉีไม่ใช่ลูกมือที่ดีนักก็ว่าได้ นางเพียงแค่ยืนพิงเสาไม้ใกล้ๆ กับโต๊ะทำอาหารพลางมองดูผู้เป็นนายลงมือปรุงอาหารอย่างเงียบๆ
“ซางฉี เจ้าจะไม่ช่วยข้าเลยรึ?”
ซางฉีเงียบแทนคำตอบ นางเป็นเช่นนี้มาตลอดหลายวันหลังจากไม่สามารถหนีออกจากที่นี่ได้สำเร็จ นี่เป็นหนึ่งในวิธีการแสดงออกว่าต่อต้าน แม้ว่าหลังจากนั้นชายหนุ่มจะสรรหาวิธีมาง้างปากนางได้สำเร็จก็ตาม
“ในเมื่อไร้ประโยชน์เช่นนี้ คราวหน้าข้าล่ามเจ้าให้อยู่แต่บนเตียงดีหรือไม่ เจ้าจะได้ใช้เวลาอยู่ในนั้นเพื่อทบทวนตัวเองว่ายามใดควรเชื่อฟังหรือดื้อดึง”
“งั้นก็ทำสิเจ้าคะ เพราะอย่างไรซางฉีต้องหาทางหนีไปจากที่นี่ให้ได้” หญิงสาวเอ่ยอย่างข่มอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องครัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม
ซางฉีกวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบที่ถูกความมืดกลืนกินไปเกือบหมด มีเพียงดวงไฟจากโคมไฟแขวนตามทางเดิน และแสงเทียนเรืองรองจากเรือนสองหลังที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก หญิงสาวก้าวออกมายืนพิงเสาเรือนด้านข้างพลางใช้เวลาอันเงียบสงบนี้ไตร่ตรองหลายสิ่งที่นางสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ซ่งหลิวเฟิงทำกับนางทั้งก่อนหน้านี้จนกระทั่งถึงตอนนี้
เกิดคำถามมากมายที่นางต้องการคำตอบ
ซางฉีค่อนข้างแน่ใจว่าเรื่องราวนั้นเริ่มต้นจากวันที่พ่อบ้านซ่งให้คำแนะนำนายท่านเรื่องจัดเตรียมสินเดิมให้กับนางเพื่อไว้ใช้ในวันที่ต้องแต่งให้กับคุณชายสักคนที่คู่ควรกับนาง
ในวันนั้นมีเพียงคำแนะนำของพ่อบ้านแต่ไร้ซึ่งการยินยอมหรือตกลงใจจากซ่งหลิวเฟิงผู้เป็นนาย หญิงสาวยังคิดไม่ตกถึงเรื่องนี้ว่าแท้จริงแล้วมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่ชายหนุ่มลักพาตัวนางมาที่นี่ นอกจากทำเรื่องผิดประเพณีกับนางแล้ว หลิวเฟิงไม่เคยอธิบายสิ่งใดเลย ยิ่งการที่ซ่งหลิวเฟิงเป็นชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้ยากที่จะไม่หวั่นไหวยามเมื่อถูกชายหนุ่มโอ้โลม ซางฉีชื่นชมหลิวเฟิงมากในทุกทุกด้าน ในฐานะเจ้านายและในฐานะสัตบุรุษ [2] ผู้หนึ่ง แต่ยามนี้นางผิดหวังในตัวซ่งหลิวเฟิงเหลือเกินนัก ชายหนุ่มทำลายหัวใจของนางจนเจ็บช้ำ ทำให้นางหมดหวังที่จะหลบหนี และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือการทำให้นางได้รับรู้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากเดิมของตน และนางตัดสินใจแล้วว่านางจะขอเก็บมันไว้คนเดียวจนวันตาย
เวลาผ่านไปสี่เค่อ [3] หลิวเฟิงเข้ามาในห้องนอนและเดินตรงไปยังซางฉีซึ่งกำลังนั่งเท้าศีรษะเอนหลับอยู่เงียบๆ เขาเชยคางของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อยแล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากที่แห้งผาก สัมผัสนั้นทำให้หญิงสาวที่หนีกลับมายังเรือนนอนลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตาของนางเบิกโพรงอย่างตกใจในความใกล้ชิดระหว่างใบหน้าของพวกเขาทั้งสอง ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ หัวใจเต้นแรงขึ้นเพราะจุมพิตที่นุ่มนวลของเขา และก่อนที่หญิงสาวจะเผยความขวยเขินออกมามากกว่านี้ หลิวเฟิงก็หันไปยังห้องโถงด้านข้าง
“ไปกินข้าวกันก่อนที่มันจะเย็นเสียก่อน”
“เจ้าค่ะ” ซางฉีกลับมาเอ่ยกับชายหนุ่มอย่างอ่อนหวานเรียบร้อยโดยมีจุดประสงค์ที่จะถามคำถามกับชายหนุ่มนั่นเอง
“ทำไมนายท่านถึงพาข้ามาอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ” นางโพล่งถามออกไปขณะลุกขึ้นเดินตามไปยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารจัดเตรียมไว้
พวกเขานั่งลงคนละฝั่ง แม้อาหารจะดูน่ารับประทาน แต่ซางฉีกลับประท้วงด้วยการนั่งนิ่งต่อหน้าหลิวเฟิงที่เพิกเฉยต่อคำถามเมื่อครู่ของนาง
“ถ้าท่านตอบคำถามนั้นไม่ได้ งั้นช่วยบอกข้าเถิด ว่าข้าจะออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไร เมื่อไรท่านถึงจะปล่อยข้าไป”
บรรยากาศที่หนักอึ้งทำให้ซางฉีรู้สึกอึดอัดจากทั้งคำพูดของตนเองและจากสายตาที่น่ากลัวของหลิวเฟิง ทว่านางก็บังคับตนเองให้มองสู้สายตาชายหนุ่มอยู่เช่นนั้น
“พรุ่งนี้…”
“พรุ่งนี้ทำไมเจ้าคะ?” ซางฉีตั้งใจฟังคำตอบ
“เป็นเช่นนี้ล่ะก็อยากจะคุยกับข้าขึ้นมาเชียวนะ” หลิวเฟิงเงยหน้าขึ้นบ่นอุบ
“นายท่าน ท่านจะพูดอะไรเจ้าคะ วันพรุ่งนี้ทำไมหรือ?”
หลิวเฟิงแสร้งถอนหายใจ “ฝันไปเถอะ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“นายท่าน!”
ความใคร่รู้ของหญิงสาวเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม แต่หลิวเฟิงผู้ที่จะให้คำตอบแก่นางกลับประวิงเวลาด้วยการหยิบตะเกียบคีบอาหารขึ้นทานก่อนจะยื่นถ้วยชามาตรงหน้าหญิงสาวเพื่อรับการปรนนิบัติดังที่เขาควรจะได้รับ อย่างน้อยก็ในฐานะนายท่านหลิวเฟิง
“พรุ่งนี้เราจะกลับเข้าเมือง ข้าต้องไปร่วมงานเลี้ยงของสหายคนหนึ่ง เราจะไปแค่วันเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นเราจะกลับมาที่นี่”
“อะ อะไรนะเจ้าคะ ทำไมเราต้องกลับมาที่นี่อีก มันยังไม่พออีกหรือเจ้าคะ?”
ซางฉีทั้งโกรธและเจ็บปวดใจ นางเบือนหน้าไปมองภาพแขวนข้างผนังแทนที่จะสบตาชายหนุ่มอีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากมองหน้าเขานานกว่านี้ นางจะเผลอร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง
“หันมานี่! ซางฉี!”
แม้หญิงสาวจะตกใจกับน้ำเสียงของหลิวเฟิง แต่นางก็เลือกที่จะพยศต่อคำสั่งโดยไม่สนใจว่าหลิวเฟิงจะอาละวาดใส่นางหรือไม่ นางอดทนมาเกินพอแล้วและทนไม่ได้ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เหตุใดหลิวเฟิงถึงไม่เข้าใจว่านางอยากออกไปจากที่นี่ก่อนที่ทุกสิ่งจะเลวร้ายลงกว่าเดิม
“หันมา!”
“ปล่อยซางฉีเถอะนะเจ้าคะ” หญิงสาวหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มในที่สุด
“ข้าทำให้ท่านพึงพอใจแล้ว ท่านก็ควรปล่อยข้าไป ข้าสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องสิ่งใด และจะไม่บอกใครแม้แต่คนเดียว ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะนายท่าน” หญิงสาวขอร้องด้วยความหวังทั้งหมดที่มี
ในใจของหลิวเฟิงคัดค้านเรื่องนี้ เขาอยากจะอยู่กับซางฉีที่นี่ต่ออีกนานและไม่รู้ว่าจะถึงเมื่อไร
“ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้า มันยังเร็วเกินไปที่จะปล่อยเจ้าตอนนี้ พรุ่งนี้เราจะออกไปข้างนอกและกลับมาที่นี่ด้วยกัน”
ซางฉีหมดคำจะโต้ตอบ นางฟาดฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยชามสั่นสะเทือน
“ปล่อยข้า มิเช่นนั้นถ้าข้าหนีออกไปได้ ข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้กับใต้เท้าที่ศาลาว่าการ!”
“เจ้ากล้าเหรอโม่ซางฉี!”
ซางฉีแสยะยิ้มร้าย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเอาชนะอีกฝ่ายได้สำเร็จ นางหาได้หวาดกลัวเสียงของชายหนุ่ม จนกระทั่งหลิวเฟิงเท้าแขนสองข้างลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้พาลให้ใบหน้าของเขาห่างจากนางเพียงไม่กี่ชุ่น [4] จนนางไม่อาจละสายตาจากแววตาที่เร่าร้อนราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ข้างในนั้นได้ และนั่นคือจังหวะที่หลิวเฟิงยื่นใบหน้าเข้าไปชิดใกล้ใบหูของหญิงสาวเพื่อส่งคำขู่อันแสนหวานผ่านเสียงกระซิบอันแผ่วเบา
“เจ้าคงไม่อยากมีลูกคนแรกให้ข้าหรอกใช่หรือไม่ หรือบางทีตอนนี้ เขาอาจมาเกิดในท้องเจ้าแล้วก็เป็นได้”
นัยน์ตาของซางฉีเบิกกว้าง หญิงสาวตกใจเป็นอย่างมากกับคำพูดของเขา นางชะงักกายเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหลิวเฟิง
ครั้นเห็นปฏิกิริยาของเหยื่อที่ตนข่มขู่ หลิวเฟิงก็เผยยิ้มเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดระหว่างกัน แต่มันไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อซางฉียังคงมีสีหน้าย่ำแย่จนพลอยให้หลิวเฟิงรู้สึกเช่นนั้นไปด้วย แต่แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็กลับมากลั่นแกล้งซางฉีอีกครั้ง เขาจูบนางอย่างรวดเร็วหนึ่งครั้งก่อนจะเอนกายกลับไปยังตำแหน่งเดิมแล้วทานอาหารต่อราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
การกระทำนั้นสร้างความสับสนให้กับซางฉีเป็นอย่างมาก นางโกรธเขาทว่าก็รู้สึกดีเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งจูบเมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะทำให้อารมณ์ของนางเย็นลงได้อย่างน่าประหลาด
“ข้าเกลียดท่าน!” ซางฉีประกาศลั่นแล้วหลบสายตาชายหนุ่ม
ยามนี้สิ่งที่นางหวาดกลัวกำลังจะกลายเป็นจริงขึ้นมา
นางติดอยู่ในวังวงอันเลวร้ายที่ออกมาไม่ได้ เพราะชายผู้สร้างวังวงนั้น คือผู้กุมกุญแจที่จะปลดปล่อยนางออกไป หรือกักขังนางไว้ตราบนานเท่านาน
[1] ยามซวี หน่วยนับเวลาโบราณของจีน เทียบเท่ากับระยะเวลาช่วง 19.00 น. - 20.59 น.
[2] สัตบุรุษ หมายถึงคนที่ประพฤติธรรมเป็นปกติ
[3] เค่อ หน่วยนับเวลาโบราณของจีน 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล
[4] ชุ่น หน่วยวัดระยะโบราณของจีน 1 ชุ่น เทียบเท่ากับ 3.33 เซนติเมตรโดยประมาณ
E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1
เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]
สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น
ความคิดเห็น