คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
บทที่ 1
เสียงของเม็ดฝนสร้างบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลายและชวนให้จิตใจของหญิงสาวสงบนิ่งในยามเช้าตรู่ โม่ซางฉี ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเกียจคร้าน นางมองลอดหน้าต่างออกไปด้วยสายตาอันว่างเปล่า เรือนร่างกึ่งเปลือยของนางรู้สึกเย็นยะเยือกจากแรงลมที่พัดต้องผิวกายซึ่งทาบทาด้วยรอยฟกช้ำสีเข้ม
ค่ำคืนอันยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว ทว่านั่นกลับไม่เพียงพอสำหรับหญิงสาว นางรู้สึกเหนื่อยล้าและหลงทางราวคล้ายกับชีวิตของนางนั้นมิได้เป็นของนางอีกต่อไป คิดได้เช่นนั้นซางฉีก็รีบลุกลงจากเตียงแล้วก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะสะดุดชายเสื้อคลุมหลังจากเดินห่างจากเตียงมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ผลที่ตามมานั้นคือร่างของนางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นโดยมีเพียงเสื้อคลุมผืนยาวปกปิดเรือนกายของนางอย่างหมิ่นแหม่
ความเจ็บปวดแล่นพล่านบริเวณเชิงกรานจนทำให้นางลุกขึ้นเดินต่ออย่างยากลำบาก
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ซางฉีที่ชำระล้างร่างกายเสร็จแล้วก็ก้าวออกจากอ่างอาบน้ำแล้วเดินไปหยุดยืนที่ฉากกั้น นางแปลกใจเมื่อพบว่าชุดที่นางเตรียมไว้สวมใส่หายไป ไม่เหลือแม้กระทั่งผ้าสักผืน ยามนั้นเองที่นางชะโงกหน้าออกมามองหลังฉากกั้น จึงพบเห็นสำรับอาหารจัดเตรียมไว้บนโต๊ะกลมที่โถงกลางของเรือน และปรากฏร่างที่น่าเกรงขามยืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
และราวกับคนผู้นั้นจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้อง เขาหันใบหน้ามาจ้องมองนางด้วยนัยน์ตาคมปราบ
“ข้าเข้ามาตอนเจ้ากำลังอาบน้ำอยู่เลยถือโอกาสไปเตรียมอาหารมาให้ ส่วนเสื้อผ้าพวกนั้นข้าเปลี่ยนใหม่ให้เจ้าแล้ว”
ชายหนุ่มว่าพลางส่งสายตาไปยังทิศทางของเตียงนอนที่ซึ่งบัดนี้มีเสื้อผ้าของสตรีแขวนอยู่บนเสาไม้แขวนเสื้อให้เห็นอย่างเด่นชัด
ซางฉีรู้สึกอับอายจนไอร้อนพุ่งขึ้นมาทั่วใบหน้า แต่จนแล้วจนรอดนางก็บังคับตนเองให้เดินไปหยิบอาภรณ์ข้างเตียงที่คนผู้นั้นเตรียมไว้ให้ การกระทำอันแสนเอาใจใส่ของชายหนุ่มดูแล้วช่างชวนให้พึงใจยิ่ง ทว่ามันกลับทำร้ายนางด้วยการลวงหลอก ซางฉีไม่เคยปรารถนาสายตาคู่ที่จ้องมองนางราวกับสัตว์ร้ายคู่นั้น เฉกเช่นเดียวกับที่ไม่เคยปรารถนาร่างกายของเขาในทุกคืนค่ำ หากแต่ยามนี้สิ่งที่นางทำได้คือหันหลังหลบเลี่ยงสายตาที่จับจ้องมองมาของชายหนุ่ม
“โม่ซางฉี อย่าแม้แต่จะหันหลังให้ข้า หันหน้ามา แล้วใส่เสื้อผ้าเสีย” น้ำเสียงเคร่งขรึมสั่งให้เหยื่อทำตามคำบัญชา ไม่มีแม้แต่ความเมตตาที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายได้เอ่ยแย้ง
ซางฉีไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำสั่งของชายหนุ่ม ดังนั้นนางจึงกล้ำกลืนศักดิ์ศรีและเปลือยกายต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างห้าวหาญ
“เจ้าค่ะ นายท่านหลิวเฟิง”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นพร้อมกับหญิงสาวที่หมุนกายกลับมา ซ่งหลิวเฟิงก็แสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาจ้องมองหญิงสาวอย่างเงียบงัน มีเพียงนัยน์ตาที่กำลังเรียกร้องชื่นชมความงดงามของ ซางฉี ครั้นหญิงสาวแต่งกายเสร็จเรียบร้อยและกำลังจะนั่งลงบนเตียงเพื่อใส่ถุงเท้า หลิวเฟิงก็เดินมาคุกเข่าลงเพื่อช่วยนางอย่างมิได้ถือตัว
ทันทีที่ฝ่ามือของชายหนุ่มได้สัมผัสกับเรียวขาเนียนนุ่ม มันก็เริ่มสัมผัสไปทั่วพื้นที่ใต้กระโปรงและจบลงด้วยการที่เจ้าของมือคู่นี้กลืนกินราคะแทนอาหารมื้อเช้า
หลิวเฟิงแข็งแกร่งและมีอำนาจเหนือร่างบางมากมายนัก ซางฉีจึงไม่อาจต่อต้านนายท่านของนางได้ นางมอบความยินยอมให้หลิวเฟิงอีกครั้งทั้งที่รู้ว่านั่นเปรียบเหมือนการเผชิญกับสัตว์ร้ายในตัวเขาก็ไม่ปาน ทว่าสำหรับหลิวเฟิง หากเปรียบเขาเป็นนักดนตรีแล้วล่ะก็ ยามนี้เขาคงกำลังบรรเลงเพลงที่เย้ายวนและเร้าอารมณ์บนเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่าซางฉี
ชายหนุ่มค่อยๆ กลายเป็นชายผู้บ้าคลั่งยามที่เครื่องดนตรีชิ้นนั้นประสานเข้ากับอวัยวะของเขาราวกับเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของร่างกาย
หลิวเฟิงถอนหายใจรินรดต้นคอของซางฉี เขาโอบอุ้มใบหน้าของนางไว้ด้วยสองมือแล้วจึงจุมพิตลงบนริมฝีปากบางอย่างหื่นกระหาย
นี่หาใช่เรื่องที่ไม่คาดฝันเมื่อซางฉีถูกนายท่านผู้นี้ครอบครองอยู่เนิ่นนานหลายชั่ววัน ความรู้สึกที่เผาไหม้อยู่ภายในนั้นทำให้ยากเกินกว่าจะดับเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาให้มอดหายไปจากบุรุษหนุ่มผู้มีนามว่าหลิวเฟิง…
“อาหารคงเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวข้าไปเตรียมมาให้ใหม่” หลิวเฟิงเอ่ยขณะช่วยแต่งกายให้หญิงสาวใหม่อีกครั้ง
ซางฉียังคงรู้สึกเขินอายเหมือนเช่นครั้งแรกที่เขาอาสาทำให้นาง ผิดกับชายหนุ่มผู้เดินถือสำรับอาหารที่เย็นชืดออกไปจากห้องหอ ผู้ที่ยังคงรักษาความสงบนิ่งไว้ได้เป็นอย่างดี
ในเวลาเดียวกันซางฉีล้มตัวลงนอนเหยียดกายบนเตียงเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ทรมานร่างกายและจิตใจของนางไม่จบสิ้น นางยังคงไม่อยากเชื่อว่านายท่านที่เคารพรักของนางจะทำเรื่องผิดประเพณีและทำลายศักดิ์ศรีของนางเช่นนี้
นางเกลียดหลิวเฟิง และเกลียดตัวนางเองที่ในท้ายที่สุดแล้วก็ยินยอมพร้อมใจให้อีกฝ่าย
ยามนี้สายฝนปลิวโปรยปรายอยู่ภายนอกหน้าต่าง แลดูช่างเป็นภาพที่ไม่น่าอภิรมย์ ทว่าหญิงสาวยังคงมองออกไปที่นั่น เหม่อมองดูหยดฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับกำลังเต้นระบำ นางเหม่อมองผ่านม่านฝนออกไปอย่างเลื่อนลอยและจมอยู่ในความคิดของตนที่มีแต่ภาพของนางและหลิวเฟิงพลางหวนคิดถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จดจำมันได้ดีทุกขณะ
ซ่งหลิวเฟิง คหบดีผู้มั่งคั่ง และโม่ซางฉี หญิงผู้ทำงานให้กับเขาในฐานะเถ้าแก่เนี้ยร้านขายอาภรณ์เย่เฉิน พวกเขาทั้งสองทำงานร่วมกันมาร่วมสองปี แต่แล้วทุกๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากซางฉีตกเป็นที่หมายปองของคุณชายจากตระกูลต่างๆ
เมื่อซางฉีดึงดูดชายหนุ่มเหล่านั้นมากเข้า หลิวเฟิงจึงเริ่มเกิดความรู้สึกหึงหวงและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะครอบครองหญิงสาว
ด้านมืดในตัวของชายหนุ่มได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและถูกปล่อยออกมาสู่ความจริงเพียงเพื่อตอบสนองความปรารถนาอันท่วมท้นของเขา
หลิวเฟิงตัดสินใจลักพาตัวเถ้าแก่เนี้ยแห่งร้านเย่เฉินแล้วพามาขังไว้ในจวนอันห่างไกลและปลีกวิเวกจากผู้คน
นับตั้งแต่ค่ำคืนแรกที่มาถึงที่นี่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นภายในจวนแห่งนี้ หลังจากซางฉีตกเป็นของหลิวเฟิงในคืนแรก เขาก็มักจะใช้เวลาอยู่กับนางในห้องหอทุกคืนวัน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะซางฉีกับแผนการหลบหนีนับพัน นางพยายามหนีออกจากกรงขังของสัตว์ร้ายมาตลอดสิบวันที่ผันผ่าน แต่ทุกคราก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของหญิงสาว
นางไม่รู้ว่าจวนหลังนี้ตั้งอยู่ ณ สถานที่ใด รวมถึงอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากแค่ไหน รู้เพียงแต่ที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา ป่าไม้ และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ จึงเป็นการยากที่จะหลบหนีออกไปด้วยตัวของนางเอง แม้จวนหลังนี้จะมีขนาดใหญ่เหมาะแก่การซ่อนตัวก็ตาม แต่หลิวเฟิงกลับสามารถหาซางฉีพบทุกครั้ง ไม่ว่านางจะวิ่งออกไปนอกประตูจวนไกลแค่ไหน เขาก็จะขี่ม้าตามนางมาจนทัน และเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะถนนสายนี้มีเพียงสายเดียวที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา
เมื่อหวนนึกถึงการหลบหนีที่สูญเปล่าเหล่านั้น ซางฉีก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตายังคงไม่ละไปจากหน้าต่างอันเปรียบเสมือนประตูแห่งอิสระของนางในช่วงหลายวันมานี้
“...ถ้าฝนไม่ตกก็คงดีสินะ”
ใกล้จะยามอู่ [1] แล้ว แต่สายฝนยังคงตกลงมาสู่ผิวดินและกระทบลงในแอ่งน้ำรอบๆ บนพื้นจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะซ่านเซ็น
ในยามนี้เองที่เสียงนั้นเป็นเหมือนสัญญาณแห่งความสงบสุขที่กำลังจะมาถึง ซางฉีไม่คิดว่าสายฝนเป็นอุปสรรคอีกต่อไป นางพาร่างที่เหนื่อยล้าของตนเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตามองสอดส่องซ้ายขวาและหน้าประตูเรือนอย่างระแวดระวัง
หลิวเฟิงมักจับได้เสมอหากนางทำการหลบหนี ไม่มีอะไรทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นมากไปกว่าการไล่จับซางฉีและนำตัวนางมาลงโทษ เขาจะพึงพอใจเป็นอย่างมากเมื่อซางฉีโกรธและโต้ตอบ เพราะนั่นทำให้เขาปรารถนาในตัวนางมากขึ้น ในขณะที่ซางฉีไม่เคยอดทนอยู่ในห้องได้นานกว่าสามชั่วยาม นางมักจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้วันเวลาของพวกเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาจนในที่สุดมันก็จบลงด้วยฉากรักของนางและเขาอยู่ร่ำไป
“วันนี้ก็ยังคิดจะหนีอีกงั้นรึ” หลิวเฟิงเอ่ยกับตัวเองเมื่อเดินมาเห็นแผ่นหลังไวไวของหญิงสาว
นางหลบหนีแม้ในขณะที่ฝนกำลังตก เขาหวังว่านางจะไม่โง่วิ่งฝ่าสายฝนออกไปในสภาพตัวเปล่าเช่นนี้หรอกนะ
“รนหาที่เสียจริง” หลิวเฟิงพึมพำกับตัวเอง เขาหมุนกายเดินจากไปจากบริเวณนั้น เลี่ยงใช้เส้นทางอื่นเพื่อหวังจะดักเจอหญิงสาวจากอีกฝั่งหนึ่งของเรือน เพียงไม่นานหลิวเฟิงก็พบร่องรอยของซางฉีเป็นรอยเท้าหน้าประตูห้องเก็บตำรา ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีชัยก่อนจะเลื่อนบานประตูให้เปิดออก
“มาเล่นสนุกที่นี่เองหรือ” หลิวเฟิงเอ่ยด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ เดิมทีห้องนี้ถูกใส่กุญแจเอาไว้ เป็นเขาเองที่วางกับดักให้หญิงสาวเดินมาตกหลุมพราง เพื่อที่เขาจะได้ลงโทษนางให้สมดังใจหมาย
ชายหนุ่มตรงปรี่ไปยังฉากกั้นหลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในขณะเดียวกันซางฉีที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาสิ่งของจำเป็นอยู่บริเวณนั้นกลับไม่ทันรู้สึกถึงผู้มาเยือน นางแทบไม่ได้ยินสุ้มเสียงใดนอกเสียจากเสียงของสายฝนพรำ
ทันทีที่นางหันหลังกลับมานัยน์ตาของนางก็เบิกกว้างเมื่อพบกับคนที่ไม่อยากพบเจอมากที่สุดในยามนี้
แค่เพียงอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ก็ราวกับฝันร้ายได้กลายเป็นจริง
แม้ยามนี้เสียงสายฝนจะแว่วดัง แต่ซางฉีกลับได้ยินเพียงเสียงหัวใจของนางที่เต้นรัวเร็วด้วยความกลัว นางพยายามข่มใจให้นิ่งสงบ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อกรกับนายท่าน และรู้สึกหดหู่เมื่อคิดว่านางต้องรับมือกับความเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อต้องถูกหลิวเฟิงลงโทษอย่างไร้ความปราณี
ในขณะที่หลิวเฟิงพึงพอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาจ้องมองซางฉีด้วยใบหน้าถมึงทึงเช่นทุกครั้งที่จับได้ว่าอีกฝ่ายกระทำความผิด ไม่มีสิ่งใดจะสามารถหยุดเขาจากการมอบบทลงโทษอันน่าหฤหรรษ์นับจากนี้อีกแล้ว
“ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี”
“อย่านะเจ้าคะ! นายท่านเข้าใจผิดแล้ว!” ซางฉีร้องขออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ขนอ่อนบริเวณต้นคอของนางลุกซู่ทันทีที่สัมผัสได้ถึงตัณหาราคะในแววตาของเขา
“ข้าแค่หลงทางเจ้าค่ะ” ซางฉีอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้ นางรู้ว่าหลิวเฟิงไม่มีทางปล่อยนางไปเป็นแน่
“เจ้าโกหกข้า ซางฉี อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า” หลิวเฟิงกล่าวขณะเดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยท่าทางข่มขู่
เขาจ้องมองเหยื่ออันแสนโอชะพลางแผ่กลิ่นอายแห่งความอันตรายจนซางฉีถอยหลังกรูด
“นายท่านไม่เบื่อบ้างหรือ ท่านทำเรื่องเช่นนั้นทุกวัน หรือท่านไม่เหนื่อยบ้าง” ซางฉีเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ข้าเองก็สงสัยว่าเจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือไร เหตุใดเจ้าถึงไม่พักผ่อนในช่วงเวลานี้เล่า”
“เช่นนั้นข้าจะกลับเรือนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ซางฉีก้าวเท้าออกไปด้านหน้าอย่างหมายจะเดินไปยังทางออก แต่ทันใดนั้นหลิวเฟิงก็ก้าวออกมาเพื่อประกบทับริมฝีปากของพวกเขา หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ ขณะที่หลิวเฟิงสร้างความว้าวุ่นให้กับนางด้วยการขบเม้มริมฝีปากของนางอย่างเย้ายวน
ซางฉีผันหน้าหนีไปด้านข้างด้วยความขวยเขิน หลิวเฟิงหาได้รู้ไม่ว่าการกระทำของเขาส่งผลอย่างไรกับซางฉี นางคอยกลบซ่อนความจริงที่ว่าหัวใจของนางเต้นแรงเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดเขา สัมผัสที่แผ่วเบาราวกับขนนกเมื่อครู่ยังทำให้ช่องท้องของนางรู้สึกปั่นป่วนจนไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายขึ้นมาชั่วขณะ
หลิวเฟิงบีบปลายคางของซางฉีแล้วจับมันให้หันกลับมา
“อย่าทำตัวไร้เดียงสาในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าจะต้องเจออะไรหากพยายามหนีข้า”
“นายท่าน...อึก!”
เสียงของซางฉีหายไปเมื่อถูกริมฝีปากของหลิวเฟิงทาบทับ หญิงสาวนึกเสียใจที่นางเลือกจะเข้ามาสำรวจในห้องนี้แทนที่จะหนีไปท่ามกลางสายฝนตั้งแต่แรก ยิ่งนางพยายามผลักเขาเท่าไรก็มีแต่ทำให้จุมพิตของเขาร้อนแรงขึ้นเท่านั้น
ยามนี้หลิวเฟิงได้เริ่มการลงทัณฑ์ของเขาแล้ว ฝ่ายซางฉีเผลอยกแขนขึ้นโอบไหล่ของหลิวเฟิงเมื่ออีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักลงมาจนทำให้นางแทบทรงตัวยืนต่อไปไม่ไหว ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างของนางก็ถูกดันลงไปนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือด้านหลัง มือข้างหนึ่งของนางผละออกจากบ่ากว้างแล้วเท้าลงบนโต๊ะเพื่อรองรับร่างกายไม่ให้เอนไปด้านหลัง
ซางฉีแม้ในใจนั้นกำลังต่อต้าน แต่นางรู้ดีว่ายามนี้ตนทำได้เพียงแค่ยอมจำนนต่อผู้ล่าเช่นเขา
เพราะค่าที่ล้มเหลวในการหลบหนีจากกรงขังแห่งนี้
คือต้องชดใช้ด้วยร่างกายที่แปดเปื้อนของนาง
หลิวเฟิงรุดเข้าไปปลดเปลื้องอาภรณ์อันงดงามที่เขาเป็นคนสวมมันให้กับหญิงสาว ก่อนจะได้ยินเสียงครางอันแผ่วเบาดังลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่ถูกเขาครอบครองเมื่อมืออีกข้างของเขารุกรานอยู่ภายใต้กระโปรงของหญิงสาว
ซางฉีซบใบหน้าลงบนอกของหลิวเฟิงด้วยร่างกายที่สั่นไหวและหอบหายใจแรง ในตอนนั้นเองที่หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากเพื่อสะกดกั้นเสียงร้อง แต่แล้วนางก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
“หยุด… หยุดก่อนเจ้าค่ะนายท่าน ข้าเจ็บ” ซางฉีเงยหน้าขึ้นร้องขอ บริเวณช่วงล่างของนางเจ็บปวดและท่อนขาก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
หลิวเฟิงก้มหน้าเอ่ยตอบนางอย่างรำคาญที่ถูกขัดจังหวะ “หากเจ้าไม่อยากถูกจับโยนออกไปกลางสายฝนก็หุบปากเสีย” น้ำเสียงของเขามีแววของความโกรธผสมอยู่ในนั้น ครั้นแล้วชายหนุ่มก็เหยียดแขนสองข้างลงบนโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อตรึงร่างของนางเอาไว้มั่น
ซางฉีไม่คาดหวังให้นายท่านเมตตานางอยู่แล้ว ถึงอย่างไรนายท่านหลิวเฟิงก็ยังคงลงทัณฑ์นางอีกครั้งและอีกครั้งราวกับไม่เคยเหน็ดเหนื่อย นางหลับตาลงเมื่อจำนนต่อความปรารถนาของชายหนุ่ม และยินยอมให้เขาตักตวงมันไปจากนางมากเท่าที่เขาปรารถนา นางพ่ายแพ้ให้กับเขาอีกเช่นเคย แลเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าเศร้าที่สุดของนาง เมื่อผู้ชนะไม่เคยปราชัยในสนามรบที่อยู่ภายในใจของนางได้เลย
[1] ยามอู่ หน่วยนับเวลาโบราณของจีน เทียบเท่ากับระยะเวลาช่วง 11.00 น. - 12.59 น.
E-BOOK HERE >> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=294883&page_no=1
เนื้อหาที่คุณได้อ่านข้างต้นเป็นฉบับที่ถูกตัดทอนเนื้อความเพื่อใช้เผยแพร่สำหรับ [Clean Version]
สามารถอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ NC18+ [Explicit Version] ได้เฉพาะใน E-BOOK เท่านั้น
ความคิดเห็น