ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #8 : สหายแบ่งผลซิ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 67


    กลับถึงจวนภาพที่ข้าเห็นตรงหน้าคือท่านแม่ที่นั่งอยู่กับอ่างซักผ้ากลางลานบ้านท่ามกลางหิมะที่ยังตกลงมาไม่หยุด เนื้อตัวขาวซีดสั่นงันงก ข้ารีบวิ่งเข้าไปสวมกอดไว้ประคองนางขึ้นมา ค่อยๆ พาเข้าไปนั่งหลบหิมะที่เรือนข้าง ภาพที่เห็นตรงหน้านี้ทำให้ใจข้าเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดเฉือน ฝ่ามือของท่านแม่บวมแดงเย็นเยียบจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง ปากสั่นแข็งทื่อจนพูดอะไรไม่ออก

    “รีบไปเอาเตาอุ่นมือมา” ข้าเอ่ยบอกเจียวจูที่เพิ่งวิ่งตามมาถึงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

    “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ ข้ากลับมาแล้ว ข้าอยู่ที่นี่แล้วเจ้าค่ะ” ข้ารีบเอ่ยปลอบสวมกอดท่านแม่ไว้หวังให้นางอบอุ่นขึ้น แม้ในใจตอนนี้จะร้อนเป็นไฟ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือท่านแม่

    “เจ้าทำอะไร” คนต้นเรื่องในที่สุดก็มา

    “ข้าต้องถามท่านมากกว่าว่าท่านทำอะไร” ข้ากัดฟันข่มอารมณ์ยังคงเอ่ยถามคนผู้นั้นออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ จ้องเขม็งไปที่คนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นหมายให้มันทะลุถึงดวงใจมืดบอดดำทมิฬนั่น

    “ก็… ก็แค่ให้นางซักผ้า ภรรยาซักเสื้อผ้าให้สามีมีอะไรผิดตรงไหน ข้าเป็นผู้เลี้ยงดู นางก็ต้องตอบแทนบุญคุณ มีอะไรไม่ถูกต้อง” เขาก็ยังคงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่เคยที่จะกล้าสู้กับข้าซึ่งหน้าสักครั้ง ทุกครั้งไม่เคยกล้าแม้จะสบตาข้าด้วยซ้ำไป คนขี้ขลาดเช่นนี้มีดีอะไรเป็นสามี มีดีอะไรเป็นพ่อคน

    เจียวจูค่อยๆ เดินเลียบเข้ามายื่นเตาอุ่นมือใบนึงให้ท่านแม่และอีกใบยื่นให้ข้า กับผ้าคลุมหนาๆ อีกสองผืนห่มให้นาง ช่างเป็นเด็กที่รู้งานจริง แต่ใจข้ายามนี้ร้อนยิ่งกว่าถ่านในเตาอุ่นมือนี่เสียอีก เกรงว่าเตาอุ่นมือใบนี้ของข้าคงไม่จำเป็นแล้ว

    ข้าเดินไปยังกองผ้าที่สุมอยู่กลางลาน เสื้อผ้าพวกนี้มีที่เป็นของเขาแค่ไม่กี่ชิ้น ส่วนที่เหลือก็คือเสื้อผ้าของบุตรชายคนโปรดและฮูหยินใหญ่ของเขา ช่างกล้านักที่เอาของแบบนี้มาให้แม่ข้าซัก แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ตัดขาดกันไปเสียที

    ข้าเปิดดูเตาอุ่นมือ ถ่านข้างในเพิ่งจุดมายังกรุ่นอยู่เป่าลมลงไปเล็กน้อยก็มีประกายไฟลุกขึ้น ได้ดังนี้แล้วก็เทถ่านไฟลงบนกองผ้า สะเก็ดไฟกระจัดกกระจายลุกไหม้เสื้อผ้าพวกนั้น ท่านเสนาบดีก็รีบวิ่งมากุลีกุจอสะบัดชุดราชการของเขา ภาพน่าสังเวชนี้คนรับใช้ในจวนก็เห็นกันหมด สะใจจริงๆ

    “เผาทิ้งหมดแล้ว ก็ไม่ต้องซักแล้วจริงหรือไม่” ข้ายืนเหลือบตามองคนผู้นั้นที่ยังคงนั่งสะบัดถ่านออกจากกองผ้าอย่างเย้ยหยัน

    “เจ้า!!! เจ้า!!” เขาตะโกนใส่ข้าอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเปลวไฟพวกนั้นเสียอีก แต่กลับทำให้ข้ายิ่งรู้สึกสาแก่ใจนัก

    “จากนี้ค่าใช้จ่ายเรือนเล็กของข้าแยกออกจากเรือนใหญ่อย่างถาวร ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดเองจะได้ไม่ต้องมานับเป็นบุญคุณอะไรกันอีก ส่วนบัญชีที่ข้าดูแลอยู่ก็หาคนมารับไปซะ หวังว่าจวนเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่นี่จะพอมีคนที่มีปัญญาอยู่บ้าง”

    ข้ามองไปยังคนผู้นั้นอย่างเหยียดหยามเย็นชา จากนี้ข้าจะดูแลท่านแม่ให้กินอยู่ดียิ่งกว่าพวกคนในเรือนใหญ่นั่นซะอีก

    “เจียวจู พาท่านแม่กลับเรือน” ข้าเดินเข้าไปช่วยเจียวจูพยุงท่านแม่เดินกลับ

    คนผู้นั้นยังคงสบถด่าข้าตามหลังมา ทว่าเขาคงลืมไป แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยสนใจมันสักนิด

    กลับถึงเรือนเล็ก พวกเราจัดแจงให้ท่านแม่นอนพักบนเตียงอย่างระมัดระวัง วางเตาไฟไว้ข้างๆ ให้ท่านอุ่นขึ้นอีกหน่อย เห็นภาพท่านแม่ในวันนี้ เกรงว่าเรื่องนั้นที่คิดอยู่หลายวันก็ไม่ต้องรออีกแล้ว

    “เจียวจูจากนี้เจ้าต้องช่วยข้าดูแลท่านแม่ให้ดี อย่าให้มีใครมารังแกได้อีก ของใช้ของกินขาดเหลืออะไรก็บอกข้า ข้าจะหามาให้เอง เป็นไปได้คุยกับคนเรือนนู้นให้น้อยหน่อย” ข้ากำชับกับเจียวจู นางเองก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

    “ข้าจะออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว ทางนี้ก็ฝากเจ้าด้วยนะ” ข้ากุมสองมือเจียวจูเป็นเชิงกำชับอีกครั้ง

    “คุณหนูไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลฮูหยินอย่างดี”

    เมื่อเรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นข้าก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด จากนี้ข้าคือหัวหน้าครอบครัวที่จะต้องปกป้องคนในบ้านทั้งท่านแม่และเจียวจู จะลังเลเป็นเด็กอีกไม่ได้ จึงไม่รอช้ารีบเดินทางไปจวนเสนาบดีฟ่านทันที

     

     

    มาถึงหน้าจวนเสนาบดีฟ่าน แม้จะเรียกว่าจวนเสนาบดีเหมือนกัน แต่ก็ดูต่างกันอยู่มากโข จวนหลังนี้ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับบ้านของพ่อค้าที่พอทรัพย์สินอยู่บ้างคนหนึ่ง เล็กกว่าจวนเสนาบดีเหวินถึงสองสามเท่า ดูท่าข่าวที่เขาไม่รับจวนพระราชทานจากท่านอ๋องจะเป็นเรื่องจริง

    หน้าประตูจวนก็ไม่ได้มีคนรับใช้ยืนเฝ้าไว้เตรียมรับแขกเหมือนจวนขุนนางผู้ใหญ่คนอื่น ข้าจึงเดินเข้าไปเคาะแหวนประตูเรียกคน ครู่เดียวก็มีชายแก่คนนึงมาเปิดประตู ดูท่าทางแล้วคงจะเป็นพ่อบ้านของจวนนี้เป็นแน่

    “ข้ามาขอพบท่านเสนาบดีฟ่านหลีเจ้าค่ะ” ข้าพูดกับเขาอย่างนอบน้อมนี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่สอนไว้เสมอ ไม่ว่ากับใครผู้ใดการถ่อมตนและสุภาพเป็นเรื่องพึงกระทำ

    “จะให้ข้าแจ้งว่าผู้ใดขอพบขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยถามใบหน้ายิ้มแย้ม

    ข้ายื่นดอกเยว่จี่ดอกหนึ่งที่เก็บมาระหว่างทางให้เขา “มอบสิ่งนี้ให้ท่านเสนาบดีฟ่านแล้วเขาจะเข้าใจเองเจ้าค่ะ”

    จากนั้นพ่อบ้านก็หายไปไม่นานนัก ข้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงมาที่ประตู พร้อมกับเสียงตะโกนตามมา “รีบเปิดประตู!”

    ที่แท้คนที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมานั่นก็คือฟ่านหลี เขารีบเดินตรงมาหาข้าใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

    “คารวะ ท่านเสนาบดีฟ่านเจ้าค่ะ” ข้าประสานมือคารวะ

    “เชิญคุณหนูเหวินด้านในเถิดขอรับ” เขารีบเชื้อเชิญ

    ความจริงที่ข้ามาหาเขาด้วยตัวเองวันนี้ก็เพื่อดูท่าทีของเขาอีกครั้งด้วยเช่นกัน ดูจากที่เขาเดินออกมารับข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ เขาคงให้ความสำคัญกับข้าไม่น้อย การค้าครานี้คิดว่าอย่างไรก็คงไม่ขาดทุน

    “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ วันนี้ข้าเพียงมาบอกว่าเรื่องที่ท่านถามวันก่อนข้าตกลง” ข้าพูดจบก็ดูเหมือนเขาจะนิ่งอึ้งไปเสียอย่างนั้น นี่อะไรกันตัวเองเป็นคนเอ่ยไว้ก่อนแท้ๆ พอคนเขาตอบรับกลับไม่พูดอะไรสักคำ

    “วันนี้เสร็จธุระแล้ว เช่นนั้นข้าขอลาเจ้าค่ะ” ข้าประสานมือคารวะอีกครั้ง ข้าเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก ในเมื่อเขาไม่มีอะไรจะพูด เช่นนั้นข้าก็ขอตัว

    ว่าแล้วก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวที่สอง แขนก็ถูกฟ่านหลีดึงรั้งไว้ ข้ารีบหันกลับมองมือเขาที่ดึงรั้ง และมองกลับไปที่ใบหน้าเขา เขาเห็นท่าทีข้าเช่นนั้นก็รีบปล่อยมือทันที

    “ขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าเพียงตกใจ ไม่คิดว่าคุณหนูจะตอบรับเร็วขนาดนี้” ดูแล้วเขาก็คงตกใจจริงๆ ประสานมือคารวะขอโทษข้าแล้วก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก

    “อย่านอบน้อมถึงเพียงนี้เลยเจ้าค่ะ อย่างไรตอนนี้ท่านก็มีฐานะเป็นเสนาบดี ข้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ดูแล้วไม่เหมาะสมเท่าใดนัก”

    ฟ่านหลีผู้นี้ดูแล้วมิได้มีมาดของพวกขุนนางผู้แสวงหาในอำนาจสักนิด ไม่หลงระเริงกับยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มา ดูไปดูมาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง

    “เพียงแต่ข้ามีข้อสงสัยหนึ่ง ตั้งแต่คราก่อนเหตุใดท่านจึงยื่นมือช่วยข้า” คำถามนี้ของเขาถามได้ตรงประเด็นยิ่ง

    “ข้าย่อมมีเหตุผลของข้าเองที่จะช่วยท่านตามสมควรเจ้าค่ะ เมื่อข้าตอบตกลงแล้วย่อมช่วยท่านอย่างเต็มที่ จากนี้หากมีเรื่องใดก็ให้คนส่งจดหมายมาที่เรือนเล็กจวนเสนาบดีเหวินนะเจ้าคะ” ข้าเอ่ยออกไปอย่างฉะฉานชัดเจน

    “ทำเช่นนี้จะไม่ถูกท่านเสนาบดีเหวินรู้เข้าหรือขอรับ” คนผู้นี้นอกจากเรื่องตำรางานราชการแล้วดูท่าจะเป็นคนซื่อจริงๆ

    “ท่านยังโสดอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ ข้าเองก็มิได้มีคู่หมั้นหมาย ท่านเพียงทำทีเป็นเกี้ยวข้าก็พอ อีกอย่างคนผู้นั้นไม่ต้องไปสนใจหรอกเจ้าค่ะ ต่อให้รู้จริงแล้วจะทำอะไรได้”

    ฟ่านหลีผู้นี้แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี แต่แท้จริงแล้วอายุก็ย่างยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว บุรุษอายุขนาดนี้แต่ยังไม่แต่งงานก็แปลกอยู่บ้างจริงแท้

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×