ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #5 : สมบัติติดกาย

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 67


    แหวนหยกแดงนี้ ติดตัวข้าออกมาจากท้องแม่ทีเดียว แต่เล็กมีแต่คนบอกว่าแหวนนี้คือสิ่งมงคลล้ำค่า ท่านแม่จึงให้ข้าแขวนติดกายไว้เสมอ

    กระทั่งวันหนึ่งยามข้าอายุสิบเอ็ดปี ได้พบกับคุณชายท่านหนึ่งงดงามเหนือธรรมดา สวมใส่อาภรณ์สีมรกต คุณชายท่านนี้ดีกับข้ามาก ดูแลข้า ซื้อขนมให้ข้า สอนวิชาให้ข้าหลายอย่าง ท่านบอกว่าที่ข้าป่วยง่ายต้องเจ็บปวดหัวใจก็เพราะแหวนหยกแดงวงนั้น ข้าจึงถอดเก็บไว้ในตู้ มิคาดว่าได้ผลจริงแท้ จากนั้นสุขภาพข้าก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีอาการอีก กระทั่งวันนี้ที่จู่ๆ ก็กำเริบขึ้น

    “สตรีงดงามเช่นนี้ ร่างกายบอบบางอยู่บ้างจะเป็นอย่างไร จริงหรือไม่” ท่านอ๋องยิ้มหัวเอ่ยชมข้าอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับบุรุษชุดนักพรตที่ติดตามท่านมาเมื่อครู่ “วันนี้บังเอิญท่านนักพรตลู่ติดตามข้ามาด้วย ท่านมีวิชาการแพทย์เป็นเลิศ เช่นนั้นก็ให้ท่านตรวจดูเสียหน่อยเถิด”

    ที่แท้ท่านผู้นี้คือนักพรตลู่เสียน ท่านราชครูแห่งแคว้นเย่ว์ ที่ปรึกษาใกล้ชิดของเย่ว์อ๋ององค์ก่อน ทั้งเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนเย่ว์อ๋ององค์ปัจจุบันอีกด้วย ท่านผู้นี้ได้รับการนับถืออย่างยิ่ง เพราะความไว้วางพระทัยของเย่ว์อ๋องสองรุ่น จึงถือได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลท่านหนึ่ง ทว่ากลับมิเคยได้ข่าวว่าท่านผู้นี้ฝักใฝ่ให้การสนับสนุนฝ่ายใด มิเคยยุ่งเกี่ยวการเมืองกิเลสโลกีย์ กล่าวได้ว่าเป็นผู้ถือศีลบำเพ็ญพรตสูงส่งบริสุทธิ์โดยแท้

    “ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะที่ทรงเมตตา เพียงแต่อาการของหม่อมฉันมิได้ร้ายแรงอันใด เป็นเพียงโรคประจำตัวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรบกวนถึงมือท่านราชครูเพคะ” ข้าประสานมือน้อมคารวะท่านอ๋อง เอ่ยออกไปอย่างนิ่มนวล แม้จะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้างแต่ก็นับว่าดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่กับนักพรตลู่ผู้นี้กลับรู้สึกทั้งหวาดหวั่นและหวั่นไหวยากอธิบาย ทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันคราแรกแต่ใจข้ากลับสั่นไหวทุกครั้งที่สบตาเขา สถานการณ์เช่นนี้เลี่ยงไว้ก่อนย่อมดีกว่า

    “เช่นนั้นหรือ งั้นก็ตามใจเจ้า” ท่านอ๋องกล่าวตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก

    “ท่านอ๋อง กระหม่อมมีเรื่องหนึ่ง อยากขอท่านอ๋องโปรดประทานอนุญาตพะย่ะค่ะ” นักพรตลู่ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น

    “ท่านราชครูไม่ต้องเกรงใจ ว่ามาเถิด” ท่านอ๋องก็มิได้ขัด

    “แม่นางผู้นี้กระหม่อมดูลักษณะแล้ว นางเป็นเซียนสวรรค์ลงมาจุติจริงแท้พะย่ะค่ะ เพียงแต่มิได้ปฏิบัติตามบัญชาสวรรค์จึงทำให้โรคภัยรุมเร้า กระหม่อมอยากขอพระอนุญาตให้กระหม่อมรับนางเป็นศิษย์ ชี้นำวิถีเต๋า ให้นางได้ดำเนินตามบัญชาสวรรค์ เช่นนี้อาการป่วยของนางก็จะหายขาด ทั้งจะบังเกิดความสิริมงคลต่อแผ่นดินแคว้นเย่ว์พะย่ะค่ะ” นักพรตลู่ผู้นั้นกล่าวออกมาหน้าตาเฉย

    ข้าตกตะลึง นี่เขาพูดเรื่องอะไร ให้ข้าเป็นศิษย์หรือ เรื่องเซียนสวรรค์นั่น แม้คนจะพูดกันไปทั่วก็มีแต่เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น จะถือเป็นจริงเป็นจังได้เพียงนี้เชียวหรือ ไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้กลับออกมาจากปากราชครูเสียได้ คนผู้นี้ยังนับว่าเป็นผู้น่าเชื่อถือได้อย่างไร

    “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ที่แท้นางเป็นเซียนสวรรค์จริงๆ ข่าวลือเหล่านั้นกล่าวไว้ไม่ผิดสินะถ้าไม่นับข้า นางก็นับเป็นศิษย์คนแรกของท่าน และนางก็เป็นสตรี หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก่อนก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสมใช่หรือไม่” ท่านอ๋องนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ได้! ข้าอนุญาต!”

    หายนะ!! นี่มันหายนะชัดๆ พวกเขาคิดจะไม่ถามข้าสักคำ

    “รีบขอบพระทัยสิ” เสนาบดีเหวินหันมากระซิบกระซาบอย่างรีบเร่ง

    ข้าดวงตาเบิกโตตกตะลึงอยู่ สถานการณ์ตรงหน้านี้เกรงว่าจะปฏิเสธมิได้แล้ว อย่างไรท่านอ๋องก็เอ่ยปากแล้ว จะเป็นศัตรูกับใครก็ได้ แต่จะฉีกหน้าเป็นศัตรูกับผู้ครองแคว้นมิได้ รับไปก่อนแล้วกัน “หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ”

    หลังจบประโยคนี้ของข้าทุกคนก็เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนไม่รู้ว่าควรเจรจาสิ่งใด คนต้นเรื่องอย่างท่านอ๋องก็ยิ้มเงียบนั่งลงจิบชาอย่างเพลิดเพลิน กระทั่งฟ่านหลีเอ่ยขึ้น

    “ท่านอ๋องพะย่ะค่ะ” ฟ่านหลีกล่าวสั้น ๆ สองคำส่งสายตามีเลศนัยให้ท่านอ๋อง ท่าทางนี้ของฟ่านหลีดูเหมือนจะทำให้ท่านอ๋องนึกขึ้นได้ว่าพระองค์มาที่จวนนี้ทำไม

    “เมื่อครู่ในท้องพระโรง ฟ่านหลีเอ่ยถึงอุบายศึกที่ได้ความช่วยเหลือจากคนจวนนี้ ท่านเสนาบดีบอกว่าเป็นบุตรของท่านใช่หรือไม่” ท่านอ๋องเบี่ยงหน้ามาทางเสนาบดีเหวิน “ข้าเองร้อนใจอยากพบผู้มีความสามารถยิ่งนัก ไม่อยากรอท่านพาเขาไปพบอีกแล้ว เลยชวนทุกท่านรุดมาจวนเสนาบดีเหวินของท่านด้วยกันเสียเลย”

    “อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาอยู่ที่นี่พอดีเลยพะย่ะค่ะ” เสนาบดีเหวินหัวเราะเสแสร้งสองสามคำ ก่อนจะคว้าตัวบุตรชายคนโปรดไปแนะนำตัว “นี่คือเหวินอวี้ บุตรชายคนโตของกระหม่อมพะย่ะค่ะ เด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลม ฉายแววโดดเด่นมาตั้งแต่ยังเล็ก สอบได้ที่หนึ่งในสำนักศึกษามาตลอด กระหม่อมอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี หวังว่าวันหน้าจะเป็นข้ารับใช้แผ่นดิน รับราชการช่วยเหลือบ้านเมืองพะย่ะค่ะ”

    “เช่นนั้นหรือ ที่ข้าได้ยินมาที่หนึ่งสำนักศึกษาหลายปีนี้เป็นสตรีมิใช่หรือ” ท่านอ๋องกล่าว ใบหน้าแฝงความฉงน

    “ผู้คนเข้าใจลือกันไปผิดๆ พะย่ะค่ะ เหวินอวี้ลูกกระหม่อมคนนี้ ใบหน้างดงาม ผู้คนจึงเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีพะย่ะค่ะ” เสนาบดีเหวินแก้ต่างให้คำอวดอ้างของตนเอง

    แท้จริงเรื่องที่ท่านอ๋องได้ยินมาล้วนไม่ผิด สตรีผู้นั้นก็คือข้า แต่ก็เป็นเช่นนี้มาเสมอ เป็นดังเช่นทุกครั้ง สิ่งใดที่ข้าได้มา สิ่งใดที่ควรเป็นของข้า เขาล้วนยกให้เหวินอวี้ ข้าชินเสียแล้ว ทว่าความแน่นอึดอัดในอกนี้กี่ครั้งก็ไม่ชินเสียที ขอบตากลับเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครา

    “เช่นนั้นของรางวัลที่ข้าเตรียมมาในวันนี้ก็ต้องยกให้เขาแล้ว…”

    จากนั้นหวังกงกงเริ่มเอ่ยถึงของรางวัลยืดยาวที่ท่านอ๋องเตรียมมาประทานให้ ชื่นชมความดีความชอบของเหวินอวี้ สิ่งเหล่านั้นควรเป็นของข้า ทว่ารางวัลที่ข้าได้มาคือหนึ่งฝ่ามือบนแก้มซ้ายจากเสนาบดีเหวินผู้นั้น แล้วข้าจะอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน บทสนทนาเปี่ยมสุขเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า น้ำใสเริ่มไหลซึมออกจากดวงตา ข้าก้มหน้าปกปิดมัน ย่อตัวคารวะ เพียงหันหลังเดินออกจากโถงนี้ไปเสีย

    ข้าไม่ควรเหยียบมาเรือนใหญ่แห่งนี้โดยแท้ รีบสาวเท้าเดินกลับเรือนเล็ก หยดน้ำสายน้อยเหล่านั้นยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด ข้าเฝ้าบอกใจตนเองว่า พอได้แล้ว หยุดได้แล้ว อย่างไรก็ควรชินได้แล้ว

    ครั้นเห็นว่าทำอย่างไรก็ควบคุมมันไม่ได้ แต่จะกลับไปให้ท่านแม่เห็นรอยน้ำตาเช่นนี้ก็มิได้ จึงเดินหลบเข้าหลังเรือนข้าง ที่มุมเล็กๆ นี้ไม่มีใครเดินผ่าน เป็นหลุมหลบภัยของข้า ทุกคราที่รู้สึกว่าตนเองมิสามารถจะทนแสร้งเข้มแข็งได้ ต้องการสักที่เพียงแสดงความอ่อนแอออกมาก็มีเพียงมุมเล็กๆ นี้เท่านั้นที่ทำได้ ข้านั่งลงปล่อยให้น้ำตาเหล่านั้นไหลออกมาได้ตามใจ กัดปากตัวเองไว้มิให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา มิต้องการให้ใครมาพบเจอเป็นอันขาด

    ทว่าในวันนี้ที่แห่งนี้มิใช่ความลับอีกต่อไป

    “แม่นางเหวิน แม่นางเหวินเหลียนเหลียง”

    เสียงเรียกและฝีเท้าของคนผู้หนึ่งเดินใกล้เข้ามา ข้ารีบลุกขึ้นจัดแจงเช็ดหน้าเช็ดตาให้เข้าที ปรับอารมณ์สงบใจของตนเสีย อย่างไรจะให้ใครเห็นมิได้

    “แม่นาง ในที่สุดก็เจอท่าน” ฟ่านหลีเดินเข้ามาในพื้นที่เล็กๆ ของข้า ไม่คุ้นชินนัก ตลอดมาที่นี่มีข้าผู้เดียวโดยแท้

    “ท่านเสนาบดีฟ่าน มีเรื่องใดให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” ข้าโน้มคารวะ

    “ท่านมาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ” ฟ่านหลีเอ่ยถามข้า ที่แห่งนี้นอกจากเป็นมุมเล็กเพียงสามคนนั่งแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำจริงแท้

    ข้ามองไปมองมาจึงตอบออกไปว่า “มาถอนหญ้าเจ้าค่ะ”

    ฟ่านหลีมองข้ากระสับกระส่าย จึงหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “เช่นนั้นหรือ”

    “เจ้าค่ะ” ข้าตอบออกไปอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ต้องยืนกระต่ายขาเดียวไว้ก่อน

    “แล้วดวงตาท่านเหตุใดจึงบวมแดงเช่นนี้เล่า” ฟ่านหลีผู้นี้ จะพูดอะไรก็ไม่พูด เอาแต่จับผิดหาเรื่องข้า

    “ท่านมาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หากเขาไม่ตอบ ยังจะจับผิดข้าอีก ครานี้ก็อย่าโทษที่ข้าเสียมารยาท

    “คนที่ส่งจดหมายฉบับนั้นให้ข้า คือท่านใช่หรือไม่ขอรับ” เขาเอ่ยถามฉะฉาน

    “ทหารคนนั้นบอกท่านหรือเจ้าคะ” ข้าอุตส่าห์จ่ายเงินปิดปากให้ทหารนายนั้นไปตั้งมาก ยังจะปากสว่างได้อีก

    “มิใช่หรอกขอรับ เพียงแต่กล่องขนมที่ท่านส่งไปห่อด้วยผ้าไหมชั้นดี ในยามศึกสงครามเช่นนี้คงมีแต่จวนขุนนางสูงศักดิ์เท่านั้นที่จะมีได้ อีกทั้งขนมเลิศรสในกล่องนั้นทุกท่านที่ได้ลิ้มรสล้วนกล่าวว่า รสชาติหอมหวานไร้ที่ติเช่นนี้มีเพียงแค่ฝีมือฮูหยินรองจวนเสนาบดีเหวินจ้งเท่านั้น เช่นนี้ข้าจึงทราบขอรับ” ฟ่านหลีบอกเล่าเป็นขั้นเป็นตอน

    ที่แท้เป็นเพราะฝีมือทำขนมของท่านแม่นี่เอง ก็นับว่าเขาฉลาดอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ไม่น่าจะรู้ว่าเป็นข้า เสนาบดีเหวินก็กล่าวแล้วว่าเป็นเหวินอวี้ เหตุใดยังคิดว่าเป็นข้าอยู่อีก “จากที่ฟังท่านกล่าวมาก็เพียงรู้ว่าจดหมายมาจากจวนนี้มิใช่หรือเจ้าคะ ท่านรู้ว่าเป็นข้าได้อย่างไร”

    “กลิ่นเยว่จี่ขอรับ” เขาเอ่ยสั้น ๆ

    ข้าตกตะลึง ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง กลิ่นเยว่จี่มาเกี่ยวอะไรกัน

    “บนจดหมายนั่นมีกลิ่นดอกเยว่จี่สดชื่นหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนักขอรับ และเมื่อครู่ข้าบังเอิญได้กลิ่นเยว่จี่เช่นนั้นจากตัวท่านเช่นกัน จึงมั่นใจว่าต้องเป็นท่าน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าผู้ที่วาดภาพกลศึกนั่นออกมาจะเป็นสตรี” ฟ่านหลีเอ่ยประโยคหลังออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สั่นไหว ฟังแล้วเหมือนเชี่ยวชาญโลกโลกีย์ทว่าใบหูกลับกลายเป็นสีแดงเรื่อ คนผู้นี้จิตใจมั่นคงยิ่งแม้ร่างกายมีปฏิกิริยาว่าเขินอาย กลับยังสามารถสำรวมท่าทีได้เพียงนี้ คาดว่าในชีวิตเขาคงเป็นบัณฑิตผู้คร่ำเคร่งกับการศึกษาเป็นแน่ จึงไม่คุ้นชินกับการเอ่ยถึงกลิ่นกายสตรีเช่นนี้ น่าสนใจจริง

    สำหรับข้าเรื่องกลิ่นเยว่จี่นี้ก็มิได้ต่างอะไรกับเรื่องรูปลักษณ์ของข้า ถูกผู้คนกล่าวถึงจนชินชา ท่านแม่เล่าให้ฟังว่ากลิ่นนี้ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด ในวันที่ข้าลืมตาดูโลกออกจากครรภ์ท่านแม่ ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นเยว่จี่ ทั้งหมอตำแยและชาวบ้านละแวกนั้นต่างกล่าวกันว่าเพราะข้าเป็นเทพธิดาลงมาจุติ จึงได้มีปรากฏการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้ จากนั้นไม่ว่าข้าไปที่ใด เข้าใกล้ผู้ใด ก็มีแต่ผู้กล่าวถึงมัน จนเมื่อข้าย่างเข้าวัยปักปิ่น สิ่งนี้ก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายน่ารำคาญสำหรับข้า มีแต่บุรุษที่อยากเข้าใกล้ข้าเพราะอยากสูดกลิ่นเยว่จี่นี้ น่ารังเกียจเป็นที่สุด ดังนั้นในหลายปีนี้นอกจากเพื่อเรื่องติดต่อค้าขายแล้ว ข้าจึงไม่ก้าวออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว

    เดิมทีข้ามีความระแวงในคนผู้นี้อยู่หลายส่วน เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกลับพบว่าเขาซื่อตรงอยู่มาก เมื่อเทียบกับกลศึกที่เขาใช้ แต่อย่างไรก็ควรเว้นระยะไว้สักหน่อย

    “จะใช่หรือไม่ใช่ข้าแล้วอย่างไร ท่านต้องการอะไรกันแน่เจ้าคะ”

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×