ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #4 : แรกพบพาน

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 67


    หลายวันมานี้หลังจบศึก สถานการณ์เป็นไปตามคาด ฟ่านหลีได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย ได้รับความไว้วางพระทัยจากท่านอ๋องอย่างยิ่ง เจ้ากรมฟ่านก็พลอยได้ความดีความชอบไปด้วย อำนาจท่านเสนาบดีเหวินบ้านข้าลดลงไปไม่น้อย ขุนนางใหญ่น้อยหลายส่วนหันไปพึ่งบารมีฟ่านหลี งานเลี้ยงเรือนใหญ่จวนเสนาบดีข้าจากที่เคยจัดไม่เว้นวัน ยามนี้ตั้งแต่จบศึกมาก็ยังมิได้รื่นเริงเลยแม้แต่วันเดียว ดูเหมือนทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความสุขสงบเรียบร้อยอีกครั้ง กระทั่งวันนี้

    “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายท่านให้มาเชิญไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” เจียวจูเดินเข้ามาแจ้งอย่างลนลาน บัดนี้นางเป็นเหมือนบ่าวรับใช้เรือนข้าไปเสียแล้ว

    เจียวจูอายุน้อยกว่าข้าสามปี เป็นเด็กฉลาดเฉลียวมีมารยาท ถูกพ่อเลี้ยงนำมาขายเป็นทาส นับว่าโชคดีได้เข้ามาทำงานในจวนนี้ ชีวิตไม่ลำบากขัดสนมีกินทุกวัน นางมีฝีมือการทำอาหารไม่เลว ทั้งเป็นเด็กขยันอดทน แม่ข้าเมตตาเอ็นดูนางยิ่ง นางเองก็ให้ความเคารพแม่ข้าด้วยใจภักดี นางมาช่วยงานข้าและท่านแม่ช่วงศึกที่ผ่านมา ยามนี้สำหรับข้าแล้วนางก็เป็นดั่งน้องสาวอีกคนหนึ่ง

    “เรียกข้าไปเรือนใหญ่หรือ?!” ข้าประหลาดใจยิ่ง กี่ปีแล้วที่ข้าไม่เหยียบไปเรือนใหญ่แห่งนั้น ถูกเรียกไปเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง “มีเรื่องอะไร”

    “ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ข้าเห็นนายท่านกลับมาจากวังท่านอ๋อง ท่าทางฉุนเฉียวเดินตึงตังขึ้นเรือนใหญ่ไป จากนั้นท่านพ่อบ้านก็ให้ข้ามาตามคุณหนูเจ้าค่ะ” เจียวจูกล่าวมาแววตาเป็นกังวล

    “ดูท่าครานี้คงไม่ใช่เรื่องดี” ข้าคิดย้อนถึงช่วงชีวิตในจวนเสนาบดีแห่งนี้ อย่างไรข้ากับท่านเสนาบดีก็ไม่มีเรื่องดีๆ ให้คุยกันอยู่แล้ว เพิ่มอีกเรื่องจะเป็นอย่างไร จึงเอ่ยว่า “จะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายแล้วอย่างไร ยังไงก็ต้องไป เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

    ข้าเดินไปตามทางสู่เรือนใหญ่ด้วยใจประหวั่น แม้ข้ามิได้หวาดกลัวที่จะต้องมีเรื่องกับเขา แต่ก็เกรงว่าหากข้าผิดใจกับเขาเพิ่มอีกเรื่องจะทำให้ท่านแม่ต้องเดือดร้อน

    ก่อนนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องกันมิเคยมีครั้งใดที่เขาชนะข้า เมื่อข้ายังเยาว์ท่านเสนาบดีเชิญนักพรตหมอดูหลายคนมาที่บ้านตรวจดวงชะตา เหตุใดข้าผู้นี้เป็นสายเลือดเขาแท้ๆ กลับไม่เคยอ่อนข้อเชื่อฟังเขาแม้แต่น้อย ทุกคนต่างพูดตรงกันว่าดวงชะตาข้าและเขาขัดกัน ทว่าดวงชะตาข้าแข็งแกร่งกว่านัก เปรียบดั่งพญาหงส์จับข่มอสรพิษ ชาตินี้ทั้งชาติอย่างไรเขาก็ไม่มีวันชนะข้า

    จากนั้นทุกครั้งที่มีเรื่องกันทำอะไรข้าไม่ได้ ก็เอาความเจ็บแค้นมาลงที่ท่านแม่เสมอ นานวันเข้าข้าไม่อยากให้ท่านแม่ต้องลำบากอีก จึงข่มใจลงให้เขาอยู่บ้าง ทว่าหากรังแกกันเกินไปข้าย่อมไม่มีทางยอม

    มาถึงห้องโถงเรือนใหญ่ไม่คาดว่านอกจากท่านเสนาบดีแล้วทั้งน้องชายน้องสาวข้าต่างอยู่กันพร้อมหน้า ทว่าเรื่องที่ผิดคาดยิ่งกว่ากลับเป็นเหล่าเครื่องประดับหรูหราที่เคยตั้งเรียงรายอยู่ที่เรือนใหญ่นี่ ยามนี้บางตาลงไปไม่น้อย ทรัพย์สินเข้าออกจวนเสนาบดีทั้งหมดล้วนมีข้าเป็นผู้ควบคุมดูแล ของทุกชิ้นที่ส่งมาเรือนใหญ่ข้าล้วนเห็นผ่านตามาแล้วทั้งสิ้น ควรมีอยู่มากกว่านี้สองสามเท่า พวกมันหายไปไหนนะ

    ข้าประสานมือโน้มคารวะลงเล็กน้อยอย่างขัดไม่ได้ “ไม่ทราบวันนี้ท่านเสนาบดีเรียกหาข้ามีเรื่องอันใด”

    ‘เพี๊ยะ!!!’

    มิทันได้ตั้งตัวก็ถูกเสนาบดีเหวินตบเข้าเต็มแรง เหวี่ยงข้าเซล้มลง แก้มซ้ายปวดแสบร้อนตามรอยฝ่ามือ นัยน์ตาร้อนผ่าว น้ำใสเอ่อขึ้นในดวงตา ทว่าหาใช่เพราะความเจ็บแต่อย่างใด มันคือน้ำตาแห่งความแค้นที่จุกแน่นกลางอกข้า

    “ลูกอกตัญญู เจ้าร่วมมือกับคนแซ่ฟ่านหักหลังข้าใช่หรือไม่” เสนาบดีเหวินชี้หน้าข้า นัยน์ตาแข็งกร้าว น้ำเสียงเดือดดาล ฟังประโยคนี้คาดว่าเขาคงรู้เรื่องที่ข้าลักลอบเขียนกลศึกส่งให้ฟ่านหลีแล้ว เดิมทีคาดไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรสักวันเขาย่อมรู้ความจริงนี้ รวดเร็วเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

    “หึ ถ้าใช่แล้วอย่างไร ท่านโง่เง่าไร้ปัญญา ข้าเพียงชี้แนะเขาเล็กน้อยก็เท่านั้น ต้องชื่นชมที่ท่านเสนาบดีฟ่านหลีสติปัญญาล้ำเลิศ พลิกแพลงสร้างสรรค์กลยุทธ์ได้เยี่ยมยอด นำทัพชนะศึก เป็นวีรบุรุษที่ควรยกย่อง ท่านว่าใช่หรือไม่” ข้าลุกขึ้นเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ น้ำเสียงเย้ยหยัน หวังอย่างยิ่งให้คำพูดเหล่านี้กัดกินเข้าไปถึงกระดูกของเขาให้จงได้

    “เจ้า!!!” เสียงเสนาบดีเหวินสั่นเทิ้ม ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธ ความเคียดแค้นในดวงตานี้หากสามารถฆ่าข้าตรงนี้ได้ เขาคงลงมืออย่างไม่ลังเลแน่

    “นายท่านขอรับๆ” พ่อบ้านวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนลนลาน เสนาบดีเหวินที่อ้าปากค้างอยู่ จะพูดอะไรก็ไม่พูดในที่สุดก็หุบปากลงได้เสียที “ท่านอ๋องเสด็จมาขอรับ”

    “ท่านอ๋องมาได้อย่างไร” เสนาบดีเหวินสีหน้าถอดจากเขียวเป็นขาวในพริบตา

    “ข้าก็แค่อยากมาเยี่ยมจวนเสนาบดีบ้างมิได้หรือท่านเหวินจ้ง” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งดูแล้วอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี ใบหน้าเปล่งปลั่ง รูปร่างสันทัด แต่งกายอย่างผู้สูงศักดิ์สวมกวานทองคำ เดินก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาในโถง

    “ท่านอ๋อง” เสนาบดีเหวินเก็บท่าทีตระหนกเมื่อครู่ในชั่วพริบตา ยามนี้สองมือน้อมประสานคารวะท่านผู้นั้น เหล่าน้องชายน้องสาวของข้าก็น้อมคารวะลงไปพร้อมกัน

    ที่แท้ท่านผู้นี้คือเย่ว์อ๋ององค์ปัจจุบัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบ ตั้งแต่รัชสมัยเย่ว์อ๋ององค์ก่อน ยามที่พระองค์ดำรงตำแหน่งรัชทายาท ทุกคราที่วังอ๋องมีงานเลี้ยงสังสรรค์ เสนาบดีเหวินล้วนพาเหล่าน้องๆ ของข้าไปด้วยเสมอ มีเพียงข้าที่ไม่เคยแม้สักครั้งจะมีโอกาส ได้เพียงเก็บตัวเงียบอ่านตำราฝึกฝนตนเอง ย่อมไม่เคยได้พบท่านมาก่อน

    เบื้องหลังท่านอ๋องยังมีผู้ติดตามผู้หนึ่ง เป็นบุรุษวัยกลางคนใบหน้าหมดจดรูปร่างแบบบาง สวมชุดนักพรตแลดูสงบสุขุม ทว่าใบหน้านี้คุ้นเคยยิ่งนัก เพียงเห็นเงาร่างของเขาพลันรู้สึกว่าหัวใจรัดแน่นกระตุกวูบ เจ็บปวดยิ่ง ยกมือขึ้นกุมแน่นกลางอก แข้งขาไร้กำลังทรุดลง ขณะนั้นกลับมีคนอีกผู้หนึ่งเข้าโอบรับข้าไว้ได้ทันเวลาก่อนร่างข้าจะกระแทกลงกับพื้น

    “ท่านเป็นอะไรหรือไม่” บุรุษที่ช่วยข้าไว้เมื่อครู่เอ่ยถาม ข้าเงยหน้าขึ้นมอง คนผู้นี้ใบหน้าทรงภูมิ รูปร่างใหญ่โต ท่าทีองอาจน่าเชื่อถือ ดูเป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง

    “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ข้าค่อยๆ ผละตัวออกจากอ้อมแขนของคนผู้นั้น

    “ท่านฟ่านหลีเข้ามาทันเวลาพอดี รับตัวสาวงามไว้ได้” ท่านอาหลี่ที่เข้ามาพร้อมกันเอ่ยขึ้น

    ทำให้ข้าได้ทราบว่าที่แท้บุรุษผู้ที่พยุงข้าอยู่นี้คือฟ่านหลี ที่ข้ายืมมือเขาลดทอนอำนาจเสนาบดีเหวิน และตัวเขาเองเพิ่งได้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาหมาดๆ วันนี้ดูท่าจวนเสนาบดีเหวินจะครึกครื้นไม่น้อย ยามนี้ทั้งมิตรทั้งศัตรู ผู้มีอำนาจล้วนอยู่กันพร้อมหน้า

    “สาวงามผู้นี้เป็นใครกัน” ท่านอ๋องเอ่ยถาม

    “เหลียนเหลียงคือบุตรสาวคนโตของกระหม่อมเองพะย่ะค่ะ” เสนาบดีเหวินเอ่ยตอบ

    “อ๋อ ที่แท้คือบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดี ที่มีข่าวลือกันไปทั่วว่างดงามดั่งเทพธิดาลงมาจุติ ได้พบวันนี้สมคำร่ำลือจริงๆ เมื่อครู่ขนาดหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้น ก็ยังนับว่างดงามโดยแท้ เหตุใดท่านมิเคยพานางไปเข้าวังแนะนำให้ข้ารู้จักบ้างเล่า ท่านเหวินจ้ง” ท่านอ๋องเอ่ยยิ้มแย้ม

    ทว่าคำยกยอเหล่านี้ข้าล้วนได้ยินมามากจนรำคาญหู หากเป็นสตรีอื่นคงนิยมชมชอบ ทว่ากับข้าแล้วไม่ยินดียิ่ง ทุกคราล้วนกลายเป็นที่พูดคุยหยอกล้อของบุรุษอย่างสนุกปากลบหลู่เกียรติข้าอยู่เสมอ น่ารังเกียจยิ่งนัก แม้ได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดี แต่ก็มิเคยได้รับการปกป้องดูแลในฐานะนั้นเลย มีเพียงข้าต้องฝ่าฟันสู้สร้างมันขึ้นมาเอง
    ภายหลังข้าเพียรศึกษาเอาชนะบุรุษเหล่านั้นด้วยสติปัญญา สอบได้ที่หนึ่งในสำนักศึกษาเอาชนะทุกคน จากนั้นจึงมิมีบุรุษใดกล้าหลู่เกียรติข้าเช่นนั้นอีก หากจะรับคำชม ข้ากลับอยากให้ผู้คนเอ่ยชมข้าในความสามารถเสียมากกว่า เช่นนั้นจึงจะคุ้มค่ากับความเพียรพยายามของข้า

    “เด็กคนนี้เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ แต่เล็ก เกรงว่าหากพาไปด้วยจะสร้างความรำคาญใจให้กับท่านอ๋องพะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีกล่าวตอบ

    เรื่องที่เสนาบดีเหวินกล่าวมาล้วนไม่ผิด ข้าร่างกายอ่อนแอแต่เล็ก เป็นโรคหัวใจมาแต่กำเนิด ทว่าอาการเหล่านี้ก็ไม่กำเริบมานานแล้วตั้งแต่มิได้ห้อยแหวนหยกแดงนั่น

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×